ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้วบทที่ 563 ผู้ใดทรงพลังในโลกบรรพกาล (1)

Now you are reading ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว Chapter บทที่ 563 ผู้ใดทรงพลังในโลกบรรพกาล (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 563 ผู้ใดทรงพลังในโลกบรรพกาล (1)

“ฮา ยืนให้ดี!” ในป่าสนที่เย็นยะเยือกของเผ่าเวทขนาดเล็ก บรรดาชายหญิงที่แข็งแกร่งหลายร้อยคนในชุดหนังสัตว์ ต่างรีบพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับอาวุธที่ส่วนใหญ่ไม่สมบูรณ์เพื่อต้องการจะสังหารปีศาจร้ายทั้งสองด้วยขวานของพวกเขา!

วิธีการวางยาพิษที่น่ารังเกียจนี้ อาศัยข้อด้อยของเผ่าเวทที่ชอบกินเนื้อสัตว์ เผ่าเวทถูกหลอกมาหลายครั้งแล้ว และพวกเขาจะไม่ยอมถูกหลอกด้วยความสนุกระดับต่ำเช่นนี้อีกแล้วอย่างแน่นอน!

เผ่าเวทจะไม่โง่เขลา!

ทว่าปีศาจชายในชุดเกราะที่มีเคราก็หัวเราะเบาๆ และกวาดมือซ้ายของเขา ทันใดนั้นระลอกคลื่นน้ำสีฟ้าก็กระเพื่อมออกไปทั่วป่า และกลุ่มร่างที่พุ่งไปข้างหน้าทั้งหมดก็ล้วนถูกตรึงแข็งอยู่กับที่…

วิชาตรึงร่าง

ดังนั้นเผ่าเวทหลายร้อยคนเหล่านี้จึงยังคงเคลื่อนไหวบางอย่างขณะที่พวกเขาวิ่งไปข้างหน้า พวกเขาเฝ้าดูอย่างหมดหนทางขณะที่ “ปีศาจ” ทั้งสองกำลังกินดื่ม ทั้งร่ำสุราและกินเนื้อกันอย่างอิ่มหนำ

เผ่าเวทหลายร้อยคนเต็มไปด้วยความเดือดดาลอันชอบธรรม และน้ำตาแห่งความเศร้าโศกและความขุ่นเคืองก็ไหลออกมาจากมุมปากของพวกเขา!

รังแกเผ่าเวทกันมากเกินไปแล้ว!

หลี่ฉางโซ่วและจ้าวกงหมิงพูดคุยกันโดยไม่ได้มองไปที่เผ่าเวทหลายร้อยคนข้างๆ พวกเขา

ในอีกด้านหนึ่งนั้น เด็กๆ ของเผ่าเวทหลายสิบคนก็กำลังตะโกนและพุ่งไปพร้อมกับก้อนหินขนาดมหึมา

หลี่ฉางโซ่วฉีกเนื้อย่างมากกว่าสิบชิ้นและใช้พลังเซียนของเขาห่อหุ้มเอาไว้ก่อนจะใส่เข้าไปในปากของเด็กๆ

เผ่าเวทตื่นตกใจ!

ทว่าเขาก็ทำได้เพียงเผยแววตาวิตกกังวลออกมาเท่านั้น!

ในอีกด้านหนึ่งนั้น เด็กๆ ต่างหยุดอยู่กับที่ เดิมทีพวกเขาอยากจะพ่นเนื้อย่างเพื่อแสดงถึงปณิธานของลูกหลานของเผ่าเวท แต่… มันหอมเกินไป

เด็กน้อยเหล่านี้กะพริบตาพร้อมกัน และขว้างก้อนหินที่ถืออยู่ออกไป ก่อนจะคว้าเนื้อย่างเข้าปากแล้วเริ่มกินมัน

พวกเขากัดกินเนื้อย่างเสร็จสิ้นเพียงไม่กี่คำ แล้วเดินไปรอบๆ เตาด้วยใจจดจ่อและกัดนิ้วทีละนิ้ว…ดูจากท่าทางทั่วไปแล้ว พวกเขาไม่ฉลาดเท่าลูกมนุษย์

“ไปที่นั่น” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างอบอุ่น แล้วตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สามตัวก็บินออกมาจากแขนเสื้อของเขาและกลายร่างเป็นบุรุษสองคนและสตรีหนึ่งคน จากนั้นพวกเขาก็เข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ว่างข้างๆ เขาอย่างรวดเร็ว พวกเขาตั้งเตาย่างและเตรียมเนื้อย่าง

หลังจากนั้นไม่นาน เผ่าเวทน้อยเหล่านี้ก็ร้องอุทานดังขึ้นด้วยความชื่นชมในป่า

เผ่าเวทหลายร้อยคนล้วนเบิกตากว้างด้วยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และในไม่ช้า ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังไปทั่วทุกที่

ในขณะนั้น มีเผ่าเวทจำนวนมากพุ่งมาจากทิศเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ! อย่างไรก็ตาม ภาพเหตุการณ์ “ประหลาด” ในป่าทำให้เผ่าเวทสับสน

แม้โดยทั่วไปแล้วเผ่าเวทจะค่อนข้างเรียบง่าย แต่ก็มีคนฉลาดน้อยนัก ยิ่งไปกว่านั้น โดยพื้นฐานแล้วพวกที่ฉลาดก็มีสิทธิ์มีเสียง มีอำนาจบางอย่างในเผ่าเวท… จู่ๆ ก็มีพวกจอมเวทหลายคนตะโกนขึ้นทันที และเผ่าเวทที่ปรี่เข้ามา ก็หยุดอยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งเพื่อเฝ้าดูสถานการณ์ที่นี่จากระยะไกล

หลี่ฉางโซ่วแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาออกไปตรวจสอบและพบว่า มีร่างต่างๆ กำลังเร่งความเร็วตรงไปยังดินแดนรกร้างภายในรัศมีหมื่นลี้

เห็นได้ชัดว่า ในเวลานี้ เผ่าเวทยังคงระแวดระวังและตอบสนองอย่างรวดเร็ว จ้าวกงหมิงที่กำลังดื่ม พลันขมวดคิ้วและกระซิบว่า “ระวังตัวด้วย มีปรมาจารย์เผ่าเวทกำลังพุ่งเข้ามา”

หลี่ฉางโซ่วมองไปที่เด็กๆ หลายสิบคนที่กำลังกินกันอย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์พลางคลี่ยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “พี่ชาย ถอนเวทตรึงร่างเถิด”

“ได้”

จ้าวกงหมิงผลักดันมือซ้ายของเขาออกไปเบาๆ แล้วเผ่าเวทหลายร้อยคนที่ถูกเขาตรึงร่างแข็งค้างเอาไว้ก็ถอยกลับไปพร้อมๆ กัน พวกเขาส่วนใหญ่ล้มลงไปข้างหลังและอยู่ในสภาพย่ำแย่

ในขณะนั้นพื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย มีเสียงดัง ตึ้ง ตึ้ง มาจากพื้นดินส่วนลึก แล้วเผ่าเวทสองถึงสามพันคนที่รวมตัวกันในป่า ต่างก็ก้มศีรษะลง

ทันใดนั้น สตรีชราคนหนึ่งก็ใช้ไม้เท้า ก้าวเดินออกมาจากบ้านหินที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ นางดูชรามาก นางก้าวไปสองก้าวพร้อมด้วยไม้เท้า และพื้นก็เลื่อนไถลไปภายใต้ฝ่าเท้าของนางอย่างรวดเร็ว

เพียงสองก้าว สตรีชราก็มาปรากฏตัวขึ้นในป่าแล้ว นางเดินไปได้หลายพันลี้อย่างสบายๆ …

หลี่ฉางโซ่วเลิกคิ้วขึ้น นี่คือ…

ย่อแผ่นดินเป็นชุ่น?

ไม่ นั่นไม่ใช่เวทหลบหนีเฉียนคุน

พวกเผ่าเวทไม่รู้จักวิชาเวทใดๆ แต่มีพลังเวท ครั้งหนึ่ง บรรพชนเผ่าเวททั้งสิบสองคนเคยควบคุมสิบสองกฎแห่งเต๋าในสวรรค์และปฐพี มันคล้ายกับพลังแห่งอำนาจเทพของศาลสวรรค์ในยามนี้

ยายเฒ่าของเผ่าเวทผู้นี้ใช้เวทต่อสู้ของเผ่าเวท ซึ่งคล้ายกับพลังในการควบคุมปฐพี

พลังเวทนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น… เวทพิเศษได้

หลี่ฉางโซ่วไม่กล้าประมาท เขาวางจอกสุราและเนื้อย่างในมือลง แล้วยืนขึ้นพลางประสานมือคารวะให้สตรีชรา

“ข้าเป็นศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน และเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ วันนี้ข้าได้รับความไว้วางใจจากสหายสนิทให้มาเยี่ยมเยือนท่านเป็นพิเศษ หากผิดพลาดล่วงเกินให้ขุ่นเคืองใจ ขอเผ่าเวทโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด”

สตรีชราพยักหน้าช้าๆ นางกระซิบสองสามคำเป็นภาษาเผ่าเวทก่อนที่เผ่าเวทส่วนใหญ่ในป่าจะหันหลังกลับและล่าถอยไป เหลือเพียงผู้นำเผ่าและจอมเวทในยามนี้กว่าสิบคนเท่านั้นที่เดินไปหาหลี่ฉางโซ่วและจ้าวกงหมิง

มันเป็นการตีขนาบพร้อมกันสองข้าง

สัมผัสเซียนรับรู้ของหลี่ฉางโซ่วตรวจจับพบคลื่นเสียงหวีดหวิวในระยะไกลได้ เผ่าเวทส่วนใหญ่ที่พุ่งมาที่นี่ ต่างก็หยุดชะงัก และรออยู่ที่เดิมตรงจุดนั้นหรือไม่ก็หันหลังกลับไปยังเผ่าของพวกเขาเอง

เผ่าเวทน้อยนับสิบที่กำลังกินเนื้อย่างอยู่ที่ด้านข้างก็ถูกบิดามารดาของพวกเขาพาไปด้วย และก่อนที่พวกเขาจะจากไป พวกเขาก็ยังเอาชุดเนื้อย่างที่ปรุงสุกกว่าเจ็ดส่วนแล้วออกไปอย่างแคล่วคล่องว่องไวด้วย…

พวกเขาทั้งไร้เดียงสาและยังละเอียดถี่ถ้วนมาก

สตรีชราก้าวไปข้างหน้าช้าๆ ร่างของนางโค้งงอไปข้างหน้าและดวงตาของนางหรี่ลงราวกับว่านางใกล้จะถึงจุดจบของชีวิต แต่ก็กำลังแผ่พลังงานที่ผันผวนที่น่าทึ่งออกมาได้

นางดูดุจสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ที่สามารถฉีกแยกผืนปฐพีออกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ! ในขณะที่เผ่าเวทชายหญิงหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังก็ทรงพลังอย่างยิ่งเช่นกัน แต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยพลังเลือดเดือดพล่าน[1]อย่างหาที่เปรียบมิได้

หลี่ฉางโซ่วประเมินว่าพวกเขาสามารถต่อสู้กับนักพรตเต๋าจี้อู๋โหย่วได้สามถึงห้าคน

“สำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ศาลสวรรค์… ศาลสวรรค์” สตรีชรากล่าวช้าๆ ด้วยภาษาที่ใช้กันทั่วไปในโลกบรรพกาล

นางพิงไม้เท้า แล้วค่อยๆ โค้งคำนับให้หลี่ฉางโซ่วและกล่าวว่า “ไม่มีข่าวสารเข้ามาในดินแดนเทวะอุดร ศาลสวรรค์ของมนุษย์เจริญรุ่งเรืองหรือไม่? ตอนนี้ท่านคือเทพผู้ควบคุมพลังแห่งน้ำเช่นนั้นหรือ?”

“จอมเวท ท่านเข้าใจคิดผิดแล้ว ศาลสวรรค์ไม่เหมือนศาลสวรรค์ของมนุษย์ และไม่เหมือนศาลปีศาจโบราณ มันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดำรงอยู่เพื่อปกครองสิ่งมีชีวิตทั้งหมด” หลี่ฉางโซ่วกล่าวเสียงดังว่า “ตอนนี้ จักรพรรดิแห่งสวรรค์ของศาลสวรรค์คือ องค์เง็กเซียน เขาได้รับการแต่งตั้งจากบรรพชนเต๋าให้รับผิดชอบดูแลศาลสวรรค์ รักษาความมั่นคงของสามอาณาจักร และปกป้องผู้คนทั่วหล้า”

จ้าวกงหมิงยืนขึ้นและประสานมือคารวะไปให้จอมเวทพลางยิ้มและกล่าวว่า “ข้า จ้าวกงหมิง ศิษย์ชั้นนอกของสำนักบำเพ็ญเต๋า ท่านอาจารย์ของข้าคือ ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ทงเทียน”

การเรียกขานจอมปราชญ์ด้วยนามเต๋าเมื่อแนะนำตัวเองของเขาเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์ยืนยันตัวตนของเขาเองว่า เขาเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์จริงๆ

สตรีชราเงยหน้าขึ้นมองจ้าวกงหมิงทันทีและคำนับให้เขา เสียงของนางเบาลงมาก “ท่านเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ พวกเราช่างเป็นเจ้าบ้านที่แย่มาก แขกผู้ทรงเกียรติ ข้าคือ จอมเวทแห่งเผ่าเวท พวกท่านเรียกข้าว่าจอมเวทก็ได้”

ขณะกล่าว ร่างค่อมของสตรีชราก็ค่อยๆ ยืนยืดตัวตรง และผิวหนังแห้งบนกายนางก็เริ่มเปล่งปลั่งขึ้น

เสี้ยวพลังเลือดลมถั่งท้นท่วมร่างของนาง และนางก็เปลี่ยนจากสตรีชราที่ใกล้ตายกลายเป็นสตรีวัยกลางคนที่มีเรือนร่างสมส่วนอย่างรวดเร็ว!

การเลือกปฏิบัติที่แตกต่างนี้…

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ เขากล่าวได้เพียงว่าศาลสวรรค์ยังมีหนทางอีกยาวไกล…

จ้าวกงหมิงยิ้มและกล่าวว่า “จอมเวท โปรดดูที่นักพรตเต๋าข้างๆ ข้าผู้นี้ เขาเป็นเทพสวรรค์ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดขององค์เง็กเซียนแห่งหอสมบัติหลิงเซียว เมื่อไม่นานมานี้ เขาเป็นผู้สนับสนุนช่วยให้เผ่ามังกรทั่วทั้งสี่คาบสมุทรเข้าสวามิภักดิ์ต่อศาลสวรรค์

เขายังเป็นศิษย์ที่เหล่าจื้อแห่งวังดุสิตให้ค่าและความสำคัญอย่างยิ่ง เขายังเรียกขานปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูว่าศิษย์พี่ และยังเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์สนิทใกล้ชิดกับข้าอีกด้วย! วันนี้เขามาที่นี่…”

“ใช่แล้ว น้องชาย เหตุใดเจ้าถึงมาตามหาเผ่าเวทที่นี่?”

………………………………………………………………..

[1] มีพลังใจฮึกเหิม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด