เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 1361 อาวุธลับ + 1362 เป็นเพราะเจ้า

Now you are reading เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า Chapter 1361 อาวุธลับ + 1362 เป็นเพราะเจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1361 อาวุธลับ + ตอนที่ 1362 เป็นเพราะเจ้า

ตอนที่ 1361 อาวุธลับ

“จูเยวี่ย? เจ้ายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น มากินตรงนี้สิ แผงลอยนี่ก็มีของกินอร่อยไม่น้อยเลย” เฟิ่งจิ่วที่เดินออกมาจากข้างหลังแผงลอยนั่งลงตรงโต๊ะตัวเล็ก ก่อนหันไปสั่งอาหารกับหญิงวัยกลางคนด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้า เอามาให้ข้าอย่างละจาน”

หญิงวัยกลางคนเห็นขอทานน้อยล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับกลายเป็นคนละคน ก็อดตะลึงงันไม่ได้ นางรีบยิ้มรับ “ได้ เช่นนั้นเจ้าดื่มชาสักถ้วยก่อน” จากนั้นนางยุ่งวุ่นต่อ เร่งรีบจัดอาหารบนแผงลอยยกมาให้อย่างละจาน

จูเยวี่ยเห็นก็ทำท่าจะก้าวเท้าออกไป แต่จู่ๆ ก็ชะงักเท้า หันไปพูดกับเถ้าแก่คนนั้นว่า “เมื่อครู่ท่านบอกจะให้หมูหันข้าหนึ่งตัว พูดคำไหนคำนั้น! เอาไปส่งที่แผงลอยตรงนั้นด้วย” พูดจบก็ก้าวเท้าเร็วๆ ไปทางแผงลอยเล็กๆ

เถ้าแก่จนใจ ทำได้เพียงสั่งคนให้เตรียมหมูหันนำไปส่ง แต่เพิ่งจะหมุนตัวก็ได้ยินเสียงดังโครม รวมถึงเสียงโอดครวญเจ็บปวด เขาจึงรีบหันกลับไปดู

เห็นคุณชายชุดผ้าไหมคนเมื่อครู่ล้มคะมำลงกับพื้น เพราะล้มตอนเดินลงบันได หน้าผากจึงกระแทกเข้ากับพื้นเต็มๆ เลือดสดไหลออกมาย้อมพื้นหน้าเหลาสุราจนแดง

“จูเยวี่ย!”

เฟิ่งจิ่วนึกไม่ถึงว่าเธอแค่จิบชาแวบเดียว จูเยวี่ยก็ล้มหัวแตกเลือดอาบแล้ว เธอรีบสับเท้าเดินไปหาเขาเพื่อจะประคองเขาขึ้นมา แต่คาดไม่ถึงว่า…

“หลีกไป” เฟิ่งจิ่วขมวดคิ้ว มององครักษ์สี่นายที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า

“จูเยวี่ย บังเอิญนัก!”

ชายสวมชุดผ้าไหมคนหนึ่งเดินเข้ามา มองจูเยวี่ยที่ล้มหัวแตกพลางหัวเราะอย่างย่ามใจและอวดดี “ทำไมเจ้าไม่ระวังเลยเล่า เดินอยู่ดีๆ ก็ยังล้มลงไปได้?”

จูเยวี่ยลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งกุมหน้าผากที่มีเลือดไหล รู้สึกเพียงโลกเบื้องหน้าหมุนคว้าง อาการบาดเจ็บที่หน้าผากทำให้เขาที่เดิมทีร่างกายอ่อนแออยู่แล้วตั้งสติกลับมาไม่ทัน รู้สึกแต่ว่าเสียงที่ดังอยู่เหนือหัวฟังดูคุ้นๆ

“หลี่เย่า? เป็นเจ้า!”

พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นหลี่เย่าศัตรูคู่อาฆาตตั้งแต่เด็กของเขา ชั่วขณะนั้น ใบหน้าเขาพลันบึ้งตึงไม่น่ามอง “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เจ้ายังคงเป็นคนต่ำทรามเช่นเดิมเลย”

เขาล้มเสียที่ไหนกัน เห็นอยู่ว่าเขากำลังเดินไปทางแผงลอย จู่ๆ กระแสอากาศสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาทำให้เขาเสียหลักล้มคะมำไปข้างหน้า ไม่เช่นนั้น ถึงร่างกายของเขาจะอ่อนแออีกสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่เดินๆ อยู่ก็ล้มลงไปได้

เขาลุกขึ้นยืน แต่ในตอนนี้เอง หลี่เย่ากลับยกเท้าขึ้นเตะเขาให้ล้มกลับลงไปเหมือนเดิม

“อึก!”

จูเยวี่ยร้องครวญคราง ล้มกลับไปอีกครั้ง เขาจ้องคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเดือดดาล รวมถึงองครักษ์พวกนั้นด้วย “เจ้าจะทำอะไร?”

“ก็ไม่ทำอะไร แต่เจ้ามักให้องครักษ์ติดตามยามออกจากบ้านไม่ใช่หรือ ครั้งนี้กลับมีขอทานน้อยหัวยุ่งเหมือนรังนกติดตามเพียงคนเดียว? หึ จูเยวี่ย หายากนักที่เจ้าจะพลาดท่าตกอยู่ในกำมือของข้า เจ้าว่า ข้าจะให้เจ้าคลานลอดหว่างขาของข้าไป หรือว่าจะซ้อมเจ้าให้น่วมดี?”

เฟิ่งจิ่วที่ถูกยืนขวางเหลือบมององครักษ์สี่นายนั้นแวบหนึ่ง พลางฟังคำพูดของชายชุดผ้าไหม นิ้วมือเธอขยับเล็กน้อย ก่อนที่เข็มเงินเล่มหนึ่งจะถูกดีดออกไปอย่างเงียบงัน

“โอ๊ย!”

ทันใดนั้น หลี่เย่าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด จู่ๆ ก็ล้มลงไปชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นอย่างไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้า หนำซ้ำยังมีน้ำลายฟูมเต็มปาก สภาพเหมือนคนใกล้ตาย ชวนให้ผู้คนรอบข้างตกใจ

“นี่มันโรคลมชักกำเริบรึ?”

“ดูเหมือนจะใช่”

ผู้คนรอบข้างก้มหน้ากระซิบกระซาบ องครักษ์พวกนั้นมองหน้ากัน ไม่สนใจจะหาเรื่องจูเยวี่ยแล้ว รีบหามหลี่เย่าไปที่สำนักแพทย์ทันที

จูเยวี่ยนั่งกะพริบตาปริบๆ อย่างงุนงงอยู่บนพื้น ดูเหมือนจะยังตั้งสติไม่ได้

………………………………….

ตอนที่ 1362 เป็นเพราะเจ้า

“ลุกขึ้นมาสิ! เจ้ายังมัวอึ้งอะไรอยู่?” เฟิ่งจิ่วเดินเข้ามา มองเขาแวบหนึ่ง เห็นหน้าผากเขาอาบไปด้วยเลือด ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เธอประคองเขาขึ้นมา “ข้าจะทำแผลให้เจ้า” ก่อนจะพาเขาเดินไปที่แผงลอย

ผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์คึกคักสลายตัวพร้อมกับการจากไปของคนกลุ่มนั้น คนบางส่วนที่ตอนแรกนึกว่าจะได้ดูอะไรสนุกๆ พอเห็นเด็กหนุ่มชุดผ้าไหมหัวแตก ส่วนอีกคนก็มีสภาพเหมือนขอทาน จึงไม่ได้สนใจทั้งสองคนอีก

ที่แผงลอย เฟิ่งจิ่วทายาและพันแผลให้เขาแบบง่ายๆ จากนั้นบอกว่า “สู้ไม่ได้ก็พยายามเลี่ยงไว้ โชคดีที่เป็นแค่แผลเล็กๆ ถ้าลึกกว่านี้คงแย่”

“เพราะพวกเขาลอบกัดต่างหาก ไม่อย่างนั้นข้าจะล้มได้อย่างไร?” จูเยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “กลับไปข้าจะบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อแน่”

เฟิ่งจิ่วกลอกตา เทน้ำชายกขึ้นมาดื่ม เมื่อเห็นท่านป้าเจ้าของแผงลอยยกอาหารมาให้ ดวงตาเธอเป็นประกายขึ้นมาทันที “ข้ารู้อยู่แล้วว่าอาหารพวกนี้ต้องรสชาติดีเป็นแน่”

ขณะกล่าว ก็เริ่มขยับตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก

ส่วนทางเหลาสุรา เถ้าแก่ลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังบอกให้เสี่ยวเอ้อร์ยกหมูหันมาให้พวกเขาหนึ่งตัว ยามได้กลิ่นหอมกรุ่นลอยมา ทั้งสองคนอดกลืนน้ำลายไม่ได้ รีบขยับตะเกียบคีบอาหารเข้าปากคำใหญ่ๆ

หลังจากกินอิ่มที่แผงลอยแล้ว ทั้งสองหาโรงเตี๊ยมเพื่ออาบน้ำพักผ่อน ภายในห้องรับแขก เฟิ่งจิ่วนั่งขัดสมาธิปรับลมปราณ หลังจากฝึกบำเพ็ญไปครู่หนึ่ง ก็หยิบวิญญาณดั้งเดิมที่เหมือนดอกฝ้ายดวงนั้นออกมาจากในห้วงมิติ

“จิ๊บ!”

เมื่อเจ้าตัวเล็กนั้นเห็นเฟิ่งจิ่ว ก็แนบตัวกับฝ่ามือเธออย่างสนิทสนม ต่อให้เธอบีบคลึงตามอำเภอใจมันก็ยังคงกะพริบตาใสๆ จ้องเธออยู่อย่างนั้น

หลอมวิญญาณ?

เธอครุ่นคิด แล้วจึงเก็บวิญญาณดั้งเดิมดวงนั้นใส่ห้วงมิติ จากนั้นก็เอนตัวลงบนเตียง หลอมวิญญาณคำนี้เธอเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกจากปากหญิงชราคนนั้น ไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน การหลอมวิญญาณต้องหลอมอย่างไรกันแน่?

เฟิ่งจิ่วหลับตาครุ่นคิด เมื่อดวงจิตสัมผัสได้ถึงดอกบัวเขียวที่อยู่ตรงจุดตันเถียน ก็อดตะลึงไม่ได้ ตอนแรกไม่ได้สังเกตเลย ตอนนี้พอดูดีๆ จึงค่อยรู้สึกว่ากลิ่นอายพลังชีวิตขุมนั้นเหมือนจะอ่อนลงไปมาก? แม้แต่ประกายแสงก็หม่นลงไปด้วย?

ขณะกำลังคิด จู่ๆ ก็เหมือนมีเสียงดังมาจากบนหลังคา เธอเงี่ยหูฟัง ได้ยินว่าเป็นเสียงฝีเท้า แม้จะเบามาก แต่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณอย่างเธอก็ยังคงได้ยิน

ทว่ากลับได้ยินเสียงฝีเท้าเคลื่อนผ่านหลังคาห้องเธอแล้วมุ่งหน้าไปทางอื่น เธอจึงไม่ได้ใส่ใจนัก ในสภาพสังคมเช่นนี้ หากสงบสุขเกินไปสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก เรื่องใดไม่เกี่ยวกับเธอ เธอไม่ไปยุ่งจะดีกว่า

พอคิดได้เช่นนี้จึงนอนหลับต่อ ทว่า เมื่อเสียงกรีดร้องหนึ่งดังขึ้น เธอขมวดคิ้วกระเด้งตัวขึ้นมาแล้ววิ่งออกไปข้างนอกทันที

“โอ๊ย! ขอทานน้อยช่วยข้าด้วย!”

นั่นคือเสียงของจูเยวี่ย อาจเพราะกินอิ่มนอนหลับ เสียงนี้จึงฟังดูค่อนข้างกังวานและเปี่ยมไปด้วยพลัง เพียงแต่ สถานการณ์ตรงหน้าเขากลับไม่ค่อยสู้ดีนัก เขากำลังถูกคนชุดดำสองคนจับตัวออกมา พากระโดดขึ้นบนหลังคาหมายจะไปจากที่นี่

“อย่าจับข้านะ!”

“เจ้านี่ช่างปัญหาเยอะจริงๆ” เสียงของเฟิ่งจิ่วดังขึ้นกลางค่ำคืน เธอมองจูเยวี่ยที่กำลังถูกชายชุดดำสองคนจับตัวไว้ ลอบทอดถอนใจอย่างอดไม่ไหว ไม่ควรทำตัวเป็นคนดีส่งเดชจริงๆ ด้วย นี่มันปัญหาชัดๆ!

แล้วคนตรงหน้าพวกนี้ ก็เป็นพวกเดียวกับเมื่อตอนหัวค่ำไม่ใช่หรือ? เห็นอย่างนั้นเธอจึงถามว่า “พวกเจ้าทำไมถึงมาอีกแล้ว เป็นคำสั่งของคุณชายพวกเจ้าอีกแล้วหรือ?”

“เหอะ! เจ้ายังกล้าพูดอีก! เป็นเจ้าใช่หรือไม่ที่ลอบกัดคุณชายของข้าด้วยเข็มเงิน?” หนึ่งในองครักษ์แค่นเสียงขึ้นจมูก สายตาเดือดดาลจับจ้องมาที่เฟิ่งจิ่ว “เป็นเพราะเจ้า ตอนนี้คุณชายของข้าถึงได้ถูกคนอื่นจับตัวไว้!”

………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด