ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 345: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (4)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 345: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 345: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (4)

อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ “เจ้าไม่ควรจะดูถูกขั้นตุลาการนรกเป็นอันขาด ทุกคนที่ก้าวขึ้นสู่ขั้นตุลาการนรกจะปลดล็อกความสามารถที่ซ่อนอยู่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนได้ หรือเจ้าจะมองมันว่าเป็นความสามารถพิเศษก็ได้ นับว่ายังโชคดี… ที่ครั้งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างโจวกงฉินยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเรา…”

“เขาเพียงแค่สร้างสมดุลในสถานการณ์เท่านั้น” ฉินเย่เอ่ยแทรกขึ้น “เขาไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งใด เขาเพียงแค่ช่วยฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ช่างน่าขันสิ้นดี… ไม่คิดเลยว่ามันจะมีวันที่ยมโลกถูกมองว่าอ่อนแอเช่นนี้ นี่เขาคิดว่าตัวเองจะสามารถฉวยโอกาสและหลบหนีไปได้อย่างนั้นหรือ ? นี่เขาคิดว่าตัวเองจะสามารถจับปลาสองมือได้หรืออย่างไร ?!”

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องเหล่านี้ หากจะจัดการกับราชทูตทั้ง 12 ในอนาคตก็ยังไม่สาย ในที่สุดฉินเย่ก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้

เพราะไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองฝั่งก็เกิดความสมดุลแล้ว

ก่อนหน้านี้ น้ำหนักของตาชั่งได้เอนเอียงไปทางฝั่งของหลิวอวี้ แต่การเข้ามามีส่วนร่วมของจิวยี่ บ้านเจ้า และหวางเมิ่งก็ได้สร้างความสมดุลให้สถานการณ์ทั้งหมดอย่างพอดิบพอดี

พวกเขาจะไม่มีวันจู่โจมยมโลก นี่คือสิ่งที่ฉินเย่รู้มาโดยตลอด เพราะไม่ว่าอย่างไร การมีอยู่ของสมุดแห่งความเป็นตายและท่านตี้ทิงก็คือการป้องกันที่รุนแรงภายในใจของคนทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่คนทั้งหมดทำอยู่ในตอนนี้จึงเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น สิ่งที่มักจะสามารถพบเห็นได้ทั่วไปเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับการทูต ยกตัวเองเช่น เมื่อใดก็ตามที่อูโซเนียต้องการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง พวกเขาก็จะทำการคว่ำบาตรและใช้กองกำลังทหารของตนกำจัดอีกฝ่ายซะ

มันไม่ใช่เพื่อที่จะประกาศศึกกับที่อื่น แต่มันเพื่อทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวและตกตะลึงจนยอมตกอยู่ใต้อำนาจมากกว่า เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นฝ่ายได้เปรียบเมื่อการเจรจาต่อรองเริ่มขึ้น ราชทูตทั้ง 12 นี้ต่างใช้กลยุทธ์เดียวกัน

ดูเหมือนว่าความตึงเครียดและความขัดแย้งตรงหน้ากำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุด ดังนั้นมันก็ถึงเวลาที่เขาจะเริ่มเคลื่อนไหวเสียที

ฟิ้ว~… กระแสน้ำวนพลังหยินค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นรอบร่างของฉินเย่ ลักษณะของยมทูตขาวดำอาจสามารถดึงความสนใจได้เมื่ออยู่ในแดนมนุษย์ แต่สำหรับที่นี่ การปรากฏตัวของขั้นยมทูตขาวดำเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้นเมื่อเทียบกับรัศมีที่รุนแรงของขั้นตุลาการนรกทั้ง 12 และทหารวิญญาณที่ยืนอยู่เบื้องหลังของพวกเขา

แต่ถึงกระนั้น คนทั้งหมดก็ยังหันมามองฉินเย่เป็นตาเดียว

พวกเขามองเห็นฉินเย่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และแม้ว่าคนทั้งหมดจะมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงจ้าวนรกองค์ที่สามที่สถาปนาตัวเองขึ้นมา พวกเขาก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นของเด็กหนุ่มได้

กระแสน้ำวนพลังหยินที่ปกคลุมร่างของเขานำพาเขาไปอยู่ตรงหน้าของคนทั้งหมด ในฐานะของยมทูตขาวดำ เขามีความสามารถในการบินและลอยอยู่ในอากาศเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เนื่องจากไม่ต้องการที่จะทำให้ตัวเองขายหน้าต่อหน้าเหล่าตุลาการนรกที่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่างกองกำลังทั้งสามแทน

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก… หัวใจของเขาเต้นเร็วจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ทหารม้านับพันนายประจำที่อยู่ห่างจากเขาไม่เกิน 300 เมตร แค่การพุ่งเข้ามาเพียงครั้งเดียวก็สามารถเหยียบย่ำเขาให้ตายได้

ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนยืนล้อมรอบเขาพร้อมกับหน้าไม้และลูกศรที่ลุกโชน พร้อมทั้งหอกยาวที่พร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ เปลวไฟนรกนับพันดวงลุกโชนอยู่ภายในดวงตาของทหารเหล่านั้น แรงกดดันมหาศาลจากเหล่าตุลาการนรกกดทับลงมาที่ร่างของเขาราวกับคลื่นที่ถาโถม

และมันยังมีเปลวไฟแห่งกรรมสีแดงที่ลุกโชนอยู่บนกำแพงกลด้านหลังของเขาอีก ….ช่างเป็นภาพที่น่ากดดันจริง ๆ

ประสาทสัมผัสของเขาตื้อช้าไปหมด และเลือดในกายก็พลันเดือดพล่าน ฉินเย่ไพล่มือไปด้านหลังและกำเศษตราจ้าวนรกในมือแน่น ใส่พลังหยินของตนเข้าไปในมันและสร้างเกราะป้องกันบาง ๆ ขึ้นรอบตัว มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาสามารถหยุดอากาศสั่นเทาที่เท้าของตนและสามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้แรงกดดันที่กดทับลงมาได้

“ข้าราชการศักดินาผู้สูงศักดิ์ทุกท่าน” เขากวาดสายตามองคนทั้งหมดช้า ๆ และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นสั่นเทาหรือไม่ เด็กหนุ่มเอ่ยต่อด้วยท่าทีที่ปกติที่สุดที่สามารถทำได้ “พวกท่าน… ต้องการที่จะก่อจลาจลอย่างนั้นหรือ ?”

ห่างออกไป อาร์ทิสได้รวบรวมพลังหยินในร่างของตนเอาไว้จนถึงจุดสูงสุด พร้อมที่จะระเบิดมันออกมาทันทีที่สังเกตเห็นสัญญาณไม่ดี นางเตรียมที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของฉินเย่เอาไว้ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการนำชีวิตของตนไปเสี่ยงเหมือนกับตอนที่เผชิญหน้ากับตี้ทิงก่อนหน้านี้ก็ตาม

นางได้มอบตราประทับของตัวเองให้กับฉินเย่ไปอย่างไม่เต็มใจตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพราะอย่างไรแล้วเด็กหนุ่มก็พยายามอย่างมากเพื่อยมโลก และนางก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะสามารถสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ได้ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะเดียวกัน นางก็พบว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่ฉินเย่นั้นสามารถทำได้ในขณะที่นางทำไม่ได้

“เจ้าเด็กนี้… ไม่ตัวสั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่พุ่งเข้ามาอีกแล้ว… ไม่เลวเลย… แม้ว่ามันจะเป็นการแสดง แต่เจ้าก็พัฒนาขึ้นมากจริงๆ…” ประกายแห่งความพึงพอใจวาววาบขึ้นในดวงตาของอาร์ทิส แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วและถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม

เงียบ

“ใช่หรือไม่ใช่ ?!” เขาตะโกนออกไปเสียงดัง ภายในใจของเขาเต้นแรงและลำคอก็แห้งผาก เขาพยายามต่อต้านความต้องการที่จะคุกเข่าลงและยอมแพ้ ทว่าทันใดนั้นเขาก็พบว่าแผ่นหลังของตัวเองในตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

โปรดอย่าตอบว่าใช่นะ… เพราะหากพวกท่านตอบเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้แล้วเช่นกันว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไป…

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา

หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งนาทีเต็ม ในที่สุดหลิวอวี้ก็เอ่ยออกมาจากที่ประทับเครื่องที่ของเขา “ท่านฉิน… นี่ท่านอยู่ตรงนี้มาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ?”

อีกความหมายหนึ่งก็คือเขากำลังดูถูกฉินเย่ที่อยู่แค่ขั้นยมทูตขาวดำ ระดับขั้นพลังที่ต่ำต้อยจนเขาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

“พระองค์คือจ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เสียงกลั้วเราะแหบพร่าดังขึ้น “ขออภัย แต่ข้าไม่คิดเลยว่าพระองค์จะทรงเสด็จมารับพวกเราด้วยตนเองเช่นนี้ โปรดประทานโทษในความไม่สุภาพของพวกเราด้วย”

“ฝ่าบาททรงกำลังล้อพวกเราเล่นเป็นแน่” เกาฉางกงเอ่ยขึ้นและหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “อุโมงค์สู่ยมโลกได้ปิดกั้นพวกเรามาตลอดร้อยปี… แถมพวกเรายังรีบมาที่นี่ทันทีที่ได้รับหมายเรียก พวกเราจะไปก่อจลาจลได้อย่างไร ?”

ที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อตั้งตนขอเป็นอิสระจากยมโลกก็เท่านั้น

ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมอ่อนลงแล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะเจรจาต่อรองเงื่อนไขกันเสียงที ฉินเย่เองก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้นเช่นกัน เพราะอย่างไรเขาก็รู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงแสร้งเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดต่อไป

เพราะไม่ว่าจะพิจารณาจากจุดใด ตอนนี้… ยมโลกก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการศักดินาเหล่านี้อยู่ดี !

ความยิ่งใหญ่ของรัฐบริวารนั้นมากกว่ายมโลกเสียอีก แล้วแบบนี้เขาจะสามารถพูดถึงความเท่าเทียมได้อย่างไร ?

แล้วเขาจะต่อว่าคนทั้งหมดเกี่ยวกับคำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามและการยั่วยุก่อนหน้านี้หรือไม่น่ะหรือ ?

นั่นมีแต่จะทำให้ตัวเองดูโง่ลงเท่านั้น

“ดี” ฉินเย่แสร้งทำเป็นไม่สนใจการยั่วยุก่อนหน้านี้และเอ่ยต่อ “มันคงเป็นการเดินทางที่ยาวนานสำหรับพวกทุกท่าน มาเถอะ เข้าไปในเมืองด้วยกันกับข้า ทิ้งกองกำลังของพวกท่านไว้ด้านนอก ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามจะถือว่าเป็นกบฏ”

สิ้นสุดเสียงพูด เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและพุ่งตัวกลับไปที่ยมโลกแห่งใหม่ทันที

มีความสุขไปเถอะ เพราะทันทีที่พวกท่านเข้าสู่อาณาเขตของข้าเมื่อใด… ข้าจะทำให้พวกท่านต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นไปจนหมด !

อาร์ทิสเองก็รีบระเบิดพลังขั้นตุลาการนรกออกมาและบินขึ้นบนฟ้าพร้อมกับเอ่ยอย่างเย็นชา “ทุกท่าน เชิญ”

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก ในเวลาไม่นาน ราชทูตทั้ง 12 ซึ่งนับรวมเจ้าศักดินาแห่งฮันยาง หลิวอวี้ ต่างก็เดินตามอาร์ทิสและมุ่งหน้าตรงไปที่ยมโลกแห่งใหม่ [1]

หลิวอวี้เป็นคนเดินนำ และข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ก็เดินตามไปติด ๆ หยางจีเย่เดินนำหน้าของกลุ่มคนทั้งหมดอีกทีในขณะที่อวี๋เชียนเดินตามหลัง คนทั้งหมด หากไม่นับรวมอวี๋เชียนและหยางจีเย่ ต่างก็แต่งกายด้วยเสื้อคลุมที่หรูหราและร่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยช้ำของศพ

หลิวอวี้มองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันไปกระซิบกับชากัน “เจ้าคิดว่ายมโลกแห่งใหม่จะเป็นอย่างไร ?”

ชากันเป็นชาวมองโกเลียทั่วไป เขาแต่งกายด้วยหมวกทรงโดมที่มีสายรัดซึ่งทำจากผ้าสักหลาดล้อมรอบ พร้อมกับชุดเกราะสีดำเครือบเงา ทำให้เขาดูเหมือนกับนักรบผู้กล้าหาญและยิ่งใหญ่ ใบหน้าของเขามีรอยสักสีแดงที่น่ากลัวปรากฏอยู่ เขาแค่นหัวเราะ “มันจะเป็นอย่างไรได้ ? ท่านจำตอนที่พวกเราถูกโจมตีครั้งแรกได้หรือไม่ ? ทุกอย่างพังทลาย ไม่มีแม้แต่วิญญาณสักคนให้เห็น ท่านคิดว่ายมโลกแห่งใหม่ก่อตั้งมากี่ปีกัน ? สามปี ? มันอาจจะแย่กว่าตอนที่เราเริ่มต้นครั้งแรกด้วยซ้ำ !”

เกาฉางกงปกปิดใบหน้าของตนด้วยผ้าปิดหน้าสีเขียว แต่นั่นก็ไม่ได้ปกปิดมงกุฎหยกดำบนศีรษะของเขาเลยแม้แต่น้อย ร่างของเขาสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิทที่ปักเป็นลายนกกระเรียนและดวงตะวัน เขาเอ่ยขึ้นว่า “การประชุมราชสำนักก่อนหน้านี้มักจะมีงานเลี้ยงหรือไม่ก็งานเฉลิงฉลอง แต่ครั้งนี้… พวกเราคงจะไม่ถูกทิ้งไว้ในป่าหรอกใช่หรือไม่ ?”

“ฮ่า ๆๆๆ ข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อใดก็ตามที่โลกใต้พิภพแห่งใหม่ถูกก่อตั้งขึ้น สวรรค์จะมอบประตูนรกให้พวกเขาเสมอ เจ้าไม่ต้องกังวล อย่างน้อยเราก็จะมีสถานที่ให้พำนัก”

“เช่นนั้นหรือ ? แล้วพวกเขาจะมีเก้าอี้หรือไม่ ? ข้าเกรงว่าพวกเราคงจะเป็นแขกที่จำนวนมากที่สุดที่เดินทางมายังยมโลกตั้งแต่การก่อตั้งของมันเป็นแน่…”

“เช่นนั้น… ประตูนรกก็จะเป็นที่ตั้งของราชสำนักเช่นนั้นหรือ ? นี่มันจะต่ำต้อยเกินไปแล้ว…”

ข้าราชการศักดินาทั้งหมดไม่คิดที่จะลดเสียงของตนลงเลยแม้แต่น้อยขณะที่พวกเขาวิจารณ์ยมโลกอย่างสนุกสนาน อวี๋เชียนที่เดินตามคนทั้งหมดอยู่ด้านหลังมีสีหน้าเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อย ๆ กับทุกคำพูดที่เหล่าคนตรงหน้าเอ่ยออกมา

ตัวเขานั้นตระหนักถึงความสำคัญของการประชุมราชสำนักในครั้งนี้เป็นอย่างดี

มันเป็นการประกาศให้กับทั้งทวีปตะวันออกได้รับรู้ว่ายมโลกของจีนยังคงอยู่ ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นไร แต่นี่คือความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธ

แต่หลังจากที่ได้เห็นเหล่าราชทูตตรงหน้าใช้กำลังทางทหารของตนและข่มขู่ฉินเย่ ความกังวลก็เข้าปกคลุมจิตใจ

ยมโลกแห่งใหม่จะเป็นเช่นไร ?

หากยมโลกแห่งใหม่มีความรุ่งโรจน์อย่างยมโลกแห่งเก่า มันก็คงไม่จำเป็นที่จ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกจะต้องเดินทางมาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ของยมโลกแห่งใหม่ในตอนนี้จะต้องห่างไกลจากที่ยมโลกแห่งเก่าเคยเป็นมาก

งานเลี้ยง การมอบรางวัล และการรับรองที่หรูหรานั้นสามารถเป็นไปได้แต่ในสังคมที่พัฒนาแล้วเท่านั้น และยมโลกในเวลานี้ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถเป็นไปได้

สิ่งที่หลิวอวี้และคนอื่น ๆ พูดอาจจะฟังดูแย่ แต่… มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่นั่นจะเป็นความเป็นจริงที่พวกเขาจะได้ประสบ

เพราะไม่ว่าอย่างไร การพัฒนายมโลกก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหลายร้อยปี ดังนั้นยมโลกแห่งใหม่จะมีสิ่งใดให้พวกเขาได้ชมกัน ? อวี๋เชียนรู้เรื่องนี้ดีที่สุด ความไร้จุดหมาย ไร้ชีวิตชีวาของประชากรวิญญาณ ทิวทัศน์ที่แห้งแล้งและประตูนรกที่เวิ้งว้าง อันที่จริง ยมโลกในเวลานี้อาจมีขนาดไม่ถึงหมู่บ้านด้วยซ้ำ พิธีต้อนรับนั้นลืมไปได้เลย….

“หวังว่ามันคงจะไม่เลวร้ายจนเกินไป…” เขาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด “อย่างน้อยประตูนรกก็คงจะไม่อยู่ในสภาพทรุดโทรม ไม่เช่นนั้น… แม้แต่ข้าก็คงไม่รู้จะพูดอย่างไรเกี่ยวกับการป้องกันของยมโลก…”

ตุลาการนรกทั้ง 12 ต่างจมอยู่กับความคิดของตนเองขณะที่ก้าวผ่านกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ไม่กี่วินาทีต่อมา โลกอีกใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา !

ฉินเย่ยืนอยู่บนพรมสีแดงผืนนุ่ม สังเกตคนทั้งหมดด้วยสายตาอย่างเย็นชาขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านประตู ในขณะที่ทหารวิญญาณที่สวมเกราะสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนยืนเรียงกันไปตามแนวยาวของพรม

และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนเป็นทหารชั้นยอด !

เพียงแค่มองผ่าน ๆ ก็สามารถรับรู้ได้ทันที ข้าราชการศักดินาทั้งหมดสามารถบอกได้เลยว่าทหารที่ยืนเรียงแถวอยู่พวกนี้ไม่ได้กำลังเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย ออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างของทหารวิญญาณทั้งหมดนั้นมีคุณภาพแตกต่างจากทหารวิญญาณทั่วไปอย่างสิ้นเชิง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือในขณะที่ยังมีชีวิต และได้กลายเป็นวิญญาณที่ทรงพลังเมื่อตายไป อีกฝ่ายถือทวนเล่มหนาที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือด รอยร้าวบนชุดเกราะไม่ได้ทำให้มันดูอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันยิ่งเน้นย้ำถึงความเชี่ยวชาญและความดุดันของคนทั้งหมดได้เป็นอย่างดี

“นี่มัน… ทัพเกราะทมิฬ !!” กั๋วจื่ออี้จำได้ทันทีที่เห็น เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

นี่เด็กหนุ่มตรงหน้ามีทัพเกราะทมิฬอยู่ใต้บังคับบัญชาจริง ๆ น่ะหรือ ?

ยมโลกแห่งใหม่… มีกองกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร ? ดูเหมือนว่า… อีกฝ่ายจะไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเขาคิดเสียแล้ว…

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ทันทีที่พวกเขาก้าวออกมาจากประตู แถวของสาวรับใช้ที่ยืนประจำอยู่ทั้งสองฝั่งของพรมแดงก็โค้งคำนับคนทั้งหมดอย่างพร้อมเพรียงกัน ตะเกียงไฟทั้งหมดถูกจุดขึ้นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นองศาของการโค้ง หรือความสูงที่พวกนางถือตะเกียง ทั้งหมดล้วนถูกปฏิบัติไปในแนวเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ ! นี่เป็นการต้อนรับที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก !

“นี่มัน…” อวี๋เชียนรู้สึกสับสนกับภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก

ในฐานะของผู้ที่ชื่นชอบในศิลปะและวัฒนธรรม รวมไปถึงกำลังการรบ เขารู้ดีว่าภาพตรงหน้าหมายความว่าอย่างไร

นี่คือ… สังคมที่พัฒนาแล้ว !

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถแสดงการต้อนรับเมื่อครู่ได้หากสังคมยังไม่พัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใดจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มากกว่าการเอาชีวิตรอดกัน ?

ความมั่นคงของสิ่งจำเป็นพื้นฐานคือรากฐานของคุณธรรมและจรรยา เขารู้ความหมายของประโยคเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังคงจำตอนที่ตัวเองได้รับหน้าที่ให้ไปประจำการที่รัฐบริวารได้เป็นอย่างดี ในเวลานั้น ไม่มีราชทูตตนใดที่เต็มใจจะเดินทางมายังรัฐของเขา และเขาก็ใช้เวลาร้อยกว่าปี หรืออาจจะ 150 ปีถึงจะสามารถพัฒนาอารยธรรมของตนเองขึ้นมาได้

แต่.. .ยมโลกแห่งใหม่กลับสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสองปี

นี่คือการพัฒนาทางอารยธรรมที่ฉินเย่สามารถทำได้อย่างนั้นหรือ ?

จ้าวนรกองค์ใหม่… สามารถแก้ปัญหาเรื่องการจูงใจในการทำงานได้แล้วอย่างนั้นหรือ ? แล้วปัญหาเกี่ยวกับความบันเทิงเล่า ? เมื่อปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ประชากรวิญญาณทั้งหมดจะก่อจลาจลขึ้น !

ป่าไม้ที่พวกเขาคาดว่าจะได้เห็นกลับไม่มีอยู่ ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่ตุลาการนรกทั้งหมดจะละสายตาจากการต้อนรับตรงหน้าและมองไปยังส่วนที่เหลือของยมโลก

ภาพที่น่าอัศจรรย์ใจตรงหน้าสร้างความสับสนให้คนทั้งหมดเป็นอย่างมาก

นี่คือยมโลกแห่งใหม่อย่างนั้นหรือ ?

นี่คือยมโลกแห่งใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่ถึงสองปีอย่างนั้นหรือ ?

ล้อเล่นหรือเปล่า ?!

นี่อีกฝ่ายคิดว่าพวกเขาไม่เคยสร้างโลกใต้พิภพขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้นหรืออย่างไร ?

[1] ก่อนหน้านี้ ในจำนวนราชทูตทั้ง 12 มีการพูดถึงชื่อของกองซุนฉี่ ข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุรวมอยู่ด้วย แต่ในบทนี้กลับไม่มีชื่อขอเขาปรากฏอยู่ ดังนั้นผู้แปลจึงถือเขาไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมแทน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] 345: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (4)

Now you are reading ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] Chapter 345: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 345: การรวมตัวกันของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ (4)

อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ “เจ้าไม่ควรจะดูถูกขั้นตุลาการนรกเป็นอันขาด ทุกคนที่ก้าวขึ้นสู่ขั้นตุลาการนรกจะปลดล็อกความสามารถที่ซ่อนอยู่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนได้ หรือเจ้าจะมองมันว่าเป็นความสามารถพิเศษก็ได้ นับว่ายังโชคดี… ที่ครั้งนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างโจวกงฉินยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเรา…”

“เขาเพียงแค่สร้างสมดุลในสถานการณ์เท่านั้น” ฉินเย่เอ่ยแทรกขึ้น “เขาไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งใด เขาเพียงแค่ช่วยฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ช่างน่าขันสิ้นดี… ไม่คิดเลยว่ามันจะมีวันที่ยมโลกถูกมองว่าอ่อนแอเช่นนี้ นี่เขาคิดว่าตัวเองจะสามารถฉวยโอกาสและหลบหนีไปได้อย่างนั้นหรือ ? นี่เขาคิดว่าตัวเองจะสามารถจับปลาสองมือได้หรืออย่างไร ?!”

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องเหล่านี้ หากจะจัดการกับราชทูตทั้ง 12 ในอนาคตก็ยังไม่สาย ในที่สุดฉินเย่ก็สามารถสงบสติอารมณ์ลงได้

เพราะไม่ว่าอย่างไร ทั้งสองฝั่งก็เกิดความสมดุลแล้ว

ก่อนหน้านี้ น้ำหนักของตาชั่งได้เอนเอียงไปทางฝั่งของหลิวอวี้ แต่การเข้ามามีส่วนร่วมของจิวยี่ บ้านเจ้า และหวางเมิ่งก็ได้สร้างความสมดุลให้สถานการณ์ทั้งหมดอย่างพอดิบพอดี

พวกเขาจะไม่มีวันจู่โจมยมโลก นี่คือสิ่งที่ฉินเย่รู้มาโดยตลอด เพราะไม่ว่าอย่างไร การมีอยู่ของสมุดแห่งความเป็นตายและท่านตี้ทิงก็คือการป้องกันที่รุนแรงภายในใจของคนทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่คนทั้งหมดทำอยู่ในตอนนี้จึงเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น สิ่งที่มักจะสามารถพบเห็นได้ทั่วไปเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับการทูต ยกตัวเองเช่น เมื่อใดก็ตามที่อูโซเนียต้องการรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง พวกเขาก็จะทำการคว่ำบาตรและใช้กองกำลังทหารของตนกำจัดอีกฝ่ายซะ

มันไม่ใช่เพื่อที่จะประกาศศึกกับที่อื่น แต่มันเพื่อทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวและตกตะลึงจนยอมตกอยู่ใต้อำนาจมากกว่า เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นฝ่ายได้เปรียบเมื่อการเจรจาต่อรองเริ่มขึ้น ราชทูตทั้ง 12 นี้ต่างใช้กลยุทธ์เดียวกัน

ดูเหมือนว่าความตึงเครียดและความขัดแย้งตรงหน้ากำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุด ดังนั้นมันก็ถึงเวลาที่เขาจะเริ่มเคลื่อนไหวเสียที

ฟิ้ว~… กระแสน้ำวนพลังหยินค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นรอบร่างของฉินเย่ ลักษณะของยมทูตขาวดำอาจสามารถดึงความสนใจได้เมื่ออยู่ในแดนมนุษย์ แต่สำหรับที่นี่ การปรากฏตัวของขั้นยมทูตขาวดำเป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรเท่านั้นเมื่อเทียบกับรัศมีที่รุนแรงของขั้นตุลาการนรกทั้ง 12 และทหารวิญญาณที่ยืนอยู่เบื้องหลังของพวกเขา

แต่ถึงกระนั้น คนทั้งหมดก็ยังหันมามองฉินเย่เป็นตาเดียว

พวกเขามองเห็นฉินเย่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และแม้ว่าคนทั้งหมดจะมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงจ้าวนรกองค์ที่สามที่สถาปนาตัวเองขึ้นมา พวกเขาก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นของเด็กหนุ่มได้

กระแสน้ำวนพลังหยินที่ปกคลุมร่างของเขานำพาเขาไปอยู่ตรงหน้าของคนทั้งหมด ในฐานะของยมทูตขาวดำ เขามีความสามารถในการบินและลอยอยู่ในอากาศเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เนื่องจากไม่ต้องการที่จะทำให้ตัวเองขายหน้าต่อหน้าเหล่าตุลาการนรกที่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน เด็กหนุ่มจึงเลือกที่จะยืนอยู่ ณ จุดกึ่งกลางระหว่างกองกำลังทั้งสามแทน

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก… หัวใจของเขาเต้นเร็วจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ทหารม้านับพันนายประจำที่อยู่ห่างจากเขาไม่เกิน 300 เมตร แค่การพุ่งเข้ามาเพียงครั้งเดียวก็สามารถเหยียบย่ำเขาให้ตายได้

ทหารวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนยืนล้อมรอบเขาพร้อมกับหน้าไม้และลูกศรที่ลุกโชน พร้อมทั้งหอกยาวที่พร้อมจะโจมตีได้ทุกเมื่อ เปลวไฟนรกนับพันดวงลุกโชนอยู่ภายในดวงตาของทหารเหล่านั้น แรงกดดันมหาศาลจากเหล่าตุลาการนรกกดทับลงมาที่ร่างของเขาราวกับคลื่นที่ถาโถม

และมันยังมีเปลวไฟแห่งกรรมสีแดงที่ลุกโชนอยู่บนกำแพงกลด้านหลังของเขาอีก ….ช่างเป็นภาพที่น่ากดดันจริง ๆ

ประสาทสัมผัสของเขาตื้อช้าไปหมด และเลือดในกายก็พลันเดือดพล่าน ฉินเย่ไพล่มือไปด้านหลังและกำเศษตราจ้าวนรกในมือแน่น ใส่พลังหยินของตนเข้าไปในมันและสร้างเกราะป้องกันบาง ๆ ขึ้นรอบตัว มันเป็นตอนนั้นเองที่เขาสามารถหยุดอากาศสั่นเทาที่เท้าของตนและสามารถยืนหยัดอยู่ภายใต้แรงกดดันที่กดทับลงมาได้

“ข้าราชการศักดินาผู้สูงศักดิ์ทุกท่าน” เขากวาดสายตามองคนทั้งหมดช้า ๆ และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงที่เอ่ยออกไปนั้นสั่นเทาหรือไม่ เด็กหนุ่มเอ่ยต่อด้วยท่าทีที่ปกติที่สุดที่สามารถทำได้ “พวกท่าน… ต้องการที่จะก่อจลาจลอย่างนั้นหรือ ?”

ห่างออกไป อาร์ทิสได้รวบรวมพลังหยินในร่างของตนเอาไว้จนถึงจุดสูงสุด พร้อมที่จะระเบิดมันออกมาทันทีที่สังเกตเห็นสัญญาณไม่ดี นางเตรียมที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของฉินเย่เอาไว้ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการนำชีวิตของตนไปเสี่ยงเหมือนกับตอนที่เผชิญหน้ากับตี้ทิงก่อนหน้านี้ก็ตาม

นางได้มอบตราประทับของตัวเองให้กับฉินเย่ไปอย่างไม่เต็มใจตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพราะอย่างไรแล้วเด็กหนุ่มก็พยายามอย่างมากเพื่อยมโลก และนางก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายจะสามารถสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่ได้ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ในขณะเดียวกัน นางก็พบว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่ฉินเย่นั้นสามารถทำได้ในขณะที่นางทำไม่ได้

“เจ้าเด็กนี้… ไม่ตัวสั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่พุ่งเข้ามาอีกแล้ว… ไม่เลวเลย… แม้ว่ามันจะเป็นการแสดง แต่เจ้าก็พัฒนาขึ้นมากจริงๆ…” ประกายแห่งความพึงพอใจวาววาบขึ้นในดวงตาของอาร์ทิส แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็วและถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม

เงียบ

“ใช่หรือไม่ใช่ ?!” เขาตะโกนออกไปเสียงดัง ภายในใจของเขาเต้นแรงและลำคอก็แห้งผาก เขาพยายามต่อต้านความต้องการที่จะคุกเข่าลงและยอมแพ้ ทว่าทันใดนั้นเขาก็พบว่าแผ่นหลังของตัวเองในตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

โปรดอย่าตอบว่าใช่นะ… เพราะหากพวกท่านตอบเช่นนั้น ข้าก็ไม่รู้แล้วเช่นกันว่าตัวเองควรทำอย่างไรต่อไป…

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา

หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งนาทีเต็ม ในที่สุดหลิวอวี้ก็เอ่ยออกมาจากที่ประทับเครื่องที่ของเขา “ท่านฉิน… นี่ท่านอยู่ตรงนี้มาตลอดเลยอย่างนั้นหรือ ?”

อีกความหมายหนึ่งก็คือเขากำลังดูถูกฉินเย่ที่อยู่แค่ขั้นยมทูตขาวดำ ระดับขั้นพลังที่ต่ำต้อยจนเขาไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

“พระองค์คือจ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เสียงกลั้วเราะแหบพร่าดังขึ้น “ขออภัย แต่ข้าไม่คิดเลยว่าพระองค์จะทรงเสด็จมารับพวกเราด้วยตนเองเช่นนี้ โปรดประทานโทษในความไม่สุภาพของพวกเราด้วย”

“ฝ่าบาททรงกำลังล้อพวกเราเล่นเป็นแน่” เกาฉางกงเอ่ยขึ้นและหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “อุโมงค์สู่ยมโลกได้ปิดกั้นพวกเรามาตลอดร้อยปี… แถมพวกเรายังรีบมาที่นี่ทันทีที่ได้รับหมายเรียก พวกเราจะไปก่อจลาจลได้อย่างไร ?”

ที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อตั้งตนขอเป็นอิสระจากยมโลกก็เท่านั้น

ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมอ่อนลงแล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะเจรจาต่อรองเงื่อนไขกันเสียงที ฉินเย่เองก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้นเช่นกัน เพราะอย่างไรเขาก็รู้ดีว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงแสร้งเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดต่อไป

เพราะไม่ว่าจะพิจารณาจากจุดใด ตอนนี้… ยมโลกก็ยังอ่อนแอเกินกว่าที่จะสร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการศักดินาเหล่านี้อยู่ดี !

ความยิ่งใหญ่ของรัฐบริวารนั้นมากกว่ายมโลกเสียอีก แล้วแบบนี้เขาจะสามารถพูดถึงความเท่าเทียมได้อย่างไร ?

แล้วเขาจะต่อว่าคนทั้งหมดเกี่ยวกับคำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามและการยั่วยุก่อนหน้านี้หรือไม่น่ะหรือ ?

นั่นมีแต่จะทำให้ตัวเองดูโง่ลงเท่านั้น

“ดี” ฉินเย่แสร้งทำเป็นไม่สนใจการยั่วยุก่อนหน้านี้และเอ่ยต่อ “มันคงเป็นการเดินทางที่ยาวนานสำหรับพวกทุกท่าน มาเถอะ เข้าไปในเมืองด้วยกันกับข้า ทิ้งกองกำลังของพวกท่านไว้ด้านนอก ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามจะถือว่าเป็นกบฏ”

สิ้นสุดเสียงพูด เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินและพุ่งตัวกลับไปที่ยมโลกแห่งใหม่ทันที

มีความสุขไปเถอะ เพราะทันทีที่พวกท่านเข้าสู่อาณาเขตของข้าเมื่อใด… ข้าจะทำให้พวกท่านต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นไปจนหมด !

อาร์ทิสเองก็รีบระเบิดพลังขั้นตุลาการนรกออกมาและบินขึ้นบนฟ้าพร้อมกับเอ่ยอย่างเย็นชา “ทุกท่าน เชิญ”

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก ในเวลาไม่นาน ราชทูตทั้ง 12 ซึ่งนับรวมเจ้าศักดินาแห่งฮันยาง หลิวอวี้ ต่างก็เดินตามอาร์ทิสและมุ่งหน้าตรงไปที่ยมโลกแห่งใหม่ [1]

หลิวอวี้เป็นคนเดินนำ และข้าราชการศักดินาคนอื่น ๆ ก็เดินตามไปติด ๆ หยางจีเย่เดินนำหน้าของกลุ่มคนทั้งหมดอีกทีในขณะที่อวี๋เชียนเดินตามหลัง คนทั้งหมด หากไม่นับรวมอวี๋เชียนและหยางจีเย่ ต่างก็แต่งกายด้วยเสื้อคลุมที่หรูหราและร่างของพวกเขาก็เต็มไปด้วยรอยช้ำของศพ

หลิวอวี้มองไปรอบ ๆ ก่อนจะหันไปกระซิบกับชากัน “เจ้าคิดว่ายมโลกแห่งใหม่จะเป็นอย่างไร ?”

ชากันเป็นชาวมองโกเลียทั่วไป เขาแต่งกายด้วยหมวกทรงโดมที่มีสายรัดซึ่งทำจากผ้าสักหลาดล้อมรอบ พร้อมกับชุดเกราะสีดำเครือบเงา ทำให้เขาดูเหมือนกับนักรบผู้กล้าหาญและยิ่งใหญ่ ใบหน้าของเขามีรอยสักสีแดงที่น่ากลัวปรากฏอยู่ เขาแค่นหัวเราะ “มันจะเป็นอย่างไรได้ ? ท่านจำตอนที่พวกเราถูกโจมตีครั้งแรกได้หรือไม่ ? ทุกอย่างพังทลาย ไม่มีแม้แต่วิญญาณสักคนให้เห็น ท่านคิดว่ายมโลกแห่งใหม่ก่อตั้งมากี่ปีกัน ? สามปี ? มันอาจจะแย่กว่าตอนที่เราเริ่มต้นครั้งแรกด้วยซ้ำ !”

เกาฉางกงปกปิดใบหน้าของตนด้วยผ้าปิดหน้าสีเขียว แต่นั่นก็ไม่ได้ปกปิดมงกุฎหยกดำบนศีรษะของเขาเลยแม้แต่น้อย ร่างของเขาสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีดำสนิทที่ปักเป็นลายนกกระเรียนและดวงตะวัน เขาเอ่ยขึ้นว่า “การประชุมราชสำนักก่อนหน้านี้มักจะมีงานเลี้ยงหรือไม่ก็งานเฉลิงฉลอง แต่ครั้งนี้… พวกเราคงจะไม่ถูกทิ้งไว้ในป่าหรอกใช่หรือไม่ ?”

“ฮ่า ๆๆๆ ข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อใดก็ตามที่โลกใต้พิภพแห่งใหม่ถูกก่อตั้งขึ้น สวรรค์จะมอบประตูนรกให้พวกเขาเสมอ เจ้าไม่ต้องกังวล อย่างน้อยเราก็จะมีสถานที่ให้พำนัก”

“เช่นนั้นหรือ ? แล้วพวกเขาจะมีเก้าอี้หรือไม่ ? ข้าเกรงว่าพวกเราคงจะเป็นแขกที่จำนวนมากที่สุดที่เดินทางมายังยมโลกตั้งแต่การก่อตั้งของมันเป็นแน่…”

“เช่นนั้น… ประตูนรกก็จะเป็นที่ตั้งของราชสำนักเช่นนั้นหรือ ? นี่มันจะต่ำต้อยเกินไปแล้ว…”

ข้าราชการศักดินาทั้งหมดไม่คิดที่จะลดเสียงของตนลงเลยแม้แต่น้อยขณะที่พวกเขาวิจารณ์ยมโลกอย่างสนุกสนาน อวี๋เชียนที่เดินตามคนทั้งหมดอยู่ด้านหลังมีสีหน้าเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อย ๆ กับทุกคำพูดที่เหล่าคนตรงหน้าเอ่ยออกมา

ตัวเขานั้นตระหนักถึงความสำคัญของการประชุมราชสำนักในครั้งนี้เป็นอย่างดี

มันเป็นการประกาศให้กับทั้งทวีปตะวันออกได้รับรู้ว่ายมโลกของจีนยังคงอยู่ ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นเช่นไร แต่นี่คือความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธ

แต่หลังจากที่ได้เห็นเหล่าราชทูตตรงหน้าใช้กำลังทางทหารของตนและข่มขู่ฉินเย่ ความกังวลก็เข้าปกคลุมจิตใจ

ยมโลกแห่งใหม่จะเป็นเช่นไร ?

หากยมโลกแห่งใหม่มีความรุ่งโรจน์อย่างยมโลกแห่งเก่า มันก็คงไม่จำเป็นที่จ้าวนรกองค์ใหม่ของยมโลกจะต้องเดินทางมาต้อนรับพวกเขาด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ของยมโลกแห่งใหม่ในตอนนี้จะต้องห่างไกลจากที่ยมโลกแห่งเก่าเคยเป็นมาก

งานเลี้ยง การมอบรางวัล และการรับรองที่หรูหรานั้นสามารถเป็นไปได้แต่ในสังคมที่พัฒนาแล้วเท่านั้น และยมโลกในเวลานี้ก็ดูเหมือนจะไม่สามารถเป็นไปได้

สิ่งที่หลิวอวี้และคนอื่น ๆ พูดอาจจะฟังดูแย่ แต่… มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่นั่นจะเป็นความเป็นจริงที่พวกเขาจะได้ประสบ

เพราะไม่ว่าอย่างไร การพัฒนายมโลกก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหลายร้อยปี ดังนั้นยมโลกแห่งใหม่จะมีสิ่งใดให้พวกเขาได้ชมกัน ? อวี๋เชียนรู้เรื่องนี้ดีที่สุด ความไร้จุดหมาย ไร้ชีวิตชีวาของประชากรวิญญาณ ทิวทัศน์ที่แห้งแล้งและประตูนรกที่เวิ้งว้าง อันที่จริง ยมโลกในเวลานี้อาจมีขนาดไม่ถึงหมู่บ้านด้วยซ้ำ พิธีต้อนรับนั้นลืมไปได้เลย….

“หวังว่ามันคงจะไม่เลวร้ายจนเกินไป…” เขาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด “อย่างน้อยประตูนรกก็คงจะไม่อยู่ในสภาพทรุดโทรม ไม่เช่นนั้น… แม้แต่ข้าก็คงไม่รู้จะพูดอย่างไรเกี่ยวกับการป้องกันของยมโลก…”

ตุลาการนรกทั้ง 12 ต่างจมอยู่กับความคิดของตนเองขณะที่ก้าวผ่านกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ไม่กี่วินาทีต่อมา โลกอีกใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา !

ฉินเย่ยืนอยู่บนพรมสีแดงผืนนุ่ม สังเกตคนทั้งหมดด้วยสายตาอย่างเย็นชาขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านประตู ในขณะที่ทหารวิญญาณที่สวมเกราะสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนยืนเรียงกันไปตามแนวยาวของพรม

และพวกเขาทั้งหมดก็ล้วนเป็นทหารชั้นยอด !

เพียงแค่มองผ่าน ๆ ก็สามารถรับรู้ได้ทันที ข้าราชการศักดินาทั้งหมดสามารถบอกได้เลยว่าทหารที่ยืนเรียงแถวอยู่พวกนี้ไม่ได้กำลังเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย ออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างของทหารวิญญาณทั้งหมดนั้นมีคุณภาพแตกต่างจากทหารวิญญาณทั่วไปอย่างสิ้นเชิง บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือในขณะที่ยังมีชีวิต และได้กลายเป็นวิญญาณที่ทรงพลังเมื่อตายไป อีกฝ่ายถือทวนเล่มหนาที่เปื้อนไปด้วยคราบเลือด รอยร้าวบนชุดเกราะไม่ได้ทำให้มันดูอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย กลับกัน มันยิ่งเน้นย้ำถึงความเชี่ยวชาญและความดุดันของคนทั้งหมดได้เป็นอย่างดี

“นี่มัน… ทัพเกราะทมิฬ !!” กั๋วจื่ออี้จำได้ทันทีที่เห็น เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

นี่เด็กหนุ่มตรงหน้ามีทัพเกราะทมิฬอยู่ใต้บังคับบัญชาจริง ๆ น่ะหรือ ?

ยมโลกแห่งใหม่… มีกองกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร ? ดูเหมือนว่า… อีกฝ่ายจะไม่ได้อ่อนแออย่างที่พวกเขาคิดเสียแล้ว…

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ทันทีที่พวกเขาก้าวออกมาจากประตู แถวของสาวรับใช้ที่ยืนประจำอยู่ทั้งสองฝั่งของพรมแดงก็โค้งคำนับคนทั้งหมดอย่างพร้อมเพรียงกัน ตะเกียงไฟทั้งหมดถูกจุดขึ้นในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นองศาของการโค้ง หรือความสูงที่พวกนางถือตะเกียง ทั้งหมดล้วนถูกปฏิบัติไปในแนวเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ ! นี่เป็นการต้อนรับที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก !

“นี่มัน…” อวี๋เชียนรู้สึกสับสนกับภาพตรงหน้าเป็นอย่างมาก

ในฐานะของผู้ที่ชื่นชอบในศิลปะและวัฒนธรรม รวมไปถึงกำลังการรบ เขารู้ดีว่าภาพตรงหน้าหมายความว่าอย่างไร

นี่คือ… สังคมที่พัฒนาแล้ว !

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถแสดงการต้อนรับเมื่อครู่ได้หากสังคมยังไม่พัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใดจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้มากกว่าการเอาชีวิตรอดกัน ?

ความมั่นคงของสิ่งจำเป็นพื้นฐานคือรากฐานของคุณธรรมและจรรยา เขารู้ความหมายของประโยคเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังคงจำตอนที่ตัวเองได้รับหน้าที่ให้ไปประจำการที่รัฐบริวารได้เป็นอย่างดี ในเวลานั้น ไม่มีราชทูตตนใดที่เต็มใจจะเดินทางมายังรัฐของเขา และเขาก็ใช้เวลาร้อยกว่าปี หรืออาจจะ 150 ปีถึงจะสามารถพัฒนาอารยธรรมของตนเองขึ้นมาได้

แต่.. .ยมโลกแห่งใหม่กลับสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ในระยะเวลาเพียงไม่ถึงสองปี

นี่คือการพัฒนาทางอารยธรรมที่ฉินเย่สามารถทำได้อย่างนั้นหรือ ?

จ้าวนรกองค์ใหม่… สามารถแก้ปัญหาเรื่องการจูงใจในการทำงานได้แล้วอย่างนั้นหรือ ? แล้วปัญหาเกี่ยวกับความบันเทิงเล่า ? เมื่อปราศจากสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นก่อนที่ประชากรวิญญาณทั้งหมดจะก่อจลาจลขึ้น !

ป่าไม้ที่พวกเขาคาดว่าจะได้เห็นกลับไม่มีอยู่ ทั่วทั้งสถานที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่ตุลาการนรกทั้งหมดจะละสายตาจากการต้อนรับตรงหน้าและมองไปยังส่วนที่เหลือของยมโลก

ภาพที่น่าอัศจรรย์ใจตรงหน้าสร้างความสับสนให้คนทั้งหมดเป็นอย่างมาก

นี่คือยมโลกแห่งใหม่อย่างนั้นหรือ ?

นี่คือยมโลกแห่งใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นไม่ถึงสองปีอย่างนั้นหรือ ?

ล้อเล่นหรือเปล่า ?!

นี่อีกฝ่ายคิดว่าพวกเขาไม่เคยสร้างโลกใต้พิภพขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้นหรืออย่างไร ?

[1] ก่อนหน้านี้ ในจำนวนราชทูตทั้ง 12 มีการพูดถึงชื่อของกองซุนฉี่ ข้าราชการแห่งอาณาจักรสินธุรวมอยู่ด้วย แต่ในบทนี้กลับไม่มีชื่อขอเขาปรากฏอยู่ ดังนั้นผู้แปลจึงถือเขาไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วมแทน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+