ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้วบทที่ 595 หมอเทวดาด้านวิชานรีเวช เทพวารี (2)

Now you are reading ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว Chapter บทที่ 595 หมอเทวดาด้านวิชานรีเวช เทพวารี (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 595 หมอเทวดาด้านวิชานรีเวช เทพวารี (2)

หลังจากออกมาจากแดนยมโลกแล้ว หัววัว หน้าม้าและปรมาจารย์เผ่าเวททั้งหกก็เงียบมาก

เมื่อบินออกมาจากแดนยมโลก พวกเขาก็ได้เห็นโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลอีกครั้ง และดวงตาของชาวเผ่าเวททั้งหกก็สว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทว่าพวกเขาก็ไม่คุ้นเคยกับหลี่ฉางโซ่ว ดังนั้นพวกเขาจึงระวังตัวสงวนท่าทีเล็กน้อยในขณะนั้น เพราะกลัวว่าจะทำให้เทพผู้ทรงพลังอำนาจแห่งศาลสวรรค์ขุ่นเคืองใจ

หลี่ฉางโซ่วและจ้าวเต๋อจู้สนทนากันผ่านการส่งข้อความเสียง บางครั้งพวกเขาก็พูดคุยถึงเรื่องสำคัญของศาลสวรรค์ และในบางคราว พวกเขาก็พูดคุยถึงเรื่องข่าวเก่าๆ ของโลกบรรพกาล

องค์เง็กเซียนนั้น ถือได้ว่าเป็นผู้ดำรงอยู่ที่อยู่ภายใต้จอมปราชญ์ ซึ่งใกล้ชิดกับเต๋าสวรรค์มากที่สุด และยังมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงใกล้ชิดกับเต๋าสวรรค์อย่างยิ่ง เขาตอบความลับมากมายได้โดยตรง ซึ่งทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเช่นกัน

ในยามนั้น หลงจี๋หยิบตำรากลยุทธ์พิชัยสงครามออกมาอ่านอย่างระมัดระวังในขณะที่อ๋าวอี่ ซึ่งเป็นผู้เขียนตำรากลยุทธ์พิชัยสงครามนี้ กำลังจมจ่อมอยู่ในภวังค์แห่งความคิดขณะที่เขากำลังจ้องมองท้องฟ้า

เมื่อมาถึงดินแดนเทวะอุดร หลี่ฉางโซ่วก็รีบตรงปรี่ไปยังที่พำนักของจอมเวทใหญ่โดยตรงอย่างรู้ทางและคุ้นเคยกับเส้นทางดี

ขณะที่เขากำลังจะร่อนเมฆลงไปบน หัววัวก็เอ่ยถามว่า “ท่านเทพวารี พวกเราลงไปได้หรือไม่? แล้วพวกเราจะละเมิดคำสาบานหรือไม่?”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “พวกท่านได้รับบัญชาจากแดนยมโลกเพื่อตรวจสอบเรื่องปรากฏการณ์สังสารวัฏของเผ่าเวท แล้วจะมีอะไรที่จะละเมิดได้?”

“เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขารออยู่ที่นั่น” หน้าม้าชี้ไปที่ชายสามคนและหญิงสามคนที่อยู่ข้างหลังเขา “ไม่เช่นนั้น หากพวกเขาลงไป ก็จะอึดอัดใจเมื่อพบกัน”

“ได้” หลี่ฉางโซ่วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็ทิ้งเมฆเอาไว้ให้ชาวเผ่าเวททั้งหก และค่อยๆ ลงมาช้าๆ พร้อมกันไม่กี่คน

ในเวลานั้น จอมเวทใหญ่ได้เดินออกมาจากบ้านหินแล้ว นางยังคงภาพลักษณ์ของสตรีวัยกลางคน และมีชาวเผ่าเวทชราอีกสองคนอยู่ข้างหลังนาง

คนหนึ่งเป็นชายชราและอีกคนหนึ่งเป็นหญิงชรา พวกเขาน่าจะเป็นจอมเวทใหญ่ของเผ่าอื่น

ในสมัยโบราณ เผ่าเวทมีเผ่าใหญ่อยู่สิบสองเผ่าที่สอดคล้องกับบรรพชนของเผ่าเวททั้งสิบสองคน ซึ่งเดิมทีเผ่าเวทแห่งแดนยมโลกก็เป็นหนึ่งในนั้น และพวกเขาก็ถูกเรียกว่า “เผ่าโฮ่วถู่”

แต่หลังจากสงครามจอมเวท-ปีศาจ ก็เหลือเผ่าเวทเพียงสี่หรือห้าเผ่าเท่านั้นที่รอดชีวิตในเวลานั้น และพวกเขาก็ล่าถอยไปยังดินแดนอันหนาวเหน็บแห่งดินแดนเทวะอุดร

หลังจากบรรพชนเผ่าเวททั้งหมดล่มสลาย จอมเวทใหญ่ก็กลายเป็นผู้นำของแต่ละเผ่า

ในเวลานี้จอมเวทใหญ่สามคนได้มารวมกันที่นี่ ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของเผ่าเวทแห่งดินแดนเทวะอุดรทั้งหมดได้แล้ว

แล้วเหตุใดจอมเวทใหญ่อีกสองคนถึงมาอยู่ที่นี่?

ความจริงแล้ว พวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะส่งเสริม “การรักษาระยะเริ่มแรก” ที่หลี่ฉางโซ่วมอบให้พวกเขา พวกเขาไม่คาดคิดว่า…

เทพวารีแห่งศาลสวรรค์นั้น จะรวดเร็วมากถึงเพียงนี้!

“ใต้เท้าเทพวารี” จอมเวทใหญ่ที่ดูเหมือนมนุษย์สตรีวัยกลางคนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “พวกเรายังไม่มีเวลาลองวิธีการที่ท่านให้เราเลย”

“ไม่เป็นไร เรื่องนี้จะไม่ส่งผลกระทบ เมื่อมีเวลา ยังต้องลองต่อไป”

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วมีสีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม ไม่ว่าจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรก เขาก็บอกรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลสำคัญสองชิ้นที่เขาได้รับมาให้จอมเวทใหญ่แห่งเผ่าเวททั้งสาม

เต๋าสวรรค์ไม่เคยลงทัณฑ์ด้วยการยับยั้งการขยายเผ่าพันธุ์ของเผ่าเวท

ทุกอย่างในสังสารวัฏหกวิถีเป็นปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับดวงวิญญาณกลับชาติมาเกิดที่ควรถูกส่งไปยังเผ่าเวท

สรุปสั้นๆ ว่าปัญหาก็คือการที่สตรีชาวเผ่าเวทมีการตั้งครรภ์ลดลง…

ในขณะนั้น จอมเวทใหญ่แห่งเผ่าเวททั้งสามล้วนมีสีหน้ามืดมนลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

หญิงชราถามเบาๆ ว่า “ใต้เท้าเทพวารี มีคนกำลังวางแผนร้ายต่อเผ่าพันธุ์ของเราหรือ!?”

“ต้องเป็นฝีมือของปีศาจพวกนั้นแน่ๆ!”

“เฮ้อ ข้าคิดว่าการต่อสู้ระหว่างเผ่าเวทและเผ่าปีศาจได้หยุดลงแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ยอมปล่อยเผ่าเวทของเราไป”

“เรายังไม่อาจด่วนสรุปในเรื่องนี้ได้” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “เราต้องยืนยันแหล่งที่มาของปัญหาก่อนจึงจะสืบหาตรวจสอบต้นตอแหล่งที่มาของปัญหาได้

ท่านจอมเวทใหญ่ ท่านให้ข้าไปเยือนคู่บ่าวสาวของเผ่าเวทที่แต่งงานกันตามส่วนต่างๆ ทุกที่ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล่าสุดนี้ได้หรือไม่?”

จอมเวทใหญ่แห่งเผ่าเวททั้งสามรู้ดีว่าสถานการณ์ร้ายแรง แม้พวกเขาจะไม่อาจตามทันความคิดของหลี่ฉางโซ่วได้ แต่พวกเขาก็พยักหน้าตกลงทันที

นับประสาอะไรกับพวกเขา เพราะแม้แต่จ้าวเต๋อจู้ หลงจี๋และอ๋าวอี่ก็ล้วนไม่รู้แน่ชัดว่า หลี่ฉางโซ่วจะติดตามหาตรวจสอบแหล่งที่มาได้อย่างไรเช่นกัน

หัววัวและหน้าม้ายังมีความคิดที่กล้าบ้าบิ่น…

ว่าแต่ว่า เรามาพูดคุยถึงเรื่องงานสำคัญที่ต้องทำกันเถิด

หลี่ฉางโซ่วไม่คาดคิดว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาจะกลายเป็น “หมอเทวดาด้านวิชานรีเวช[1]’ ในขณะที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ในโลกบรรพกาล

เพื่อบุญของสวรรค์ในแดนยมโลก ข้าจะเป็นหมอเทวดาด้านวิชานรีเวชที่มีฝีมือเก่งกาจ หากต้องทำ การช่วยเหลืออดีตพันธมิตรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็นับว่าไม่เลวเกินไป

ภายใต้การจัดการของจอมเวทใหญ่ หลี่ฉางโซ่วก็ได้ขี่เมฆไปเยี่ยมชมชนเผ่าเวทที่มีขนาดใหญ่กว่า สองสามเผ่า และพบหญิงสาวเผ่าเวทหลายร้อยคนที่เพิ่งเพิ่งผ่าน “พิธีแต่งงาน” เมื่อไม่นานมานี้

ไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็พบว่า ในบรรดาเผ่าเวทหลายร้อยคนเหล่านี้ ครึ่งหนึ่งเป็นสตรีที่กำลังตั้งครรภ์

หลี่ฉางโซ่วได้รวบรวมสตรีที่กำลังตั้งครรภ์เข้าด้วยกันเพื่อสังเกตปฏิกิริยาของพวกนางและเขาก็ได้รับบางอย่างในเวลาเพียงครึ่งวัน

ใบหน้าของสตรีเผ่าเวทคนหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดง แล้วนางก็วิ่งไปที่ห้องน้ำ จากนั้นนางก็กลับตั้งครรภ์เมื่อนางกลับมาโดยที่สตรีเผ่าเวทผู้นี้ก็ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติแปลกๆใดๆ เลย…

หลี่ฉางโซ่วเข้าใจเรื่องนี้ได้ทันที

มันมีคนสร้างปัญหาจริงๆ โดยใช้เวทชั่วร้ายบางอย่างที่ไม่รู้จักเพื่อให้บรรลุผลของ ‘การทำให้แท้งบุตร”

เป็นเหตุผลที่สตรีสาวเผ่าเวททั้งหมดเหล่านี้ไม่ได้สังเกตและรู้ตัวเลย…

มันไม่ใช่เพราะเหตุอื่นใด แต่เป็นเพราะร่างกายของพวกนางที่แข็งแกร่งเกินไป

พวกนางไม่ได้สนใจความเสียหายนี้ด้วยตัวเองทันที และการสูญเสียเลือดก่อนและหลังการแท้งบุตรนั้นก็ไม่มีนัยสำคัญสำหรับพวกนางเลย

นอกจากนี้ เผ่าเวทก็ไม่มีตระกูลเสิ่นหนง[2] พวกเขาทรงพลังแข็งแกร่งมาแต่กำเนิดตามธรรมชาติ แต่พวกเขาไม่มี ‘ทักษะทางการแพทย์’ ที่มีประสิทธิภาพ

“แผนร้ายกาจอะไรเช่นนี้!” จ้าวเต๋อจู้แค่นเสียงเย็นชาและกล่าวเสียงทุ้มว่า “เทพวารี จงจับพวกมือมืด ผู้บงการอยู่เบื้องหลังแผนการนี้และลงโทษให้หนัก!”

“วางใจเถิด ท่านแม่ทัพ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างหนักแน่น

หัววัวที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามว่า “ท่านเทพวารี มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกันแน่หรือ?”

………………………………………………………………..

[1] วิชาว่าด้วยโรคเกี่ยวกับระบบการสืบพันธุ์ของสตรี

[2] เปรียบเป็นผู้สืบสานจากเทพเสิ่นหนง ซึ่งถือเป็นเทพกสิกรรม ตามตำนานยามพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ (พระเจ้าซุ่ยเหริน พระเจ้าฝูซี และพระเจ้าเสินหนง) ด้วยทรงทดลองชิมพืชชนิดต่างๆ ด้วยพระองค์เองอย่างกล้าหาญ (ความกล้าหาญนี้ ทำให้ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่ากล้าหาญในภายหลัง จะถูกสรรเสริญว่า เป็นผู้มีจิตใจเสิ่นหนง) พระองค์จึงทรงรู้ว่า พืชชนิดใดกินได้ ชนิดใดมีพิษกินไม่ได้ และทรงสอนมนุษย์ให้รู้จักเพาะปลูกพืช อีกทั้งยังสอนมนุษย์ให้รู้จักการใช้พืชสมุนไพรรักษาโรคต่างๆ ด้วย นับว่าเป็นเทพที่สำคัญมากสำหรับวิถีชีวิตของมนุษย์โบราณ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด