Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 472

Now you are reading Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ Chapter 472 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.472 – ไม่เสียใจ

 

แต่ในขณะนั้นเอง หวังหงษ์เต๋าก็คว้าหมับ! เข้าที่ลำคอของเย่หยิงเหมยอีกครั้ง

 

“ท่านอาจารย์!”

 

แม้สีหน้าของเย่หยิงเหมยจะยังดูออดอ้อน แต่น้ำเสียงของเธอกลับแปลกออกไปจากเดิม

 

“จงรีบไป และกลับมาโดยเร็ว!” หวังหงษ์เต๋ากล่าว

 

“เจ้าค่ะ”

 

เย่หยิงเหมยเปล่งเสียงกระซิบ

 

ณ ขณะนี้ ในหัวใจของเธอกำลังเดือดพล่าน

 

–จริงๆแล้วเธอต้องการจะกระตุ้นพิษในกายหวังหงษ์เต๋า และสังหารเขาซะเดี๋ยวนี้เลย

 

แต่น่าเสียดาย ที่นิกายยังต้องการตัวหวังหงษ์เต๋าอยู่

 

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต จะอย่างไรก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

 

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถต่อกรกับมารโลกาได้ แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะรับมือกับมันได้อยู่หลายลมหายใจ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มันจะช่วยเพิ่มเวลาและโอกาสรอดสำหรับคนอื่นที่กำลังหลบหนีได้

 

ความต้องการของนิกายนับว่าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด

 

เย่หยิงเหมยลอบถอนหายใจอย่างลับๆ

 

ลืมมันเถอะ

 

ในเมื่อไม่สามารถสังหารหวังหงษ์เต๋าได้ เช่นนั้นตัวเธอเองก็อย่าเก็บเอาปัญหานี้มาคิดอีกเลย

 

เพราะอีกไม่นานหลังจากนี้ ทางนิกายก็จะส่งเหล่าผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิตมาที่นี่อยู่แล้ว

 

เมื่อถึงเวลานั้น ตนเองก็จะทำการกระตุ้นพิษในกายหวังหงษ์เต๋า

 

แล้วหวังหงษ์เต๋าก็จะถูกจับตัวไปอย่างแน่นอน

 

จากนั้นเขาก็จะถูกดัดแปลงเป็นหุ่นเชิดในขอบเขตลมปราณจิต

 

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะได้รับอนุญาตให้ทำตามแค่เพียงในสิ่งที่นิกายต้องการเท่านั้น

 

ขณะที่จิตวิญญาณของเขายังคังถูกขังอยู่ในกายเนื้อ

 

ซึ่งนั่นหมายความว่าเธอจะมีโอกาสอีกมากในอนาคตที่จะทรมานเขา!

 

เมื่อขบคิดมาถึงเรื่องนี้ เย่หยิงเหมยก็สามารถฟื้นฟูความสงบกลับคืนได้ในทันที

 

เธอแปรสภาพตนเป็นควันบางเบา ทะยานสู่ผืนฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของลั่วชาเฟิง

 

บนเวที

 

หวังหงษ์เต๋าจ้องมองเย่หยิงเหมยจากเบื้องหลัง เฝ้ารอจนกระทั่งเธอลับสายตาไป

 

การแสดงออกทางสีหน้าของเขาจึงคลายลง

 

พร้อมกับดาบเล่มหนึ่งที่บินออกมาจากเบื้องหลังเขาและกลายร่างเป็นฉานนู่

 

“นายน้อย เหตุใดนางจึงหลงกลได้ง่ายดายถึงเพียงนี้?” เธอเอ่ยถาม

 

“มันมิได้ง่ายดายหรอก” หวังหงษ์เต๋าถอนหายใจ “แต่เป็นเพราะทุกๆคำกล่าวของข้ามันอยู่เหนือล้ำยิ่งกว่าจินตนาการของนางมากเกินไปต่างหาก เมื่อได้รับข้อมูลหนักๆเข้ามาเรื่อยๆ นางก็เริ่มเบนสมาธิไปยังสิ่งเหล่านั้น ประจวบกันการที่หวาดกลัวหวังหงษ์เต๋าอยู่เสมอมา ดังนั้นทุกสิ่งจึงเป็นไปอย่างราบรื่น”

 

ขณะอธิบาย ท่าทีของหวังหงษ์เต๋าก็ค่อยๆผ่อนคลายลง

 

กล่าวได้ว่า ทันทีที่เย่หยิงเหมยจากไป ภายในสถานที่แห่งนี้ก็ไม่นับว่ามีสิ่งใดสามารถคุกคามเขาได้อีกแล้ว … แต่ก็แค่ชั่วคราวล่ะนะ

 

คราวนี้ ตนเองก็จะสามารถมุ่งสมาธิรับมือกับการทำลายล้างโลกได้อย่างเต็มกำลังเสียที

 

ณ ขณะนั้นเอง บังเกิดลมโชยพัดหวิว

 

“นายน้อย พวกเราไปกันตอนนี-”

 

“ช้าก่อน”

 

หวังหงษ์เต๋าขัดจังหวะฉานนู่

 

เขาเงยหน้าขึ้นทันใด จ้องมองถึงการเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้า

 

สายลม

 

แว่วมาจากบนท้องฟ้าที่ห่างไกล

 

การไหลของกระแสลมทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

มันพัดผ่านเกาะลอยฟ้าที่บัดนี้ว่างเปล่า ไร้ซึ่งผู้คนของเขาอย่างแรง อัดอากาศกระแทกขึ้นมาถึงเวทีสูง

 

กระแสลมดังกล่าวนี้ มันผสมปนเปไปกับความโกลาหลที่ไม่อาจบอกบรรยายได้ ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่แสนจะคุ้นเคย

 

ใช่ นี่มันคือสายลมจากในมิติที่ว่างเปล่า

 

มันสามารถทะลวงฝ่ากำแพงอุปสรรคของโลกใบนี้ และปรากฏตัวขึ้นในโลกล่องเวหาโดยตรงได้แล้ว!

 

นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญญาณ … สัญญาณที่บ่งบอกว่าการล่มสลายของโลกใบนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

 

เมฆบนท้องฟ้ากระจัดกระจายหายไป

 

อากาศที่ว่างเปล่าทั้งหมดสั่นกระเพื่อมอย่างไม่รู้จบ ขณะเดียวกันก็สามารถมองเห็นถึงเศษสีเทาๆราวกับกระแสน้ำไหลปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา

 

เศษเหล่านั้นกระจายตัวไปทั่วทั้งอากาศที่ว่างเปล่า พวกมันดูวิบวับงดงาม ราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังถูกทำให้สลายไป

 

นี่อาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการถูกทำลายก็ได้

 

ตลอดทั้งโลกพลันเงียบ เงียบสงัด

 

ความเงียบนี้ ราวกับเป็นภาพลวงตาที่ทำให้ผู้คนบังเกิดความเข้าใจผิด คิดว่าทุกสิ่งอย่างจะยังคงปลอดภัย

 

อย่างไรก็ตาม หากคุณเข้าใจได้ถึงความเงียบงันราวกับความตายนี้ คุณจะรู้ได้ทันทีว่า นี่คือความเงียบสงบบนชายฝั่ง ก่อนที่คลื่นสึนามิจะโถมเข้ามาซัดสาด

 

หวังหงษ์เต๋าค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ

 

และยามเมื่อเขายืนหยัดด้วยสองขาอย่างมั่นคง ทั้งคนทั้งร่างก็ได้เปลี่ยนกลับมาเป็นกู่ฉิงซานโดยสมบูรณ์

 

“ฉานนู่ ข้ามีเรื่องจะเอ่ยถามเจ้า”

 

“นายน้อยเชิญกล่าว”

 

“เจ้าเป็นวิญญาณของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตอยู่มานานนับปี ดังนั้น เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ประสบพบเจอกับปรากฏการณ์อย่างการพบเห็นโลกถูกทำลายลงบ้างใช่หรือไม่?”

 

ฉานนู่ถอนหายใจ “นับตั้งแต่ที่ตัวข้าได้ถือกำเนิดขึ้นมา ข้าก็ได้เห็นถึงสิ่งแปลกประหลาดมากในหกโลก ทว่ากลับไม่เคยพบเห็นถึงโลกที่กำลังจะถูกทำลายมาก่อนเลย”

 

เธอขบคิดและเอ่ยเสริม “มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่โลกใกล้จะถึงหุบเหวแห่งการทำลายล้าง แต่ก็ได้ถูกช่วยไว้ด้วยชายหนุ่มจากมนุษยชาติเสียก่อน”

 

“โอ้ มีเรื่องเช่นนั้นด้วยหรือนี่”

 

“ใช่แล้ว มันเป็นเรื่องของท่านนั่นแหละ นายน้อย”

 

“ … ”

 

แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็หันขวับ! เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างฉับพลัน

 

เห็นแค่เพียงบนเกาะลอยฟ้าแห่งหนึ่ง กำลังสาดแสงสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ใจขึ้น

 

และในที่สุด ประกายแสงทั้งหมดก็วูบดับลง

 

เห็นแค่เพียงรูปแบบค่ายกลที่งดงามระเบิดขึ้นทันใด จากนั้นก็เริ่มเจาะเข้าไปในอากาศที่ว่างเปล่า

 

และมันก็บังเกิดรอยแตกร้าว ก่อนจะกระจายตัวเป็นเสี่ยงๆ

 

ตามด้วยหลุมดำขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

 

ภายในหลุมดำ เต็มไปด้วยฉากปฐมบทแห่งความโกลาหล มิอาจมองเห็นถึงสิ่งใดได้อย่างชัดเจน

 

ขณะเดียวกัน สายลมที่มองไม่เห็นก็เริ่มพัดกระพือรุนแรงขึ้นในโลกล่องเวหา

 

เกาะลอยฟ้าค่อยๆมุดเข้าไปในหลุมดำ และหายไป

 

พร้อมกับปากหลุมดำที่ค่อยๆปิดลง

 

เกาะลอยฟ้าได้หลบหนีไปแล้ว

 

“โฮกกกก-”

 

มารโลกาเปล่งเสียงคำรามดังสะท้อนไปไกล

 

วินาทีต่อมา หมู่เกาะลอยฟ้าโดยรอบ เกาะแล้วเกาะเล่าก็เริ่มที่จะทำตามๆกัน พากันทะลวงผ่านเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าอย่างต่อเนื่อง

 

การล่มสลายของโลกกำลังทวีความเร็วขึ้น ขณะที่แต่ละผู้ฝึกยุทธได้ทยอยกันตระหนักถึงสัญญาณนี้

 

หมู่เกาะลอยฟ้าไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อไขว่คว้าอนาคตที่ยังไม่แน่นอน …

 

“ทะลวงมิติ … ช่างโง่เขลาจริงๆ … แต่สำหรับพวกเขามันคงไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วล่ะนะ” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

 

หลังจากทะลวงมิติ มั่นใจได้เลยว่าผลลัพธ์ย่อมคือความตาย

 

มันคือกับดักแห่งความตาย ที่ผู้หญิงจากต่างโลกได้วางทิ้งเอาไว้

 

แต่การอยู่เลือกอยู่ต่อไปในโลกใบนี้ ก็ไร้ซึ่งหนทางรอดชีวิตเช่นกัน

 

เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ในแง่มุมนี้ เกาะลอยฟ้าส่วนหนึ่งจึงเลือกที่จะเดิมพัน และใช้ค่ายกลทะลวงมิติเข้าไป

 

“นายน้อย แล้วท่านวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป?” ฉานนู่เอ่ยเสียงกระซิบ

 

“พวกเราก็-”

 

เสียงของกู่ฉิงซานยังไม่ทันตกลง แต่เขาก็ดันได้ยินถึงเสียงดังอื่นแทรกเข้ามาเสียก่อน

 

บังเกิดการสั่นสะเทือนไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

 

กู่ฉิงซานเบนสายตามองไปยังด้านนอกของเกาะลอยฟ้า

 

เห็นแค่เพียงร่างของมารโลกาที่กำลังกระเพื่อมเป็นคลื่นสลับสูงต่ำราวกับทิวเขา

 

เห็นได้ชัดว่านี่คือช่วงเวลาลางดี แต่มารโลกาจู่ๆก็กลับสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างกระทันหัน!

 

มันได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงของโลกใบนี้แล้ว

 

และบางทีมารโลกาก็อาจจัดเตรียมการบางอย่างเอาไว้เช่นกันก็ได้!

 

กู่ฉิงซานกับฉานนู่เฝ้ารับฟังเสียงของมารโลกาด้วยกัน

 

“การทำลายล้าง กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” ฉานนู่กล่าวเสียงกระซิบ

 

เธอหันไปมองกู่ฉิงซาน

 

แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงเงียบ เหมือนว่าเขาจะกำลังใช้ความคิดอยู่

 

ต้องไม่ลืมนะว่า ในระหว่างที่โลกกำลังล่มสลาย กู่ฉิงซานยังจำเป็นที่จะต้องเอาชีวิตรอดให้นานยิ่งกว่าผู้ทดสอบแห่งลั่วชา(รากษส)อีกคนหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่าตนมีคุณสมบัติมากพอ

 

–คุณสมบัติที่จะได้เป็นรากษส

 

ในขณะนั้นเอง จู่ๆกู่ฉิงซานก็จดจำได้ถึงสิ่งหนึ่งในทันใด เขามองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

จริงสิ

 

ถึงแม้เขาจะไม่ทราบว่าเหตุการณ์ในช่วงวันสิ้นโลกนั้นเป็นอย่างไร แต่ระบบเทพสงครามที่เป็นคนพาเขาข้ามผ่านห้วงเวลามาย่อมจะต้องทราบอย่างแน่นอน

 

“ระบบ คุณได้พาฉันกลับมาจากวันสิ้นโลกใช่ไหม ถ้าอย่างงั้นคุณก็น่าจะได้เห็นถึงฉากการล่มสลายของโลกแล้วสิ … พอจะบอกข้อมูลบางอย่างที่เป็นประโยชน์แก่ฉันหน่อยจะได้ไหม?”

 

ติ๊ง!

 

บังเกิดเสียงอันคมชัด ระบบตอบกลับมาว่า “ฉันได้เดินทางข้ามผ่านมันมาพร้อมกันกับคุณ ตรงจุดนี้เข้าใจชัดเจนหรือไม่?”

 

“เข้าใจสิ”

 

“เช่นนั้นคุณได้เห็นถึงฉากการล่มสลายของโลกรึเปล่า?”

 

“ก็ไม่นะ”

 

“ถ้างั้นฉันก็ไม่เหมือนกัน”

 

“ …. เข้าใจแล้ว”

 

กู่ฉิงซานยอมแพ้

 

“นายน้อย?” ฉานนู่กระตุกแขนเสื้อเขา กล่าวเสียงเล็กๆ

 

“มีอะไรงั้นหรือ?”

 

สีหน้าของฉานนู่เผยถึงการกระตุ้นเตือน “เร่งใช้เจ้าสิ่งนั้นเร็วเข้า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเจ้าจะลืมมันไป”

 

“ลืม .. อะไรหรือ?” กู่ฉิงซานงง

 

“ก็ไพ่ใบนั้นไง ข้าจดจำได้ว่าหญิงที่ชื่อว่าชิงหยินได้มอบไพ่ใบหนึ่งให้แก่เจ้ามิใช่หรือ”

 

ฉานนู่กล่าวต่อ “หลานกับชิงหยินบอกว่า มันเป็นไพ่ที่หาได้ยากยิ่งด้วยนะ”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ชะงักไป

 

—ฉานนู่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถได้รับความรู้ของเขาได้ ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าไพ่ใบนั้นมีความพิเศษเพียงใด

 

กู่ฉิงซานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบไพ่ออกมา

 

บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ได้แจ้งเตือนถึงคำอธิบายของไพ่ใบนี้ทันที

 

“ไพ่พยากรณ์โชคชะตา , ไพ่แรร์(หายาก)”

 

“เมื่อคุณเกิดความลังเลขึ้น คุณสามารถดูไพ่ใบนี้เพื่อสังเกตถึงความเป็นไปได้บางอย่างในโชคชะตาของคุณ”

 

จริงสิ ไพ่ใบนี้มันสามารถช่วยให้เขามองเห็นถึงอนาคตได้นี่นา

 

กู่ฉิงซานจ้องมองเข้าไปในไพ่

 

บนหน้าไพ่ เห็นแค่เพียงความมืดมิดที่ค่อยๆปรากฏรูปร่างขึ้น

 

ตรงส่วนหน้าของไพ่ เต็มไปด้วยหลุมฝังศพจำนวนมาก พร้อมกับโครงกระดูกสีดำที่สวมใส่ชุดคลุมขาดวิ่น ขณะที่ถือเคียวยาวอยู่ในมือของเขา

 

“ดูเหมือนว่า … นั่นจะเป็นยมทูต เทพแห่งความตายในตำนาน?” กู่ฉิงซานบ่นพึมพำ

 

เมื่อโครงกระดูกดำพบว่ากู่ฉิงซานกำลังจ้องเข้ามาในไพ่ มันก็หันหน้าสวนกลับไปมองกู่ฉิงซาน

 

นี่คือไพ่แรร์ : ไพ่พยากรณ์โชคชะตา

 

ขณะนี้ มันกำลังแสดงให้กู่ฉิงซานได้เห็นถึงชะตากรรมของเขา -ซึ่งก็คือความตาย

 

ฉานนู่กล่าว “ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงอำนาจอันน่าขวัญผวาจากไพ่ใบนี้ นายน้อย พวกเราจะต้องเร่งมือคิดหาวิธีแก้ไขมันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้โครงกระดูกในไพ่หายไป”

 

“เหตุใดจึงต้องทำให้มันหายไปด้วย?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เพราะหากภาพของมันปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ นั่นหมายความว่าทุกๆการกระทำที่ท่านกำลังคิดจะทำในภายภาคหน้ามันเสี่ยงอันตรายถึงตาย ดังนั้นจึงต้องคิดหาหนทางใหม่เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ล่วงหน้า”

 

ฉานนู่มองไปยังกู่ฉิงซานด้วยความสับสน ความจริงเรื่องง่ายๆเช่นนี้เหตุใดกู่ฉิงซานจึงต้องเอ่ยถามย้ำกับเธอด้วย?

 

กู่ฉิงซานมองไปบนไพ่ ทันใดนั้นบนใบหน้าของเขาก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา

 

“ไม่จำเป็นหรอก” เขาส่ายหัว ปากเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“นายน้อย ไพ่ใบนี้ล้ำค่ายิ่ง มันเป็นอุปกรณ์ที่จะใช้ตัดสินลางร้าย แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ใช้มันล่ะ?” ฉานนู่เอ่ยด้วยความฉงน

 

“ก็หากไพ่ใบนี้สามารถชี้นำบุคคลให้รอดพ้นจากโชคชะตาแห่งความตายได้จริง แล้วทำไมชิงหยินถึงตายลงเล่า?” กู่ฉิงซานถาม

 

ฉานนู่ชะงักงันไป

 

อันที่จริง พอมาลองคิดดูแล้ว มันก็ใช่

 

แต่-

 

“ชิงหยินในเวลานั้นน่ะมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานั้นเธอจั่วไพ่สายเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากพอที่จะช่วยชีวิตตนเอง” ฉานนู่กล่าว

 

“ไม่ มันมิใช่เช่นนั้น”

 

“ผู้น้อยไม่เข้าใจ นายน้อยโปรดอธิบาย”

 

เธอเชื่อในการตัดสินใจของกู่ฉิงซานก็จริง แต่สำหรับเรื่องนี้ เธอไม่อาจเข้าใจมันได้เลย

 

“ฉานนู่ เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าหากเจ้าเชื่อในโชคชะตาแล้ว โชคชะตาก็จะตัดสินชีวิตให้เจ้า”

 

“อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกดาบอย่างเราๆน่ะ ไม่เคยเชื่อถือในชีวิต มิได้ตระหนักถึงความตาย พวกเราน่ะไม่ยอมรับในโชคชะตา ดังนั้น ชีวิตของเราจะอยู่หรือตาย พวกเราก็จะต้องเป็นคนไปต่อสู้กับมันด้วยตนเอง”

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังกายหลักของมารโลกา ที่ไพศาลยิ่งกว่าท้องทะเล ไกลสุดลูกหูลูกตาจนมิอาจมองเห็นถึงจุดสิ้นสุดได้

 

ทะเลกล้ามเนื้อ กำลังกระเพื่อมดั่งคลื่นสึนามิ เพื่อทำลายล้างโลก

 

ช่วงเวลานี้ คือช่วงเวลาสุดท้ายที่โลกทั้งใบจะยังคงสงบสุข

 

ฉานนู่เร่งกล่าวออกไป “แต่โลกทั้งใบกำลังจะล่มสลาย พลังอำนาจของมารโลกามิอาจต่อกรกับมันได้ แล้วพวกเราจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”

 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “ก็เพราะด้วยเหตุนี้แล เราจึงมิอาจถูกจูงจมูกโดยโชคชะตาได้ มิฉะนั้นแล้วพวกเราก็อาจจะจบชีวิตลงเช่นเดียวกับชิงหยิน ซึ่งแบบนั้นข้าไม่ยอมแน่”

 

“หากข้าไม่พึ่งพาโชคชะตา แต่ดิ้นรนด้วยตนเองแม้กระทั่งในช่วงเวลาสุดท้ายแล้วยังพ่ายแพ้ ข้าก็ไม่เสียใจ”

 

ฉานนู่ตะลึง

 

“ดังนั้น ข้าไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่ใบนี้”

 

กู่ฉิงซานเก็บกลับคืน

 

โดยที่เขาและฉานนู่ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยว่า ในช่วงเวลาที่ไพ่กำลังจะถูกใส่ลงในถุงสัมภาระ โครงกระดูกดำบนหน้าไพ่จู่ๆก็หายวับไป มิอาจมองเห็นได้อีกเลยกระทั่งร่องรอยของมัน

 

ไพ่ใบนี้ได้ระบุอย่างกระจ่างแจ้งแล้ว ถึงชะตากรรมต่อจากนี้ไปของกู่ฉิงซานที่มีเพียงความตาย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อกู่ฉิงซานล้มเลิกที่จะใช้ไพ่ใบนี้ และมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ทุ่มเทความพยายามด้วยตนเอง สัญญาณแห่งความตายก็แปรเปลี่ยนไปทันที

 

ไพ่ใบนี้ … ช่างแปลกประหลาดเสียจริงๆ

 

“ตอนนี้ยังพอจะเหลือเวลาอยู่บ้าง พวกเราไปสำรวจสถานการณ์รอบๆเกาะลอยฟ้ากันก่อนเถอะ จากนั้นก็ค่อยเริ่มเตรียมการบางอย่างกัน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เจ้าค่ะ นายน้อย” ฉานนู่รับคำ

 

แล้วทั้งสองก็กระโดดลงจากเวทีสูงไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด