เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ 66: หนทางของเพื่อนสมัยเด็ก

Now you are reading เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ Chapter 66: หนทางของเพื่อนสมัยเด็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนทางของเพื่อนสมัยเด็ก

 

มันไม่ได้มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่ส่องสว่างอยู่บนท้องฟ้าในยามค่ำคืนนี้เท่านั้น เพียงแค่ไม่กี่วินาทีถัดมา การทดลองครั้งใหญ่ของปฏิกิริยาเคมีที่ก่อให้เกิดสีในเปลวไฟนั้น ก็ได้เริ่มต้นขึ้นในอนาเขตของท้องฟ้าที่มีสีดำสนิทนี้ และมันก็ได้ผลิบานออกเป็นดอกไม้ขนาดใหญ่หลากหลายสีสัน

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราควรที่จะมองดูดอกไม้ไฟและไปพูดว่าสีแดงหมายถึงลิเธียม สีม่วงหมายถึงโพแทสเซียม สีเหลืองหมายถึงโซเดียม และก็อื่นๆ นี่เป็นนิสัยที่ไม่ดีนักสำหรับเด็กผู้ชายที่จะไปพูดถึงเรื่องนี้ออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

 

ของพวกเด็กผู้หญิงที่ได้ดูดอกไม้ไฟนี้นั้นต่างก็กันพูดว่า “สวยจัง” ไม่ได้มองหาคำตอบที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีแบบนั้นเลย ความแตกต่างในแบบนี้ก็อาจเทียบเป็นความแตกต่างระหว่างชายและหญิงได้ มันก็แค่ดอกไม้ไฟเท่านั้น และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พี่สาวนั้นได้สอนเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว ผมเองก็ค่อยๆเรียนรู้มา

 

หลังจากออกมาจากงานเทศกาลฤดูร้อน ผมก็ตรงกลับไปบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าและก็ออกไปวิ่ง ซึ่งมันเป็นกิจวัตรประจำวันของผมอยู่แล้ว ผมนั้นจะต้องไม่พลาดการฝึกประจำวันของผม แล้วในระหว่างทางนั้นการยิงดอกไม้ไฟก็ได้เริ่มขึ้น แต่ผมก็กลับพบว่ามันช่างน่าเบื่อที่จะต้องมาดูมันด้วยตัวเองเพียงคนเดียว

 

ผมนั้นยังคงวิ่งต่อไปอย่างเงียบๆ โดยไม่หยุดและไม่เงยหน้าไปขึ้นมอง ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เหมือนกับเทศกาลอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดเป็นการรวมกลุ่มชน เป็นสถานที่สำหรับการสื่อสารและเปลี่ยนกัน ถ้าหากไม่มีใครที่สนุกไปกับมัน มันก็จะไร้ความหมาย แล้วมันก็คือทั้งหมดของการมีความสนุกสนานร่วมกับคนอื่นๆ

 

ผมนั้นรู้สึกละอายใจที่คิดว่าตัวเองนั้นได้รับการชวนไปงานเทศกาลฤดูร้อนอย่างผิดพลาด แต่ว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมนั้นจะต้องเข้าร่วมเพียงคนเดียว

 

การวิ่งด้วยจังหวะที่สม่ำเสมอก็ค่อยๆช่วยชะล้างความคิดของผม พวกเขานั้นบอกว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์กับม้านั้นต้องย้อนกลับไปถึง 3,500 ปีก่อนคริสตกาล แต่ผมกับม้าลายต่างก็ไม่เกี่ยวอะไรกัน บางทีความสัมพันธ์ของมนุษย์เองก็คงเป็นแบบนั้นเช่นกัน แม้จะใกล้มากแต่ยังไกล มันดูคล้ายกันแต่ก็แตกต่าง รู้แต่ก็ไม่รู้ เห็นได้ชัดเลยว่าม้าลายนั้นมีความเจ้าอารมณ์มากกว่าม้าทั่วไปแม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันก็ตาม

 

ถึงแม้ว่ากลางคืนจะยังคงร้อนอยู่ แต่ผมก็ยังหายใจเข้าออกช้าๆ และเพื่อคลายร่างกายจากความร้อนจากการออกกำลังกาย แล้วจึงเปลี่ยนไปเป็นการค่อยๆเดิน เมื่อพอได้เวลาจบการแสดงแล้วนั้น ผมก็จึงไม่ได้ยินเสียงที่ดังที่ทะลุผ่านท้องฟ้ายามราตรีอีกต่อไป การแสดงดอกไม้ไฟดูเหมือนจะจบลงไปแล้ว

 

ผมใช้เวลาที่เหลือกลับไปยังที่อพาร์ตเมนต์และก็ได้พบว่ามีคนนั่งอยู่ตรงทางเข้า เธอนั้นดูเหนื่อยมาก เธอสวมชุดยูกาตะอยู่ ดังนั้นเธอก็นากิน่าจะเพิ่งกลับมาจากเทศกาล ก็นากิจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเธอมาที่นี่ทำไม

 

ผมเองก็ไม่มีเพื่อนบ้านมากนัก แต่ว่าอย่างน้อยก็คิดว่านากิจำเป็นต้องทักทายกันสักหน่อย เพราะผมที่กำลังจะเดินผ่านเธอไปนั้นก็ย่อมรู้ตัวดีเลยว่าผมนั้นรู้จักเธอเป็นอย่างดี

 

“เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ?” (ยูกิ)

 

 ทำไมฮินากิถึงได้มาอยู่ที่นี่กันล่ะ?

 

ผมเผ้าของเธอนั้นดูยุ่งเหยิง และชุดยูกาตะของเธอก็หลุดรุ่ย เธอนั้นดูเหมือนแมวจรจัดที่ถูกทอดทิ้งเลย และเธอก็อยู่ที่ตรงนี้ ผมนั้นจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อเธอได้ ผมจึงเรียกเธอ และเธอก็เงยหน้าขึ้นจากตำแหน่งที่เธอนั้นได้ซ่อนเววตาของเธอเอาไว้

 

“……ยูกิโตะ? ยูกิโตะ?! –โอ๊ย!” (ฮินากิ)

 

เธอที่กำลังกอดตัวเองอยู่ก็ลุกขึ้นอย่างเร็ว แต่ว่าเธอกลับเสียหลัก แล้วทันทีที่ผมจับตัวเธอประคองไว้ได้ ดวงตาที่เปียกชื้นของเธอพอได้รับรู้ว่าเป็นผมจริงๆแล้วนั้น มือที่ได้จับตัวผมเอาไว้ก็เริ่มสั่นเทา

 

“ฉันขอโทษนะ! ฉันพยายามติดต่อนายแล้ว……แต่ติดต่อไม่ได้และเขาก็–––! แต่ว่าคราวนี้––—!”

 

ถ้อยคำก็ได้หลั่งไหลออกมาจากตัวเธอเหมือนสายน้ำหลากขุ่นมัวที่ทะลักล้น ไม่อาจที่จะสามารถทำความเข้าใจได้เลย แล้วถ้าฮินากินั้นมาอยู่ที่นี่ งั้นก็แสดงว่าฮินากิก็ได้ชวนผมออกไปจริงๆงั้นเหรอ? มันไม่ใช่ติดต่อกันผิดพลาดรึเปล่า? แล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า

 

 ฮ่า ฮ่า ผมเข้าใจแล้วตอนนี้ นี่เธอได้นัดซ้อนกันเอาไว้นี่เอง

 

ก็มันจะเป็นยังไงล่ะถ้าหากว่าผมนั้นมีติดธุระอะไรอยู่ก่อนแล้ว นั่นมันก็คงจะสมเหตุสมผลดีนะคิดเผื่อว่าถ้าการนัดกับคนแรกนั้นเขามาช้าหรือว่าเขานั้นไม่มาเลยน่ะ

 

 –––นั่นมันเป็นเรื่องตลกบ้าๆ โยนความคิดจินตนาการโง่ๆของนายทิ้งไปซะ มันไม่ได้สำคัญอะไรถ้าหากว่ามันจะสมเหตุสมผลยังงั้นเหรอ? เรื่องไร้สาระอย่างการนัดซ้อนสำรองนี้มันอะไรกัน? ในอดีต ผมอาจจะปิดกั้นตัวเองในแบบนี้ก็ได้ แต่ว่าการที่ฮินากิ ซูซูริคาว่า ที่ดูจะอยู่ในภาวะฉุกเฉินนี้ก็ย่อมไม่ยอมที่จะให้ผมทำอะไรแบบนั้นได้

 

จากการสังเกตุมองไปที่อีกฝ่าย ดูจากการที่แสดงออก ทัศนคติ และพฤติกรรม มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้น มันจะต้องมีเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้

 

ในขณะที่ผมกำลังลูบหลังของเธอเพื่อทำให้เธอได้สงบลง ผมก็สัมผัสได้ถึงความร้อนจากร่างกายของเธอโดยตรงผ่านเสื้อผ้าบางของยูกาตะของเธอ ใบหน้าของเธอดูผ่อนคลายราวกับโล่งใจ แต่เพียงครู่หนึ่งมันก็บิดเบี้ยวไปราวกับได้รับความเจ็บปวด แล้วพอผมนั้นได้มองลงไป ผมก็ได้พบว่าบริเวณนิ้วเท้าของเธอซึ่งเธอสวมผ้าหุ้มเท้าปิดมันไว้นั้นได้มีจุดที่เปลี่ยนเป็นสีแดง (เป็นผ้าที่สวมสำหรับใส่คู่กับรองเท้าแตะคีบ)

 

“เธอบาดเจ็บ!” (ยูกิ)

 

“……อ่า……เอ่อ……” (ฮินากิ)

 

“ขึ้นมาสิ” (ยูกิ)

 

“เอ๊ะ?” (ฮินากิ)

 

“แล้วเดี๋ยวเราจะค่อยพูดถึงเรื่องอื่นกันทีหลัง” (ยูกิ)

 

แล้วผมก็ได้แบกฮินากิ ขึ้นไว้บนหลังและมุ่งหน้าไปที่บ้านของผม

 

มันดูเป็นวิธีที่ดูเจ็บปวด แต่ว่ามันก็ช่วยไม่ได้ แล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง แม่และพี่สาวของผมนั้นไม่ชอบให้บุคคลภายนอกเข้ามาภายในบ้านของเรา มันคงอาจจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ได้มั้ง พูดตามตรงนะ ผมเองน่ะก็กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลังเหมือนกัน แต่นี่ก็ไม่ใช่เวลาที่จะต้องไปกังวลกับมัน มันเป็นเรื่องฉุกเฉิน ผมนั้นแน่ใจว่าแม่และพี่สาวของผมนั้นจะยอมยกโทษให้…… ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วยนะคร้าบบบ!

 

“ยินดีต้อนรับกลับจ๊ะ ขอโทษที่มาเปิดช้าไปหน่อย…… โอ๊ะ ฮินากิจัง?” (แม่)

 

“หนูขอโทษนะคะ ซากุระฮานะะซัง” (ฮินากิ)

 

“ผมเพิ่งไปรับเพื่อนสมัยเด็กที่เป็นแมวจรจัดที่นั่นมาน่ะครับ” (ยูกิ)

 

“อะไรกัน? มันเกิดอะไรขึ้น……?” (ยูริ)

 

พี่สาวของผมก็ได้โผล่หน้าของเธอมาจากทางด้านหลัง แล้วในทันใดนั้น รอยย่นปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วของเธอ และสายตาก็ได้หรี่ลงเป็นเส้นที่ดูเข้มงวด

 

“เดี๋ยวก่อน! นั่นแมวจรจัดเหรอ? นี่เธอมาที่นี่ทำไม?” (ยูริ)

 

“ผมจะให้เธอกลับไปทันทีที่ดูแลอาการบาดเจ็บของเธอเสร็จครับ!” (ยูกิ)

 

“อาการบาดเจ็บ……ฉันจะไม่ยกโทษให้เธอถ้าเธอมาอะไรแปลกๆในบ้านนะ ไม่รู้รึยังไงว่าตอนนี้น่ะมันกี่โมงแล้ว” (ยูริ)

 

“จะดีกว่าไหมถ้าจะผมต้องไปทำที่นอกบ้านน่ะครับ” (ยูกิ)

 

“ไม่ แน่นอน ว่าไม่!” (ยูริ)

 

“………… แล้วถ้าเป็นพี่สาวล่ะ?” (ยูกิ)

 

“มันก็อาจเป็นไปได้” (ยูริ)

 

“งั้นมันก็ถือเป็นความพ่ายแพ้ของผม” (ยูกิ) (เป็นการพูดประชดลักษณะยอมแพ้)

 

“?!” (ยูริ)

 

ผมกำลังห้ามสุนัขเฝ้ายามไม่ให้เข้ามากัดเท่าที่จะทำได้และได้กลับเข้าไปที่ห้องของผม เห็นได้ชัดว่าเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นมาจนได้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าพี่สาวของผมนั้นไม่ชอบฮินากิเอาเสียเลยจริงๆ แต่ว่าสมัยก่อนมันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย แล้วไปมีความบาดหมางกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?

 

อันที่จริงแล้ว ผมนั้นรู้สึกเหมือนกับว่าพี่สาวนั้นดูจะเกลียดผู้คนส่วนใหญ่ และผมนั้นก็กังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับคนเหล่านั้น แต่อันที่จริงแล้ว เธอเองนั้นก็โด่งดังมากที่โรงเรียน ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลอะไรสำหรับผมที่จะต้องไปเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอ

 

ผมได้ให้ฮินากิ นั่งลงบนเตียงขนาดใหญ่ที่ดูแล้วไม่จำเป็นกับผม แล้วก็รีบไปหยิบชุดปฐมพยาบาลออกมา มันไม่มีเวลาเหลือเฟืออะไรมากนัก

 

“นี่ฟังนะ ฮินากิ ฉันจะบอกเธอให้ฟังเพิ่มเติมให้ในทีหลัง นี่น่ะคือห้องของฉันก็จริง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ห้องส่วนตัวหรอกนะ ฉันน่ะไม่มีกุญแจหรือล๊อคอะไรทั้งนั้น แล้วคนที่น่ากลัวก็จะมาที่ห้องในไม่ช้า ดังนั้นเรารีบมาทำเรื่องนี้ให้เสร็จกันเถอะ” (ยูกิ)

 

“ดะ-ได้…….” (ฮินากิ)

 

 แล้วผมก็เตรียมเอายาฆ่าเชื้อและผ้าพันแผลออกมา ผิวระหว่างนิ้วเท้าของเธอนั้นแตกและแดง

 

“เธอยังคงไม่ชินกับการใส่ผ้าปิดเท้าแบบมิดชิดสินะ เพราะฉะนั้นเวลาเดินต้องใจเย็นๆหน่อย” (ยูกิ)

 

“คือฉันวิ่งมาตลอดทาง…….” (ฮินากิ)

 

“เธอมีอาการปวดที่อื่น ๆ อีกหรือเปล่า?” (ยูกิ)

 

“มีแค่เท้าของฉันน่ะ……ฉันคิดว่านะ ขอโทษที” (ฮินากิ)

 

ผมได้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทาไปอย่างระมัดระวังในบริเวณที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้เจ็บน้อยที่สุด แต่มันก็ต้องโดนไปบ้าง เธอหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องขอให้เธออดทนไว้ก่อน

 

 ผมนึกยิ้มในใจกับพฤติกรรม ทีดูเหมือนเดจาวูของเธอนี้ ราวกับว่าผมกำลังพบกับฉากแบบนี้ขึ้นมาใหม่จากเมื่อนานมาแล้ว

 

“เธอนี่เจ็บเท้าอยู่เสมอเลยนะ” (ยูกิ)

 

“……นี่เป็นครั้งที่สองนะ ที่ฉันจะเป็นน่ะ” (ฮินากิ)

 

“อย่าเพิ่งท้อแท้อะไรอย่างนั้นสิ แม้เท้าของเธออาจจะมีกลิ่น แต่เธอน่ะก็ยังสามารถมั่นใจในตัวเองได้อยู่นะ ” (ยูกิ)

 

“นายพูดอะไรน่ะ? มีกลิ่น? เฮ้ นี่เท้าของฉันมีกลิ่นใช่ไหม?” (ฮินากิ)

 

ผมแค่พยายามจะปลอบเธอด้วยการพูดเล่นเบาๆกับเธอ แต่ดูว่ามันกลับจะให้ผลตรงกันข้ามซะนี่ แก้มของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงและดูเธอก็จะโกรธ คอของเธอก็เกร็งจนหดแน่น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจและแกะเอาผ้าพันแผลออกมาอย่างรวดเร็ว

 

“มันเป็นแค่เรื่องโกหกน่ะอย่าคิดมากเดี๋ยวจะปวดกระเพาะนะ ฉันว่าก็ไม่เคยเจอว่าจะมีผู้ชายพูดอะไรแบบนี้มาก่อนด้วย” (ยูกิ)

 

“นี่อย่าคิดว่าจะหลอกฉันได้ด้วยอะไรแบบนั้น! เฮ้ ว่าไง!? แล้วทั้งวันนี้ฉันก็ได้เท้าเปล่าและก็อาบน้ำก่อนออกมาด้วยซ้ำนะ!” (ฮินากิ)

 

“แต่สำหรับฉันน่ะ ฉันคิดว่าการที่เล่นฮูลาฮูปนั้นมีส่วนที่ช่วยให้ลำไส้ถูกกระตุ้นได้ดีนั้นน่ะเป็นตำนานเลยนะ” (ยูกิ) (พูดอะไรฟระเนี่ย?)

 

“มันก็น่าจะเป็นกลิ่นที่ดีใช่มั้ย? แม้แต่สเปรย์ระงับกลิ่นตัวก็ยังใช้ของดีเลยนะ จะมีกลิ่นได้ไง! ลองดมดูอีกทีไม๊!?” (ฮินากิ)

 

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้กลิ่น” (ยูกิ)

 

“งั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดสิ!” (ฮินากิ)

 

แล้วขณะที่ฮินากิกำลังประท้วงเพื่อแก้ตัวอยู่นั้น การรักษาทำแผลก็ได้จบลง มันใช้เวลาเพียงแค่สิบนาที

 

“เอ้า เสร็จแล้วล่ะ มา ได้เวลาให้เธอกลับบ้านแล้วล่ะ ฉันจะพาเธอกลับบ้านเอง แบบนี้…” (ยูกิ)

 

“เดี๋ยวก่อนสิ ยูกิโตะ!” (ฮินากิ)

 

แล้วผมแบกฮินากิ ขึ้นบนหลังของผมอีกครั้ง นี่เป็นเวลาประมาณ 22.00 น. พ่อแม่ของเธอนั้นคงจะต้องเป็นห่วงเธอแน่ และก็แน่นอนเพราะว่าเธอที่ได้รับบาดเจ็บที่เท้าอยู่ ผมจึงไม่สามารถปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวในเวลาอย่างนี้ และก็ไม่สามารถปล่อยให้เธอค้างคืนได้ ผมจึงต้องส่งเธอกลับบ้านโดยเร็วที่สุด

 

ผมได้เปิดประตูออกเสียงดัง และก็แน่นอนว่า ครอบครัวของผมนั้นกำลังแอบฟังอยู่ตรงหน้าประตูอย่างใกล้ชิด น่ากลัว! นี่ผมจะไม่ความเป็นส่วนตัวบ้างรึไงเนี่ย! หรือที่จริงผมควรที่จะภูมิใจดีเนี่ย……?

 

“ผมทำแผลให้เพื่อนสมัยเด็กจรจัดของผมเสร็จแล้ว ดังนั้นผมจะต้องเอาเธอไปปล่อยละนะครับ” (ยูกิ)

 

“แค่โยนคนจรจัดออกไปก็พอ” (ยูริ)

 

“มันจะดูรังเกียจกันเกินไป๊!” (ยูกิ)

 

“นี่ยังสบายดีใช่ไหมจ๊ะ ฮินากิจัง” (แม่)

 

“ค่ะ, ……. หนูต้องขอโทษที่มารบกวนคุณในเวลานี้นะคะ” (ฮินากิ)

 

“ก็ใช่รู้ไหมว่านี่นะกลับบ้านดึก แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรๆแปลกๆอะไรกัน ใช่ไหมล่ะ? แล้วพรุ่งนี้เช้าก็จะตื่นขึ้นมาเหมือนกับฝันไป” (ยูกิ)

 

“หมายถึงทำอะไร? โดกิ โดกิ” (ฮินากิ)

 

“ฟู่ นั่นไงคือสิ่งที่ฉันกำลังรอ ฉันกำลังจะรอในตอนเช้าเพื่อ F_ _ _–––” (ยูริ)

 

“อ๊าาาา! นี่คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะยูริซัง!” (ฮินากิ)

 

” อ๋าาาา?!” (ยูริ)

 

“เราไปกันเถอะ ก่อนที่สัตว์ร้ายนี้จะควบคุมตัวเองไม่ได้เอาซะก่อน” (ยูกิ)

 

ผมจะต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด พวกเธอนั้นเป็นเหมือนกับน้ำและน้ำมันอย่างแท้จริง เหมือนสุนัขกับลิง แต่ผมก็สงสัยนะว่าสุนัขและลิงเนี่ยเข้ากันได้ไม่ดีจริงๆหรือเปล่า? หากเป็นแบบนี้ ผมก็สงสัยนะว่าโมโมทาโร่จะมีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดของลูกน้องที่ติดตามของเขาบ้างหรือไม่ มันช่างเป็นโลกที่ยากต่อการเป็นฮีโร่เอาซะจริงๆ

 

 

 

“…… อื๊ม! นี่ฉันเดินเองได้นะ” (ฮินากิ)

 

พอหลังจากเดินออกมาจากอพาร์ตเมนต์ได้ไม่นาน ฮินากิก็รู้ตัวแล้วว่าเธออยู่ในสภาพแบบไหน ผมคงจะไม่ต้องบอกหรอกว่ามันเป็นอย่างไร แต่สำหรับผมน่ะ มันเป็นเรื่องดีเลยล่ะ และผมเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการอยู่จะอยู่ในสภาพนี้ไปจนกว่าผมนั้นจะวิ่งจนหมดแรง เธอนั้นเคยเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ว่าในตอนนี้เธอโตเป็นผู้หญิงที่ดีเลยเชียวล่ะ

 

“อยู่เงียบๆไปจนกว่าฉันจะเหนื่อยก็แล้วกัน” (ยูกิ)

 

“–…… อืม” (ฮินากิ)

 

มันเงียบราวกับเป็นเรื่องโกหกว่าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั้นมีแต่เสียงดังหนวกหูมาก ผมสงสัยนะว่าดอกไม้ไฟและเทศกาลฤดูร้อนน่ะ มันได้เกิดขึ้นจริงๆหรือเปล่า แต่สิ่งเดียวที่ผมนั้นได้ยินก็คือเสียงของ ฮินากิ ที่กำลังบ่นอยู่ที่หลังของผม

 

“นายไม่ได้ไปดูดอกไม้ไฟใช่ไหม?” (ฮินากิ)

 

“ไม่” (ยูกิ)

 

“ฉันน่ะอยากไปช่วงเทศกาลฤดูร้อนกับนายนะ แต่ว่า…… ฉันก็ดันทำลายมันไปอีกครั้งแล้วด้วยตัวเอง” (ฮินากิ)

 

“ฉันเข้าใจ” (ยูกิ)

 

ผมก็เพียงแค่ตอบรับคำพูดที่บ่นออกมาอย่างไม่ลังเลไป ผมนั้นไม่ต้องการที่จะไปขัดจังหวะเธอไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะมันรู้สึกได้ว่าเธอไม่ได้โกหกหรือแก้ตัว ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวง ไม่มีความอาฆาตพยาบาท และสิ่งที่บอกนั้นคือความจริง ความในใจที่แท้จริงของฮินากิ ซูซูริคาว่า

 

 –ฮินากิ ได้เปลี่ยนไปแล้ว

 

เธอกลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ไม่หลอก ไม่เสแสร้ง ไม่ปรุงแต่งด้วยคำพูดของเธอเอง ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ไม่สิ อาจจะไม่ใช่ว่าเธอนั้นเปลี่ยนไป แต่เป็นเธอที่ได้เอามันกลับคืนมา เธอได้หวนคืนสู่ตัวตนที่ซื่อสัตย์และจริงใจต่อตัวเธอเองกลับมาแล้ว

 

 หากเป็นอย่างนี้ ผมเองก็พอจะเชื่อได้ใช่ไหมว่าผมนั้นก็สามารถจะเรียกสิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนมาได้เช่นกัน เช่นเดียวกันกับเธอ สิ่งที่ผมนั้นเคยมีในอดีต

 

“พอฉันไปถึงที่จุดนัดพบ …… ยูกิโตะก็ไม่อยู่แล้ว และฉันก็ติดต่อนายไม่ได้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แล้วฉันก็จึงพบว่าตัวเองกำลังวิ่งไปที่บ้านของยูกิโตะ” (ฮินากิ)

 

แล้วพอผมได้ยกโทรศัพท์พี่พกอยู่ตลอดขึ้นมาดู ผมพบว่าสายเรียกเข้าและข้อความจำนวนมากจากฮินากิ ผมคิดว่าผมคงไม่ได้สังเกตมันในขณะที่ผมกำลังวิ่งเพราะผมนั้นตั้งให้มันอยู่ในโหมดปิดเสียงเสมอ

 

“ขอโทษนะ” (ยูกิ)

 

“ไม่ นายไม่ผิด ฉันเองแหละผิดเองที่มาช้าตั้งแต่แรก ฉันควรที่จะโทรหานายทันที ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ว่าฉันทำอะไรลงไป มันก็มีแต่ผิดพลาดตลอด ไม่มีอะไรดี และสิ่งที่ฉันนั้นหวังไว้มันก็มักจะไม่เป็นจริง ฉันก็ได้แค่เพียงปรารถนาและล้มเหลวที่จะได้คว้ามันมา มันก็เพราะว่า” (ฮินากิ)

 

 แล้วเธอก็กระซิบมาเบาๆที่ข้างหูของผม

 

————— ฉันรักนาย ————–

 

 คำพูดนั้นออกมาอย่างฉับพลันและง่ายดายเกินไป

 

 ในระยะใกล้แค่นี้ มันไม่มีที่ว่างสำหรับความเข้าใจผิดหรือว่าจะแกล้งทำเป็นว่าหูตึง เป็นไปไม่ได้ที่จะหลอกตัวเองด้วยข้อสรุปอย่างเฉียบขาด

 

“นายน่าจะได้จะมาอยู่เคียงข้างฉัน แต่ไม่ว่าอย่างไรฉันก็เอาแต่คอยเดินตามนายไปซะแทน ฉันน่ะกำลังจะยอมแพ้ไปแล้ว นายรู้ไหม ฉันน่ะอ่อนแอลงเรื่อยๆ แต่ว่านายกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ระยะห่างระหว่างพวกเรามันก็เพิ่มขึ้นจนฉันแทบมองไม่เห็นนาย มันคงสายเกินไปแล้ว ฉันน่ะได้รับความทุขความเสียใจทั้งหมดเหล่านี้มาแล้ว” (ฮินากิ)

 

 –ฮินากิ ซูซุริคาว่า นั้นเข้มแข็งขึ้น

 

 มันรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูกเอาเลยจริงๆ

 

 คำพูดเหล่านั้นที่อออกมามันยิ่งหล่อหลอมเธอให้ดูกลายเป็นตัวเธอที่น่าอัศจรรย์

 

“ฉันจะไม่ปล่อยให้มีเรื่องความเข้าใจผิดระหว่างเราต้องเกิดขึ้นอีก ฉันจะไม่ให้นายนั้นจะต้องมาพูดว่า เธอน่ะไม่เข้าใจความรู้สึกของฉัน และไม่ว่านายจะเลือกคำตอบไหน ตราบใดที่ความรู้สึกของฉันคงสื่อถึงนายได้ในทันที ฉันก็จะไม่เสียใจอะไรอีกแล้ว” (ฮินากิ)

 

 ผมนั้นรู้สึกราวกับกำลังถูกสอนว่าผู้คนนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้

 

 ฮิมิยามะซัง, ชิโอริ, และฮินากิ แม้แต่พี่สาวและแม่ของผม ทุกๆคนพยายามเปลี่ยนแปลง มันอาจจะเป็นผมเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ผมรู้สึกโดดเดี่ยว เหมือนกับถูกทอดทิ้ง

 

“นายเองก็เปลี่ยนไปเหมือนกันนะ ยูกิโตะ” (ฮินากิ)

 

“อย่างงั้นเหรอ?” (ยูกิ)

 

“ฉันรู้สึกเหมือนนายกำลังเฝ้าดูฉันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน” (ฮินากิ)

 

“ฉันว่าฉันคงจะต้องกินบลูเบอร์รี่ให้มากขึ้นแล้วน่ะ” (ยูกิ)

 

“ฉันไม่ได้หมายถึงสายตาของนายนะ ตาทึ่ม ฉันนี่โง่จริงๆที่……. ฉันเกือบจะกำลังทำผิดอีกครั้งแล้วสิ ฉันน่ะตัดสินใจไปแล้วที่จะไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก ฉันน่ะเป็นคนงี่เง่าที่ทำอะไรไม่ได้เลยหากต้องอยู่คนเดียว แล้วมันก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยกับเรื่องนี้” (ฮินากิ)

 

 -แล้วผมก็ตระหนักถึงมัน

 

 ผมนั้นได้ตระหนักถึงอะไรบางสิ่งบางอย่างได้ในตอนนี้

 

ขณะผมที่กำลังวางแผนจะหลีกเลี่ยงเธอ เพราะฮินากิ มีอิสระที่จะแสวงหาความสุขของเธอเอง ผมไม่สามารถที่จะไปชิงเอาเวลานั้นไปจากเธอได้ นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

 

แต่ผมแน่ใจแล้วว่าผมคงจะไม่สามารถโน้มน้าวให้ฮินากิ ซูซูริกาวะ คนปัจจุบันนี้ได้ ผมได้เข้าใจแล้วว่ามันไม่มีข้อสรุปหรือคำพูดอะไรที่ผมนั้นจะคิดออกมาได้ในตอนนี้เพื่อจะโน้มน้าวใจเธอ

 

มันเป็นตำนานที่ได้รับการรองรับโดยบรรพบุรุษมานับครั้งไม่ถ้วนและมันก็ถูกสร้างขึ้นซ้ำไปซ้ำมาได้หลายหมื่นวิธี

 

 “เพื่อนสมัยเด็ก” นั้นจะต้องเป็นนางเอกอย่างแน่นอน

 

“ฉันจะขอบอกนายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ฉันอยากให้นายได้ฟังฉัน ฉันเองก็มีเรื่องอยากจะคุยกับนาย ถ้าหากเป็นแค่ฉันคนเดียว ฉันนั้นก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง แต่ถ้าหากเป็นเราสองคนแล้วล่ะก็ ฉันก็จะไม่กลัวอะไรอีก” (ฮินากิ)

 

ผมจำได้ว่าตอนที่พวกเรานั้นอยู่ชั้นประถม มันไม่มีอะไรเลยที่จะมาปิดบังกันระหว่างเรา นั่นน่ะเป็นวิธีที่ทำให้เราได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน แต่มันดูจะเหมือนกับความสัมพันธ์ที่มีมานานนั้นได้เลือนหายไป ถึงอย่างงั้นผมก็ยังคงจำได้ว่าเรานั้นน่ะ เป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน

 

“ฮินากิ” (ยูกิ)

 

“……?” (ฮินากิ)

 

“ตอนนี้ฉันรู้สึกดีกับสัมผัสนี้พอแล้วล่ะ ฉันขอปล่อยเธอลงไปได้ไหม?” (ยูกิ)

 

“……คนบ้า…” (ฮินากิ) 

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด