เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ 67: เธอ และ ผม ต่างก็ถูก

Now you are reading เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ Chapter 67: เธอ และ ผม ต่างก็ถูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เธอ และ ผม ต่างก็ถูก

 

“อดีตแฟน?” (ยูกิ)

 

“…… ใช่” (ฮินางิ)

 

แล้วฮินางิก็ค่อยๆได้พูดมันออกมา มันฟังดูเจ็บปวดมาก เสียงของเธอนั้นสั่น ซึ่งมันก็เป็นความจริง ไม่ว่าเธอนั้น จะไม่อยากยอมรับมันมากแค่ไหน แต่มันก็เป็นอดีตที่เธอนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ราวกับลูกบอลแสงสีที่สว่างวาบแล้วค่อยซีดจางหายไปและก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน

 

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบ 23.00 น.แล้ว ถึงแม้ว่าวันนี้จะเป็นวันงานเทศกาลดอกไม้ไฟ แต่ก็ไม่ได้มีใครแนะนำให้ผู้เยาว์นั้นจะต้องออกมาในชั่วโมงแบบนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ฮินากิเองก็ยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย ผมเองก็แน่ใจว่าพ่อแม่ของเธอนั้นก็ต้องเป็นห่วงเธอ

 

 แต่ว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่ล่ะ? แล้วนี่เรากำลังเล่นกับดอกไม้ไฟกันอยู่ นี่พวกเราเป็นผู้กระทำผิดร่วมกันอย่างเต็มที่เลยนี่นา

 

ผมที่กำลังจะไปส่งเธอกลับไปที่บ้าน แต่ทว่าฮินากินั้นก็ได้ยืนกรานที่อยากจะขอเล่นดอกไม้ไฟอีกสักหน่อย ดังนั้นผมก็จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปซื้อมันมาจากที่ร้านสะดวกซื้อ และเราก็กำลังเล่นมันด้วยกันในสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้ๆนี้

 

แล้วนี่ก็ได้ทำให้ฮินากิ กลายเป็นผู้กระทำความผิดโดยสมบูรณ์ โดยที่ผมเองก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เลยในเรื่องนี้ ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ทาโอริ!

 

และเนื่องจากที่พวกเรานั้นไม่สามารถที่จะทำให้มีเสียงดังเอะอะวุ่นวายในตอนกลางคืนที่ดึกแบบนี้ได้ ดังนั้นดอกไม้ไฟที่ซื้อมาจึงเป็นเพียงก้านไฟเย็น ที่พวกเราสองคนได้ย่อตัวลงและก็มองดูแสงวาบที่ตกลงมาอย่างเงียบๆ มันช่างดูคล้ายกับเป็นฉากรักฉากหนึ่งในฤดูร้อนเลย

 

“แล้วพวกเขาได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า?” (ยูกิ)

 

“ไม่หรอก แต่ว่าฉันก็กลัวนะ ฉันกลัวว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นตามมาอีก ……” (ฮินากิ)

 

เหตุผลที่ฮินากินั้นมาสายในการนัดกันครั้งนี้ มันเห็นได้ชัดเลย ก็มันเพราะว่าเธอนั้นได้บังเอิญไปเจอกับรุ่นพี่ของเธอ แล้วรุ่นพี่นั้นก็คือผู้ชายที่ชื่อโยชิกาวะ ซึ่งแก่กว่าฮินากิหนึ่งปี ที่เธอนั้นเคยคบหากันด้วยในตอนมัธยมต้น แต่ว่าตั้งแต่ที่ได้ย้ายไปโรงเรียนมัธยมปลายที่อื่น พวกเขาไม่เคยพบกันอีกเลย แต่ว่าพวกเขาก็กลับมาได้พบกันอีกครั้งโดยความบังเอิญ

 

แล้วถ้าหากว่ามันเป็นแค่เรื่องทั้งหมดที่ว่ามา มันก็คงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่มันก็เห็นได้ชัดเลยว่าฮินากินั้น คงสัมผัสอะไรได้บางอย่างที่มันมากกว่านั้น และเธอก็ยังคงมีความรู้สึกไม่สบายใจที่ยังหลงเหลือคลอบคลุมตัวเธออยู่ แล้วมันก็เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยโรงเรียนมัธยมต้น ที่มันเป็นอะไรทีเจ็บปวดมากสำหรับเธอ

 

ผมสามารถดูออกได้จากอาการที่เธอนั้นได้แสดงออกมาให้เห็น แปลว่าเธอนั้นยังคงได้รับความทุกข์ทรมานอยู่เรื่อยมาโดยที่ผมนั้นไม่เคยรู้ เธอต้องจมไปอยู่ในความมืดมิดนั้น จนทำให้แม้แต่บุคลิกของเธอเองนั้นก็ได้เปลี่ยนไป

 

“งั้นก็ไปหาเพื่อนเพิ่มสิ” (ยูกิ)

 

“…… เพื่อน?” (ฮินากิ)

 

“ฉันหมายถึงเธอน่ะ เพราะฉันเองก็มีเพื่อนไม่มากนัก” (ยูกิ)

 

“นายก็มีเพื่อนอยู่เยอะนี่ยูกิโตะ” (ฮินากิ)

 

“เอ๊ะ?” (ยูกิ)

 

“เอ๊ะ?” (ฮินากิ)

 

“…………” (ยูกิ)

 

“…………” (ฮินากิ)

 

“เอ๊ะ” (ยูกิ)

 

“เอ๊ะ” (ฮินากิ)

 

ผมมีเพื่อนเยอะเหรอ ใครล่ะ? ผมนี่นะ? ผมนึกอะไรแบบนั้นไม่ออกเลยนะ แล้วคนเดียวที่ผมนึกได้ก็คือเจ้าผู้ชายรูปหล่อหน้าใส แต่คงจะบอกไม่ได้ว่าตัวเองน่ะมีเยอะนะ ทั้งฮินากิและผมต่างก็เอียงคอกันอย่างดูผิดปกติ ราวกับมันดูจะมีช่องว่างอยู่ในบรรยากาศที่ดูเหมือนจะมีความแตกต่างกันมากในการรับรู้ แต่ว่าตอนนี้มันก็ไม่สำคัญ

 

“ยังไงก็ตาม หาเพื่อนเพิ่มซะนะ เธอน่ะมาอยู่ในโรงเรียนมัธยมปลายแล้ว ฉันคิดว่ามันก็ไม่น่าจะยากเกินไปสำหรับเธอน่ะ” (ยูกิ)

 

“นี่นายหมายความว่ายังไงน่ะ?” (ฮินากิ)

 

“ฟังดูมันก็ออกจะไม่ค่อยทันสมัยนะ แต่ว่านั่นมันก็เพื่อเธอนั่นแหละ” (ยูกิ) [TL: ใน JP มีคำเปรียบเปรยอะไรบางอย่าง ซึ่งมันน่าจะเป็นอะไรบางอย่างที่คุยกับฮินากิ]

 

“เพื่อฉัน?” (ฮินากิ)

 

“ก็ถ้าเธอยังคงเลือกผิดไปอีกครั้งนึง เธอก็จะไม่มีวันที่จะได้หวนกลับมาอีกครั้งแล้วยังไงล่ะ” (ยูกิ)

 

“—?!” (ฮินากิ)

 

“มันเป็นเรื่องดีที่เธอนั้นได้เอามาพูดกับฉันในตอนนี้ อย่าได้เก็บเอาไว้คนเดียวสิ มองหาเพื่อนมาเพิ่ม เพื่อที่จะคอยอยู่เคียงข้างเธอ และก็พึ่งพาพวกเขาให้มากขึ้น ครอบครัวของเธอเองก็รออยู่ที่นั่นเพื่อเธอ อย่าไปคิดแต่ว่าจะไปทำให้เดือดร้อนสิ” (ยูกิ)

 

“อะ อืมม ฉันเข้าใจ” (ฮินากิ)

 

ผมก็รู้ว่าฮินากินั้นเปลี่ยนไป นั่นก็เป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้ ฮินากิมักจะเอาแต่ปฏิเสธคำพูดของผม แล้วก็ดูเหมือนผมก็จะได้แต่เอาเปรียบ และผมดันไปก็ยึดมั่นมันไว้จนในนาทีสุดท้าย

 

อย่างไรก็ตาม นั่นก็คงอาจจะไม่เพียงพออีกแล้วในครั้งต่อไป ถ้าหากว่าคุณนั้นไม่เคยได้รู้อะไรเลย ถ้าหากคุณไม่ทันสังเกตอะไรบ้างเลย มันก็จะสายเกินไป แล้วคุณก็ทำอะไรไม่ได้อีก แต่ว่าถ้าเป็นก่อนหน้านั้นสักหน่อย มันก็ย่อมมีอีกหลายสิ่งที่คุณนั้นจะสามารถทำอะไรได้บ้าง

 

“ถ้าเธอน่ะ ถ้ารู้ว่าตัวเธอจะต้องรับมืออะไรกับใคร เธอน่ะ ก็จะสามารถเลือกทำทุกอย่างให้เหมาะสมที่สมควรจะทำได้ อย่างที่นักจิตวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ได้เคยกล่าวไว้ คือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เกลือจิ้มเกลือ” (ยูกิ)

 

“แบบนี้นายจะตายเอานะหากว่ามันผิดพลาดน่ะ” (ฮินากิ)

 

“ยังไงก็เถอะ ไม่ต้องไปกังวลอะไรมากหรอก เธอน่ะตัดสินใจได้ถูกแล้ว เธอน่ะเติบโตขึ้นแล้วนะ” (ยูกิ)

 

“บางที ถ้าฉันไม่ไปบอกกับนายเกี่ยวกับเรื่องนั้น มันก็คงจะต้องไม่เป็นแบบนี้……” (ฮินากิ)

 

“นั่นก็จริง แต่ถ้าหากพวกเขารู้ว่าเธอนั้นน่ะเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉันตั้งแต่แรก พวกเขาอาจจะไม่คิดจะทำอะไรกับเธอเลยก็ได้นะ” (ยูกิ)

 

“นี่นายกำลังพูดถึงตัวเองอย่างนั้นเหรอ?” (ฮินากิ)

 

ก็ในตอนที่ผมยังเรียนอยู่มัธยมต้น ผมที่เริ่มได้ออกห่างจากฮินากิ แล้วในตอนนั้น เธอเริ่มที่จะรู้สึกขมขื่นกับผม เรานั้นเรียนอยู่กันคนละชั้นกัน ก็เลยไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กันที่โรงเรียน มีเพียงคนเดียวที่รู้ว่าเธอกับผมนั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กก็คือเพื่อนร่วมชั้นสมัยประถม

 

แล้วก็ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เหล่าพวกนักเรียนที่มีอายุมากกว่าก็มักจะหลีกเลี่ยงผม แล้วก็มีอยู่หลายครั้งที่พวกเขาทำเป็นมองข้ามผมไป ถ้าหากพวกเขารู้ว่าผมนั้นเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเธอ พวกเขาเองก็คงจะมองมาที่ผมในมุมมองที่แตกต่างไปจากเดิม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็คงไม่ต้องเสียเวลามาคิดซ้ำให้ยากเลย ว่าจะต้องไม่มายุ่งอะไรกับผมอย่างแน่นอน

 

ฮินากินั้นกังวลใจ แต่ว่าจริงๆแล้วผมก็ว่าไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรขนาดนั้น เพราะว่าเธอนั้นไม่ได้ทำผิดแบบเดิมอีก และตอนนี้เธอยังสบายดี นอกจากนี้ เธอเองก็เป็นนักเรียนมัธยมปลายแล้ว เธอนั้นโตพอที่จะรู้รับผิดชอบถ้าหากว่าเธอจะต้องทำอะไรบางอย่าง มันไม่ได้เป็นเพียงการตัดสินใจของเด็กแล้ว และนั่นคือสิ่งที่ผมนั้นกำลังหมายถึง เพราะผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายนั้นจะมีข้อได้เปรียบอะไรหรือรับมือได้ยากอะไรขนาดนั้น

 

ก็ถ้าหากพวกเขาไปบีบบังคับให้ใครทำอะไรบางอย่างแล้วมันดันพลาด พวกเขานั้นก็คือผู้ที่จะต้องจบสิ้นในทันที เพราะในยุคนี้ ด้วยการบันทึกเสียงและวิดีโอนั้นทำได้ง่ายๆด้วยสมาร์ทโฟน และมันก็จะกลายเป็นหลักฐานที่เหลืออยู่ในภายหลังไว้ให้ตาม

 

ในโลกแห่งจินตนาการนั้น มักจะมีตัวอักษรขึ้นมาในประเภทวิดีโอที่เขียนไว้ว่า NTR แต่ว่าสิ่งเหล่านี้มันก็เป็นเพียงการกระทำที่โง่เขลา ในแง่ของการทำลายตัวเอง ซึ่งหากมีการส่งหลักฐานการก่ออาชญากรรมของคุณไปยังอีกฝ่ายหนึ่งทุกอย่างมันก็จะจบสิ้น

 

มันเป็นการยากที่จะแอบซ่อนในสิ่งที่คุณได้ทำไว้ ผมนั้นคุ้นเคยดีกับการตีแผ่เรื่องที่ชั่วร้ายมากเลยล่ะ และผมเองก็ไม่ได้รังเกียจที่จะต้องถูกลงโทษเลย แต่ว่านั่นมันก็ไม่ใช่ในกรณีโดยทั่วๆไปหรอกนะ

 

ในฐานะที่เป็นนักเรียน มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะบุ่มบ่ามด้วยการทำอะไรบางสิ่ง ที่อาจจะส่งผลให้ถูกไล่ออกหรือถูกพักการเรียนได้ เพราะพวกเขาเป็นนักเรียนมัธยมปลายกันแล้ว และพวกเขานั้นก็ย่อมรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ อุปสรรคต่างๆที่ว่ามานั้นก็มีสูงมาก และก็เป็นการยากที่จะหลบหนีจากอุปสรรคเหล่านั้น

 

ซึ่งจากที่ว่ามาทั้งหมดนี้ การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนึงนั้นก็จะถูกจำกัดให้แคบลงไปโดยธรรมชาติ แต่ถึงกระนั้น หากพวกเขาเต็มใจที่จะลองเสี่ยงและพยายามหาวิธีการทำมันขึ้นอย่างจริงจัง ก็อาจพูดได้ว่าพวกเขาดูจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ง่ายสำหรับเรา

 

 แล้วจู่ๆผมมาก็นึกขึ้นได้ แล้วผมก็นึกขึ้นได้พอดีว่ามีคนรู้จักที่เหมาะสม ที่เข้ากับสถานการณ์แบบนี้อยู่

 

“ใช่แล้ว ฉันจะแนะนำเธอได้รู้จักกับ อาจารย์เทพธิดา ที่เป็นโยวไค BBA ให้เอง พอดีเธอได้มาสร้างปัญหาให้ฉันเอาไว้เยอะ และเธอก็บอกไว้ว่าจะให้คำปรึกษาฟรีกับฉันน่ะ”

 

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันน่ะ?” (ฮินากิ)

 

“ฉันได้ยินมาว่าเธอนั้นเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงนะ” (ยูกิ)

 

“เฮ้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร” (ฮินากิ)

 

“ฉันเหมือนได้ยินมาว่าเธอนั้นจะชื่อคูอง โคซึคาตะ แล้วก็นะแล้วฉันเองก็ไม่คิดว่าชื่อนี้จะไปสะกิดใจให้นึกอะไรขึ้นมาได้หรอก” (ยูกิ)

 

“ก็นั่นล่ะทำไม! บอกมานะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” (ฮินากิ)

 

“แล้วฉันจะไปบอกกับเธอในครั้งหน้า ที่ฉันจะต้องไปพบเธอให้นะ แล้วเดี๋ยวฉันจะให้ข้อมูลติดต่อของเค้ากับเธอ” (ยูกิ)

 

“ขอขอบคุณนะ ว่าแต่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” (ฮินากิ)

 

“เฮะ? แปลกแฮะ ฉันนี่คำพูดฉันส่งไปไม่ถึงรึไงนี่?” (ยูกิ)

 

“ตอบฉันมาสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร?” (ฮินากิ)

 

“คุณฮินากิครับ?” (ยูกิ)

 

 เฮ้ๆๆ ฮินากิ นี่เธอเป็นอะไรไปเนี่ย?

 

ดูราวกับมีออร่าแห่งความมืดออกมาจากตัวเธอ นี่เธอไปแอบไปฝึกอะไรมาเหมือนกับพี่สาวของผมรึเปล่าเนี่ย และที่ดวงตาของฮินากิเองก็ดูราวกับคนเหม่อลอย

 

ผมได้พยายามอธิบายให้เธอนั้นฟัง แต่ก็ดูเหมือนเธอจะไม่ยอมเชื่อ เธอดูกดดันเอามาก คือผมหมายความว่า ถ้าเธอเป็นคนที่สามารถกดดันอะไรได้ขนาดนี้ ผมก็คิดว่าเธอเองนั้นก็น่าจะสามารถรับมือกับรุ่นพี่ของเธอที่ดูแล้วก็ไม่น่าจะไม่มีอะไรสำคัญได้ละมั่งเนี่ย แต่ว่าก็มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่เคยชินกับเจตนาร้ายที่พุ่งเข้าใส่พวกเขา ผมก็เข้าใจนะว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกไม่สบายใจ

 

ผมที่ได้เห็นประกายไฟสุดท้ายของไฟเย็นดับมอดลงไป ก็ได้ลุกขึ้นยืน ผมได้เก็บกวาดและนำไปทิ้งถังขยะ และตรวจดูให้แน่ใจว่ามันไม่มีเศษอะไรเหลืออีก เพื่อที่จะได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนี่มันดึกแล้ว ผมไม่สามารถจะมารั้งเธอเอาไว้ในเวลาที่สายขนาดนี้ไว้ได้อีก

 

“เท้าของเธอยังโอเคไหม?” (ยูกิ)

 

“ฉันสบายดี ฉันเดินไปเองจากที่นี่ได้แล้วล่ะ” (ฮินากิ)

 

แต่ผมก็ไม่สามารถบอกลาเธอ ณ ที่ตรงนี้ได้ ดังนั้นผมจึงต้องเดินไปที่บ้านของฮินากิด้วย ในความเงียบงัน ฮินากิซึ่งกำลังเดินอยู่ข้างๆผม ก็ได้เปิดปากของเธอขึ้นพูดอย่างแผ่วเบา

 

“นายอยากจะค้างที่บ้านฉันไหมล่ะ?” (ฮินากิ)

 

“อ-อยะ-อย่าทำโง่ๆสิ! ฉันน่ะไม่สามารถทำสิ่งที่น่ากลัวแบบนั้นได้นะ!” (ยูกิ)

 

“ทำไมนายจะต้องตื่นตกใจด้วยล่ะ ……? ก็นายเคยมาอยู่ด้วยกันกับพวกเรานี่” (ฮินากิ)

 

ฮินากิพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด แต่ว่าผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องสั่นสะท้านให้กับคำแนะนำที่ช่างแสนจะน่ากลัว ถ้าหากว่าผมได้ทำอย่างนั้นไปจริงๆ ผมนั้นก็จะต้องถูกลงโทษพิพากษาอย่างแน่นอน แล้วพวกเราก็เสียเวลาในการแวะข้างทางไปแล้วด้วย และนี่ก็ดึกมากแล้ว ถ้าหากเราไปช้ากว่านี้พวกเราจะต้องมีปัญหาหนักเอาแน่ๆ

 

 แล้วก็นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าฮินากินั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ก็เถอะนะ แต่ว่าผมนั้นก็ได้ถูกอากาเนะ ซึ่งเป็นแม่ของฮินากินั้นห้ามไม่ให้เข้าไปในบ้านซูซูริคาว่า

 

ส่วนครั้งที่แล้ว ผมจำต้องยอมรับคำเชิญของเธอไปเพราะว่าเธอกำลังสิ้นหวัง ผมนั้นไม่ได้พบกับอากาเนะซังโดยตรงในตอนนั้น และถ้าหากว่าผมจะต้องเจอ เธอนั้นก็คงจะต้องตำหนิผมเอาแน่

 

ผมนั้นทรยศต่อความคาดหวังของอากาเนะซัง ซึ่งถ้าหากเธอมาบอกว่าผมควรที่จะไปช่วยเธอเอาไว้ก่อนที่จะได้ก่อนเกิดเหตุการณ์นั้น ผมก็คงจะเถียงอะไรเธอกลับไปไม่ได้ และในแง่นั้น ผมก็ยังเป็นคนเดิมๆที่ไปทำร้ายฮินากิ

 

“นายรู้ไหม ความจริงแล้วฉันเองก็อยากจะถามอะไรนายบางอย่างด้วยนะ ว่าทำไมวันนี้นายถึงตอบรับคำชวนของฉันกันล่ะ?” (ฮินากิ)

 

“ฉันควรที่จะต้องมีเหตุผลอะไรด้วยเหรอ?” (ยูกิ)

 

“ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งน่ะ แต่ฉันว่าฉันคิดออกแล้วล่ะ ฉันรู้ว่านายกำลังจะพูดว่าอะไร” (ฮินากิ)

 

“ฉันเข้าใจล่ะ เพราะพลังอ่านจิต สินะ” (ยูกิ)

 

“ไม่ใช่นะตาบ้า” (ฮินากิ)

 

มันดูเริ่มจะควบคุมไว้ไม่ได้แล้วเนื่องจากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด แต่ว่าก็มีอะไรบางอย่างที่ผมนั้นก็อยากจะพูดกับฮินากิอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นแบบเดียวกับที่ผมนั้นได้บอกกับชิโอริ

 

“ฮินากิ ฉัน–” (ยูกิ)

 

“ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าฉันไม่ผิดใช่ไหม” (ฮินากิ)

 

 แล้วฮินากิพูดซ้ำมาอีกครั้งเพื่อขัดคำพูดของผม แล้วมือของเธอก็ได้ยื่นมาจับมือของผมอย่างแผ่วเบา

 

“ฉันต้องดิ้นรน ดิ้นรนและก็ดิ้นรนมาตลอด และมันก็มีเพียงแค่นายที่เป็นดังแสงสว่างที่ส่องท่ามกลางความมืดมิด ฉันน่ะจะไม่มีวันปล่อยมือจากนายอีกต่อไปแล้ว” (ฮินากิ)

 

“เธอเองต้องใช้ชีวิตของเธอนะ มองไปที่รอบๆตัวเธอให้มากขึ้นสิ ฉันแน่ใจว่าเธอนั้นก็จะ–” (ยูกิ)

 

“ยูกิโตะ ฉันเป็นคนตัดสินใจใช้ชีวิตของตัวเอง ดังนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับฉัน” (ฮินากิ)

 

แล้วเราก็ได้มาถึงที่บ้านของฮินากิ ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นโดยตรงที่มาจากมือของเธอ สายลมยามค่ำคืนนี้ก็ได้ทำการปลอบประโลมร่างกายที่กำลังถูกแผดเผาของผม และจากนั้นเธอก็ได้หอมแก้มของผมเบาๆ

 

“ฉันจะไม่ยอมแพ้หรอกนะ ก็นายที่พยายามจะช่วยฉันอยู่เสมอ – และก็เพราะนั่นน่ะคือตัวตนของนายสำหรับฉัน” (ฮินากิ)

 

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ตอนที่ผมได้พบกับเธอในทีแรก ใบหน้าของเธอนั้นก็ซีดเป็นสีฟ้าไปหมด แต่ว่าในตอนนี้ มันได้ถูกย้อมจนเป็นสีแดงด้วยความร่าเริง การแสดงออกของเธอที่ดูขวยเขินและดูเขินอาย เป็นแบบเดียวกันกับฮินากิที่ผมนั้นไม่เคยได้เห็นมานานมากแล้ว

 

“ขอบคุณนะสำหรับวันนี้ ฉันก็จะขอโทษและก็จะขอบคุณอีกครั้งในครั้งต่อๆไปอีก” (ฮินากิ)

 

สีหน้าของเธอซึ่งเคยซึดเป็นสีฟ้าในตอนที่เราพบกันไม่กี่ชั่วโมงก่อน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงสดราวกับว่าเธอนั้นได้มีความสุข สีหน้าของเธอที่ขวยเขินและเขินอาย เป็นเวลานานมากแล้วที่ผมไม่ได้เห็นฮินากิคนเดิมจากเมื่อตอนนั้น

 

“ฮินากิ” (ยูกิ)

 

“…………” (ฮินากิ)

 

“—– ชุดยูกาตะนั้นดูดีเข้ากับเธอนะ” (ยูกิ)

 

“ขอขอบคุณนะ” (ฮินากิ)

 

ผมต้องจะบอกเธอไปอย่างนี้ ผมได้พยายามคิดมันออกมาให้เร็วที่สุด ส่วนฮินากินั้นก็ไม่ได้หันกลับมามองอีก แต่ว่าผมก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังยิ้มให้ผม และนั่นคือระยะห่างระหว่างเราสองคนในตอนนี้ มันไกลกว่าตอนที่พวกเราอยู่ชั้นประถมแต่มันก็ใกล้กว่าตอนที่เราอยู่ชั้นมัธยมต้น

 

 ผมมองดูตัวเธอหายเข้าไปในบ้านดีแล้ว และก็ได้ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 

“แล้วฉันควรจะทำอย่างไรดีล่ะ……?” (ยูกิ)

 

ผมสามารถต้านทานความเกลียดชังและความอาฆาตพยาบาทได้ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับความชื่นชอบและปรารถนาดีแบบนี้ ผมได้หันหลังกลับด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง และก็ยังคงหาคำตอบไม่ได้

 

ลึกๆลงไปแล้ว ตัวเธอนั้นก็ดูจะรู้ดีว่าเป็นนี่สิ่งที่เธอเองนั้นจะไม่มีวันค้นพบโดยเพียงแค่ลำพัง

 

———————————————————-

 

 

“ผมขอโทษคร้าบบบบบบบบบบบ!” (ยูกิ)

 

ผมได้ก้มใบหน้าของผมลงโขกกับพื้น ตอนนี้ผมกำลังคุกเข่าอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านและทำการอ้อนวอนขอการให้อภัยอย่างที่สุด แต่แรงกดดันมันกลับจะดูรุนแรงมากขึ้นแทนเท่านั้น อะฮ่าๆๆๆ! มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ก็นั่นแหล่ะ!

 

“ฉันบอกไปว่าฉันจะไม่ยกโทษให้ถ้านายกลับมาสายใช่ไหม?” (ยูริ)

 

“ผมไม่มีทำอะไรผิดนะ! ผมปวดท้องระหว่างทางกลับบ้านก็เลยต้องแวะใช้ห้องน้ำเอนกประสงค์สาธารณะ” (ยูกิ)

 

“อะไร? นี่นายไปมีเซ็กส์กับเธอในห้องน้ำเอนกประสงค์สาธารณะเหรอ?” (ยูริ)

 

“ไม่ใช่อย่างแน่นอน! ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าห้องน้ำอเนกประสงค์สาธารณะในแบบนั้น!” (ยูกิ)

 

“อืม งั้นนายก็จะต้องโดนข้อหาและถูกฝากขัง” (ยูริ)

 

“ฝากขัง?” (ยูกิ)

 

“ใช่ ในสำหรับตอนนี้มันเป็นเรื่องในครอบครัว” (ยูริ)

 

“อึ๊! ผมเหมือนยังกับจะมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าแตกต่างจากที่คิดนิดหน่อยนะ แต่ผมกลัวเกินกว่าจะรับรู้มัน!” (ยูกิ)

 

“เอาล่ะ มานอนด้วยกัน” (ยูริ)

 

“แล้วพี่จะถอดชุดนอนทำไม๊?” (ยูกิ)

 

“ก็มันร้อนนี่” (ยูริ)

 

“ไม่ผมไม่ได้ยินสักคำ” (ยูกิ)

 

“มานี่ มากอดกัน” (ยูริ)

 

“?!” (ยูกิ)

 

มันเป็นความโหดร้าย! ลำดับชั้นของผมได้ถูกลดระดับให้กลายเป็นวัตถุที่ไม่มีชีวิต แต่แม่ว่าของผมนั้นก็อยู่ที่นี่ด้วย เธอได้แต่ยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเธอ ผมจึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปให้กับเธอ

 

“แม่ดีใจนะที่พวกลูกจะเข้ากันได้เหมือนอย่างเคยน่ะ” (แม่)

 

“สายตาบกพร่องไปแล้วว?” (ยูกิ)

 

“ฟุฟุ….ฟุฟุฟุ…..แม่คิดว่าแม่น่าจะอายุไม่มากพอที่จะเป็นอย่างนั้นหรอกนะจ๊ะ” (แม่)

 

“นี่มันเป็นความคิดแบบสุ่มอะไรกันครับแม่” (ยูกิ)

 

“มันดูจะสายไปหน่อยสำหรับช่วงวัยต่อต้านใช่ไหมล่ะ? แต่แม่ก็โล่งใจนะ ที่ลูกก็ยังคงเป็นเด็กอยู่” (แม่)

 

“ผมไม่สบายใจเลยนะ! แล้วนี่ทำไมแม่ไม่ใส่ชุดนอนล่ะ?” (ยูกิ)

 

“ไม่ใช่ว่าวันนี้ออกจะร้อนหรอกเหรอ?” (แม่)

 

“ผมไม่ได้ยินสิ่งที่แม่พูดสักนิด” (ยูกิ)

 

“งั้นพวกเรานอนด้วยกันเลยดีไหม?” (แม่)

 

“ใช่ ใช่แล้วผมรู้ว่าทั้งสองน่ะ แม่และลูกสาวนั้นน่ะเหมือนกัน ส่วนผมน่ะเป็นคนเดียวที่มันแตกต่าง” (ยูกิ)

 

“อย่าเศร้าไปเลยจ๊ะ” (แม่)

 

 แล้วผมก็ได้ถูกกอดแขนไว้อย่างแนบแน่นจากทั้งสองฝั่งและก็ได้ถูกพาตัวไป มันดูจะเป็นการแท็คทีมที่ลงตัวยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหมนั่น?

 

“ผมรู้ว่านี่จะเป็นครั้งที่สองที่ผมจะต้องพูดแบบนี้ แต่พวกคุณรู้ไหมว่านี่คือห้องของผม” (ยูกิ)

 

“เราจะได้เปิดเครื่องปรับอากาศเพียงแค่ตัวเดียวไง และนั่นจะได้ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้ ใช่ไหมล่ะจ๊ะ?” (แม่)

 

“ผมจะไม่ได้ยินที่แม่พูดจริงๆนะ” (ยูกิ)

 

 ผมขอเป็นอิสระ! ตัวผมน่ะไม่สามารถที่จะเอาหัวไปโผล่พ้นเหนือน้ำให้กับแม่ของผมได้เลย แล้วผมเองก็ยังกลัวที่จะเป็นฮีทสโตรคเอาด้วยเนี่ย

 

“เอาล่ะทีนี้บอกฉันมาสิว่านายทำลงไปบ้าง ไม่งั้นฉันจะไม่ยอมให้นายต้องได้นอนแน่ๆ จนกว่านายจะยอมบอกฉันมา” (ยูริ)

 

“ผมเป็นผู้บริสุทธ์น๊าาาาาาาาาาาาา!” (ยูกิ)

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด