เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ 8: ทาสอุปกรณ์อิเลคโทรนิค 1

Now you are reading เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ Chapter 8: ทาสอุปกรณ์อิเลคโทรนิค 1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทาสอุปกรณ์อิเลคโทรนิค 1

 

แล้วผมก็รู้ตัวขึ้นมาได้อย่างนึง

 

ทำไมผมจะต้องมีสมาร์ทโฟนไว้ใช้กันล่ะในเมื่อผมมันเป็นคนโดดเดี่ยว? ผมคิดแบบนี้กับตัวเอง

 

“ฉันได้รับข้อความสแปมมา 4ข้อความ สองอันแรกมาจากมิโฮะ และที่เหลือคือของครอบครัว ฉันไม่ได้ต้องการมันเลยนี่นา” (ยูกิโตะ)

 

ผมปิดโทรศัพท์และโยนมันไปบนเตียง ผมไม่ได้พูดมันออกมาเพราะผมรู้ตัวว่าเสพติดเกมกาชาหรอกนะ ถ้าผมกลับไปเล่นมันอีกทีถึงจะเรียกได้ว่าติดเกมกาชานั่นล่ะ โปรดอย่ามากล่าวหากันลอยๆโดยไม่มีหลักฐานกันนะ รายการบัญชีของเงินของผมเป็นหลักฐานที่ใช้ยืนยันได้ ผมไม่เคยแพร่กระจายข่าวปลอมด้วย สิ่งที่ผมทำมีอย่างเดียวคือต้องส่งไปทั้งต้นทางที่ซึ่งเป็นที่มาด้วย

 

ทั้งหมดนี้มันก็เริ่มต้นขึ้นมาจากเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน ผมตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้ตัวว่าที่จริงผมนั้นไม่ได้ต้องการสมาร์ทโฟนเลยนี่นา

 

ทำไมพวกเราถึงจะต้องมาถูกจำกัดอะไรด้วยกับไอ้อุปกรณ์เล็กๆเหล่านี้กันเล่า? ความเป็นอิสรภาพคืออะไร แล้วสมาร์ทโฟนเริ่มต้นเข้ามาควบคุมเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน อย่าได้มองมือถือของคุณในขณะที่กำลังเดินซะล่ะเพราะว่ามันเป็นอันตราย และแล้วพวกคนสมัยใหม่นี้ต่างก็ตกเป็นทาสของอุปกรณ์อิเลคโทรนิคกันไปหมด

 

ด้วยความรู้สึกรำคาญที่เกิดจากการที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่สำคัญนี้ แล้วเพราะมันก็ไม่มีใครที่จะมีธุระอะไรกับผมด้วยสักหน่อย แล้วก็นั่นจึงทำให้ผมเริ่มวิจัยค้นคว้ามาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาในหัวข้อ “ที่จริงแล้ว ยูกิโตะ โคโคโนเอะ นั้นจำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนไหม?” นี่เป็นการทดลองอย่างจริงจังตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา แล้วผมก็ได้ข้อสรุปจากการทดลองนี้แล้วว่า ก็อย่างที่คิดไว้ “มันไม่จำเป็น”

 

“ถ้าหากว่าเกิดเหตุด่วนฉุกเฉิน ก็แค่เดินไปหายูริซัง” (ยูกิโตะ)

 

ใช่แล้วเพราะพี่สาวของผมนั้นอยู่โรงเรียนดียวกันไงล่ะ ถ้าหากว่ามีเหตุฉุกเฉินอะไรที่สำคัญๆที่จะต้องรายงานอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะก็ ผมก็แค่ไปหายูริซังและบอกกับเธอไปเท่านั้นเอง จึงได้ข้อสรุปสุดท้าย ผมไม่จำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนนั่นเอง

 

“งั้นคราวหน้า ผมไปบอกแม่ให้ยกเลิกเบอร์ดีกว่า” (ยูกิโตะ)

 

มันไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปเสียเงินให้กับโทรศัพท์ที่ไร้ประโยชน์ มันควรจะมีความหมายกับการนำเงินไปใช้จ่ายกับเรื่องอื่นซะมากกว่า มันไม่มีค่าอะไรกับตัวผมที่จะต้องมีสมาร์ทโฟนไว้กับตัวเลย มันเป็นสมบัติที่ไร้ค่า ไข่มุกที่อยู่กับหมู ไม่ก็ตราประทับที่อยู่กับแมว หรือเช่นกันกับสมาร์ทโฟนที่อยู่กับยูกิโตะ โคโคโนเอะ

 

ที่จริงในอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้รับจากโทรศัพท์ก็คือ สแปมจากมิโฮะ มันเป็นการคุยเรื่องไร้สาระผ่านข้อความ อย่างอื่นที่ได้รับอีกนิดหน่อยก็คืออีเมลที่มาจากครอบครัวของผม มันก็แค่เกี่ยวกับเรื่องในบ้าน ส่วนมิโฮะก็ต้องเจออยู่แล้วที่โรงเรียน ดังนั้นเดี๋ยวค่อยไปคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้

 

ผมไม่เคยแม้แต่จะเปิดกลุ่มแชทที่อลิซาเบธได้ส่งคำเชิญมาให้ด้วยซ้ำ ผมมันก็แค่คนนอก เพราะผมไม่อยากที่จะให้ตัวเองเป็นหัวข้อในการสนทนายังไงล่ะ

 

ดังนั้นการทดลองก็จบลงไปแล้ว และผมจะยกเลิกโทรศัพท์ ผมเป็นอิสระจาการเป็นทาสแล้ว ช่างน่าสดชื่นอะไรอย่างนี้! ผมไม่เคยรู้สึกเป็นอิสระแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต! มันคงจะพูดได้ว่าผู้คนในทุกวันนี้นั้นไม่สามารถที่จะปล่อยมือจากสมาร์ทโฟนของพวกเขาทิ้งไปได้หรอก เพราะว่าพวกเขานั้นเสพติดมันไปเรียบร้อยแล้วยังไงล่ะ แล้วผมก็ตัดมัน ก้าวข้ามผ่านการเสพติดได้ด้วยตัวของผมเอง!

 

อับบราฮัม ยูกิโตะ โคโคโนเอะ นี่คือการประกาศอิสระภาพ!

 

——————————————————————————————————-

 

 

“ยูกิโตะ ฉันสงข้อความไปหาหายเมื่อวานี้นะ แต่นายกลับไปอ่านมันซะงั้น เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” (มิโฮะ)

 

“ฉันไม่เหมือนนายหรอก ฉันไม่ใช่ทาสที่ติดอยู่กับสัญญาอะไรนั่นแล้ว” (ยูกิโตะ)

 

บางทีมันคงเป็นเรื่องน่าเบื่อเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นล่ะ ผมไม่คิดหรอกนะว่ามันจะมีอะไรสำคัญถึงกับจะส่งมาบอกผม ผมไม่รู้ว่าทำไมเจ้าหมอนี่ในห้องเรียนนี้ถึงได้เข้ามาคุยกัยผมกัน มิโฮะ โคยูกิ เจ้าหน้าใสรูปหล่อยังคงมีรอยยิ้มที่ส่องประกายอยู่เหมือนเดิมในวันนี้

 

“ฉันนึกไม่ออกว่านายกำลังพูดถึงอะไรอยู่ อีกอย่าง ทำไมนายถึงได้ใส่แว่นกันแดดกันละเนี่ย?” (มิโฮะ)

 

“อะไร? นี่น่ะเป็นความผิดของนายเลยนะที่ทำให้ฉันต้องใส่แวนกันแดดเนี่ย นายควรที่จะรู้ตัวนะเจ้างี่เง่า แล้วก็ฉันน่ะทิ้งโทรศัพท์ของฉันไปแล้วและได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกที่เป็นอิสระ” (ยูกิโตะ)

 

“ทำไมมันถึงได้เป็นความผิดฉันได้ล่ะเนี่ย? แล้วงั้นก็แปลว่านายไม่ได้ใช้มันอีกต่อไปแล้วงั้นเหรอ นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมนายถึงไม่ได้รับการติดต่อจากฉันใช่ไหมนี่?” (มิโฮะ)

 

“นายคิดว่าจะมีใครอยากจะคุยกับฉันบ้างไม๊ล่ะ?” (ยูกิโตะ)

 

“ฉันนี่ไงกำลังคุยกับนาย อีกอย่างนายก็ไม่ยอมไปสังสรรคกับเพื่อนร่วมห้องเองไม่ใช่เรอะ?” (มิโฮะ)

 

“ไม่เอาน่าอย่างี่เง่าสิ มันไม่มีทางที่คนในห้องจะอยากคุยกับฉันได้หรอก” (ยูกิโตะ)

 

“งั้นฉันขอแย้งต่างเอง” (มิโฮะ)

 

มันมีอะไรน่างสัยในกับรอยยิ้มของเจ้ารูปหล่อนี่ซะจริงๆ ทำไมกันล่ะ? แล้วก็แน่นอน ผมไมได้เอาโทรศัพท์มาโรงเรียนกับผมด้วย โทรศัพท์ของผมมันยังคงนอนอยู่บนพื้นที่มุมห้องของผม ไม่ได้เสียบปลั๊ก และปิดเสียงอีกตะหาก แถมผมก็ยังใส่นาฬิกามานะ ซึ่งปกติแล้วผมจะไม่สวมมา และก็ยังเอานาฬิกาจับเวลามาด้วย แปลว่าตอนนี้ผมยังสามารถที่จะยังรับรู้เรื่องเวลาและจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะ

 

แทนที่จะคอยเช็คโทรศัพทมือถือทุกๆครั้งที่ผมพัก ที่ผมก็จะไม่สามารถทำเพียงแค่อ่านเฉยๆได้ แล้วผมก็ไม่ต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับการรอเวลาฟื้นสตามิน่า(ในเกมกาชา)อีกแล้ว ผมไม่ต้องมานั่งกังวลอีกต่อไปว่านี่ผมจ่ายมันไปมากแค่ไหนแล้วด้วย ผมเป็นอิสระ!

 

แต่ผมกลับไม่ได้รู้ตัวเลยว่าอิสระภาพที่ได้มานั้นมันก็มีราคาที่จะต้องจ่ายเพื่อแลกมาด้วย

 

—————————————————————————————————–

 

 

[มุมมองของ ฮิรางิ ซูซุริคาว่า]

 

“แล้ววันนี้พวกเราก็ไม่ได้คุยกันเลย ใช่ไม๊………?” (ซูซุริคาว่า)

 

ฉันวางกระเป๋าลงในห้องอย่างไม่ใส่ใจอะไรมัน ฉันโยนตัวเองลงไปบนเตียงของฉัน มือของฉันกำลังใช้งานโทรศัพท์และเปิดรูปภาพขึ้นดู ฉันทำแบบนี้เป็นประจำเพื่อที่จะพอให้มันช่วยเติมเต็มจิตใจจากความทรงจำที่สนุกสนานในครั้งนั้น

 

อย่างไรก็ตาม มันก็ได้ถูกตัดสะบั้นลงไปหลังจากที่พวกเรานั้นขึ้นปีสองของโรงเรียนมัธยมต้น จากนั้นเป็นต้นมารูปภาพที่ฉันได้ถ่ายก็ค่อยๆเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ความสนุกสนานในวันนั้นได้จางหายไป และวันต่อๆมามันก็กลายเป็นเพียงสีเทา ที่แม้กระทั่งภาพสะท้อนของตัวเองก็ยังดูเหงาเศร้าศร้อย

 

“นี่พวกเรากลับไปเป็นเหมือนดิมไม่ได้รึไง?…….ฉันเกลียดมันที่เป็นแบบนี้” (ซูซุริคาว่า)

 

ภาพนี้ในวันเหล่านั้น ฉันจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ในตอนแรกฉันอาจจะไม่ได้ดูเหมือนว่ากำลังยิ้ม แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันน่ะมีความสุขออกมาจากข้างใน และที่ข้างๆฉันนั้นก็คือคนที่ฉันรัก คนที่ฉันเคยรัก

 

ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ฉันพยายามเข้าไปใกล้ๆเขาเพื่อที่จะถ่ายรูป เขามักจะตอบสองออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจและเขินอาย สิ่งเหล่านั้นมันเป็นความทรงจำที่มีคุณค่า มันมีคุณค่ามากจริงๆ

 

นี่ก็ฉันในชุดยูกาตะ ทุกๆหน้าร้อน ฉันเคยออกไปงานฉลองเทศการหน้าร้อนกับเขา ทีแรกครอบครัวของฉันจะไปด้วยกัน แต่แล้วไม่รู้เพราะอะไรพวกเราได้เริ่มที่จะออกไปกันเองสองคนเท่านั้น เคยแม้แต่จับมือด้วยกัน สิ่งเหล่านี้ได้ดึงเอาความสวยงามความอ่อนโยนในความทรงจำให้กลับมาได้ลางๆเท่านั้น เพราะมันได้แตกสลายไปหมดแล้ว และฉันเองที่เป็นคนทำมันแตกสลายไปเอง

 

ฉันสงสัยว่าจะเป็นได้ไหมที่พวกเรานั้นจะได้ออกไปด้วยกันแบบนี้อีก? หากบางทีพวกเรานั้นยังคงมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งเหมือนเก่าและได้ออกไปงานเทศกาลฤดูร้อนด้วยกัน จับมือกัน จูบกัน และอีกหลายสิ่งหลายอย่างหลังจากนั้นด้วยกัน–

 

แล้วน้ำตาก็ได้เอ่อล้นออกมาจากตาของฉัน ให้กับความโงเขลาของตัวเอง ที่ให้สิ่งสำคัญอันมีค่านี้ต้องสูญเสียไป

 

ทำไมนะ? มันคงเป็นบาปกับคำถามแบบนี้ ก็นี่น่ะมันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด เพราะฉันเป็นคนโยนมันทิ้งไปด้วยตัวเอง ฉันมันน่าเกลียด ขี้อิจฉา ขี้ขลาด และทนกับความสุขแบบนั้นไม่ไหว ฉันก็เลยดันไปทำลายมันเสียหมด

 

แล้วนี่ฉันจะมีโอกาสที่จะได้คุยกับเขาอีกไหมนะ?

 

ฉันเกลียดแบบนี้……..ฉันอยากจะคุยกับนาย…….อยากจะแตะต้องตัวนายได้เหมือนอย่างที่เคย……..

 

ฉันไม่สามารถส่งความรู้สึกไปถึงเขาได้ ฉันไม่แน่ใจจะต้องพูดว่ายังไง ฉันอยากที่จะให้เขารับรู้ถึงความจริง แต่ฉันก็ไม่สามารถบอกกับเขาได้ และฉันก็ไม่สามารถให้ไปไกลกว่านี้ได้หากว่าไม่มีเขา ถ้าเพียงแค่ฉันได้บอกเขาไปให้รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงก่อนหน้านี้ล่ะ และแล้วสิ่งที่เรียกว่าความสำนึกผิดก็เริ่มทับถมกันมากขึ้นไปเรื่อยๆทุกวัน นับจากวันนั้นจนตอนนี้

 

พอฉันได้ไปยืนอยู่ต่อหน้าเขา ฉันรู้สึกราวกับขามันกำลังจะล้มพับลงไปได้ตลอดเวลา พอฉันมองเข้าไปในตาเขา ฉันรู้สึกกลัวจนไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้ ในตาของเขานั้นดูเหมือนฉันไม่มีความสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว

 

ฉันไม่ใช่เพื่อนสมัยเด็ก หรือแม้แต่เพื่อน ฉันเป็นเพียงเพื่อนร่วมห้องเท่านั้นสำหรับเขา เขาอาจจะคิดว่าฉันมันเป็นคนที่ไม่มีอะไรจะต้องเกี่ยวข้องที่จะมายุ่งกับเขาอีกต่อไป เขาคงคิดแบบนั้น มันช่างโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัว

 

การปฏิเสธอย่างชัดเจน การดึงดันที่จะไม่ยอมรับนั้น แต่ว่าฉันก็สามารถบอกได้เลยว่าจากที่เขาพูดออกมานั้นพยายามจะบอกถึงอะไร  เพราะว่าเขายังคงเป็นห่วงฉัน ฉันอยากที่จะเชื่อว่าเขานั้นยังคงคิดว่าฉันยังคงเป็นคนสำคัญถึงแม้ว่าฉันจะทรยศเขาไปแบบนั้นก็ตาม

 

นี่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้จิตใจของฉันยังดำเนินต่อไปไหว ฉันไม่รู้หรอก แต่แบบนี้มันก็อาจจะเป็นเพียงแค่การทำให้ฉันเจ็บปวดมากขึ้น

 

แต่ฉันก็ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว ฉันทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ฉันไม่ได้ต้องการที่จะอ้างว้างอีกต่อไปแล้ว ฉันดีใจที่ได้อยู่ร่วมชั้นเรียนเดียวกับเขา โดยหวังว่าฉันพอจะมีโอกาสที่จะได้ปรับปรุ่งความสัมพันธ์ของเรา

 

แต่มันก็ช่างยากเย็นเกินไป ระยะห่างระหว่างเขากับฉันนั้นมันช่างไกลกันเหลือเกิน ซึ่งมันไม่ควรที่จะเป็นอย่างนั้น เราควรที่จะได้ใกล้ชิดกันได้แล้วในตอนนี้ ถึงแม้หัวใจของเขาจะแตกสลายไปหมดแล้วก็ตาม

 

ถ้าฉันไม่ทำให้มันจบเรื่องในตอนนี้ ทั้งปีนี้นั้นก็อาจจะสูญเปล่า ฉันอาจจะไม่ได้รับโกาสแบบนี้อีกแล้ว ฉันอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกเลยก็ได้ ฉันเริ่มรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะแล้วสิ

 

นี่ฉันเป็นคนที่ขี้ขนาดจริงๆใช่ไหม? ฉันจะสามารถทนแบบนี้ต่อไปได้งั้นเหรอ? ไม่ ฉันทำไม่ได้

 

“ได้โปรด ฉันขอร้องนายล่ะ ได้โปรดช่วยมอบโอกาสให้กับฉันอีกสักครั้ง” (ซูซุริคาว่า)

 

แล้วฉันก็ส่งข้อความไปหาเขาด้วยมืออันสั่นเทาของฉัน โดยหวังราวกับจะขอพรหรืออะไรแบบนั้น ขอให้เขาได้ยกโทษให้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ “ความบังเอิญ” ได้ส่งให้พวกเราได้มาอยู่ห้องเดียวกัน ราวกับจะชดเลยวันวานที่เราไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน รวมกับระยะห่างที่ได้หายไป  แล้วฉันก็ได้ส่งข้อความถึงเขาผ่านทางโทรศัพท์เหมือนที่เคยทำในครั้้งอดีตนั้น

 

ฉันจะบอกเขาทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันจะบอกเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น และทำไมฉันถึงต้องทำมันลงไป ฉันจะบอกเขาว่าฉันรู้สึกยังไง และฉันจะขอโทษให้กับเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมี อย่างไม่มีอะไรปิดบังทั้งสิ้น อย่างไม่ลังเลใจด้วย และจากนั้นฉันจะยกทุกๆสิ่งทุกๆอย่างของฉันให้กับเขาเท่าที่ฉันมี ดังนั้นได้โปรด ช่วยส่งไปให้ถึงเขาที!

 

“ยูกิโตะ ฉันมีสิ่งที่สำคัญอยากจะบอกกับนาย” [ข้อความ] (ซูซุริคาว่า)

 

———————————————————————————————————

 

 

[มุมมองของ ชิโอริ คามิชิโระ]

 

สุดท้ายแล้วฉันก็ตัดสินใจไม่ไปเป็นผู้จัดการทีบาสเก็ตบอลให้กับทีมชาย ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร ก็มันไม่มีเหตุผลอะไรสำหรับฉันที่จะต้องไปอยู่โดยที่ไม่เขานี่นา ฉันนั้นถูกเชิญเข้าร่วมทีมบาสเก็ตบอลหญิงด้วยเหมือนกัน เนื่องจากฉันมีประสพการณ์มาก่อน

 

ไม่ต้องเสียเวลาคิดเลย ฉันปฏิเสธไป ฉันไม่มีคุณสมบัติที่จะเล่นบาสเก็ตบอลอีกแล้ว ฉันเกลียดมัน เพราะเวลาคิดถึงมันก็ทำให้นึกถึงเวลาที่เขาคิดกับฉัน ฉันไม่สามารถเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นได้อีกแล้ว

 

แล้วฉันก็ถูกเชิญให้เข้าทีมวอลเล่บอล เนื่องจากความสูงของฉัน ฉันก็รู้สึกสับสน ก็เขาบอกว่าจะเข้าชมรมกลับบ้านนี่นา ฉันก็เลยคิดว่าจะเข้าชมรมกลับบ้านด้วยเหมือนกัน แต่ฉันเองก็แน่ใจเลยว่ายังไงก็ยังคงต้องหดหู่อยู่แบบนี้เหมือนเดิม แม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านก่อนเวลาก็ตาม

 

ฉันเองก็ยังอยากมีกิจกรรมที่ใช้ร่างกายบ้างนะ ถ้าหากว่าฉันสามารถกลับไปพร้อมกับเขาได้เหมือนแต่ก่อน มันน่ายินดีที่จะอยู่ชมรมกลับบ้านนะ ช่างเป็นอะไรที่ดูแฟนตาซีจังเลยเนอะ

 

ตอนนี้ฉันนอนกอดเข่าอยู่บนเตียงของฉัน

 

ฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่านี่ ยูกิเขาเลิกเล่นบาสไปแล้วจริงๆ………

 

ฉันนี่ช่างอวดดีอะไรอย่างนี้นะ ทำไมฉันถึงเป็นคนเห็นแก่ตัวอะไรยังงี้? ฉันขยะแขยงตัวของตัวเองจัง ฉันน่ะเป็นคนที่นำมันออกไปจากเขาเองนี่ มันช่วยไม่ได้ที่จะเอาตัวเองเป็นศูยน์กลางเวลามาคิดเรื่องอะไรแบบนี้ แม้กระทั่งตอนนี้

 

ฉันเป็นคนที่แทงข้างหลังคนที่ฉันรัก และฉันก็ยังเป็นคนที่ทำลายสิ่งที่เขานั้นปั้นมันขึ้นมากับมือ ดังนั้นฉันจะไปขอให้เขากลับไปเล่นบาสเก็ตบอลได้ยังไงกันล่ะ?

 

ตอนนั้นฉันไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงได้หมกมุ่นกับบาสเก็ตบอลนักหรอก แต่ว่ามันคงเป็นเพราะเพื่อนสมัยเด็กของยูกิ  ซูซูริค่าว่าซังงั้นสินะ? เพราะเธอพูดออกมาชัดเจนว่ามันเป็นความผิดของเธอ แล้วเธอก็ยังถามฉันอีกว่าฉันได้ทำอะไรลงไป

 

เธอคงจะต้องทำอะไรบางอย่างลงไปด้วยแน่ๆ ซูซุริคาว่าซังก็ทำร้ายเขาเหมือนกัน และฉันรู้แล้วในตอนนี้ว่าอะไรคือสิ่งที่เขาพยายามจะสลัดให้ออกไป โดยอุทิศตัวเองให้กับบาสเก็ตบอลด้วยการฝืนพลักดันตัวเองอย่างที่สุด ฉันยังจำได้ว่าเขานั้นพูดอะไรในวันนั้น

 

เขาขอให้ฉันนั้นช่วยรอจนกว่าเขาจะซ้อมจบและเสร็จสิ้นการแข่ง ฉันแน่ใจว่าเขาต้องการที่จะปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในใจออกไป เพื่อที่จะได้เผชิญหน้าฉันตรงๆได้

 

แต่แล้วฉันก็ไปโกหกและปฏิเสธเขา สิ่่งที่เขาพยายามมาทั้งหมดก็ได้พังทลายลงไป และเขาก็ออกจากทีมบาสเก็ตบอลไปโดยที่ไม่มีการบอกใดๆ ไม่มีคำแก้ตัว ไม่มีการทำให้กระจ่างชัด และไม่มีอะไรพูดถึงเลยหลังจากนั้น

 

มันหายไปไหนหมด? ความรู้สึกนั้นมันหายไปไหนหมด? หรือมันยังคงมีฟุ้งกระจายอยู่ในตัวเขาบ้าง? ฉันไม่รู้ว่าฉันเลวแค่ไหน? ทำร้ายเขาไปมากขนาดไหนกัน? และความผิดของฉันทั้งหมดนี่มันเกิดขึ้นเพราะฉันนั้นได้ทำตัวงี่เง่า

 

ฉันไม่สามารถจ้องดูเขาจากที่ไกลๆอีกเลยด้วยซ้ำ ทั้งที่ฉันรู้จักคนๆนี้ ฉันตกหลุมรักให้กับความมหัศจรรย์ที่เขามี  มันไม่ใช่แค่แบบนั้น มันไม่ใช่แค่นั้น ฉันรักยูกิที่ฉันรู้จักในตอนนี้ด้วย

 

“ฉันอยากจะได้ยินเสียงนาย……..” (คามิชิโระ)

 

ฉันไม่สามารถทนมันไหวได้อีกแล้ว แล้วฉันก็เลยหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมา

 

ฉันสงสัยว่าฉันน่าจะโดนก็ตัดสาย หรือไม่เขาก็ปล่อยมันวางไว้แบบนั้น พอได้รู้ว่าเป็นฉัน

 

ฉันมั่นใจว่าเขาก็คงจะสงสัยล่ะว่า ฉันนั้นต้องการอะไรจากเขาอีก หลังจากในตอนนั้น

 

มันก็เพราะ…….

 

“ก็เพราะว่าฉันรักนายไง ยูกิ….” (คามิชิโระ)

 

——————————————————————————————–

 

 

“ก็จากที่ผมได้วิเคราะห์ดีแล้ว ผมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์ครับ ผมอยากที่จะให้แม่ช่วยยกเลิกให้หน่อย” (ยูกิโตะ)

 

ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีที่แม่หันมาสนใจผม เป็นการกระทำแบบรวดเร็วที่ไม่เย่นเย้อ  แน่นอนผมโกหกเธอไมได้หรอก ดังนั้นผมจึงแสดงหลักฐานต่างๆไปให้ด้วย แล้วผมก็ยื่นโทรศัพท์ให้กับเธอพร้อมกับอธิบายอย่างละเอียดยิบว่าทำไม่ถึงไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้ไอ้แกดเก็ตไร้ค่าอันนี้

 

กับบันทึกย้อนหลังที่ว่าง มันไม่มีอะไรแบบนั้นเลยในมือถือของผม ถึงผมจะไม่อยากที่จะให้คนอื่นมาดูก็ตามนะ แล้วก็ไหนจะการแลกปลี่ยนรูปภาพที่น่าอายลามกอะไรแบบนั้น ซึ่งผมก็ไม่มีเลย แม้แต่จะซ่อนเก็บไว้บนคลาวด์ เต็มที่ผมก็มีแผนที่ที่แสดงให้เห็นว่าผมไปไหนบ้างข้างนอก มันเป็นพื้นที่ว่างที่เสียเปล่า

 

“จากการที่ได้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของอุุปกรณ์อิเลคโทรนิคและได้รับอิสระภาพมา ก็จะทำให้พวกเราตอนนี้ได้พบกันเส้นทางให้ไปสู่ยุคให…..ม่……” (ยูกิโตะ)

 

ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง แม่ของผมก็ดึงผมเข้าไปกอด ตอนนี้พวกเราอยู่ในห้องนอนของแม่ ที่ตอนนี้มีกันเพียงแค่สองคน คือผมกับแม่

 

“แม่ขอโทษ……แม่ขอโทษ……!” (แม่)

 

ผมคาดหวังว่าจะได้รับความเห็นด้วยกับผมจะแต่ด้วยอะไรสักอย่างผมกลับได้น้ำตาที่ร่วงหล่นจากตาของแม่แทน

 

ทำไมล่ะ? ทำไมเธอถึงต้องมาขอโทษผมล่ะ? แล้วทำไมเธอต้องร้องไห้ด้วย?

 

“ไม่ ลูกทำแบบนั้นไม่ได้ ลูกจะมาตัดการสือสารกับคนอื่นแบบนั้นไม่ได้……..” (แม่)

 

“แต่มันก็ชัดแล้วนะครับจากผลการทดลอง ว่าผมน่ะไม่จำเป็น…..”(ยูกิโตะ)

 

“ไม่! นั่นมันไม่จริงสักหน่อย!” (แม่)

 

“งั้นเหรอครับ….?” (ยูกิโตะ)

 

นี่ผมทำอะไรผิดไปรึไงเนี่ย? ผมทำให้แม่ต้องมาร้องไห้อีกแล้ว ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เป็นแบบนี้นะ

 

“แม่……ขอโทษ……ที่ทำให้ลูกต้องรู้สึกแบบนั้น!” (แม่)

 

แรงกอดของเธอนั้นก็ดูจะยิ่งกอดแรงหนักขึ้นไปอีก เสียงสะอึกสะอื้นเข้ามะปะทะหูของผมอย่างรุนแรง

 

ผมทำพลาดอีกแล้ว ผมน่าจะเริ่มจากการแนะนำว่ามันไม่จำเป็นซะก่อน ผมไม่รู้ว่ามันผิดพลาดที่ตรงไหน แล้วผมก็ยังคงทำผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกจนได้

 

งั้นนั่นก็น่าจะเป็นสิ่งที่แม่จะบอกสินะ ผมน่ะที่เป็นคนผิด แน่นอนล่ะมันไม่มีอะไรที่แม่ผิด ผมก็ไม่ได้อยากจะให้แม่ร้องไห้ แต่ผมก็ยังคงทำผิดพลาดและทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวด

 

“ผมขอโทษ……” (ยูกิโตะ)

 

ขณะที่ถูกเธอกอดไว้ ผมพยายามฟังเสียงของเธอและและพยายามที่จะเอามาคิดว่ามันผิดที่ตรงไหน? ผมทำอะไรผิดพลาด? ผมไม่ได้อยากที่จะต้องทำผิดพลาดซ้ำแบบนี้อีกครั้ง ผมไม่ได้ต้องการที่จะทำให้ใครเจ็บปวดในครั้งนี้ ผมยังคงคิดต่อไป แต่ไม่ว่าจะคิดซักเท่าไหร่ หรือผมจะใช้สมองมากแค่ไหน ผมก็ยังคงไม่สามารถที่จะคิดออกได้ว่ามันเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นกับสิ่งที่ผมทำกันแน่

 

–ก็เหมือนที่ผ่านๆมา ผมนั้นไม่ได้เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด