เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ 15: พี่สาว

Now you are reading เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ Chapter 15: พี่สาว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พี่สาว

 

[มุมมองของ ยูริ โคโคโนเอะ]

 

“ฉันเกลียดแกที่สุด! แกควรจะหายไปซะ!” (ยูริ)

 

แล้วมือของพวกเราก็ผละออกจากกัน ทันใดนั้นร่างของเขาก็ได้ตกลงไป แล้วจากนั้นดวงตาที่มองมาของเขาราวกับกำลังกรีดร้องว่า “ทำไมกัน?”  ความโกรธที่ฉันมีก็พลันเปลี่ยนไปเป็นความสิ้นหวังอย่างรวดเร็ว และไม่นานหลังจากนั้น–

 

——————————————————

 

[มุมมองของ ยูกิโตะ โคโคโนเอะ]

 

“ยูกิโตะ โคโคโนเอะ อยู่ไหม?” (???)

 

ผมเจอกับเรื่องแบบเข้ากี่ครั้งกันแล้วนะ? แล้วตอนนี้มันก็กลายมาเป็นอะไรที่เป็นเรื่องปกติไปซะแล้วรึไงนี่ แถมช่วงนี้ความนิยมของผมนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด ในฐานะชายผู้ที่ได้พิชิตประธานสภานักเรียนที่ไร้เทียมทานลงได้ ถึงขั้นที่ผมถูกขอให้ช่วยแนะนำในเรื่องความรักเลยล่ะ ผมนั้นไม่เคยเป็นคนป๊อปปุล่ามาก่อน ดังนั้นการจะมาถามผมในเรื่องคำแนะนำเกี่ยวกับความรักนี้มันช่างไร้สาระ มันทำให้ผมถึงกับปวดหัว  ตั้งแต่แรกแล้ว ผมน่ะไม่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นได้หรอกนะ แล้วผมก็ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน ดังนั้นผมจะไปเข้าใจคนอื่นๆได้ยังไงกัน

 

มันดูจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วของห้อง 1-B ที่จะมีรุ่นพี่เทียวมาแวะหาผม…… แล้วหมอนี่คือใครกัน? รู้สึกว่าผมจะเป็นชายผู้ที่เป็นที่รู้จักของผู้คนหลายๆคนมากว่าที่ผมรู้ซะอีก และก็ใช่ละนั่นล่ะคือผม ยูกิโตะ โคโคโนเอะ

 

“ครับ ผมครับ แล้วมีเรื่องอะไรที่มาหาผมที่นี่เหรอ?” (ยูกิโตะ)

 

“โอ้ ฉันเป็นนักเรียนปีสามนะ โทชิโระ ฮิมุระ ฉันเป็นกัปตันของทีมบาสเก็ตบอลน่ะ” (ฮิมุระ)

 

ผมชักรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้แฮะ…..

 

“ตอนนี้ ก็อย่างที่คุณว่ามา โคโคโนเอะ เค้าได้ไปที่โรงอาหารได้สักพักแล้ว” (ยูกิโตะ)

 

“ไม่ต้องอยู่ๆก็มาแกล้งเป็นคนละคนแบบนี้เลย นายน่ะเพิ่งจะยืนยันชื่อของนายไปเองนะ” (ฮิมุระ)

 

“ก็มันดูออกจะเป็นปัญหานี่” (ยูกิโตะ)

 

ก็สมกับที่เป็นสมาชิกของทีมบาสเก็ตบอล รุ่นพี่ฮิมุระ นั้นค่อนข้างสูงทีเดียว ถึงอย่างนั้นทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนนี้ก็ไมได้เก่งอะไรมากนัก ก็แล้วมันทำไมน่ะเหรอ? ก็ตราบใดที่โรงเรียนมัธยมปลายไหนดึงดูดผู้เล่นที่เก่งที่สุดของแต่ละพื้นที่นั้นไปได้ มันก็จะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดน่ะสิ เช่นเดียวกันกับที่รู้ๆกันในวงการกีฬา มันก็ย่อมที่จะแตกกันอย่างที่สุดทั้งเรื่องจัดการภายในและผลการแข่งขันน่ะสิ

 

“ฉันได้ยินเรื่องของนายมาจาก รุ่นพี่ฮยาคุชิน น่ะ เขาสงสัยว่าทำไมนายถึงไม่ยอมเข้าร่วมทีมบาสน่ะ” (ฮิมุระ)

 

“นี่คุณสองคนรู้จักกันด้วยเหรอ?” (ยูกิโตะ)

 

“ก็เขาเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้นี่ นี่นายไม่รู้เลยเหรอ?” (ฮิมุระ)

 

“ก็ผมไม่ได้จะสนใจในเรื่่องส่วนตัวของคนอื่นซะหน่อย ผมก็เลยไม่รู้ไง” (ยูกิโตะ)

 

“แล้วนั่นก็คือที่ว่าทำไมฉันถึงได้รู้เรื่องของนายน่ะนะ ดังนั้นก็เลยจะมาขอให้นายเข้าร่วมทีมบาสเก็ตบอลน่ะ” (ฮิมุระ)

 

“ถ้าผมอยากจะเข้าร่วมทีมบาสเก็ตบอลแล้วล่ะก็ ผมก็ไปเข้าร่วมไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะ” (ยูกิโตะ)

 

เข้าใจละ รุ่นพี่ฮยาคุชิน นั้นเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้รึเนี่ย? ถ้าลองคิดๆดูในเรื่องนี้ความบังเอิญระดับนี้ก็น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากมายเลย เขาคงกำลังเป็นกังวลกับผมในแบบของเขา หรือไม่เขาก็อาจจะแค่สงสัยเฉยๆก็ได้ ผมคิดนะว่าการที่ผมที่เป็นคนโดดเดี่ยวแบบนี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขานั้นสงสัย พูดจริงๆนะมันน่ารำคาญแต่ผมก็คิดว่าผมควรที่จะรู้สึกขอบคุณเขาในเรื่องนี้

 

“ก็ยังมีคนที่เคยอยู่ในทีมบาสเก็ตบอลที่เหมือนกับผมในตอนมัธยมต้นคนอื่นอีกนี่ ใช่ไหม? ผมว่าคุณควรจะลองคิดนะว่าทำไมเขาถึงไม่บอกอะไรเกี่ยวกับผมเลยน่ะ” (ยูกิโตะ)

 

“นั่นละที่ฉันได้คิด ดังนั้นฉันก็เลยถามพวกเขา แต่กลับไม่มีใครเลยที่เคยอยู่โรงเรียนมัธยมต้นเดียวกับนายเลยน่ะ” (ฮิมุระ)

 

“โอ๊ะ จริงเหรอครับ?” (ยูกิโตะ)

 

“ก็นะ ทีมบาสเก็ตบอลของพวกเรามันก็ไม่ค่อยจะเป็นทีมที่กระตือรือร้นสักเท่าไหร่น่ะ” (ฮิมุระ)

 

“ถ้ายังงี้ คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาชวนผมก็ได้นี่นา” (ยูกิโตะ)

 

ทุกอย่างมันสายไปแล้ว การอุทิตตัวให้กับกิจกรรมชมรมของผมนั้นมันหนีหายจากความเป็นจริงไปแล้ว แล้วผมก็ไม่ได้มีความเชื่อมั่นในเรื่องนี้อีกต่อไป นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมหมดความคิดไปอย่างง่ายดาย ผมไม่สามารถที่จะทำให้เป้าหมายหนึ่งเดียวของผมให้สำเร็จได้ ทำให้จิตใจของผมนั้นถึงกับหายไปครึ่งนึงเลย นั่นล่ะทำไมว่าผมถึงไม่ได้คิดหรือรู้สึกอะไรเลยเมื่อตอนผมเลิกเล่น ผมไม่ได้รู้สึกที่อยากจะกลับไปเริ่มใหม่ด้วย

 

“โคโคโนเอะ นี่มันก็เป็นปีสุดท้ายของพวกเรา แล้วมันก็จริงในเรื่องที่นายนั่นเก่ง พวกเราไม่ได้เก่งอะไรขนาดที่จะชนะเลิศได้ แต่พวกเราก็ได้ทำสิ่งนี้มาแล้วถึงสามปี พวกเราอยากที่จะทำมันให้เต็มที่ในทัวร์นาเมนท์สุดท้าย ฉันต้องการให้นายช่วยน่ะ!” (ฮิมิยามะ)

 

“นี่มันจะไม่ประหลาดไปหน่อยเหรอ? มันไม่มีทางที่นักเรียนใหม่จะไปเข้าร่วมการแข่งได้ง่ายๆ–” (ยูกิโตะ)

 

“ขอให้นายได้รู้ไว้ก่อนนะ พวกเรานั้นมีกันแค่เก้าคนในทีมเท่านั้นเอง” (ฮิมุระ)

 

“อะไรนะ? ความนิยมในกีฬาบาสเก็ตบอลตั้งแต่ยุค 90 นั้นมันหมดลงแล้วเหรอ?” (ยูกิโตะ)

 

“ปีนี้เป็นปี 2020 นะ แล้วมันก็ยังคงเป็นที่นิยมกันอยู่ในช่วงสั้นๆเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็ต้องขอบคุณหนังสือการ์ตูนจัมป์ล่ะนะ” (ฮิมุระ)

 

“ช่างดูไม่น่ามีแรงจูงใจเอาซะเลย” (ยูกิโตะ)

 

“ก็นั่นล่ะทำไม นี่นายที่ไม่อยากที่จะทำให้คนอื่นเค้าประหลาดใจบ้างเหรอ?” (ฮิมุระ)

 

“ใครล่ะ? ผมไม่มีคนที่จะต้องทำให้ประหลาดใจซะหน่อย” (ยูกิโตะ)

 

“โคโคโนเอะ มีผู้หญิงในชั้นปีของฉันที่ฉันชอบอยู่น่ะ ฉันกำลังคิดจะไปสารภาพความรักของฉันให้กับเธอหลังจากจบทัวร์นาเมน์ ดังนั้นฉันก็เลยอยากที่จะทำให้มันดูดีหน่อยเพื่อเธอน่ะ!” (ฮิมุระ)

 

“งั้นมันก็เป็นเรื่องของคุณนี่! ทำไมรุ่นพี่ในโรงเรียนนี้จะต้องมาพูดในเรื่องที่คนอื่นเค้าไม่อยากได้ยินในชั้นเรียนฟังกันล่ะเนี่ย? นี่เป็นโรคประจำถิ่นของที่นี่รึไงนะ?” (ยูกิโตะ)

 

รุ่นพี่ฮิมุระนั้นเป็นชายที่น่าหลงใหลเป็นคนที่ทำความเข้าใจได้ด้วยง่าย และเขาก็ยังเป็นคนงี่เง่าด้วยเหมือนกัน ที่ทำสิ่งต่างๆไปโดยไม่สนเพื่อที่จะตรงไปหามันเพียงอย่างเดียว กับผมแล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรไปนอกจากคนที่น่ารำคาญ เขาสามารถบอกในสิ่งที่เขาต้องการออกมาได้ทุกอย่าง แล้วดูตอนนี้สิ สายตาของคนในห้องเรียนต่างก็รุมเข้ามาหาผมอีกแล้ว อย่ามายิ้มกริ่มแบบนี้กับผมนะ! อะไรของเจ้าพวกนี้กัน! อีกอย่างถ้าลองคิดดูเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของรุ่นพี่ให้ดีแล้วล่ะก็ ผมคิดว่าผมน่าจะเดาใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปออกได้เลย อยากลองให้บอกไหมล่ะ?

 

“งั้น โคโคโนเอะ มาเล่นบาสเก็ตบอลกับฉันหลังเลิกเรียนที!” (ฮิมุระ)

 

เอ๋? อะไรนะ? นี่รุ่นพี่ฮิมุระ ที่ดูๆไปแล้วควรจะอยู่ในโลกมังงะไหนสักโลกนึ่ง มันอะไรกับไอ้คำว่า “งั้น” ล่ะเนี่ย? มันไม่เห็นว่าจะจะเกี่ยวข้องกันเลยนะ! ผมไม่เข้าใจในจุดนี้ที่จะต้องมาแข่งกัน คงเพราอะไรสักอย่าง คนอื่นๆในห้องกลับดูตื่นเต้นกัน แล้วตอนนี้ก็มีบางคนก็กำลังก้มหน้าก้มตากดทำอะไรสักอย่างในมือถือของตัวเอง นี่เจ้าพวกนี้มันทำอะไรกันเนี่ย?

 

“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ ยูกิโตะ” (มิโฮะ)

 

“อะไรนะ? เฮ้ เดี๋ยวก่อน! นี่อะไร ทำไมอยู่ๆถึงต้องมาแทรกกันเนี่ย?” (ยูกิโตะ)

 

“ยูกิ ไปเถอะ!” (คามิชิโระ)

 

โคยูกิ นี่แกก็ยังทำหล่อเหมือนเดิมนะวันนี้ รอยยิ้มใสๆที่อยู่บนหน้าของเขานี้มันมีระดับ 300% ของคนอื่นๆเลย และก็เป็นคนเห็นด้วยกับเรื่องนี้โดยไม่ต้องได้รับคำยินยอมจากเจ้าตัวเลยด้วยเนี่ยนะ?

 

แล้วเรื่องความตั้งใจของผมเองล่ะ? พวกนายจะต้องดีใจที่ได้รู้ว่ามันไม่ได้เป็นแค่ปัญหากับผม แต่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของมนุษย์ด้วยใช่ไหม? นี่มันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนะ? นี่ผมกำลังถูกกลั่นแกล้งรึ? ผมไม่สนใจแล้ว ผมจะหันกลับไปเข้าป่าแล้ว

 

“ถ้าอย่างนั้นเราเล่นกัน 3ต่อ3 ไหม? เพราะนี่ก็ยังมี อิโตะที่อยู่ทีมบาสเก็ตบอลในห้องนี้ด้วยนี่” (ฮิมุระ)

 

“อะไรนะ? โอ้ อิโตะ ฉันไม่รู้เลยนะเนี่ยว่ามีนายอยู่ในห้องนี้!” (ยูกิโตะ)

 

“นี่ตัวตนของฉันมัน……” (อิโตะ)

 

แล้วอิโตะที่อยู่ในสมาชิกทีมบาสก็ต้องเข้ามาเอี่ยวอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เขาก็คงไม่ค่อยเก่ง เขานั้นเป็นเพื่อนรวมห้องแต่ผมกลับไม่ได้รู้เรื่องเขาอะไรมากนัก ผมยังคงนึกชื่อเขาไม่ออก โอ้ เขาชื่อ ฮายาโตะ อิโตะ นี่เอง!

 

“ช่วยไปกันเองทีเถอะ………” (ยูกิโตะ)

 

แล้วผมก็พึมพัมมันออกมาอย่างหมดหวัง

 

———————————————————-

 

 

[มุมมองของ ยูริ โคโคโนเอะ]

 

ในกลุ่มแชทบนมือถือของฉันกำลังคึกคัก ด้วยเหตุอะไรสักอย่าง จึงได้มีกลุ่มลึกลับที่จะค่อยติดตามข่าวสารน้องชายของฉันที่จะถูกรายงานตลอดเวลาทุกวัน ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีการสร้างกลุ่มแบบนี้ขึ้น ฉันใช้มันก็เพราะว่ามันสะดวก แต่กับน้องชายของฉันที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับสิ่งนี้เลย มันถือเป็นบัญชีที่ไม่ได้ถูกได้รับอนุญาต

 

“พวกเด็กผู้ชายนี้…..อีกแล้ว!” (ยูริ)

 

ด้วยความที่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์นั้น น้องชายของฉันก็เลยยิ่งตกเป็นหัวข้ออันร้อนแรงที่พูดคุยกัน และชื่อของเขาก็กลายมาเป็นที่สะดุดตาแม้กระทั่งนักเรียนชั้นปีสองก็ยังรู้จักเขา ในอีกด้านนึงเขาอาจจะเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโรงเรียนเอาก็ได้ ถ้าหากไม่มีเขาก็คงจะไม่มีกลุ่มอะไรแบบนี้ เพื่อนร่วมชั้นของฉันก็ได้เข้าร่วมกับกลุ่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดเลยว่า เขากำลังมีการแข่งกันกับกัปตันทีมบาสเก็ตบอล ทำไมเขาถึงไม่อยู่เงียบๆไปกันล่ะ?

 

ฉันกระซิบบอกกับตัวเองออกไปโดยไม่ได้มีใครถาม ว่าเขานั้นเลิกเล่นบาสเก็ตบอลไปตั้งแต่อยู่โรงเรียนมัธยมต้นแล้ว เขาไม่ได้ดูจะสนใจกับมันแล้วตอนนี้ ฉันสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องมาอยู่ในสถานะการณ์นี้ด้วย ไหนว่าเขาอ้างว่าอยู่ชมรมกลับบ้านไปแล้วนี่นา

 

นี่เขาจะโอเคไหม? แล้วนี่เขาได้ถูกเอาเข้าไปเกี่ยวกับปัญหาอะไรรึเปล่านะ? ความกังวลที่ไม่มีสิ้นสุดของฉันก็ประดังออกมา อืมมม มันตลกดีใช่ไหม? ฉันจะต้องมากังวลอะไรกันในต้อนนี้ล่ะ? ฉันนั้นน่ะมันไม่มีคุณสมบัติที่จะไปทำแบบนั้นกับเขาอีกแล้วนี่ ใช่ไหมตัวฉัน?

 

แล้วการถากถางตัวเองก็ทะยอยโผล่ออกมา

 

ใช่แล้ว ตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็ได้สูญเสียคุณสมบัติที่ว่าทั้งหมดไปแล้ว

 

————————————————————-

 

 

[มุมมองแฟล็ชแบ็คของ ยูริ โคโคโนเอะ]

 

“ฉันเกลียดแกที่สุด! แกควรจะหายไปซะ!” (ยูริ)

 

ฉันพลักน้องชายของฉันตกลงจากเครื่องเล่นของสนามเด็กเล่นในสวนสาธารณะ ฉันจำไม่ได้ว่าในตอนนั้นทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น แต่ฉันทำออกไปตามอารมณ์ความรู้สึกในตอนนั้น ฉันสัมผัสได้ว่ามันเป็นความรู้สึกล้วนๆ แล้วมือที่จับกับมือของน้องชายฉันก็ได้ถูกผละออกไป แล้วตัวเขาเขาก็ลอยออกไป เขานั้นก็ได้มองกลับมาเหมือนราวกับจะถามฉันว่า “ทำไม?” ดวงตาของเขานั้นจ้องมาที่ฉันว่า “ทำไมเธอถึงทำกับผมแบบนี้?”

 

“ก็เพราะว่าฉันเกลียดนาย!” (ยูริ)

 

ฉันตะโกนออกไป ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว แล้วในจังหวะถัดมาจากนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงตื้อๆดังตุ๊บ เลือดไหลออกมาจากหน้าผากของเขา เลือดของมนุษย์ที่มีสีแดงสดอันสวยงาม ภาพที่ได้เห็นนั้นก็ดึงฉันจากความรู้สึกนั้นให้กลับมาที่ความเป็นจริง จากนั้น ฉันที่ได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองก็ได้เห็นน้องชายของฉันที่ตกลงไปด้านล่างนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวอีกแล้ว

 

“อะไรกัน….?” (ยูริ)

 

นี่ฉันเพิ่งทำอะไรไป? ฉันไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ ฉันไม่ได้อยากจะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ฉันแน่ใจว่าฉันเพิ่งได้ฆ่าน้องชายไปด้วยมือของฉันเอง

 

ความกลัวก็โถมเข้ามาหาฉัน ด้วยความที่อยากจะหนีความจริง ฉันก็ได้วิ่งหนีออกไปจากตรงนั้น

 

และน้องชายของฉันก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

 

ฉันนั้นรักน้องชายของฉัน เนื่องจากแม่ที่ยุ่งอยู่กับงานของเธอ ฉันก็เลยต้องดูแลน้องชายมากขึ้นมากขึ้น น้องชายของฉันนั้นจริงจังแต่ทำอะไรไม่ได้มากนัก เขานั้นก็ยังชอบติดอยู่กับฉัน ที่บางทีก็คิดว่านี่อาจจะทำให้แม่ของพวกเราสบายใจได้บ้าง แต่ยังไงฉันก็ยังเป็นแค่เด็ก ฉันแก่กว่าน้องชายเพียงแค่หนึ่งปี ฉันก็ยังคงเป็นแค่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

 

ฉันใช้เวลาอยู่กับน้องชายมากขึ้นเรื่อยๆ และเล่นด้วยกันมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่ฉันได้เริ่มสร้างความผูกพันกับเขามาขึ้นด้วยเช่นกัน แล้ววันแห่งการตื่นขึ้นของอัตตาของตัวฉันก็ได้มาถึง โลกของฉันนั้นขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสิ่งทั้งหมดนี้มันจึงเหมือนกับต้องมาเป็นภาระของฉันที่จะต้องอยู่กับน้องชายตลอดเวลา

 

แล้วแม่ก็ยังคงเป็นห่วงน้องชายของฉันอยู่เสมอๆ นี่น่าจะเป็นเงามืดที่อยู่ในใจของฉัน พอได้มองย้อนกลับไปแล้วตอนนี้มันไม่เคยเป็นแบบนั้น แต่ในที่สุดฉันก็ได้เริ่มคิดว่าตัวฉันเองก็ต้องการความรักเช่นกันเหมือนกับเขา แล้ววันนึงฉันที่กำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนสนิทของฉัน มากิจัง ในตอนนั้้นเองน้องชายของฉันก็อยู่ที่นั่นด้วย

 

มากิจังนั้นเป็นเพียงลูกคนเดียว ฉันคิดว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอนั้นโหยหาอยากจะมีน้องชายหรือน้องสาว เธอนั้นเอ็นดูน้องชายของฉันมาก แล้วความรู้สึกแปลกแยกบางอย่างก็เข้ามาครอบงำตัวฉัน ฉันนั้นที่รู้สึกบางอย่างที่คิดกับเขาซึ่งเป็นน้องชายของฉัน มันคือความอิจฉาอย่างน่ารังเกียจกับน้องชายของฉันที่ได้แย่งเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันไป มากิเป็นเพื่อที่ดีที่สุดของฉันนะ! ความรู้สึกซับซ้อนเหล่านี้ปะปนกัน แล้วจนวันนึงในวันที่ฉันกลับบ้านกับน้องชาย ฉันก็ไม่สามารถที่จะระงับอารมณ์เอาไว้ได้อีก จนเรื่องนั้นก็ได้เกิดขึ้น

 

ฉันปล่อยให้อารมณ์เข้ามาควบคุม ทั้งจิตใจและร่างกายจนรู้สึกปวดร้าว และมันมากจนเกินไป มันไม่ใช่แค่แย่เท่านั้น ฉันจะปฏิเสธออกไปได้ยังไงว่าฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะฆ่าเขา? มันไม่ใช่สิ่งที่ทำไปแล้วจะถูกให้อภัยเพียงเพราะว่ายังเป็นแค่เด็ก แล้วน้องชายของฉันก็ไม่ได้กลับบ้านเลย ความกังวลเข้ากลืนกินตัวฉัน ถึงแม้ว่านี่จะเป็นความผิดของฉัน ฉันเองที่เป็นคนทำมัน ฉันจึงไม่สามารถที่จะเอาภาพของน้องชายออกไปจากหัวของตัวเองได้

 

มันเป็นเวลาหกวันถัดมาที่น้องชายได้กลับมาที่บ้านอีก

 

ไม่สิ เขาไม่ได้กลับมา ฉันได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ เนื่องจากฉันได้บอกเรื่องราวทั้งหมดไปให้กับแม่ฟัง เพราะมันไม่มีทางที่จะเก็บซ่อนไว้ได้ ในตอนนั้นฉันรีบกลับไปที่สวนสาธารณะเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ไม่มีน้องชายของฉันอยู่แม้แต่เงา บางทีเขาคงกำลังกลับไปบ้าน ฉันก็ได้แต่เฝ้ารอเขา แต่เขาก็ไม่ได้กลับมา จนวันถัดมา ฉันจึงได้ไปกรอกรายงานให้กับตำรวจ และมันรู้สึกเหมือนกับเป็นช่วงเวลาที่ตกอยู่ในขุมนรกสำหรับฉัน จนกระทั้งฉันถูกโทรตามเพื่อให้มาดูเขา แต่ว่านรกที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นหลังจากนั้น

 

น้องชายผู้ที่เคยติดฉันนั้นดูอ่อนโรยมากที่สุด พวกเขาไม่รู้ว่าเขาไปที่นั่นได้ยังไง แต่พวกเขาก็พบน้องชายอยู่ในอีกเมืองถัดไป ที่หน้าผากของเขานั้นบาดเจ็บและกระดูกร้าว ฉันทำแบบนี้กับน้องชายของฉัน! ฉันทรมาณไปกับความเสียใจและความสำนึกผิดเมื่อน้องชายมองมาที่ฉันด้วยดวงตาสีดำของเขา และบอกออกมาด้วยเสียงที่แห้บแห้งว่า

 

“ผมขอโทษ ที่ผมไม่ได้หายไป………” (ยูกิโตะ)

 

อะไรนะ? นี่นายเสียสติไปแล้วเหรอ? นี่มันบ้าไปแล้ว! ฉันต่างหากที่ควรจะเป็นคนขอโทษ นายไม่ได้ทำอะไรผิดนะ! แล้วคลื่นอารมณ์ก็ถาโถมกลืนคำพูดที่ฉันน่าจะมีไป แล้วฉันก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้อีกสักนิดเดียว มันไม่ใช่แค่การบาดเจ็บ ด้วยความผิดของฉันได้ทำให้ ยูกิโตะ ไม่สามารถกลับมาบ้านได้? เพราะฉันนั้นบอกเขาให้หายไปงั้นเหรอ? นั่นจึงทำให้เขาพยายามที่จะหายไปใช่ไหม?

 

โดยปกติแล้ว ฉันต้องถูกโกรธ แต่แม่ที่กำลังโกรธก็ได้แต่ร้องได้และเข้ามากอดฉัน มันเป็นความเจ็บปวดที่มากไปกว่าที่จะโกรธได้

 

แต่ในเวลานั้น ฉันก็ยังไม่ได้เข้าใจถึงความหมายของสิ่งที่น้องชายนั้นพูดออกมาได้

 

น้องชายของฉันพยายามที่จะหายไปจากสายตาฉัน ฉันจับมันเอาตามความหมายของตัวอักษร ฉันคิดอย่างง่ายๆว่าเขาคิดว่าเขาน่าจะหายไปไม่กี่ชั่วโมง ฉันรู้สึกไม่ดีที่ได้ผลักเขาออกไป แต่ไม่ว่าฉันจะเสียใจหรือสำนึกผิดมากแค่ไหนมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะให้อภัยได้ แต่นั่นก็เป็นขอบเขตในการรับรู้ของฉันในตอนนั้น

 

ในการที่เป็นเด็ก ฉันไม่ได้เข้าใจจริงๆว่า เวลานั้นมันคืออะไร? มันดูไม่สำคัญอะไรเลย แต่พอฉันได้โตขึ้นอีกนิดจนได้เข้าใจถึงความหมายของ “ความตาย” ของมนุษย์แล้ว ทุกๆอย่างก็เปลี่ยนไป

 

น้องชายของฉันกำลังจะตาย เขาไม่ได้จะหายไปจากฉัน แต่เขานั้นกำลังจะจากโลกนี้ไป นั่นคือเหตุผลที่เขาไม่กลับมาในตอนนั้น ฉันไม่ได้คิดว่าน้องชายของตัวเองจะเข้าใจความหมายของคำว่าความตาย แต่เขาอาจะรู้ได้โดยสัญชาตญาณ แล้วด้วยความจริงที่ว่าหากพบเขาช้าไปอีกสักวันนึงเขานั้นก็อาจจะเสียชีวิตไปแล้ว หรือถ้าหากเขานั้นตกลงไปผิดจุดเขาก็อาจจะเสียชีวิตได้ในทันที

 

พอฉันรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้แล้ว ตัวฉันก็พลันซีดขาวไปด้วยความกลัว ฉันพยายามฆ่าน้องชายของตัวเอง ฉันพยายามที่จะเอาชีวิตเขาด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ พอเขาได้กลับมาแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาไม่เคยจับมือฉันอีกเลย เอาไม่เคยกอดฉันอีกเลย น้องชายตัวเล็กที่ชอบตามหลังฉัน ยิ้มและเรียกฉันว่า “พี่สาว” ก็ได้หายไป เพราะตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยเรียกฉันว่าพี่สาวอีกเลย

 

มันไม่น่าแปลกใจ ก็เพราะฉันพยายามฆ่าน้องชายนี่ เขาไม่รู้ว่าฉันจะลงมือกับเขาอีกตอนไหนรึเปล่า ดังนั้นมันก็ไม่มีทางอยู่แล้วที่เขาจะเข้าหาฉันอย่างไม่ระวัง มันไม่ทางอยู่แล้วที่จะสนิทกันได้กับคนที่เคยพยายามจะฆ่าเขา…. แต่มันก็ไม่ได้เคยเห็นความกลัวในดวงตาของน้องชายเลย นั่นทำให้ฉันต้องถึงกับงงอีกครั้ง มันจะง่ายขึ้นถ้าหากเข้าใจว่าเขานั้นกลัว แต่ปฏิกิริยาของเขานั้นกลับแตกต่างออกไป ราวกับเขานั้นได้สูญเสียอะไรบางอย่างไป ราวกับตัวเขานั้นได้พังไปแล้ว

 

ฉันได้ทำการขอโทษแล้วขอโทษอีก ฉันขอโทษซ้ำไปซ้ำมา แล้วทุกๆครั้งที่ฉันฝันก็มักจะฝันเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น ทุกๆครั้งที่ได้เห็นภาพของน้องชายที่บาดเจ็บ ฉันต้องเข้าไปขอโทษเขาอย่างช่วยไม่ได้ แต่ว่ามันสายไปแล้ว ไม่ว่าฉันจะขอโทษเขาสักเท่าไหร่ น้องชายของฉันก็คงไม่มีวันเข้าใจ การขอโทษนั้นเป็นวิธีที่จะทำให้ได้รับการอภัย แต่มันก็เป็นเพียงสำหรับเมื่อคุณบอกอีกฝ่ายว่าเป็นคนผิดและพวกเขาที่กำลังโกรธคุณเท่านั้นจึงพอที่จะสามารถจะแก้ไขมันได้ หรือไม่อย่างนั้น ก็จะไม่สามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้

 

แต่ว่าน้องชายของฉันนั้นไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย เขานั้นยกโทษให้กับฉันไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าฉันจะทำการขอโทษเขาไปสักกี่ครั้ง เขาก็แค่ยกโทษให้ มันไม่สมเหตุสมผลเลย ไม่ว่าฉันจะบอกเขาว่าฉันนั้นเสียใจแค่ไหน และมันเป็นความผิดของฉัน มันไม่ได้ผลเลย เขายอมเสมอ ราวกับเขาสูญเสียอารมณ์แห่งความโกรธไปแล้ว

 

เขายกโทษให้ฉัน แต่มันก็ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะไปขอโทษเขาโดยเขาไม่ได้โกรธ น้องชายของฉันยังคงให้อภัยทุกครั้งที่ฉันขอโทษ ดังนั้นจึงจบลงแบบนี้เสมอ ไม่มีอะไรเปลี่ยน ฉันเปลี่ยนมันไม่ได้ คุณไม่สามารถที่จะทำอะไรบางอย่างที่แตกไปแล้วให้กลับมาเหมือนเดิมได้ ไม่ว่าฉันต้องการมันกลับมาเหมือนเดิมสักแค่ไหน น้องชายของฉันผู้ที่ได้ยกโทษให้ฉัน ก็คงจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนได้

 

ฉันอยากที่จะโดนประนาม ฉันอยากที่จะถูกจับในสิ่งที่ฉันได้ทำไป ฉันต้องการที่จะบอกเขาว่าฉันรู้สึกอย่างไร ร้องไห้และขอโทษเขา เพื่อที่จะบอกเขาว่าจริงๆแล้วฉันนั้นรักเขา และทำเพื่อที่จะให้เขานั้นได้กลับมาเป็นน้องชายของฉันอีกครั้ง

 

แล้วหลังจากนั้น น้องชายของฉันก็กลับแย่ลงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆครั้งที่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา มันดูเหมือนเขานั้นสูญเสียอะไรบางอย่างไปอีก ราวกับเขากำลังสูญเสียอารมณ์ไปทีละอย่างๆ…….

 

จากนั้นฉันก็รู้สึกได้

 

-แล้ว… มันจะเกิดอะไรขึ้นหากความรู้สึกและอารมณ์ของเขานั้นหายไปหมดกันล่ะ?

 

ฉันยังนึกถึงบทสนทนาที่ได้คุยกับเขาทางโทรศัพท์ได้ เขานั้นบอกให้ฉันช่วยรอจนกว่าจะจบจากโรงเรียน ช่วยรอหน่อยเหรอ? มันชัดเจนว่าเค้านั้นกำลังจะหายไปจากชีวิตของฉัน บางทีฉันอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกเลย นอนจากนี้ถ้าหากว่าเขาสูยเสียความรู้สึก “กลัว” ไปแล้ว เขาคงจะต้องเลือกความตายอย่างไม่ลังเลแน่นอน แม้แต่ตอนนี้ คำพูดของฉันจากวันนั้นยังคงตามหลอกหลอนบีบคั้นจิตใจน้องชายของฉันอยู่ ฉันไม่สามารถดึงมันออกมาได้ ฉันไม่สามารถช่วยเขาได้หากฉันยังไม่เข้าถึงหัวใจของเขาได้

 

ดังนั้นฉันจึงมองฝากฝังไปยังคนอื่น เพราะว่านั่นน่าจะมีบางคนที่สามารถทำได้ แต่มันก็ล้มเหลว ที่จริงมันจบด้วยการไปทำร้ายเขามากขึ้นไปอีก ฉันไม่สามารถที่จะพึงพาพวกเขาได้

 

ฉันไม่ต้องการที่จะกลับไปเป็นเหมือนดังแต่ก่อนแล้ว ถึงแบบนั้นฉันก็ยังอยากที่จะช่วยน้องชายของฉัน ฉันจะต้องทำ ไม่มีใครแล้วนอกจากฉัน ครั้งนี้ฉันจะต้องปกป้องเขา ฉันจะไม่มีวันทรยศเขาอีก

 

“แข่งบาสเก็ตบอล…….มันดูไม่เหมือนเป็นสิ่งที่เขาอยากที่จะทำเลย” (ยูริ)

 

จิตใจของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบไหนกันนะ? ฉันจะต้องไม่พลาดแม้สัญญาณใดๆที่ออกมาเล็กน้อยจากการเปลี่ยนแปลงของน้องชายของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้เขาต้องหลุดรอดสายตาของฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันจะปล่อยมือเขาครั้งนั้นครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่สามารถที่จะคุยกับเขาได้อีกเลยถ้าฉันละสายตาไปจากเขาอีกครั้ง ฉันมันใจว่า ฉันจะต้องไม่ได้เจอเขาอีกต่อไป

 

ฉันคิดว่าฉันควรจะเตรียมพับผ้าเช็ดตัวกับเครื่องดื่มเกลือแร่ไปด้วย ฉันรู้สึกว่าต้องทำแบบนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ที่คิดว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างให้  ในตอนที่ฉันยังอยู่โรงเรียนมัธยมต้น น้องชายของฉันนั้นเป็นคนที่ดูดีคนนึงที่เล่นบาสเก็ตบอล บางที ฉันอาจจะได้เห็นเขาเป็นแบบนั้นอีกครั้ง แล้วฉันก็ตัดสินใจที่จะอยู่รอจนเวลาเลิกเรียน อย่างวิตกังวล……….

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด