Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ 610 กุญแจในการปลดปล่อยจิตวิญญาณ

Now you are reading Worlds’ Apocalypse Online หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ออนไลน์ Chapter 610 กุญแจในการปลดปล่อยจิตวิญญาณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนังสือปกดำลอยนิ่งอยู่บนฝ่ามือของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

แต่กู่ฉิงซานก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะเปิดมัน

เพราะยามเมื่อต้องเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่รู้จัก ตัวเขามักจะมีความระแวดระวัง รู้จักอดทนอยู่เสมอ

เขามองไปยังเส้นแสงหิ่งห้อยบนหน้าต่างเทพสงครามและเริ่มเอ่ยถามระบบ

“ระบบเทพสงคราม คุณช่วยอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งหกเงื่อนไขที่ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นร่างเงาเทพให้ฉันฟังหน่อยจะได้ไหม?”

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบ

“หนึ่ง โลกเก้าร้อยล้านชั้นเป็นสิ่งที่ทวยเทพสร้างขึ้น และในเวลานี้ เหล่าทวยเทพก็ได้จากไปแล้ว ขณะที่วันสิ้นโลกกลับปรากฏขึ้น ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ ที่ระบบวันสิ้นโลกกำลังจะมาเยือนอาณาจักรทั้งมวล จึงตรงตามเงื่อนไขแรกของเหล่าทวยเทพไปโดยปริยาย”

“สอง โลกสมบัติของทริสเต้ใบนี้เป็นสถานที่พำนักของเหล่าทวยเทพในยุคโบราณอันไกลโพ้น”

“สาม เช่าหยินคือดาบที่ถูกหลอมกลั่นโดยเทพบรรพกาล ซึ่งคุณสามารถเป็นเจ้าของดาบเล่มนี้ได้ ดังนั้นเทพวิญญาณจึงยอมรับคุณเป็นราชาแห่งท้องทะเล”

“สี่ ตั้งแต่ที่คุณเข้าสู่โลกใบนี้ คุณก็ได้ทำการต่อต้านเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ต้นกำเนิด มาโดยตลอดและยอดภูเขาน้ำแข็งของเหล่าทวยเทพก็ได้เป็นประจักษ์พยานต่อเหตุการณ์ทั้งหมด”

“ห้า คุณสามารถทำลายสองระบบในเวลาเดียวกัน”

“หก คุณได้รับการยอมรับจากระบบเทพสงคราม เป็นเจ้าของอำนาจเทพสงคราม นอกจากนี้ยังครอบครองกฎเกณฑ์เกี่ยวกับมิติและเวลาของวันสิ้นโลกในอดีตอีกด้วย ซึ่งตรงส่วนนี้คุณก็น่าจะเข้าใจดี”

เมื่ออ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ลมหายใจของกู่ฉิงซานก็ขาดห้วงไปเล็กน้อย

นั่นสินะ ฉันลอบกลับมาจากมิติและเวลาในอนาคตจริงๆ กลับมาสู่อดีตแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

หากอ้างอิงตามตรรกะทางด้านวิทยาศาสตร์ อนาคตไม่ว่าอย่างไรก็ย่อมมีอิทธิพลต่ออดีต

แต่ในกรณีของฉัน แท้จริงแล้วจะเป็นอนาคตที่มีอิทธิพลต่ออดีต หรือเป็นอดีตที่มีอิทธิพลต่ออนาคตกันแน่นะ?

ไม่ อันที่จริงแล้วมันควรจะเป็นแบบนี้ต่างหาก

ตนเองและระบบเทพสงครามเริ่มต้นจากการแอบย่องข้ามมิติและเวลาจากอนาคต ดังนั้นช่วงเวลาในอดีตจึงได้รับผลกระทบทั้งหมด ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ในอดีตรูปแบบใหม่ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้มันสามารถพิจารณาด้วยตรรกะทางวิทยาศาสตร์จริงๆ หรือ?

กู่ฉิงซานส่ายหัว

เขาย้อนนึกไปถึงมอนสเตอร์ตัวนั้นอีกครั้ง

“ช่างน่าสงสาร…” นี่คือสิ่งที่มอนสเตอร์พูดกับเขาก่อนมันจะตาย

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างเงียบๆ

เรื่องราวมันลึกลับมากเกินไป และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา ย่อมไม่มีทางที่จะยืนยันเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้

ขณะนั้นเอง บรรทัดแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“ปัจจุบัน คุณสามารถรับของขวัญจากเหล่าทวยเทพได้แล้ว”

พอกวาดสายตาอ่านบรรทัดแสงนี้ กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงความปีติยินดีของระบบเทพสงคราม

“นี่คงไม่ใช่กับดักหรืออะไรทำนองนั้นหรอกนะ…ใช่ไหม?”

เขาเอ่ยถาม

“ไม่ใช่แน่นอน เพราะเหล่าทวยเทพไม่ได้เกลียดชังอะไรในตัวระบบ และคุณก็ได้พิสูจน์ถึงจุดยืนของตัวเองด้วยการกระทำภายในโลกที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยพำนักอยู่นี่ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ดังนั้น สิ่งที่เหล่าทวยเทพเหลือทิ้งไว้เบื้องหลัง จะไม่ถูกนำมาใช้จัดการกับคุณ” ระบบเทพสงครามตอบ

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจและกล่าว “ดีล่ะ ถ้าอย่างงั้นมาดูกันว่าหนังสือปกดำเล่มนี้คืออะไร”

ว่าจบ เขาก็เอื้อมมือไปหยิบหนังสือปกดำขึ้นมา

ทันใดนั้นเส้นแสงตัวอักษรใหม่ก็ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“คุณได้รับหนังสือของขวัญจากเทพผู้รังสรรค์”

“กรุณาเปิดหนังสือเล่มนี้”

กู่ฉิงซานเปิดปกหนังสือที่ปิดอยู่อย่างช้าๆ

ชั่วพริบตาที่มันถูกเปิดออก ตลอดทั้งเล่มของหนังสือปกดำก็สาดประกายรังสีแสงสดใส พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

ภายใต้แสงสว่างอันงดงามนี้ มันเปล่งประกายไปด้วยความหมายของชีวิต และการยกย่องบูชา เวียนว่ายไปมาไม่หยุดเหนือหัวของกู่ฉิงซาน

ในเวลาเดียวกันแสงและเงาระหว่างสวรรค์และโลกก็เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นร่างยักษ์ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

รูปร่างของอีกฝ่ายใหญ่โตราวกับขุนเขา กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหน้ามีความสูงเพียงแค่ระดับเดียวกันกับเท้าของมันเท่านั้น

ร่างยักษ์มองลงมายังกู่ฉิงซาน เริ่มอ้าปากพูดคุย

“เจ้าเป็นคนที่สามของโลกเก้าร้อยล้านชั้น ที่ได้รับของขวัญจากเหล่าทวยเทพ เวลานี้ เจ้าสามารถพูดถึงสิ่งที่ปรารถนามากที่สุดจากในจิตใจออกมาได้”

กู่ฉิงซานนิ่งค้างไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักได้ถึงปฏิกิริยาของเขา ระบบเทพสงครามก็เร่งผุดบรรทัดแสง เตือนขึ้นบนหน้าต่างอย่างรวดเร็ว

“คุณต้องบอกความจริงออกไป”

ราวกับกลัวว่ากู่ฉิงซานจะเสียโอกาสนี้ไป บนหน้าต่างเทพสงครามจึงปรากฏเส้นแสงหิ่งห้อยขึ้นมาอีกครั้ง และอธิบายถึงรายละเอียดอย่างรวดเร็ว

“กฎแห่งเหตุและผลของเทพวิญญาณมีกฎเกณฑ์ในตัวของพวกมันเองอยู่ ดังนั้นสิ่งที่คุณกำลังจะพูดออกไป มันต้องเป็นความปรารถนาจากส่วนลึกที่สุดในจิตใจของตัวเองจริงๆ คำขอนั้นจึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น”

“ดังนั้น คุณจะต้องเอ่ยความปรารถนาที่จริงแท้ที่สุดในจิตใจของตัวเองออกมา!”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านหน้าต่างเทพสงคราม และพยักหน้าเล็กน้อย แสดงท่าทีว่าเขาเข้าใจ

เขามองขึ้นไปยังแสงและเงาของร่างยักษ์บนท้องฟ้า และสูดหายใจเข้าลึกๆ

“ในความเป็นจริงแล้ว หลายครั้งหลายครา ตัวฉันมักจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เนื่องมาจากการที่ตนเองอ่อนแอ ดังนั้นฉันจึงเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง”

เขาเริ่มอธิบาย

“ถ้าหากท่านต้องการจะช่วยฉันจริงๆ ได้โปรดมอบความแข็งแกร่งที่เหนือล้ำยิ่งกว่าในวันนี้ เพื่อที่ฉันจะได้สามารถใช้มันต่อต้านระบบ สามารถได้รับอิสรภาพ สามารถปกป้องทุกคนที่ฉันต้องการจะปกป้องได้ด้วยเถอะ!”

“ฉันปรารถนาในพลังอันยิ่งใหญ่!”

“อำนาจที่มากพอจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง!”

“ฉันต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้น และได้รับพลังอำนาจที่มากขึ้น นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันปรารถนามากที่สุดล่ะ!”

กู่ฉิงซานตะโกนเสียงดัง

เขาสิ้นหวังมากเกินไป เกือบทุกครั้งเลยตนจะต้องถูกบีบบังคับให้เผชิญกับสถานการณ์ไร้หนทาง ส่งผลให้ตลอดเวลา เขามักจะรู้สึกราวกับว่าตนกำลังย่ำอยู่ตรงขอบหน้าผาอยู่เสมอๆ ต้องเค้นสมองเฟ้นหาวิธีทุกหนทางในการต่อสู้ เพื่อไขว่คว้าโอกาสอันน้อยนิดให้สามารถรอดชีวิตอยู่ต่อไปได้

เขาต้องงัดทุกอย่างที่เขาสามารถทำได้ และใช้ออกด้วยทุกสิ่งที่เขามี

แต่!

หากเขาแข็งแกร่งมากพอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคิดหนัก ไม่ต้องเลือกที่จะหลบหนีไปมา หรือใช้ออกด้วยทุกกลยุทธ์ใดๆ เลย

ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่หยิบดาบขึ้นมา และใช้มันฟาดฟันแก้ไขทุกๆ ปัญหาก็เท่านั้น!

เหมือนกันกับที่ร่างใหญ่ที่อยู่มากกว่าหนึ่งแสนปีได้กล่าวเอาไว้ ว่าสำหรับช่วงเวลาแห่งวันสิ้นโลก ความอ่อนแอนับว่าเป็นบาปมหันต์!

ฉะนั้น เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น!

ในช่วงเวลานี้

ระหว่างเผชิญหน้ากับแสงและเงาของร่างยักษ์เทพบรรพกาล

กู่ฉิงซานได้ระบายความปรารถนาจากส่วนลึกในจิตใจของเขา เปล่งมันออกไปด้วยความจริงใจและทะเยอทะยานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เหนือทะเลเมฆ ใต้ผืนฟ้า

แสงและเงาของยักษ์ใหญ่เทพบรรพกาลรับฟังคำขอของกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ

“แข็งแกร่งขึ้น? นั่นหรือคือสิ่งที่เจ้าปรารถนามากที่สุด?” เขาถาม

“ใช่” กู่ฉิงซานตอบ

แสงและเงาร่างยักษ์กล่าว “ทว่าตามกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งมวล พวกมันย่อมไม่ยอมรับถึงการดำรงอยู่ที่จู่ๆ ก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ เหตุและผลย่อมมีกฎของตัวมันเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถก้าวหน้าในระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืนไปได้”

“และที่สำคัญ ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถมอบอำนาจที่แข็งแกร่งในทันทีให้แก่เจ้าได้”

“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ มันมีอยู่สิ่งหนึ่งที่จะสำแดงผลลัพธ์ช่วยให้เจ้าสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ดั่งที่ใจเจ้าปรารถนา”

“หากได้รับมัน เจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่มันต้องใช้เวลาและความเพียรพยายามอย่างหนัก เจ้าเองจำต้องจ่ายเลือดและเนื้อออกไปมากกว่าคนอื่นๆ จักต้องฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้น มีวินัยให้มากยิ่งขึ้น ปฏิบัติตนให้เหมาะสมที่จะได้เป็นราชาเหนือราชาทั้งปวง”

“กล่าวกันว่ายิ่งทำงานหนักเท่าใด ผลตอบแทนที่ได้รับก็จะยิ่งมากเท่านั้น ซึ่งหากเจ้าทำแบบที่ว่า มันก็จะเกิดการสอดคล้องกับกฎแห่งเหตุและผล และทุกกฎเกณฑ์ของอาณาจักรทั้งปวง”

“ของขวัญที่ข้ากำลังจะมอบให้นี้ หากเจ้าไม่มุ่งมั่นทำงานให้หนักยิ่งกว่าผู้อื่นนับสิบเท่า มันก็แทบจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย”

“คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ว่าเจ้ายินดีจะยอมรับมันเอาไว้หรือไม่?”

“ฉันยอมรับ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างไม่ลังเล

แสงและเงาร่างยักษ์พอได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย

แสงและเงายักษ์โบกมือออกไป

เห็นแค่เพียงในความว่างเปล่าเหนือหัวของกู่ฉิงซาน ทั้งหมดขยับไหวราวกับกระแสธารหลาก ไหลมาท่วมรวมกันบนฝ่ามือของเงายักษ์

รังสีแสงอันเข้มข้นแปรเปลี่ยนรูปร่างอย่างรวดเร็วกลายเป็นรูปปั้นที่เปล่งเสียงบางเบานับไม่ถ้วนออกมา

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอย่างตั้งใจ และเห็นว่ารูปปั้นที่ว่านั้นมีร่างกายเหมือนคนปกติ ทว่าเหนือขึ้นไปตรงส่วนหัวกลับปรากฏถึงสี่หน้า หันออกไปสี่ทิศ

และเหนือสี่หัวขึ้นไป ก็ยังคงมีอีกสี่หัว หันออกไปในอีกสี่ทิศทางเช่นกัน

และหัวสี่ทิศที่ว่าก็ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลากยาวไปจนถึงเจ็ดชั้น ทว่าชั้นสุดท้ายกลับปรากฏให้เห็นเพียงแค่หัวเดียวเท่านั้น

เมื่อมองไปยังรูปปั้นดังกล่าวนี้ในคราวแรก จะรู้สึกราวกับถูกดึงดูดเข้าไป แต่หากได้ลองเฝ้ามองอย่างใกล้ชิด มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้บางอย่างขึ้นมา

แสงและเงายักษ์ถือรูปปั้นนี้และกล่าว

“ในตลอดทั้งหมื่นโลกา ย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีกฎเกณฑ์พื้นฐานของมัน”

“และเพื่อที่จะรักษาสมดุลของอาณาจักรทั้งปวงเอาไว้ เพื่อที่จะยับยั้งความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตไม่ให้มากจนเกินไป ‘กฎเกณฑ์แห่งจิตวิญญาณ’ อันลึกล้ำจึงถือกำเนิดขึ้น”

“อำนาจของกฎที่ว่านั่นก็คือ จิตวิญญาณจะไม่สามารถเบี่ยงเบนไปในวิถีอันหลากหลายได้…หากจิตใจของเจ้าเบี่ยงเบนเป้าหมายไปยังอีกสิ่งหนึ่ง ความเชี่ยวชาญในวิถีนั้นๆ ก็จะลดต่ำลง”

กู่ฉิงซานพอได้ฟังคำของแสงและเงาร่างยักษ์ก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้า

เขาย้อนนึกไปถึงในโลกล่องเวหา ย้อนนึกไปถึง ‘ดาบคู่เอกลักษณ์’ เฉียนซานเย่

เพื่อที่จะฝึกฝนทั้งทักษะดาบและกระบี่ให้เชี่ยวชาญ เฉียนซานเย่จำได้ใช้ออกด้วยเทคนิคแยกวิญญาณออกเป็นสองส่วน จึงจะสามารถเชี่ยวชาญทั้งสองทักษะนี้ได้

แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาก็ไม่แตกต่างไปจากหลานซิ่งแห่งจักรวรรดิเทียนหลาน ที่จำต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากดวงวิญญาณที่แยกออกอยู่ตลอดเวลา

ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเช่นนี้ จริงอยู่ที่ว่ามันจะสามารถทำให้ผู้คนฝึกฝนวิถีที่หมายปองจนเชี่ยวชาญได้มากกว่าหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งทางจิตก็จะถดถอยลง และสามารถถูกโจมตีโดยผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย

ดังนั้น เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกล่องเวหา แม้ว่าเขาจะได้ล่วงรู้ถึงเทคนิคแยกวิญญาณนี้ แต่ตนก็ไม่เคยคิดที่จะใยดีมันเลย

แสงและเงายักษ์กล่าวต่อ

“ตอนนี้ ข้าจะใช้อำนาจของทวยเทพ สร้างผลกระทบต่อกฎเกณฑ์ของเหตุและผล เพื่อเป็นกุญแจสู่การปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า”

“สมบัติชิ้นนี้จะช่วยปลดปล่อยขีดจำกัดจิตวิญญาณไปโดยสมบูรณ์”

“ความหมายก็คือ นับแต่นี้ไป เจ้าจะสามารถฝึกฝนทักษะทั้งหมด สามารถมุ่งเดินไปในทุกๆ วิถีที่หมายปอง โดยไร้ซึ่งข้อจำกัดใดๆ สามารถเชี่ยวชาญในศาสตร์ทุกแขนงได้โดยไม่มีกฎเกณฑ์ของตลอดทั้งหมื่นโลกามาผูกมัด กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าทุกสรรพชีวิตทั้งมวล”

“หากเจ้าจ่ายออกด้วยหยาดเหงื่อและความเพียรพยายามที่มากพอ ตัวเจ้าจะกลายเป็นเทพสงครามที่ทรงอำนาจ เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกศาสตร์ ทุกแขนง”

แสงและเงายักษ์กล่าวจบ ก็โยนรูปปั้นไปทางกู่ฉิงซาน

รูปปั้นตกลงเหนือหัวของกู่ฉิงซาน และทันใดนั้นมันก็แปรสภาพกลายเป็นแสงจรัสอันไร้ที่สิ้นสุด จมหายเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา

ปัง!

กู่ฉิงซานที่ยืนอยู่กลางอากาศ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนกำลังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ คล้ายกับว่ามีบางอย่างได้รับการปลดปล่อย

พริบตาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น ตัวเขาก็ถูกตรวจพบโดยฟ้าดินทันที

บังเกิดคลื่นความผันผวนอย่างรุนแรงไปตลอดทั้งสวรรค์และโลก

ท่ามกลางตลอดทั้งโลกนับล้านๆ ความผันผวนอันไร้ที่สิ้นสุดนี้เริ่มทยอยกันปรากฏขึ้น

พวกมันข้ามผ่านขอบเขตมิติและเวลา มาปรากฏกายขึ้นในโลกสมบัติของทริสเต้โดยตรง หลอมรวมตัวเข้าด้วยกัน เกิดเป็นความผันผวนที่สร้างแรงกระแทกอันยิ่งใหญ่

พลังที่มองไม่เห็นนี้แม้จะไร้ซึ่งมวลน้ำหนักใดๆ ทว่าขณะเดียวกัน ไม่ว่าสิ่งใดก็มิอาจหยุดยั้งมันได้

ชนิดที่ว่าตราบใดที่มันต้องการ โลกทั้งใบที่มาขวางหน้าก็จะกลายเป็นฝุ่นผงทันที!

อำนาจที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าใส่ร่างของกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานตระหนักได้ว่าตนกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่

อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา ทั้งคนทั้งร่างเขาราวกับถูกแช่แข็ง ไม่แม้กระทั่งจะสามารถขยับนิ้วมือได้

ในเวลานั้นเอง แสงและเงายักษ์ก็เอ่ยปากออกมา

“ไม่จำเป็นต้องกังวลไป กฎเกณฑ์อันลึกล้ำกำลังสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงของเจ้า”

“กฎเกณฑ์ของโลกเก้าร้อยล้านชั้นกำลังรวมตัวเข้าด้วยกัน และพยายามที่จะยับยั้งการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้า ทว่าการปลดปล่อยจิตวิญญาณของเจ้าได้รับการอนุญาตจากทวยเทพซึ่งเป็นผู้สร้างโลกเหล่านั้นขึ้นมา ดังนั้นในสถานการณ์นี้ เจ้าย่อมสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย”

พร้อมกันกับคำพูดของแสงและเงายักษ์ กุญแจแห่งการปลดปล่อยจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้น และปกคลุมรอบกายกู่ฉิงซาน

ร่างเงาของรูปปั้นที่มีหัวนับไม่ถ้วนค่อยๆ แตกสลายลง

ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง อำนาจอันยิ่งใหญ่ที่คิดหมายจะยับยั้งกู่ฉิงซานก็กระจายหายไปเช่นกัน

……………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด