Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 647 ตัวปลอม

Now you are reading Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ Chapter 647 ตัวปลอม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ใจกลางทะเลสาบ กู่ฉิงซานกำลังพิจารณาอย่างรอบคอบ

เขาไม่ได้ระมัดระวังตัวแจขนาดนี้ มาเป็นเวลานานแล้ว

แต่เรื่องนี้มันมิอาจตำหนิเขาได้ เพราะทั้งหมดนี้ ในที่สุดตัวเองก็ได้มาถึงขอบเขตพันวิบัติเสียที

เมื่อครั้งที่ได้ก้าวเข้าสู่โลกเทวะ เกราะรบเพลิงคำรนเคยอธิบายเกี่ยวกับขอบเขตวรยุทธ์แก่เขา

เจ้าตัวยังคงจดจำได้ดีถึงสิ่งที่เกราะรบเพลิงคำรนกล่าว

“ขอบเขตสูงสุดของโลกเจ้าคือประทับเทพ เหนือยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพคือร่างเทวะ พันวิบัติ และขีดสุดความว่างเปล่า สามขอบเขต”

“และในขอบเขตพันวิบัติ ว่ากันว่าเป็นขอบเขตที่แปลกประหลาดมากที่สุด เพราะผู้ฝึกยุทธ์จำเป็นต้องรับมือกับภัยพิบัตินานับไม่ถ้วนในขอบเขตนี้ ทว่าเมื่อข้ามผ่านสถานการณ์ดังที่กล่าวมาจนสิ้น เจ้าก็จะสามารถก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าได้ในที่สุด”

ดังนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตพันวิบัติ จึงมิต้องเผชิญหน้ากับทัณฑ์สายลมและสายฟ้าจากสวรรค์ แต่จะต้องเผชิญกับทุกรูปแบบของภัยพิบัติแทน

หลังจากเสร็จสิ้นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ทั้งหมดได้แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าไปได้เลยตามธรรมชาติ

ในโลกล่องเวหา มีมุมมองที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ผู้ฝึกยุทธ์จะอยู่ในสภาวะพร้อมข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ตลอดเวลาในส่วนนี้ กล่าวได้ว่าพวกเขามีความเข้าใจ และความเห็นเช่นเดียวกันกับโลกเทวะ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเห็นเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นทางฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ของโลกล่องเวหาที่เข้าใจมันได้ลึกซึ้งยิ่งกว่า

ในมุมมองของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าภัยพิบัตินี้เกี่ยวข้องกับกรรมของผู้ฝึกยุทธ์

ผู้ฝึกยุทธ์ที่เคยออกล่าสังหารมามากมาย จะต้องถูกกีดกันจากบาปและความชั่วร้ายอันแสนสาหัสที่ตัวเขาเป็นคนก่อในขอบเขตนี้

ว่ากันว่าครั้งหนึ่ง เคยมีผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมาร ต้องเผชิญกับภัยพิบัติกว่าแปดพันเก้าร้อยหกสิบสามครั้งในขอบเขตพันวิบัติ

และในท้ายที่สุด เขาก็สิ้นใจลงในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะยกระดับขึ้นเป็นขีดสุดความว่างเปล่า

โดยภัยพิบัติของโทษทัณฑ์ในครั้งสุดท้ายครั้งนั้น ก็คือศิษย์น้องของเขา

ในครั้งอดีต เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ประตูนิกาย ครั้งหนึ่งในช่วงเวลาที่โลกถูกโจมตี เขาได้ฉวยโอกาสนั้นหักหลังศิษย์น้องของตนเอง

หลังจากที่ศิษย์น้องของเขาถูกผลักลงสู่ซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้ว ก็ไม่มีใครได้รับข่าวของชายคนนั้นอีกเลย

อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารผู้นี้ หลังจากที่จัดการศิษย์น้องได้แล้ว เขาก็ยังมิคิดหยุดยั้งบาปกรรมของตน กลับยังเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ทั้งอ่อนแข็ง หว่านล้อมคู่หมั้นของศิษย์น้อง จนตกเป็นของตนได้ในที่สุด

แล้วเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นมานานปี จนผู้คนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว

แต่ใครจะไปรู้ ว่าศิษย์น้องของเขาจะเปลี่ยนโชคร้ายที่เผชิญเป็นพรอันแรงกล้า เจ้าตัวได้พบกับสถานที่ชั้นเลิศในซากปรักหักพัง และแอบเข้าไปฝึกยุทธ์อยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายสิบปี จนในที่สุดก็สามารถหลุดออกมาจากสถานที่แห่งนั้นได้

เมื่อศิษย์น้องกลับมา มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่เลือกเดินทางสายมารเกือบจะก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่าพอดิบพอดี

ศิษย์น้องจึงได้ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาสุดท้ายในการตัดผ่าน ฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปและตัดหัวอีกฝ่ายจนขาดกระเด็น!

นับแต่นั้นมา ในโลกล่องเวหา เหล่าผู้ฝึกยุทธ์มากมายจึงหาได้เกรงกลัวต่อภัยธรรมชาติไม่ แต่หวาดกลัวในกรรมของภัยพิบัติ ของขอบเขตพันวิบัติแทน

เพราะท้ายที่สุด กรรมของผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหา นั้นมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นภัยพิบัติที่พวกเขาต้องพานพบจึงเปรียบดั่งฝันร้ายที่คอยหลอกหลอน ตามติดดั่งเงาตามตัว

‘ขอบเขตพันวิบัติ…’

คือขอบเขตที่ต้องทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ตลอดเวลา…

กู่ฉิงซานรู้สึกปวดหัว และอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานวดๆ ตรงหว่างคิ้ว

เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาใบหยกออกมา

นี่คือเทคนิคลับจากในถุงสัมภาระของผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงษ์เต๋า เป็นสิ่งที่เขานำมันมาจากโลกล่องเวหา

ในวันนั้น ที่กู่ฉิงซานสังหารหวังหงษ์เต๋า ฉานนู่ได้ฉกเอาถุงสัมภาระของอีกฝ่ายมาได้อย่างรวดเร็ว

ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในขอบเขตลมปราณจิต ถุงสัมภาระของหวังหงษ์เต๋าจึงเต็มไปด้วยของดี

แต่ตอนนี้ ทั้งหมดกลายเป็นของกู่ฉิงซานไปแล้ว

ระหว่างที่เขาถือใบหยก เส้นแสงหิ่งห้อยก็ปรากฏขึ้นทันทีบนหน้าต่างเทพสงคราม

“ชื่อไอเท็ม เทคนิคลับ การเหนี่ยวนำกรรมแห่งพันวิบัติ”

“ประเภท เทคนิคฝึกยุทธ์”

“วิชายุทธ์เทพสงคราม การเรียนรู้เทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จะช่วยให้คุณสามารถรับรู้ได้ถึงภัยพิบัติจำนวนมากที่คุณจะต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ”

“โปรดทราบ นี่คือเทคนิคลับที่ผู้ฝึกยุทธ์ในโลกล่องเวหาทำการศึกษาเกี่ยวกับขอบเขตพันวิบัติมาโดยเฉพาะ แม้ว่ามันจะสามารถช่วยให้คุณรับรู้คร่าวๆ ถึงจำนวนของภัยพิบัติได้ แต่มันไม่อาจช่วยคาดการณ์ระยะเวลาล่วงหน้าของภัยพิบัติได้”

“คำอธิบาย การศึกษาเทคนิคฝึกยุทธ์นี้ จำเป็นต้องจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณ”

“คำอธิบายตามพงศาวดารวันสิ้นโลก ไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นเกี่ยวกับมัน”

ด้วยแต้มพลังวิญญาณที่มีมากกว่าแปดหมื่นแต้ม กู่ฉิงซานทำการจ่ายสองร้อยแต้มพลังวิญญาณไปทันที

เขากุมใบหยกในมือ สองตาปิดสนิท

กระแสความร้อนไหลบ่าออกจากใบหยก ผลุบเข้าไปตามมือของเขา วิ่งไปตามกระดูกและแขน ไหลลงสู่ทะเลแห่งห้วงสติ

เพียงไม่นาน กู่ฉิงซานก็สามารถเข้าใจถึงวิธีการเหนี่ยวนำของเทคนิคลับนี้ได้สำเร็จ

เขายื่นมือออกไปจีบออกด้วยวิชาลับ และทำการกระตุ้นเทคนิค

ทันใดนั้นสวรรค์และโลกราวกับเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกับเขา ภาพของบาป (กรรม) ที่เคยกระทำในอดีตผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา

ภัยพิบัติแล้ว ภัยพิบัติเล่าเริ่มจะปรากฏขึ้นมาทีละหนึ่ง ทีละหนึ่ง

โดยสิ้นเชิงแล้ว รวมทั้งหมดเป็น…

สามครั้ง!

ครั้งแรกคือขอบเขตพันวิบัติขั้นต้น อีกครั้งคือขั้นกลาง และครั้งสุดท้ายคือขั้นปลาย

จากนั้น เขาก็จะสามารถยกระดับขึ้นสู่ขีดสุดความว่างเปล่าได้เลยโดยตรง

กู่ฉิงซานลืมตาขึ้น ในหัวใจค่อนข้างรู้สึกสับสนเล็กน้อย

เพราะสามครั้งคือจำนวนภัยพิบัติขั้นต่ำที่สุด ที่ผู้ฝึกยุทธ์จำต้องเผชิญในขอบเขตพันวิบัติ

…นี่หมายความว่าตัวเขาไม่มีบาปเลยกระนั้นหรือ?

หรือว่าพวกเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ การดิ้นรนในโลกเทวะ การต่อสู้ในโลกปรภพ และการเรียกขานของวิหคหนาม

สิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา แท้จริงแล้วมันมิได้ก่อให้เกิดบาป แต่ก่อให้เกิดคุณงามความดีแทนหรือ?

บางที อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ที่ส่งผลให้ภัยพิบัติที่เขาต้องเผชิญมันมีแค่สามครั้งเท่านั้น

ในกรณีนี้ ตราบใดที่เขาให้ความสนใจกับภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น เขาก็จะสามารถผ่านพ้นสถานการณ์แห่งเภทภัยไปได้อย่างง่ายดาย

นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแท้จริง

กู่ฉิงซานอารมณ์ดีขึ้นมาทันที

ในเมื่อปัญหานี้ได้รับการแก้ไขแล้ว งั้นต่อไปตอนนี้ เขาก็จะได้ติดต่อกับอาจารย์สักที

เขาไม่ลังเลเลยที่จะตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเขาตราสัญลักษณ์นายพลออกมา

หากระยะทางไม่ไกลเกินไป แต่ละฝ่ายที่ครอบครอง จะสามารถส่ง หรือนำสิ่งของผ่านทางตราสัญลักษณ์ให้แก่กันและกันได้ทันที

กู่ฉิงซานหยิบยันต์สื่อสารของนางเซียนไป่ฮั่วออกมา กล่าววาจาลงไปหลายคำ ก่อนจะยัดมันลงไปในตราสัญลักษณ์นายพล

และแทบจะในทันที เขาก็สัมผัสได้ว่ายันต์สื่อสารได้หายไป

นี่หมายความว่านางเซียนไป่ฮั่วได้รับยันต์สื่อสารของเขา และหยิบมันออกไปจากตรานายพลแล้ว!

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอท่านอาจารย์

ช่วงก่อนหน้านี้ ครั้งหนึ่งตนเคยลองพยายามใช้งานตราสัญลักษณ์นายพลในโลกล่องเวหาอยู่เหมือนกัน แต่น่าจะเป็นเพราะระยะทางที่ไกลเกินไป ตราสัญลักษณ์นี้จึงไม่สามารถใช้งานได้

และเมื่อได้กลับมายังโลกเทวะอีกครั้ง ซึ่งแม้ขณะนี้อาณาเขตของโลกจะกว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอย่างมหาศาล แต่เมื่อเป็นโลกเดียวกัน ตราสัญลักษณ์นายพลจึงยังใช้งานได้เป็นอย่างดี

เฝ้ารอสักพักหนึ่ง ยันต์สื่อสารจากอีกฝั่งก็ถูกยัดเข้ามาในตรานายพล

กู่ฉิงซานเร่งนำมันออกมา และกระตุ้นพลังวิญญาณใส่มันทันที

ได้ยินถึงเสียงที่แฝงไว้ซึ่งร่องรอยจางๆ ของความกังวลของนางเซียนไป่ฮั่วดังออกมาจากยันต์ “ฉิงซาน เมื่อไม่นานมานี้มีบางคนแสร้งปลอมตัวเป็นเจ้า แม้ว่าสุดท้ายจะถูกข้าจับตัวไว้แล้วก็ตาม แต่ตอนนี้เจ้าไม่สมควรเถลไถลไปในที่ใด เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดและปัญหาใหม่ตามมา จงรออยู่ที่นั่น ศิษย์น้องหญิงทั้งสองกำลังไปรับตัวเจ้ากลับมา”

แสร้ง…ปลอมตัวเป็นฉันงั้นหรือ?

กู่ฉิงซานตกใจ

แต่เขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

นอกเหนือไปจากผู้ฝึกดาบในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ยังจะมีใครอีกที่สามารถปลอมเป็นเขาได้?

ในโลกใบนี้ ไม่น่าจะปรากฏเรื่องเช่นนี้ขึ้น

บางทีเกรงว่านี่อาจจะเป็นฝีมือของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ มันอาจจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกยุทธ์จากต่างโลกก็ได้

ดูเหมือนว่าคนที่ทำเรื่องนี้ ชัดเจนว่าได้ทำการตรวจสอบเรื่องที่ฉีหยานได้บุกเข้ามายังโลกเทวะแล้ว

ในวันนั้น นางเซียนไป่ฮั่วกับนักพรตเป่ยหยวนได้ร่วมมือกันทุ่มสุดกำลังเพื่อรับมือกับฉีหยาน ซึ่งในท้ายที่สุด กู่ฉิงซานก็ได้เรียกมารสวรรค์มา และส่งฉีหยานไปยังโลกของพวกเธอ

ขณะเดียวกัน กู่ฉิงซานเองก็ถูกส่งไปยังโลกล่องเวหา

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนที่เห็นต่างก็เป็นพยานในเรื่องนี้

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่าคนที่วางแผนปลอมตัวเป็นกู่ฉิงซาน เหมือนจะล่วงรู้ว่าตัวเขาเองเคยทำอะไรมาก่อน

อีกฝ่ายยังรู้กระทั่งว่ากู่ฉิงซานได้หายตัวไปจากโลกใบนี้

ดังนั้น หากแสร้งปลอมตัวเป็นตน แล้วเดินผ่านท่ามกลางฝูงชน ย่อมแน่นอนว่าจะต้องสามารถได้รับข้อมูลของโลกใบนี้ไปได้มากมาย

อย่างไรก็ตาม ทั้งๆ ที่มีอาจารย์อยู่ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้กล้า

ไม่สิ!

เพราะท่านอาจารย์จำเป็นต้องใช้สักส่วนที่จำกัดในการผสานรวมโลก ท่านถึงได้เลือกเข้าร่วมกับพันธมิตรแห่งผู้ฝึกยุทธ์

ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงมักจะต้องออกไปข้างนอกอยู่บ่อยๆ เพื่อเข้าร่วมในการต่อสู้ต่างๆ ของพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์

ดังนั้น หากเป็นในช่วงที่ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้วล่ะก็ คนที่แสร้งปลอมตัวเป็นเขา ก็อาจเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป้าหมายจนสำเร็จ!

ตนผู้สามารถช่วยโลกเทวะเอาไว้ได้ และสามารถกลับมาจากโลกอันห่างไกล

ด้วยเหตุผลตามประโยคข้างบนที่กล่าวมา ส่งผลให้คนที่ปลอมเป็นเขา จะต้องได้รับคำขอบคุณจากทุกคนอย่างแน่นอน

บางที คนที่ปลอมตัวเป็นตน อาจจะได้ทำการตรวจสอบพื้นเพของโลกใบนี้มาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ได้

ท่านอาจารย์บอกว่าอย่าเถลไถลไปรอบๆ เพราะเกรงว่าผู้ฝึกยุทธ์จะลงมือกับเขาซึ่งเป็นตัวจริง

กู่ฉิงซานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ากลยุทธ์ที่ตนใช้ปลอมตัวเป็นฉีหยานเข้าไปในโลกล่องเวหา จะถูกคนอื่นใช้โดยการปลอมตัวเป็นตนเข้ามายังโลกเทวะเช่นกัน

นี่สินะที่เรียกกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง

แต่นับว่าโชคยังดีที่ท่านอาจารย์ได้รับรู้ถึงเรื่องนี้ และออกไปจัดการกับมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม…

ประโยคสุดท้ายที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ‘ศิษย์น้องหญิงทั้งสอง’ นั่นมันเรื่องอะไรกันแน่นะ?

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด