ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 379: ความจริงเกี่ยวกับการล่มสลายครั้งใหญ่

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 379: ความจริงเกี่ยวกับการล่มสลายครั้งใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 379: ความจริงเกี่ยวกับการล่มสลายครั้งใหญ่

เจิงไสว่ถอนหายใจออกมา “ในตอนที่ข้าสามารถทำตามปณิธานของตัวเองและขึ้นสู่สรวงสวรรค์ การล่มสลายนั้นทรงพลังมากจนมีเพียงจ้าวนรกองค์ที่สองเท่านั้นที่สามารถต้านท้านผลกระทบของมันได้ แม้แต่จ้าวนรกองค์ที่หนึ่งก็ไม่ได้รับการละเว้น แต่ถึงกระนั้น เขากลับไม่ทำอะไรเลย และยังคงอยู่ภายในพระราชวังของตน ยืนดูการตรัสรู้ของข้าโดยเอามือทั้งสองข้างไพล่ไปด้านหลัง ข้าเองก็เคยขอให้เขาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์และโลกใต้พิภพแล้ว แต่ช่างน่าเสียดาย คำตอบที่ได้กลับมานั้นช่างเรียบง่ายและแสนสั้น”

เงียบ

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินเย่จึงลองเดาออกไป “เมื่อปราศจากการล่มสลาย ก็จะปราศจากการเปลี่ยนแปลง​ใหม่?”

เจิงไสว่พยักหน้า “ท่านคงไม่สามารถจิตนาการได้ว่าสถานการณ์ที่รบกวนยมโลกแห่งเก่านั้นรุนแรงเพียงใด ตุลาการนรกที่คอยให้ความช่วยเหลือท่านอยู่ในตอนนี้ไม่เคยได้เห็นความลับสุดยอดที่มีเพียงระดับสูงของยมโลกเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้ แม้แต่ราชทูตทั้ง 12 ก็ไม่ได้รับรู้ข้อมูลเหล่านี้ ในความคิดของพวกเขา ยมโลกนั้นยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ มีเพียงตี้ทิงและผู้ที่อยู่ขั้นพระยมเท่านั้นที่รู้ดีว่ายมโลกกำลังเข้าสู่การล่มสลาย หาก…ยมโลกได้รับการรุกรานที่คล้ายกับการปิดล้อมจีนของพันธมิตรแปดชาติในสมัยก่อนอีกแม้แต่ครั้งเดียว… ยมโลกคงเกิดปัญหาขึ้นจริง​ ๆ​ แน่ นอกจากนี้…ยมโลกก็อยู่ในจุดที่ไม่สามารถหวนกลับได้อีกแล้ว”

“ไม่ว่าจ้าวนรกองค์ที่สองจะแข็งแกร่งสักเพียงใด มันก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสามารถต้านทานการร่วมมือกันระหว่างกองกำลังที่แข็งแกร่งของโลก ซึ่งรวมด้วยอานูบิส แทนาทอส พญายมราช และเฮดีสได้ นอกจากนี้ มันยังมีการรุกรานของทหารวิญญาณกว่าหมื่นล้านตนให้พิจารณาอีกด้วย และที่แย่ไปกว่านั้น แม้แต่ข้าเองก็ไม่กล้าจินตนาการว่าพวกระดับสูงของยมโลกยังเต็มใจที่จะยืนหยัดเคียงข้างยมโลกเมื่อเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นหรือไม่ พวกเขาจะมองเหล่าผู้รุกรานในฐานะของศัตรู? หรือว่าพวกเขาจะมองว่ามันเป็นโอกาสกันแน่?”

เขาเข้าใจแล้ว… ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน จ้าวนรกองค์​ที่สอง… คงจะมีความคิดเดียวกันกับอดีตจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง – พวกเขาเลือกที่จะทำลายทุกอย่างแล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้นมากกว่าที่จะค่อย​ ๆ​ จำกัดมันไปทีละจุด

แต่…จนถึงตอนนี้ มันกลับไม่มีจักรพรรดิองค์ใดเลยที่ทำสิ่งเหล่านั้น

สิ่งที่ได้รู้จากพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้มอบมุมมองใหม่เกี่ยวกับจ้าวนรกองค์ที่สองให้กับเขา ประการแรก จ้าวนรกองค์ที่สองไม่ได้ต้องการตำแหน่งจ้าวนรกตั้งแต่แรก เขาอาจจะเป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในการบ่มเพาะจนไม่ต่างอะไรกับพวกเซียนในนิยาย แต่สิ่งหนึ่งที่ฉินเย่มั่นใจก็คืออีกฝ่ายจัดการกับหน้าที่นี้โดยปล่อยให้มันเป็นไปตามเส้นทางการบ่มเพาะของเขา เขาอาจจะไม่สนใจเกี่ยวกับการเมือง แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำเป็นมองไม่เห็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นได้เช่นกัน น่าเสียดาย ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของเขาก็คือการที่เขาไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับมันได้ การปกครองในระบอบศักดินาที่คงอยู่มาพันกว่าปี ควบคู่ไปกับวีรบุรุษและวีรสตรีหลายพันคนถูกถักทอเป็นตาข่ายที่ไม่สามารถแยกออกซึ่งพัวพันยมโลกแห่งเก่า!

เขาควรจะจัดการใครเป็นอันดับแรก?

ลัทธิขงจื๊อ? ตระกูลโม่? หรือสำนักร้อยความคิด?

หรือราชวงศ์ฮั่น? ราชวงศ์ถัง? ราชวงศ์สุย?

และมันก็ยังมีประชากรวิญญาณและกองกำลังทหารที่จงรักภักดีของเจ้าศักดินาแต่ละคนในยมโลกอีก คนทั้งหมดล้วนมีความจงรักภักดีต่อยมโลก แต่พวกเขาจะไม่รู้ถึงเครือข่ายการพึ่งพาอาศัยกันที่มีอยู่ในหมู่ตระกูลและราชวงศ์เหล่านี้เชียวหรือ? การลงมือกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นเทียบได้กับการทดสอบฝ่ายอื่น​ ๆ

ต่อให้จ้าวนรกองค์ที่สองจะแข็งแกร่งที่สุดในสามโลก แต่การเกิดขึ้นของความขัดแย้งเหล่านี้ก็ต้องบ่อนทำลายยมโลกอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้… แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่เขาจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับกองกำลังทหารวิญญาณหมื่นล้านตนได้อย่างนั้นหรือ?

มันไม่ใช่เรื่องเล่น​ ๆ​ เลย

การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีตัวเร่งปฏิกิริยา

และตัวเร่งปฏิกิริยาที่ดีที่สุดก็คือปัจจัยภายนอก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใน…ได้ถูกหยุดชะงักโดยสมบูรณ์แล้ว

มันไม่ต่างอะไรจากแอ่งน้ำนิ่งเลยแม้แต่น้อย

ระบอบศักดินาที่คงอยู่มายาวนานกว่าพันปีได้รวมตัวกันอย่างหนาแน่นจนมันกลายเป็นธารน้ำแข็งที่ก่อตัวขึ้นเหนือน้ำ – ธารน้ำแข็งที่หนาจนแม้แต่พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบหรือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสามโลกก็ไม่สามารถทำลายได้ นี่คือธารน้ำแข็งที่ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลในประวัติศาสตร์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิฮั่นเกาจู เตียวเหลียง จักรพรรดิไท่จงแห่งถัง จักรพรรดิซ่งไท่จู่….

ดังนั้น… เมื่อเขาเห็นว่าพลังในการตรัสรู้ของพระกษิติครรภโพธิสัตว์สามารถปัดเป่าวิญญาณทั้งหมดของยมโลกไปสู่สวรรค์ได้ จ้าวนรกองค์ที่สองจึงตัดสินใจที่จะปล่อยทุกอย่างไปตามน้ำและฝังมรดกอันยาวนานของเมืองเฟิงตูร่วมไปพร้อมกับระบบศักดินาที่ยาวนานนับพันปี

ช่างเป็นการแก้ปัญหาที่บ้าบิ่นเสียจริง…

ฉินเย่คือชายที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แต่เขาก็ไม่สามารถเทียบได้เลยกับจ้าวนรกองค์ที่สองผู้นี้ เขาชื่นชมจ้าวนรกองค์ที่สองที่สามารถยึดถือปณิธานอันมุ่งมั่นของตัวเองได้

“เพราะแบบนั้น… พวกท่านก็เลยตามหาตัวข้าแทน?” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาของฉินเย่แหบพร่าเล็กน้อย

เจิงไสว่พยักหน้า เสียงของเขาที่เอ่ยออกมาดูเลื่อนลอย “ตอนที่ข้าได้รับรู้ถึงการตัดสินใจของท่านจ้าวนรก ข้าก็ได้เริ่มเตรียมการสำหรับอนาคตแล้ว แต่น่าเสียดาย…วันแห่งโชคชะตามาถึงเร็วเกินไป และเขาก็ไม่ทันได้ตั้งตัว”

“ดังนั้น ในวินาทีสุดท้าย ข้าจึงต้องมอบหมายหน้าที่ในการส่งมอบตรายมทูตให้กับผู้ที่เหมาะสมที่สุดให้กับยายเมิ่ง นี่คือสิ่งเดียวที่อยู่ภายในหัวของข้าในวินาทีนั้น และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงไม่สามารถนำราชาผีทั้งสามและราชทูตทั้ง 12 ไปยังสรวงสวรรค์ด้วยได้ เพราะอย่างไรแล้ว…เมื่อเทียบกับความสำคัญของผู้สืบทอดตำแหน่งจ้าวนรก คนเหล่านั้น…ไม่ได้มีความสำคัญเลยแม้แต่น้อย

“นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าสามารทำได้เพื่อยมโลกในเวลานั้น หลังจากนั้นข้าก็หาทางอยู่หลายวิธีเพื่อที่จะกลับมายังแดนมนุษย์ แต่…ข้าก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้”

“เพราะอะไร?” ฉินเย่ถามอย่างมึนงง “ด้วยกำลังของท่าน เหตุใดท่านจึงมาประทับร่างของมนุษย์ด้วย? ท่านสามารถกำจัดราชาผีทั้งสามได้โดยการเพียงแค่สะบัดมือไม่ใช่หรือ?”

เจิงไสว่แย้มยิ้มขมขื่น “ท่านคงจะรู้ดีแล้วว่าพื้นฐานของยมโลกนั้นถูกสร้างขึ้นโดยรากฐานของความเชื่อ ความกลัวในตำนานและเรื่องเล่าที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ซึ่งนำไปสู่การถือกำเนิดของลำดับขั้นของเหล่าเทพเจ้า ในความเป็นจริง ความเชื่อในระบบเหล่านั้นคือเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการดำรงอยู่ของยมโลก เพราะแบบนั้น เราจึงจะสามารถบอกได้ว่าแดนมนุษย์คือรากฐานสำคัญของทั้งสามโลก เพราะอย่างไรแล้ว​ เมื่อมนุษย์เชื่อในเทพเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เทพสามารถท่องไปบนฟ้าได้อย่างมีอิสระ เมื่อปราศจากความหวาดกลัว… มนุษย์ก็จะค่อย​ ๆ​ ลืมเลือนเรื่องเทพเจ้าและภูตผีไป และพวกเราก็จะไม่สามารถมายังแดนมนุษย์ได้อีกต่อไป ท่านฉิน ท่านลองคิดดูดี​ ๆ ท่านคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะการละเลยหน้าที่และความประมาทของพวกเราอย่างนั้นหรือ?”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไป เพราะในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเจิงไสว่ต้องการจะสื่ออะไร

ยมโลกจะสามารถเฟื่องฟูได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์ยังคงหวาดกลัว ศรัทธาและเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าและวิญญาณ ดังนั้นจะเกิดสิ่งใดขึ้นเมื่อความหวาดกลัวเหล่านั้นหายไป?

มันก็คือการมาถึงของวิทยาศาสตร์

และโดยบังเอิญ วิทยาศาสตร์ก็คือแนวคิดที่เพิ่งได้รับการเสนอขึ้นในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาเท่านั้น

การศึกษาวิทยาศาสตร์ได้แพร่หลายเข้ามาในแผ่นดินจีนตั้งแต่ที่ประเทศเริ่มเปิดพรมแดนของตัวเองกับต่างประเทศ การถือกำเนิดของวิทยาศาสตร์ได้นำไปสู่การล่มสลายของระบอบศักดินา แต่มันก็ค่อย​ ๆ​ รุกล้ำเข้าสู่รากฐานของเทววิทยาและความเชื่อต่าง​ ๆ ถึงแม้ว่าบางคนจะบอกว่าจุดจบของวิทยาศาสตร์ก็คือเทววิทยา แต่วิทยาศาสตร์ในเวลานี้นั้นมาไกลเกินกว่าที่คำพูดนั้นจะเป็นไปได้

แล้วชาวจีนยังเชื่อเรื่องเทพเจ้าและภูตผีอยู่หรือไม่?

90% ของประชากรทั้งหมดจะตอบว่าพวกเขาเชื่อ เพราะอย่างไรแล้ว การป้องกันไว้ก่อนก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ?

น่าเสียดาย ความเชื่อที่ผิวเผินนั้น​ไม่เหมือนกับความศรัทธา มันเป็นเพียงการตอบสนองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเท่านั้น

ฉินเย่เองก็เช่นกัน เคยสงสัยว่าแนวทางของความเชื่อและความศรัทธานั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว คำตอบของเขาก็คือมันเป็นสิ่งดี

ความศรัทธาคือแนวคิดที่แตกต่างไปจากความงมงาย ความศรัทธานั้นก่อให้เกิดหลักการและคุณค่าในการใช้ชีวิตของคนคนหนึ่ง การพัฒนาของแดนมนุษย์ในตอนนี้จะเริ่มปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว มากจนถึงจุดที่สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหมดจะถูกตัดออกจากภาพยนตร์และวรรณกรรมสมัยใหม่ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มอยู่เหนือการควบคุม

สถานการณ์เช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธเทพเจ้าและภูตผี หรือแดนสวรรค์และโลกใต้พิภพเลยแม้แต่น้อย สวรรค์ยังคงเป็นกำลังสำคัญที่ควบคุมระเบียบของโลก แต่เทพเจ้าและภูตผีจะอยู่ได้อย่างไรกัน?

“ท่าน…ไม่สามารกลับมายังแดนมนุษย์ได้?”

“ข้าไม่สามารถสำแดงได้แม้แต่เศษเสี้ยวพลังของตัวเองเมื่ออยู่ในแดนมนุษย์” พระกษิติครรภโพธิสัตว์ถอนหายใจออกมา “ข้าเองก็มีข้อจำกัดมากมายเช่นกัน สิ่งที่ข้าเป็นคนก่อเอาไว้ ข้าก็ควรจะจัดการแก้ไขมันด้วยตัวเอง โชคดีที่ข้าสามารถหาโอกาสในการลงมายังแดนมนุษย์และพบกับท่านได้ด้วยตัวเอง เพราะข้าเอง…ก็อยากทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับการฟื้นฟูยมโลกแห่งใหม่ด้วยเช่นกัน”

“ท่านจะช่วยข้าอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่ถามออกมาด้วยความตกตะลึง ภายในใจของเขาเต็มตื้นไปด้วยความดีใจ

“แน่นอนที่สุด หากยมโลกไม่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ เหล่าวิญญาณก็จะไม่มีที่ใดให้ไป จะว่าไป ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าเหตุใดประชากรของจีนจึงยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง?”

ฉินเย่ชะงักไป

เขาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เจิงไสว่ต้องการจะสื่อนัก

อีกฝ่ายแย้มยิ้มบาง “กงล้อแห่งสังสารวัฏนั้นไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป ไม่มีผู้ใดได้กลับไปเกิด เพราะฉะนั้นจำนวนประชากรก็ควรจะลดลงแทน แต่ทำไมจำนวนประชากรภายในจีนถึงเพิ่มมากขึ้น”

ใช่แล้ว!

นี่คือสิ่งที่ฉินเย่เพิ่งตระหนักได้! เจิงไสว่ที่เห็นเช่นนั้นก็เอ่ยต่อ “ไม่แค่ข้าเท่านั้น แต่จ้าวนรกองค์ที่สองของยมโลกก็ไม่ยอมอยู่เฉย​ ๆ​ และมองดูผู้สืบทอดของเขาสร้างยมโลกแห่งใหม่ขึ้นมาโดยไม่เสียอะไรเลย ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนส่วนหนึ่งของสวรรค์ด้วยตนเอง เพื่อที่ในอีก 300 ปีหลังจากนี้ แดนมนุษย์จึงยังสามารถมีการเกิดและเจริญเติบโตของจำนวนประชากรได้อยู่ แม้ว่าจะไม่มีกงล้อแห่งสังสารวัฏอยู่แล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้น เนื่องด้วยความฉุกเฉินของสถานการณ์ในตอนนั้น นี่จึงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้เกี่ยวกับสวรรค์…”

ดวงตาของฉินเย่เบิกกว้างขึ้น – ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่า ‘เพียงสิ่งเดียว’? ท่านพระภิกษุผู้ยิ่งใหญ่ ท่านไม่คิดว่าหรือว่านั่นเป็นคำอธิบายที่เสแสร้งเกินไปสำหรับสิ่งที่เขาสามารถทำได้?!

ให้ตายเถอะ… อีกฝ่ายสามารถบรรลุในสิ่งที่ไม่สามารถเป็นไปได้! การประสบความสำเร็จของเขามันอยู่ในระดับของเทพนิยายไปแล้ว!

“นอกจากนี้ เขายังได้เสริมกำลังของอาณาเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้าเพื่อที่จะรับประกันได้ว่ายมโลกจะไม่ประสบกับการรุกรานจากภายในเป็นระยะเวลา 250 ปี หากพูดกันตามความเป็นจริง… จากความเข้าใจของข้า เขายังได้เดินทางไปยังโลกใต้พิภพอื่น​ ๆ​ และจัดการกับราชาของอีกฝ่ายด้วยการโจมตีที่รุนแรงอีกด้วย ไม่เช่นนั้น… ลองคิดดู โลกใต้พิภพอื่น​ ๆ​ อาจจะไม่สามารถเข้าสู่ยมโลกได้เนื่องจากการมีอยู่ของอาณาเวทแห่งมหาเทพทั้งเก้า แต่ทุกคนก็น่าจะสามารถคาดเดาได้ว่ายมโลกเกิดปัญหาเนื่องจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในแดนมนุษย์ แต่เหตุใดโลกใต้พิภพอื่น​ ๆ​ ถึงไม่ส่งพวกขนนกทมิฬมาที่นี่เป็นจำนวนมาก?”

เขาเอ่ยต่อ “เพราะมันไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะทำให้จ้าวนรกองค์ที่สองไม่พอใจอย่างไรล่ะ”

ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า​ ๆ “ถ้าเช่นนั้น…ตอนนี้ จ้าวนรกองค์ที่สองอยู่ที่ใด? ข้า…อยากจะเชิญให้เขามาเป็นผู้อุปถัมป์ของยมโลกหรืออะไรทำนองนั้น ทำไมไม่ให้ข้า…ส่งมอบยมโลกกลับคืนให้เขา? ข้ายินดีที่จะได้รับเพียงตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาการทหารหรืออะไรประมาณนั้น…”

บทสนทนาของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันใด

เจิงไสว่จ้องฉินเย่ มึนงงอยู่ประมาณห้านาทีเต็ม ก่อนจะตอบออกมา “ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ความแข็งแกร่งของระดับการบ่มเพาะของเขาหมายความว่าเขาไม่ถูกผูกมัดโดยข้อจำกัดใด​ ๆ​ ของทั้งสามโลก”

นั่นไม่ยุติธรรมเลยสักนิด…

ฉินเย่ทำหน้ายุ่ง เขาอยากจะดึงตัวอีกฝ่ายกลับมาและตีเข้าที่ก้นอย่างแรง – “ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองได้ทำอะไรลงไป? ท่านทิ้งให้ข้าต้องเผชิญหน้ากับเจ้าศักดินาและไปเที่ยวเล่นโดยไม่สนใจอะไรเลยได้อย่างไรกัน? นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”

ทันใดนั้น ร่างของเจิงไสว่ก็เปล่งแสงออกมา และเลือดก็เริ่มไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด

เจ้าตัวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ร่างนี้อ่อนแอเกินไป ไม่คิดเลยว่าการประทับของเทพเจ้าจะสามารถคงอยู่ได้เพียงระยะเวลาสั้น​ ๆ​ เท่านั้น… แต่มันก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะข้าได้พูดสิ่งที่ควรจะพูดไปเกือบทั้งหมดแล้ว ก่อนข้าจะไป ข้ามีของสองสิ่งที่อยากจะส่งมอบให้กับท่าน”

ในที่สุดก็เข้าประเด็นสักที!

เสียงระฆังดังขึ้นในหัว และร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที

ในที่สุดโอกาสของเขาก็มาถึง! เขากำลังจะถูกผลักดันไปสู่จุดสูงสุดของโลก! เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว สิ่งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ประทานให้ด้วยตัวเองจะสามารถเลวร้ายได้สักเท่าไหร่เชียว?

เขาอยากรู้จริง​ ๆ​ ว่ามันจะเป็นอะไร? ขวดยาอันล้ำค่า? คัมภีร์ลับ? น้ำเต้าสวรรค์กลืนกิน? พาหนะเทพเจ้า?…

เสี้ยววินาทีต่อมา เจิงไสว่ก็หยิบกระดิ่งออกมา

มันคือกระดิ่งธรรมดา

กระดิ่งที่เต็มไปด้วยสนิทจนแทบจะไม่ส่งเสียงดังเมื่อสั่นมัน

ฉินเย่จ้องมองของตรงหน้านิ่งโดยไม่ยื่นมือออกไปรับมัน

บรรยากาศโดยรอบพลันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด

“นี่ท่าน…แน่ใจใช่หรือไม่ว่าตัวเองหยิบออกมาถูกชิ้น?” เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงยื่นกระดิ่งมาให้ตน ฉินเย่ก็ถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร “ท่านไม่มีของที่จะสามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์และอสูรวิญญาณเลยอย่างนั้นหรือ? หรือน้ำเต้าที่มีพลังที่จะสามารถทำลายโลกได้ในคราวเดียว? หรืออาจจะคัมภีร์ที่ทำให้ข้าสามารถขึ้นไปอยู่ ณ จุดสูงสุดของโลกได้? หรือหากมันจะเป็นของชิ้นอื่นข้าก็ยินดีที่จะรับมันไว้…”

เจิงไสว่: ??????

นี่ท่านไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าต้องการจะสื่ออย่างนั้นหรือ?

ฉินเย่ยังคงพยายามใบ้อีกฝ่ายอย่างสุดความสามารถ “ท่านลองคิดดู ตอนนี้ที่ยมโลกมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ ดังนั้นท่านไม่คิดหรือว่ายมโลกต้องการผู้ที่มีอำนาจมากพอที่จะควบคุมการทำงานของมัน? พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ท่านไม่คิดหรือว่าข้าคือผู้ที่เหมาะสมที่สุด? ข้าเป็นอัจฉริยะที่จะปรากฏตัวขึ้นสักครั้งในรอบร้อยปี ที่ข้าดูอ่อนแอก็เป็นเพียงเพราะว่ามียายแก่คนหนึ่งคอยข่มจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ในตัวข้าเอาไว้ก็เท่านั้น… หากพูดอีกอย่างก็คือ… ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติในการได้รับมรดกอันทรงพลังไปมากกว่าข้าผู้นี้อีกแล้ว!”

นี่ท่านกำลังพูดเรื่องอะไร?!

เส้นเลือดบริเวณขมับของเจิงไสว่เต้นตุบ​ ๆ และเปลือกตาของเขาก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ขณะที่เอ่ยตอบกลับไป “สิ่งนี้…เรียกว่ากระดิ่งอสูรวิญญาณ ข้าพกมันติดตัวอยู่ตลอดพันปีที่ผ่านมา และการมีอยู่ของมันก็มีความหมายเหมือนกันกับตัวข้า ตี้ทิงจะฟังคำสั่งของผู้ที่ครอบครองกระดิ่งลูกนี้เท่านั้น—…”

ให้ตายเถอะ!!!

ฉินเย่รีบคว้ากระดิ่งมาจากมือของเจิงไสว่ และบรรยากาศก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

เขาลืมสิ่งนี้ไปได้อย่างไร?! เขาลืมไปได้อย่างไรว่าตี้ทิงคือสัตว์เลี้ยงของผู้เฒ่าตรงหน้านี้? และสัตว์เลี้ยงทุกตัวก็ล้วนมีกระดิ่งที่มันโปรดปรานไม่ใช่หรืออย่างไร? ของสิ่งนี้…มันสุดยอดมาก!

ด้วยสิ่งนี้ ในที่สุดปราการแห่งยมโลกก็สมบูรณ์! มันสมบูรณ์เสียยิ่งกว่าสมบูรณ์!

ผู้ใดกล้ารุกรานยมโลก?

ราชทูตทั้ง 12?

ราชาผีทั้งสาม?

มันไม่ใช่ว่าเขาดูถูกคนเหล่านี้ แต่มันก็เป็นความจริงที่อีกฝ่ายล้วนเป็นเศษสวะเมื่อเทียบกับเขาก็เท่านั้น!

อยากจะสู้อย่างนั้นหรือ? บอกสวัสดีกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของเขาเสียก่อนสิ!

“สมบัติที่ยอดเยี่ยม!” ฉินเย่เริ่มลูบไล้กระดิ่งขึ้นสนิมด้วยความหลงใหล “ข้าจะไม่ขอปิดบัง แต่ตอนนี้ตี้ทิงกำลังนอนพักอยู่ที่ใต้ยมโลก และมันก็มองว่าเราเป็นศัตรูตัวฉกาจของมัน…”

เจิงไสว่ขมวดคิ้วเข้าหากัน “ตี้ทิงไม่ใช่อสูรวิญญาณที่จะไม่ฟังคำอธิบายใด​ ๆ… พวกท่าน…ได้ไปทำอะไรกับมันหรือไม่?”

ฉินเย่ที่กำลังเล่นกับกระดิ่งในมือชะงักไปและตอบกลับด้วยสีหน้าที่ดูธรรมชาติอย่างบอกไม่ถูก “จะเป็นไปได้อย่างไร… ท่านมองข้าเป็นคนแบบนั้นหรืออย่างไรกัน?”

ใช่… จะว่าไป ผู้สืบทอดของจ้าวนรกแต่ละคนนั้นดูแปลกขึ้นเรื่อย​ ๆ… ริมฝีปากของเจิงไสว่สั่นเทาเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมา

“สิ่งต่อไปที่ข้าจะมอบให้กับท่านไม่ใช่วัตถุหยิน แต่เป็นประโยคพูด เป็นประโยคที่มีความสำคัญมากกว่าตัวของตี้ทิงเอง” เจิงไสว่สบตาฉินเย่ “ท่านรู้หรือไม่ว่าการเดินทางผ่านไปของทหารวิญญาณเมื่อครู่นี้หมายความว่าอย่างไร?”

ฉินเย่ส่ายหน้า

“นี่คือคำตอบ” เจิงไสว่จ้องลึกเข้าไปในตาของเด็กหนุ่ม และเอ่ยเสียงเรียบ “จงจำไว้ หากท่านต้องการจะฟื้นฟูยมโลก ท่านต้องตระหนักถึง ‘กระแส’ ไว้ให้ดี ทหารวิญญาณก่อนหน้านี้… คือศูนย์รวมของความจริงของ ‘กระแสที่ใหญ่ขึ้น’ นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดข้าจึงพาท่านมาที่นี่ตั้งแต่แรก!”

“ยมโลกได้ล่มสลายไป แดนมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลง และโลกใต้พิภพและลิมโบเองก็เช่นกัน คำตอบที่ท่านตามหาไม่สามารถหาได้ในยมโลกแห่งเก่า ท่านต้องหาคำตอบที่แท้จริง ท่านต้องหาความจริงเกี่ยวกับวิญญาณร้ายที่ยังคงอยู่ในแดนมนุษย์มาจนถึงทุกวันนี้ เมืองกู่เฉิงคือกุญแจสำคัญของคำถามเหล่านี้! หากพูดกันตามตรง… มันมีความสำคัญจนสามารถพูดได้ว่าเป็นตัวกำหนดแนวทางการปฏิบัติต่อไปของท่านเลยก็ว่าได้!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด