เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 1469 เฟิ่งจิ่ว เจ้าเป็นใครกันแน่ + 1470 พูดจนน้ำไหลไฟดับ

Now you are reading เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า Chapter 1469 เฟิ่งจิ่ว เจ้าเป็นใครกันแน่ + 1470 พูดจนน้ำไหลไฟดับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1469 เฟิ่งจิ่ว เจ้าเป็นใครกันแน่ + ตอนที่ 1470 พูดจนน้ำไหลไฟดับ

ตอนที่ 1469 เฟิ่งจิ่ว เจ้าเป็นใครกันแน่

ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วถามว่า “แล้วท่านบอกเขาว่าอย่างไร?”

ลั่วเหิงเกาหัว ตอบว่า “ขะ ข้ายังไม่ทันพูดอะไรเขาก็ไปแล้ว เขาแค่มาบอกให้รู้ ไม่เข้ามาดูศิษย์พี่เฉินเสียด้วยซ้ำ ข้าเองก็ยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ!”

“ครั้งหน้าหากเขามา ท่านบอกเขาว่าศิษย์พี่เฉินต้องการจะกลับไปในอีกสามเดือน หากเขาถามเหตุผล ท่านก็บอกเขาว่าศิษย์พี่เฉินอยู่ที่นี่มานานเกิดความผูกพัน รู้ว่าหากกลับไปจะไม่มีทางได้มาที่นี่อีก จึงอยากขอความเมตตาผู้อาวุโสสูงสุดอนุญาตสักครั้ง อีกสามเดือนค่อยพาเขากลับไป”

เธอหยุดพูดเล็กน้อย กลีบปากกระตุก “ข้าว่าแค่คำขอร้องเล็กๆ น้อยๆ เท่านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดคงไม่มีทางปฏิเสธโดยไม่เห็นแก่หน้าคนเป็นญาติหรอกกระมัง”

ลั่วเหิงได้ยินก็ไม่ค่อยเข้าใจ จึงถามว่า “เหตุใดไม่บอกเขาไปตรงๆ ว่าเจ้ากำลังช่วยรักษาให้ศิษย์พี่เฉินอยู่? แล้วเขาก็จะหายดีในอีกสามเดือน? เป็นเพราะเจ้าไม่มั่นใจหรือ?” เขาคิดว่าหากอธิบายอย่างนี้จะไม่เข้าใจง่ายกว่าหรือ? เหตุใดต้องอ้อมค้อมไปมา?

เฟิ่งจิ่วกลอกตาด้วยความเอือมระอา “ข้าเป็นเพียงศิษย์ชั้นล่าง ขนาดท่านยังไม่เชื่อว่าข้าจะรักษาศิษย์พี่เฉินหายได้ ผู้อาวุโสสูงสุดจะเชื่อได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น หากพูดออกมาจะไม่ยิ่งแปลกหรือ? ท่านเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นเพียงศิษย์ชั้นล่างคนหนึ่ง หากมีวิชาแพทย์จริงก็ไม่ใช่ศิษย์ชั้นล่างแล้ว ถึงเวลานั้นหากพวกเขาจัดการข้าเพราะคิดว่าข้าเป็นไส้ศึกหรืออะไรทำนองนั้น ข้าจะไปร้องไห้กับใครเล่า?”

“จริงด้วย เจ้ามีวิชาแพทย์ เหตุใดจึงเป็นศิษย์ชั้นล่าง? หรือว่าเจ้าเป็นไส้ศึกจริงๆ?” เขาถามอย่างไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดนัก!

เฟิ่งจิ่วมุมปากกระตุก ปากพาซวยแท้ๆ พูดถึงอะไรเขาก็ถามถึงเรื่องนั้น หากยังพูดต่อไปเดาว่าเขาต้องถามไม่มีวันจบแน่

“เอ๊ะ เฟิ่งจิ่ว หรือเจ้า…”

เธอยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เขาถามต่อไป “ข้าจะไปดูศิษย์พี่เฉิน” พูดจบ เธอก็เดินเข้าไปในถ้ำของเฉินเต้า

เมื่อมาถึงข้างใน เธอตรวจชีพจรให้เฉินเต้า แล้วตรวจระดับการฟื้นตัวของกระดูกสันหลังส่วนเอวของเขา พลางถามว่า “ยาขี้ผึ้งนี้ทาให้เขาเมื่อใด?”

“เมื่อเช้าเพิ่งทาไปเอง” ลั่วเหิงที่เดินตามหลังมาตอบเธอ เขาเองก็มายืนข้างเตียง แล้วถามว่า “เฟิ่งจิ่ว ศิษย์พี่เฉินไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว เขาดื่มแค่ยาน้ำพวกนั้นที่เจ้าเตรียมให้ ร่างกายเขาจะรับไหวหรือ?”

“ไม่มีปัญหา”

เธอตอบ แล้วถามว่ายาน้ำเหลืออีกเท่าไร หลังจากตรวจดูหนึ่งรอบแล้ว ก็เอาไว้ให้อีกหลายขวด พลางบอกว่า “อีกครึ่งเดือนก็แล้วกัน! อีกครึ่งเดือนก็ให้เขาฟื้นขึ้นมากินอาหารเองได้แล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ตัวเขาเองก็จะสามารถรับรู้ได้ถึงระดับการฟื้นตัวของกระดูกสันหลังส่วนเอวของเขาแล้ว”

เห็นลั่วเหิงเอาแต่จ้องเธอโดยไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เธอจึงถามว่า “เป็นอะไรไป? บนหน้าข้ามีดอกไม้ติดอยู่หรือ?”

“ไม่มีดอกไม้ แต่เจ้าเทพมาก! ถึงข้าจะไม่รู้วิชาแพทย์ แต่พอเห็นศิษย์พี่เฉินฟื้นตัวขึ้นทุกวันๆ เช่นนี้ เจ้าว่า คนอย่างเจ้าเหตุใดจึงเป็นเพียงศิษย์ชั้นล่างกัน?”

เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ ไม่คิดจะพูดอะไรจึงเดินออกไป นึกไม่ถึงลั่วเหิงกลับขวางหน้าไว้ “เฟิ่งจิ่ว เจ้าบอกข้ามาตรงๆ ดีกว่า เจ้าอมพะนำเช่นนี้ข้าอึดอัดใจจะแย่! เจ้าบอกข้ามาเถิด เจ้าเป็นใครกันแน่?”

“ข้าก็คือเฟิ่งจิ่วอย่างไรเล่า! นี่คือชื่อข้าจริงๆ ข้าไม่ได้โกหกท่าน” เธอยิ้ม บอกว่า “ส่วนเรื่องอื่น ท่านก็อย่าอยากรู้ให้มากนักเลย เอาเป็นว่าท่านรู้ไว้แค่ว่าข้าไม่มีทางทำร้ายพวกท่านก็พอแล้ว”

“แต่ว่าเจ้าเป็นใครกันแน่เล่า? ยิ่งดู เจ้าก็ยิ่งไม่เหมือนศิษย์ชั้นล่าง ต้องรู้ไว้ว่าข้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเชียวนะ แต่ข้ารู้สึกว่าเวลาอยู่ข้างเจ้าข้าแทบจะกลายเป็นศิษย์ชั้นล่างเสียเองแล้ว”

………………………………….

ตอนที่ 1470 พูดจนน้ำไหลไฟดับ

ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วอดหัวเราะไม่ได้ “ใช่เสียที่ไหน ท่านเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุผู้ยิ่งใหญ่ ข้ามีหรือจะเทียบท่านได้? เอาล่ะ ข้ากลับก่อนแล้ว อีกไม่กี่วันข้าจะมาใหม่” พูดจบ ก็โบกมือแล้วจากไปทันที

ลั่วเหิงยืนมองอยู่หน้าถ้ำ ช่วงนี้เขาพักอยู่ที่นี่ นอกจากดูแลเฉินเต้าได้แล้ว ยังไม่ต้องเสียเวลาวิ่งกลับไปกลับมาด้วย ถึงแม้เมื่อก่อนเขาจะไม่ได้สนิทสนมกับเฉินเต้ามากนัก แต่เขานับถือคุณธรรมของเฉินเต้า ยามนี้ต้องพบกับจุดจบเช่นนี้ แม้เขาจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่กลับยังช่วยออกแรงดูแลเขาได้บ้าง

หลายวันต่อมาช่วงเช้ามืด คนในตระกูลสามสี่คนเดินตามหลังผู้อาวุโสสูงสุดมายังหน้าถ้ำของเฉินเต้า ยังไม่ทันเข้าไป ก็เห็นลั่วเหิงเดินออกมารับหน้าก่อน

“ท่านอาวุโสสูงสุดเองหรือขอรับ! คารวะท่านผู้อาวุโสสูงสุด ท่านมาเยี่ยมศิษย์พี่เฉินหรือขอรับ?” ลั่วเหิงถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ข้าพาคนมารับเขากลับตระกูล” ผู้อาวุโสสูงสุดเหล่มองลั่วเหิงแวบหนึ่งแล้วตอบ ก่อนจะถามต่อว่า “เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก?”

“อ้อ คืออย่างนี้ขอรับ แต่ก่อนศิษย์พี่เฉินช่วยเหลือข้าไว้มาก ข้าคิดว่ายามนี้ศิษย์พี่เฉินเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึงมาดูแลสักช่วงหนึ่ง” ขณะตอบ เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ผู้อาวุโสสูงสุด ยังมีเรื่องหนึ่งที่ศิษย์พี่เฉินให้ข้ามาบอกต่อท่านขอรับ”

“หืม? มีเรื่องใด?” เขาตวัดมองลั่วเหิง

“คืออย่างนี้ขอรับ ศิษย์พี่เฉินบอกว่าอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกสองสามเดือนแล้วค่อยกลับไป ถึงอย่างไรเขาอยู่ที่นี่มานานจนเกิดความรู้สึกผูกพันแล้ว จู่ๆ จะให้จากไปจึงทำใจไม่ได้ ฉะนั้น…”

ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบทเสียแล้ว

“คนก็กลายเป็นเช่นนั้นแล้วยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ? นี่ไม่ใช่อยู่ต่อให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรอกหรือ? เพ้อเจ้อสิ้นดี! เฉินเต้าบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังส่วนเอวมิใช่หรือ หรือสมองเขาก็กระทบกระเทือนไปด้วยแล้ว?” ผู้อาวุโสสูงสุดตวาดอย่างไม่พอใจ แรงกดดันทั่วร่างกระจายออกไปโดยไม่ตั้งใจ ลั่วเหิงตกใจจนพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง

“พวกเจ้าตามข้าเข้าไป หามเขากลับตระกูลไปเสีย!” ผู้อาวุโสสูงสุดหันไปบอกพวกคนข้างหลัง จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าไปข้างใน

ลั่วเหิงแตกตื่นไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในตอนนี้เอง เงาร่างสีเขียวร่างหนึ่งกำลังเดินทอดน่องมาทางนี้ เขารีบตะโกนด้วยความดีใจ “เฟิ่งจิ่ว! เฟิ่งจิ่วเจ้ามาแล้ว! เร็วเข้า มานี่เร็ว!”

ไม่ได้มาหลายวัน เฟิ่งจิ่วที่ตั้งใจจะแวะมาดูเหลือบเห็นกลุ่มคนหน้าถ้ำ รวมถึงผู้อาวุโสสูงสุด ก็รู้ทันทีว่าพวกเขาเป็นใคร เห็นลั่วเหิงทำหน้าร้อนใจ ก็รู้ว่าเขาเกลี้ยกล่อมผู้อาวุโสสูงสุดไม่สำเร็จ ฉะนั้นจึงรีบวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า

“ผู้อาวุโสสูงสุด ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ! ท่านต้องเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแน่ๆ เลยใช่ไหมขอรับ? ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ ข้าได้ยินศิษย์พี่ลั่วบอกว่าท่านมาเยี่ยมศิษย์พี่เฉินหลายครั้งแล้ว จึงหวังว่าจะได้พบท่านสักครั้งมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะบังเอิญได้พบท่าน”

เฟิ่งจิ่วที่วิ่งเหยาะๆ มา วิ่งผ่านลั่วเหิงแล้วตรงไปหยุดยืนตรงหน้าผู้อาวุโสสูงสุด ทำหน้าตื่นเต้นดีใจ ราวกับได้พบคนน่าเคารพนับถืออย่างไรอย่างนั้น ดวงตาสองข้างเป็นประกายฉายแววยินดีจับจ้องไปที่เขา

ผู้อาวุโสสูงสุดชะงักเล็กน้อย มองเด็กหนุ่มชุดเขียวที่ทำหน้าเลื่อมใสอยู่ตรงหน้า ก็กระแอมเบาๆ แล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร? เหตุใดไร้มารยาทถึงเพียงนี้? ตะโกนเสียงดังโวยวายเช่นนี้ใช้ได้เสียที่ไหน?”

“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ เฟิ่งจิ่วแม้เป็นเพียงศิษย์ชั้นล่างคนหนึ่ง แต่ความชื่นชมที่มีต่อผู้อาวุโสสูงสุดนั้นดุจแม่น้ำฉางเจียงที่ทอดยาวไม่มีจุดสิ้นสุด ดุจแม่น้ำฮวงโหที่ท่วมท้นจนไม่อาจกักเก็บ ชื่อเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดเลื่องระบือไกล สำหรับข้าท่านเปรียบเสมือนเทวดา ข้ายิ่งได้ยินศิษย์พี่เฉินพูดถึงผู้อาวุโสสูงสุดว่าหลังจากที่ท่านได้กลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนแรกในสำนักของแปดจักรวรรดิใหญ่ก็ไม่เคยลืมพวกพ้อง คอยช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่เป็นเนืองนิตย์…”

คนสองสามคน รวมถึงตัวผู้อาวุโสสูงสุดเอง เมื่อได้ยินคำพูดประจบสอพลอของเฟิ่งจิ่ว ต่างก็อดตะลึงตาค้างไม่ได้ บรรยากาศพลันแปลกประหลาดขึ้นมาทันที…

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด