ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 380: เลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรก

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 380: เลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 380: เลื่อนสู่ขั้นตุลาการนรก

ทันทีที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เอ่ยจบ แสงที่เปล่งออกมาจากร่างของเขาก็สว่างมากขึ้น เลือดแดงฉานเริ่มไหลออกมาตามรูขุมขนของร่างกาย

เห็นได้ชัดว่าร่างเนื้อตรงหน้าใกล้จะพังทลายเต็มที ฉินเย่ก้าวถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ “นี่ท่าน…กำลังจะทิ้งเราไปอีกแล้วหรือ?”

ลำแสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะกลายเป็นกลีบดอกไม้สีทองที่ตกลงมา แต่สีหน้าของเจิงไสว่กลับยังคงเต็มไปด้วยความเมตตาและความคาดหวัง เขาพยักหน้าให้กับฉินเย่ “ใช่… ข้าไม่สามารถอยู่ในแดนมนุษย์ไปนานกว่านี้ได้อีกแล้ว ท่านฉิน เราจะได้เจอกันอีกอย่างแน่นอน”

“ท่านเป็นคนที่น่าสนใจ” ร่างของเขาเริ่มสลายหายไปท่ามกลางลำแสงสีทองที่ท่วมท้น “ในโลกนี้มีคนเพียงหกคนเท่านั้นที่ไม่แก่ขึ้นและเป็นอมตะ ท่านคือผู้ที่พิเศษที่สุดในหมู่ของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย… พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยไร้ซึ่งความรู้สึกเมื่อเวลาผ่านไป บางคนทำแม้กระทั่งจบชีวิตของตัวเองลงเพื่อที่จะเริ่มต้นทุกอย่างใหม่อีกครั้ง… ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดในหมู่คนทั้งหมด… ท่านกลับมีชีวิตที่แตกต่างจากพวกเขาโดยสมบูรณ์”

“อาจมีบางคนที่บอกว่าท่านเอาแต่ใจและไร้ซึ่งวุฒิภาวะ แต่ท่าน…ก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้น ท่านไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้อื่นจะพูดถึงท่าน หรือว่าเขาจะคิดกับท่านอย่างไร ท่านยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อคนสำคัญของตัวเอง ท่านทำทุกอย่างตามที่ตัวเองต้องการ แต่ก็ยังคงพยายามไม่ทำสิ่งที่ส่งผลร้ายต่อผู้ที่อยู่รายล้อมท่าน ท่านรู้ว่าตอนไหนที่ควรสู้ และตอนไหนที่ควรถอย และท่านยังพยายามเก็บความเป็นตัวเองเอาไว้ บททดสอบและความยากลำบากที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นสิ่งที่ช่วยให้ท่านมีประสบการณ์ชีวิตและระดับสติปัญญาที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น หายาก หายากมากจริง​ ๆ”

“คนอื่นอาจจะหัวเราะใส่ข้าเพราะข้าเสียสติและโง่เง่า แต่ข้าหัวเราะใส่พวกเขาเพราะว่าพวกเขาตาบอดมองไม่เห็นความจริง อมิตาพุทธ”

สิ้นสุดเสียงพูด แสงสว่างในร่างก็ปะทุออกมาจนฉินเย่ต้องปิดตาของตัวเอง เมื่อแสงนั้นจางหายไป ฉินเย่ก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพระพุทธรูปหินเพียงลำพังอีกครั้ง

หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าตอนนี้ในมือของเขามีกระดิ่งขึ้นสนิม เขาก็คงคิดไปแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา

เด็กหนุ่มจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง

ยังมีสิ่งใดอีกที่ซ่อนอยู่ในเมืองกู่เฉิง?

สิ่งใดกันที่สำคัญจนต้องทำให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ต้องปรากฏตัวและเอ่ยคำเตือนด้วยตนเอง?

ข้อเท็จจริงที่ว่าวิญญาณสามารถจัดการกับสภาพแวดล้อมโดยรอบและปกปิดมันจากยมทูตได้หมายความว่าเรื่องนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องง่าย!

“เขายังพูดถึงความจริงที่จะส่งผลถึงแนวทางการปฏิบัติต่อไปของเราหลังจากนี้อีกด้วย เราควรจะทำอะไร? จัดตั้งเส้นทางการค้า? ดำเนินงานก่อสร้างในยมโลก? ติดต่อกับราชทูตทั้ง 12? ชายผู้นี้อาจจะตรัสรู้ แต่ท่าทางของเขากลับน่าสงสัยอย่างไม่น่าเชื่อ…” ฉินเย่เกาศีรษะ​ของตัวเองอย่างหงุดหงิด เขาเกลียดการที่ต้องมาได้ยินคำพูดที่ลึกลับแบบนี้ ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่อธิบายมันให้ชัดเจนไปเลย?

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเราจะต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อยเสียแล้ว…” เขากัดฟันและเอ่ยสรุป “เมืองกู่เฉิง ระยะทาง 200 กิโลเมตรห่างจากเมืองเป่าอัน สถานที่แห่งแรกที่เราจะเริ่มหากองทัพทหารวิญญาณราตรี รวมถึงตำแหน่งแรกในการปักตะเกียงหวนหยาง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!”

ใช่แล้ว

สิ่งอื่นสามารถพักไว้ก่อนได้… ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจุดประสงค์หลักที่ทำให้เขาตัดสินใจออกเดินทางในครั้งนี้

และนั่นก็คือการปูทางจากเมืองเป่าอันไปยังเมืองหวู่หยาง!

เส้นทางเบื้องหน้าของเขายังคงคลุมเครือ แต่…ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือให้ความสนใจกับจุดประสงค์ในมือ

แต่…ฉินเย่มักจะมีวิธีสัมผัสถึงอันตรายที่กำลังจะมาถึงอยู่เสมอ…

หรือถ้าพูดอีกความหมายหนึ่งก็คือ สัญชาตญาณของความขี้ขลาดของเขาถูกปกคลุมด้วยความกลัวอีกครั้ง

เด็กหนุ่มปัดเศษฝุ่นบนเสื้อผ้าของตัวเองก่อนจะใส่พลังหยินเข้าไปในเศษตราจ้าวนรกและกลับไปยังยมโลก

“อาร์ตี้” เขาแย้มยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างสดใส “ท่านไม่คิดหรือว่าวันนี้ข้าดูเต็มไปด้วยพละกำลัง?”

ข้าจะบ้าตาย…

อาร์ทิสแทบจะไม่สามารถต้านทานความต้องการที่จะตบหน้าอีกฝ่ายแรง​ ๆ​ สักสองทีได้ นางทนไม่ได้จริง​ ๆ​ ที่จะต้องเห็นคนทำท่าทางแบบนี้อยู่รอบ​ ๆ​ ตัว!

“นั่นสิ…” นางกัดฟันและเอ่ยตอบออกไป… ข้าเห็นชัดเลยว่าเจ้านั้นเต็มไปด้วยพลังอย่างแท้จริง…

“เช่นนั้นเรามาทำให้มันเป็นวันที่ดีที่สุดและยกระดับบรรยากาศพร้อมทั้งจิตวิญญาณ​ของข้าให้พุ่งทะลุหลังคาและเข้าสู่ขั้นตุลาการนรกดีหรือไม่?”

อาร์ทิสหันไปมองท้องฟ้าที่ดำมืดอย่างเหม่อลอย ถามตัวเองว่านางยังสามารถยกเลิกข้อเสนอที่ตนได้มอบให้กับฉินเย่ได้หรือไม่

ไม่กี่วินาทีต่อมา อาร์ทิสก็กัดฟันกรอดและเอ่ยเสียงดัง “เช่นนั้นก็จงรีบเดินไปที่หอแห่งการสั่นสะเทือนเสีย! การเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรกนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ค่อนข้างง่ายเพราะว่าเจ้ามีบันทึกนรกอยู่กับตัว แต่ถึงกระนั้น กระบวนการทั้งหมดก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ เจ้าจะต้องเตรียมใจให้พร้อม”

ฉินเย่รีบมุ่งหน้าตรงไปหอแห่งการสั่นสะเทือนทันที

เห็นได้ชัดว่าอาร์ทิสได้เตรียมการมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นทันทีที่เขาเดินเข้าไปในอาคารหลังใหญ่ ฉินเย่ก็สังเกตเห็นว่ามีวงเวทพร้อมแผ่นยันต์ถูกติดอยู่ทั่วพื้น วงเวททั้งหมดดูเหมือนกับถูกวาดขึ้นอย่างส่งเดช แต่เห็นได้ชัดว่าในความยุ่งเหยิงนั้นมีระเบียบอยู่ และมันก็มีตะเกียงโบราณถูกวางอยู่กลางวงเวทแต่ละวงอีกด้วย

ฉินเย่ถูมือไปมาอย่างละโมบ ตุลาการนรก… เขากำลังจะเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรกแล้ว! ปีศาจตุ๊กตายางนี่จะได้เห็นเสียที… เขาจะแสดงให้นางได้เห็นว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นหมายความว่าอย่างไร!

เขาทนการเล่นตลกของนางมามากเพียงพอแล้ว ทั้งเกม การไถเงิน และแม้แต่การตามดูซีรี่ส์… พวกเราจะได้ชดใช้หนี้ค้างทั้งหมดภายในอีกหนึ่งสัปดาห์!

เมื่ออาร์ทิสมาถึงที่หอแห่งการสั่นสะเทือน สิ่งแรกที่นางเห็นก็คือรอยยิ้มกว้างและดวงตาที่เปล่งประกายของฉินเย่ที่บอกนางว่าเขาพร้อมแล้ว

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า…การปล่อยให้คนขี้ขลาดเช่นเจ้าเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรก…เป็นการดูถูกข้าราชการของยมโลกอย่างมากกันนะ…” อาร์ทิสตวัดนิ้วมือพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา​ ๆ ลังหินวิญญาณจำนวน 20 ลังที่ถูกวางไว้ด้านนอกเตาเผากลางเปิดออกและหินวิญญาณทั้งหมดก็หลั่งไหลเข้าสู่เตาเผาราวกับกระแสน้ำขนาดใหญ่ เสียงคำรามดังสนั่นขึ้นและเปลวไฟขนาดใหญ่ก็ปะทุขึ้นและแพร่กระจายไปรอบด้าน

“พร้อมหรือยัง?” อาร์ทิสเอ่ยพร้อมกับกลับสู่ร่างเดิมของนาง อรากษส ศีรษะขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศราวกับมังกรขนาดใหญ่ และเส้นผมสีดำขลับก็แผ่สยายไปทั่ว

ฉินเย่หุบยิ้มและพยักหน้าอย่างหนักแน่น

อาร์ทิสหลับตาลง

นางไม่ได้อ้าปากเพื่อเอ่ยอะไรออกมา แต่บทสวดโบราณกลับดังขึ้นให้ได้ยินจากทั่วทุกทิศทาง เส้นผมยาวสยายไปในอากาศอย่างบ้าคลั่ง ก่อตัวเป็นมือประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

ผนึกที่อาร์ทิสสร้างขึ้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่มันจะไม่สลายไปตามเวลาเท่านั้น แต่พวกมันยังเปล่งประกายอยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับผีเสื้อแสนสวยอีกด้วย ยิ่งจำนวนของผีเสื้อเหล่านั้นเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ รูปร่างและลวดลวยของพวกมันก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงเต็ม อาร์ทิสก็ตะโกนออกมาเสียงดัง และยันต์ที่อยู่บนพื้นทั้งหมดก็พุ่งเข้าหาฉินเย่อย่างรวดเร็ว!

พรึ่บ!

ทันใดนั้น เปลวไฟบนพื้นก็สั่นไหว และพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ลุกโชนบนยันต์ทั้งหมดที่ถูกติดเอาไว้บนพื้น ไม่กี่วินาทีต่อมา ยันต์ทั้งหมดก็เริ่มลอยและหมุนอย่างบ้าคลั่ง ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนเปลวเพลิงที่ล้อมรอบร่างของฉินเย่

วูบบบบบ… ราวกับว่าพลังหยินจากบริเวณใกล้เคียงตอบรับเสียงเรียกของกระแสน้ำวนเปลวเพลิง พวกมันรีบพุ่งมารวมตัวกันยังจุดที่ฉินเย่นั่งอยู่และควบแน่นเป็นกระแสพลังหยินที่หมุนรอบร่างของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว

จากนั้น… สติของฉินเย่ก็ดับวูบไป

ในขณะเดียวกัน เมื่อกระแสน้ำวนพลังหยินเริ่มหมุนรอบตัวของฉินเย่ บันทึกนรกก็ลอยออกมาจากอก ดูดพลังหยินโดยรอบและส่งมันเข้าสู่ร่างของเด็กหนุ่มโดยตรงราวกับท่อที่ถูกต่อเอาไว้ ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนั้น พลังหยินจากโดยรอบยังคงพุ่งเข้าสู่ร่างของเขา เติมเต็มร่างของเขาจนแทบจะระเบิดออกมา

ร่างของเขาบวมและหด บวมและหดสลับกัน พลังหยินภายในดูเหมือนจะบริสุทธ์ขึ้นเรื่อย​ ๆ แทบจะเหมือนกับว่าร่างกายของเขากำลังกลั่นพลังทั้งหมดให้ไปอยู่ระดับขั้นที่สูงขึ้น

มันอุ่น

มันเหมือนกับอยู่ในครรภ์ของมารดา พลังหยินที่เย็นยะเยือกในตอนแรก​ค่อย​ ๆ​ เปลี่ยนเป็นสายพลังงานอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง ส่งผลให้จิตสำนึกของเขาค่อย​ ๆ​ เลื่อนลอยออกไป

มันคล้ายกับการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างหรืออะไรทำนองนั้น เขารู้สึกได้ว่าตัวเองค่อย​ ๆ​ แข็งแกร่งขึ้น แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็อยากจะดื่มด่ำกับภวังค์นี้ต่อไป

เมื่ออาร์ทิสกลับมาหายใจเป็นปกติอีกครั้ง ร่างของฉินเย่ก็ถูกห่อหุ้มรังไหมพลังหยินขนาดใหญ่ไปแล้ว – ขนาดของมันใหญ่กว่ารังไหมพลังหยินที่ห่อหุ้มเขาตอนที่กลายเป็นขั้นยมทูตขาวดำเสียอีก เส้นรอบวงของมันยาวประมาณหนึ่งกิโลเมตร และมันก็ยังมีอักขระภาษาสันสกฤตเปล่งแสงอยู่ด้านบนสุดของทั้งหมด

ทะเลพลังหยินหมุนตัวรอบ​ ๆ​ รังไหมราวกับสายธารพลังหยินที่ไร้ขอบเขต รังไหมค่อย​ ๆ​ ลอยขึ้นจากใจกลางของมันราวกับเสาขนาดใหญ่ที่เชื่อมอยู่กับทะเลและท้องฟ้า จากนั้น แรงกดดันที่รุนแรงของขั้นตุลาการนรกก็เริ่มแผ่ออกมา

อาร์ทิสหลับตาลงและยืนเฝ้าอยู่ข้าง​ ๆ​ ฉินเย่อย่างเงียบ​ ๆ เส้นผมของนางถักทอกันเป็นเส้นและก่อตัวเป็นโซ่ที่ปิดกั้นทางเข้าเอาไว้ราวกับอสรพิษ พร้อมที่จะพุ่งโจมตีทันทีที่เห็นสิ่งผิดปกติ วิญญาณใด​ ๆ​ ที่เข้ามาในหอแห่งการสั่นสะเทือนในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ล้วนต้องถูกจู่โจมอย่างเต็มกำลังโดยอรากษสผู้ยิ่งใหญ่แห่งยมโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

……………………………………….

เวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว และระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ก็ผ่านไปในชั่วพริบตา ตาข่ายเส้นผมสีดำแพร่กระจายไปทั่ว อาร์ทิสยังคงแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับรูปสลักไม้ ในขณะที่รังไหมขนาดใหญ่ตรงหน้าของนางพร้อมจะระเบิดออกเต็มที!

กลุ่มก้อนพลังหยินที่อยู่ภายในรังไหมส่งเสียงดังกึกก้อง ราวกับว่าพวกมันกำลังพยายามอย่างหนักในการจะเจาะทะลุเกราะด้านนอก แม้แต่อักขระภาษาสันสกฤตก็ส่องแสงสว่างขึ้นเรื่อย​ ๆ มันคือรัศมีของขั้นตุลาการนรกที่นอกเหนือจากอาร์ทิสที่ปรากฏขึ้นในหอแห่งการสั่นสะเทือน

ลักษณะของมันแตกต่างจากอาร์ทิสในหลาย​ ๆ​ ด้าน บรรยากาศรอบ​ ๆ​ ตัวของอาร์ทิสนั้นเย็นยะเยือกและโหดเหี้ยม ในขณะที่ของตุลาการนรกตนนี้กลับให้ความรู้สึกที่บริสุทธิ์และกว้างใหญ่มากกว่า

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในเส้นผมที่แพร่กระจายก็ขยับเล็กน้อย

อาร์ทิสลืมตาขึ้นและมองขึ้นไปบนฟ้า กึก กึก กึก…เสี้ยววินาทีถัดมา รังไหมพลังหยินที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เริ่มส่งเสียงดังออกมา หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ระเบิดออกด้วยเสียงที่ดังก้อง!

มันเหมือนกับมีหิมะถล่มลงสู่ทะเล ส่งผลให้เกิดคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างรุนแรง ร่างพร่าเลือนปรากฏขึ้นท่ามกลางกลุ่มก้อนพลังหยิน และแรงกดดันของขั้นตุลาการนรกก็ถาโถมลงมายังพื้นด้านล่าง แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในหอแห่งการสั่นสะเทือน และอยู่ใต้พื้นดินของยมโลกอีกที แต่วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในยมโลกต่างก็สัมผัสได้ถึงรัศมีของขั้นตุลาการนรกคนใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น

“นี่มัน…” กู่ชิงก้มหน้าและจ้องลงไปที่พื้นด้วยความตกตะลึงเป็นอย่างมาก “ตุลาการนรก…นี่คือรัศมีของพลังที่อยู่ระดับเดียวกันกับท่านอรากษส!”

ตูม!!!

ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ เสาพลังหยินขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้นดินราวกับน้ำพุร้อน เปลวไฟนรกจำนวนมากพุ่งขึ้นไปบนฟ้าอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่ต้นไม้โดยรอบโอนเอนไปมาภายใต้แรงกดดันที่เกินจะต้านทาน แม้แต่ต้นไม้เงินขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปก็สั่นเทาเล็กน้อยกับการถือกำเนิดของตุลาการนรกตนที่สองของยมโลก

“นี่มัน…” เหล่าวิญญาณในยมโลกต่างผงะไป น้ำพุพลังหยินที่เพิ่งปะทุขึ้นมาจากพื้นดินเป็นเหมือนกับการปะทุของภูเขาไฟขนาดใหญ่ จากนั้น ก่อนที่พวกเขาจะทันได้หายจากความตกใจ น้ำพุร้อนลูกที่สองก็พุ่งขึ้นมา… จากนั้นก็ลูกที่สาม… และอีกมากมาย! ทั่วทั้งยมโลกดูราวกับลูกโป่งที่รั่วในหลาย​ ๆ​ จุด!

“ตุลาการนรก… นี่คือตุลาการนรก!” หวงเลี่ยงชวนตัวสั่นเทาอยู่ภายใต้ต้นไม้เงิน เขาเพิ่งเอ่ยสั่งวิญญาณตนอื่น​ ๆ​ เกี่ยวกับวิธีการออกแบบธนบัตรยมโลกชนิดอื่น​ ๆ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่มีวิญญาณตนใดลงมือวาดทั้งสิ้น ทุกตนต่างจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูปรากฏการณ์ที่น่าเหลือเชื่อซึ่งคือน้ำพุร้อนพลังหยินพุ่งทะลุขึ้นจากพื้นดิน

“ในยมโลกมีขั้นตุลาการนรกอีกตนแล้วอย่างนั้นหรือ?” “ผู้ใดกัน… หรือว่าจะเป็นท่านฉิน?!” “ข้าไม่รู้…นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้บรรลุสู่ขั้นตุลาการนรกอย่างนั้นหรือ? ช่างน่าสะพรึงกลัวจริง​ ๆ…”

ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น วิญญาณทั้งหมดต่างมองไปรอบ​ ๆ​ อย่างตกตะลึง น้ำพุร้อนพลังหยินจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงพุ่งขึ้นฟ้าอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นก้อนเมฆพลังหยินขนาดใหญ่ก่อนจะตกลงสู่พื้นด้วยความกดดันมหาศาล ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา พวกเขารีบคุกเข่าลงตามสัญชาตญาณความหวาดกลัวของตัวเองทันที

ยมโลกถูกปกคลุมด้วยความเงียบภายในไม่กี่วินาที ทุกคนคุกเข่าลงบนพื้น ถวายความเคารพไปยังทิศที่ตั้งของหอแห่งการสั่นสะเทือน

ณ ใต้ดิน อาร์ทิสเงยหน้ามองฉินเย่พร้อมกับรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้า “ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ขั้นตุลาการนรก ท่านจะสามารถบินในอากาศได้เป็นระยะเวลาครึ่งชั่วโมง และพลังของท่านก็จะเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำหลายเท่า ข้าขอแสดงความยินดีด้วย ในที่สุดท่านก็มาถึงขั้นสุดท้ายของวิญญาณระดับกลาง มีตุลาการนรกอยู่เพียงแค่ 1,200 ตนเท่านั้นในยมโลกแห่งเก่า จงเดินหน้าต่อไป มุ่งสู่ขั้นฝู่จวิน – ตำแหน่งที่มีเพียงคนไม่กี่ร้อยคนเท่านั้นที่ได้ประสบมาในประวัติศาสตร์ และเมื่อเวลานั้นมาถึง ท่านก็จะกลายเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นหนึ่งของยมโลก และทุกย่างก้าวของท่านก็จะทำให้วิญญาณนับพันต้องล่าถอยด้วยความหวาดกลัว!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด