เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ 56: ตอนพิเศษ : ความหดหู่เศร้าใจในวันวาเลนไทน์

Now you are reading เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ Chapter 56: ตอนพิเศษ : ความหดหู่เศร้าใจในวันวาเลนไทน์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนพิเศษ : ความหดหู่เศร้าใจในวันวาเลนไทน์

 

(ย้อนอดีตกลับไป ม.3)

 

[มุมมองของ ชิโอริ คามิชิโระ]

 

“เฮ้ คามิชิโระ การสอบเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” (ครู)

 

“หนูคิดว่ามันคงจะไม่มีปัญหาอะเป็นไรค่ะ ฮ่าๆ” (ชิโอริ)

 

 เมื่อฉันถูกเรียกเข้าไปในห้องพักอาจารย์ ฉันก็ได้ให้แต่คำตอบที่คลุมเครือออกไป

 

 ฉันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอึมครึมที่ว่าทำไมฉันถึงได้ถูกเรียกตัวมา

 

ฉันแน่ใจว่าครูน่ะ ไม่ได้ต้องการที่จะพูดคุยถึงเรื่องการสอบหรอก ก็เพราะคนที่เรียกฉันไปนั้นน่ะเป็นที่ปรึกษาของทีมบาสเกตบอลชาย

 

แล้วนี่มันก็เป็นเดือนกุมภาพันธ์ ที่นักเรียนปี 3 นั้นแยกตัวออกจากกิจกรรมชมรมเพื่อที่จะไปเตรียมตัวสอบ

 

และในช่วงเวลาแบบนี้ของปีนั้นเอง ที่พวกนักเรียนปี 2 จะได้ถูกมอบหมายหน้าที่ต่อจากรุ่นพี่ และมันก็มีเวลาเหลือเพียงแค่สั้นๆเท่านั้น ที่จะเหลือเวลามาโรงเรียนก่อนที่จะจบการศึกษา

 

“ครูค่อนข้างมั่นใจนะว่าคามิชิโระน่ะ สนิทกับโคโคโนเอะน่ะ” (ครู)

 

“ก็ไม่เชิงค่ะ แต่……” (ชิโอริ)

 

แล้วหัวใจของฉันก็ต้องเจ็บปวดอีกครั้ง เพราะฉันได้ไปปฏิเสธความสัมพันธ์ของฉันกับเขา และผลลัพแบบนี้มันก็คือสิ่งที่มาจากการกระทำที่ได้ทำไว้ก็เท่านั้นเอง ทั้งหมดมันเป็นเพราะฉัน และในขณะนี้เองก็เหมือนกัน ก็เพราะว่าฉันได้เก็บซ่อนเรื่องนี้เอาไว้ได้ก็เพราะเขา

 

“ฉันน่ะไปขอโทษเขา รวมถึงคนอื่นๆเองก็ไปมาแล้วด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยน่ะ เธอช่วยไปคุยกับเขาเรื่องนี้ให้ครูหน่อยได้ไหม?” (ครู)

 

“หนู……?” (ชิโอริ)

 

“ใช่ เพราะครูไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาไหมน่ะ” (ครู)

 

อาจารย์ที่กำลังมีปัญหาคนนี้ก็ได้ถอนหายใจแรงออกมาและจิบกาแฟของเขา

 

“ยังคงเป็นแบบนั้นอยู่หรือคะ?” (ชิโอริ)

 

“หืมมม? ก็นะ มันก็อย่างที่ว่าน่ะ เมื่อไม่นานนี้พวกเขาเริ่มจะไม่มาทำกิจกรรมของชมรมกันมากขึ้นเรื่อยๆน่ะ แล้วฉันได้ยินมาว่ายังคงมีอีกหลายคนเลยยังคงคอยตามเขาอยู่ และก็เพราะเขาเองก็ดูจะไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องการเตรียมสอบของเขา แต่ฉันก็อยากมั่นใจว่าเขาจะกลับมาหลังสอบเสร็จ……” (ครู)

 

“อย่างนั้น…. เหรอคะ” (ชิโอริ)

 

นับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมาทีมบาสเก็ตบอลชายก็ไม่สามารถฝ่าประตูที่ขวางกั้นนี้ออกไปได้

 

นักเรียนปี3 ของทีมบาสเก็ตบอลชายต้องแพ้การแข่งขันครั้งสุดท้ายเนื่องจากขาดยูกิที่กระดูกหัก

 

อาการบาดเจ็บของยูกินั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนสำหรับสมาชิกในทีม ที่ซึ่งประสบความสำเร็จและทำผลงานที่ยอดเยี่ยมในต้นทัวร์นาเมนต์ที่แล้ว ด้วยกระตือรือร้นที่จะผ่านเข้าสู่การแข่งขันสุดท้าย แต่แล้วผลการแข่งขันนั้นก็คือแพ้ไปในรอบแรกที่ได้เข้าไป

 

สมาชิกที่ได้ฝึกซ้อมอย่างจริงจังและขยันขันแข็งกว่าที่เคยทำมา ต่างก็อดไม่ได้ที่จะพูดในสิ่งที่จะทำให้ยูกินั้นดูแย่ แถมที่ปรึกษาก็ยังไปบ่นว่าเกี่ยวกับการขาดวินัยในการดูแลตนเองของยูกิเอาอีกด้วย ส่วนยูกิก็ได้ทำการขอโทษทุกคนสำหรับปัญหาที่เขาก่อขึ้นและก็ได้ออกจากชมรมไป เขาไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับสาเหตุเลย

 

ที่ปรึกษาและสมาชิกทีมต่างก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะถึงกับออกจากชมรมจึงรีบเร่งไปห้ามเขา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะขอโทษให้ทีหลังไปมากแค่ไหน มันก็สายเกินไปแล้ว ก่อนอื่นเลย เมื่อการแข่งขันครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง นักเรียนปี 3 ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับชมรมอีกต่อไป จึงไม่มีอะไรที่สามารถทำได้สำหรับพวกเขาเพื่อจะหยุดรั้งเขาเอาไว้ในตอนนี้

 

 แต่ว่าเรื่องมันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ

 

เหตุผลที่พวกเขาสามารถทำผลงานที่โดดเด่นในทัวร์นาเมนต์ที่แล้วได้นั้นเป็นเพราะยูกิเป็นผู้นำทีม ส่วนสมาชิกทีมที่เหลืออยู่ไม่เคยทุ่มเทให้กับกิจกรรมของชมรมมากเท่าไร่นัก บาสเกตบอลชายดูจะเป็นเป็นกิจกรรมชมรมสำหรับผู้ที่ต้องการเล่นบาสเก็ตบอลแบบสบาย ๆ

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนไปเมื่อพวกนักเรียนปีที่2 ต้องเลื่อนชั้นและมีน้องใหม่เข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักเรียนชั้นปีที่ 1 มีบางคนนั้นเข้ามาร่วมชมรมบาสเก็ตบอลหลังจากที่ได้เห็นความสำเร็จของยูกิ และในบรรดานักเรียนปี 2 เองก็มีเข้ามาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต่างก็ได้รับอิทธิพลมาจากยูกิและการเล่นอย่างกระตือรือร้นของเขา จากมุมมองของสมาชิกชมรมนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะเกิดความขัดแย้งกันเองในระหว่างพวกเขา และกับนักเรียนปี3 ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นการกล่าวโทษพวกรุ่นน้องออกไป ที่ถึงแม้ว่าทั้งๆที่ตัวพวกเขาเองนั้นเอาแต่ต้องพึ่งยูกิอยู่ก็ตาม

 

แล้วยิ่งหลังจากที่ยูกิออกจากชมรมไปแล้ว ทีมบาสเกตบอลชายก็เริ่มมีบรรยากาศอึดอัดและก็แตกทีมกันในที่สุด แล้วสถานการณ์นี้ก็น่าจะยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งนักเรียนปีที่ 3 เรียนจบ และด้วยเหตุนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนี้ก็ทะยอยเลิกเข้าร่วมกิจกรรมของชมรมนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 แล้วก็นั่นล่ะก็คือสาเหตุที่ทำไมพวกรุ่นน้องพวกนั้นถึงได้จากไป…

 

“หนูคิดว่าแม้แต่โคโคโนเอะก็คงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นค่ะ” (ชิโอริ)

 

“ก็ตัวโคโคโนเอะ เค้าดูเหมือนจะมีปัญหาด้วยเช่นกันนะ ถึงฉันบอกว่าฉันจะขอคุยกับเขา แต่ว่า…” (ครู)

 

“ดูเหมือนเขาจะกำลังรักษาตัวเองให้หายดีอยู่นะคะ” (ชิโอริ)

 

“แต่ว่า… ยังไงก็ตาม ช่วยไปบอกเขาอีกสักครั้งนะ คามิชิโระ” (ครู)

 

“ค่ะหนูเข้าใจ” (ชิโอริ)

 

ฉันตอบแล้วก็ออกจากห้องพักครูไป

 

แต่ฉันต้องขอโทษด้วย นี่มันเป็นภารกิจที่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับฉัน

 

ไม่มีทางที่ฉันซึ่งเป็นคนแบบนี้จะทำสิ่งนั้นได้

 

ในตอนที่ฉันได้เดินไปตามทางเดิน ฉันรู้สึกเหมือนถูกทรมานจากความเสียใจ เหมือนที่ฉันได้รู้สึกมาแล้วหลายร้อยครั้ง หรือไม่ก็หลายพันครั้ง สุดท้ายนี้ยังไงมันก็เป็นความผิดของฉันเอง

 

เหตุผลที่ฉันอยู่ที่นี่ตอนนี้ได้ก็เพราะยูกิปกป้องฉันไว้

 

ยูกิต้องทำให้กระดูกเขาหักเพื่อปกป้องฉัน และด้วยการไม่บอกใครว่าฉันนั้นเป็นต้นเหตุของการหักนั้น นั่นก็แปลว่าเขายังคงปกป้องฉันจากการถูกคนอื่นตำหนิให้เสียหายอีกด้วย ฉันได้ถูกช่วยชีวิตเอาไว้ถึงสองครั้ง

 

ไม่มีทางเลยที่ฉันจะกล้าบอกพวกเขาได้ว่าทำไมยูกิถึงทำแขนของเขาหัก มันไม่มีทางที่ฉันจะไปพูดในสิ่งที่เขาตั้งใจจะไม่พูด และฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าฉันจะต้องเจ็บปวดสักแค่ไหน มันก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันนั้นทำได้

 

กุมภาพันธ์ มันเป็นเดือนแห่งฤดูกาลแห่งการทดสอบสำหรับนักเรียนที่กำลังเตรียมตัวสอบ

 

และนอกจากนี้ยังเป็นเวลาที่ใช้แสดงความรู้สึกของแต่คนด้วย

 

ฉันแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าในฤดูหนาวที่ปลอดโปร่ง และสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นยะเยือกที่พัดมากระทบกับแก้มของฉัน

 

——————————————————————–

 

 

[มุมมองของ ยูกิโตะ]

 

“กลับบ้านไปได้แล้ว เจ้าพวกบ้า” (ยูกิ)

 

“คุณก็แค่แก่กว่าผมแค่ปีเดียวเองนา” (นักเรียน)

 

“นายก็รู้ ฉันเป็นนักเรียนที่กำลังเตรียมตัวสอบนะ ดูทั้งจากสีหน้าและการกระทำของฉันเลยนะ” (ยูกิ)

 

“รุ่นพี่ นี่คุณมีปัญหากับการสอบหรือเปล่าล่ะ?” (นักเรียน)

 

“อย่ามาดูถูกฉันนะ เจ้าเด็กน้อย ฉันน่ะทดสอบมาแล้ว 100 ครั้ง และสอบผ่านทั้ง 100 ครั้งด้วย” (ยูกิ)

 

“นั่นฟังดูเหมือนเป็นการพูดที่ยิ่งใหญ่ แต่มันก็ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆแหละ ที่ได้ฟัง มันช่างดูจริงจังจริงจริ๊ง” (นักเรียน)

 

“ไม่ มันเป็นเรื่องจริงนะ!” (ยูกิ)

 

โรงเรียนมัธยมปลายที่ผมได้เลือกไว้นั้นก็ไม่ได้ยากที่จะเข้า แต่ในแง่ของการคำนวนการเบี่ยงเบนนั้น ผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดแบบนี้ได้ไหม แต่ผมคิดว่าผมจะสอบเข้าได้นั่นล่ะ เพราะนั่นคือผมเอง ยูกิโตะ โคโคโนเอะ ผู้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงจากข้อเท็จจริงอีกทีนึง

 

ตราบใดที่ผมไม่ได้ปวดท้องก็จะสามารถตอบและแก้ไขได้ทุกคำถามในระหว่างการสอบได้ ผมสามารถพูดได้เลยว่ามันจะเป็นเรื่องกล้วยๆเรื่องนึง ซึ่งในกรณีของผม ก็มีความเป็นไปได้สูงที่คะแนนการประเมินภายในจากตัวเองของผมจะออกมาแย่สุดๆ ซึ่งสาเหตุของมันเกิดมาจากความกังวล แต่มันก็ไม่มีประเด็นที่จะต้องไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องในตอนนี้ เพราะเนื่องจากผมคงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ด้วยตัวผมเองอีกแล้ว และผมก็ได้ให้ความสนใจไปกับครูประจำชั้นของผม ดังนั้นผมก็คิดว่าผมน่าจะสบายดี อืมมมม

 

“พวกนายน่ะควรเลือกกิจกรรมของชมรมให้เหมาะสมกว่านี้หน่อยนะ เพราะว่าที่ปรึกษาเขาก็เคยเหน็บแนมฉันมาก่อนหน้านั้นด้วยน่ะ” (ยูกิ)

 

พอถึงเวลาหลังเลิกเรียน ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ตัวผมก็ถูกล้อมรอบไปด้วยสมาชิกที่รุ่นน้องของชมรม แต่เนื่องจากว่าผมนั้นได้ออกจากชมรมบาสเก็ตบอลไปแล้ว พวกเขาจึงไม่ใช่รุ่นน้องโดยตรงของผมอีกต่อไป

 

“มันจะเป็นไปแบบนี้จนกว่าคุณจะเรียนจบเลยเหรอ?” (นักเรียน)

 

“มันจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักเดือนน่ะ… แต่จำนวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ?” (ยูกิ)

 

“ก็มีนักเรียนปี 1 จำนวนมากที่เข้าร่วมชมรมเพราะต้องการเล่นกับรุ่นพี่น่ะ เป็นผมก็จะเลือกแบบนี้ในสถานการณ์นี้แหล่ะ” (นักเรียน)

 

“ฉันก็ไม่ต้องการที่จะเป็นคนที่ถูกเลือกนะ ฉันเองไม่รู้ว่าทำไมฉันต้องไปออกกำลังกายกลางฤดูหนาวด้วย” (ยูกิ)

 

“ก็แล้วมันผิดตรงไหนกันล่ะครับ? เอาเถอะน่า ไปกันเถอะนะ!” (นักเรียน)

 

“พวกนายนี่ช่างไม่เกรงใจรุ่นพี่กันซะบ้างเลยรึไงเนี่ย?” (ยูกิ)

 

“ก็ผมได้ยินมาว่าคุณทำทุกอย่างที่อยากทำให้ได้ตั้งแต่ยังเป็นน้องใหม่ไงล่ะ” (นักเรียน)

 

“นี่ฉันสงสัยมาตลอดนะว่าใครกันที่เป็นคนปล่อยข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับฉันแบบนี้” (ยูกิ)

 

ผมก็ได้แต่เอียงคอสงสัย แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆออกมา แล้วผมกำลังถูกผลักและดันไปด้านข้างและมุ่งหน้าไปยังที่สนามกลางแจ้ง ทั้งที่ผมก็ได้ออกจากชมรมบาสเก็ตบอลแล้วน่ะนะ

 

 

 

วันที่ 14 กุมภาพันธ์

 

 วันวาเลนไทน์

 

แม้แต่นักเรียนที่กำลังยุ่งกับการเรียนเพื่อเตรียมสอบก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกันในวันนี้ ทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงต่างก็รู้สึกตึงเครียดกันแปลกๆ โดยผู้ที่ได้รับของขวัญจะมีความยินดีและผู้ที่ไม่ได้รับของขวัญก็จะรู้สึกเศร้าใจ มันเป็นวันที่ทำให้ผมนั้นนึกไปถึงสังคมที่มีการแบ่งแยกกันแบบนี้

 

สำหรับผม ผมก็พอใจกับสิ่งที่พี่สาวและแม่มอบให้ผมแล้ว ผมไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านั้น ผมน่ะเป็นคนถ่อมตัว อะไร?ผมน่ะไม่ใช่พวกขี้ขลาดหรอกนะ ผมน่ะแน่ใจว่ามีคนจำนวนมากที่ต้องการที่จะได้ขวัญจากแม่หรือพี่สาวของผม ถึงแม้ว่าคนไร้หัวใจบางคนก็จะบอกว่าไม่ได้รับอนุญาตจากครอบครัวก็ตาม พวกมันช่างเป็นสิ่งที่สวยงาม คุณจะไม่อิจฉาพวกเขาเลยเหรอ?

 

“พวกนายไม่เคยรู้สึกเศร้าใจในวันวาเลนไทน์กันรึไง?” (ยูกิ)

 

“นี่ผมได้รับมาจากอิชิฮาระซัง ผู้จัดการหญิงแหล่ะ” (นักเรียน ก)

 

“อะไรกัน……?” (นักเรียน ข)

 

และวันนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกรุ่นน้องทั้งหมดก็ได้มารวมตัวกัน

 

นี่ผมไม่ใช่ผู้ฝึกสอนนะ ผมควรจะทำยังไงกับไอ้คนพวกนี้ดีเนี่ย ……?

 

พวกเขาจะต้องอยู่แถวๆนี้กับผมไปจนกว่าจะเรียนจบจริงงั้นหรือเนี่ย?

 

นักเรียนปีที่สองผู้ที่ได้รับชัยชนะ ซึ่งก็ได้การรายงานผลแห่งชัยชนะนั้นด้วยการถูกโห่ร้องและเริ่มมีการแย่งชิงกัน นักเรียนปี 1 บางคนก็ได้มาเข้าร่วมด้วย ใช่ พวกเขาดูรักกันดีใช่ไหมล่ะ แล้วด้วยความสามัคคีกันแบบนี้ ในปีหน้าทีมบาสเก็ตบอลนั้นก็คงจะต้องดีขึ้น ผมคงจะต้องแสร้งทำเป็นไม่เห็นความจริงที่ว่ามันน่ะกำลังจะพังทลาย

 

พวกรุ่นน้องยังคงวางแผนที่จะพาผมกลับไปที่สนามบาสเก็ตบอลหลังเลิกเรียนวันนี้ แต่ก็ช่างน่าเศร้า ผมน่ะไม่คิดว่าผมจะได้ช็อกโกแลตจากใครที่โรงเรียนหรอก ดังนั้นผมจึงไม่มีแผนอะไรหลังเลิกเรียน และในระหว่างนี้ พวกเพื่อนร่วมชั้นและสาวๆ จากทีมบาสเก็ตบอลก็ได้มอบของที่ดูเหมือนเป็นช็อกโกแลตที่สามารถแบ่งกันอย่างเท่าเทียมกันให้กับผม แต่ว่านั่นมันก็มีไว้เพียงเพื่อการเข้าสังคมเท่านั้น มันเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง มันไม่มีอะไรผิดผิดพลาดหรอก แต่การแจกจ่ายมาให้กันแบบนี้ มันช่างให้ความรู้สึกว่างเปล่า …….

 

แล้วในขณะที่ผมกำลังเปลี่ยนรองเท้าแตะที่ทางเข้า ผมก็ถูกเรียกหยุดเอาไว้

 

และคนที่อยู่ข้างหน้าของผมนั้นก็คือเพื่อนสมัยเด็กของผม ซูซูริคาว่า

 

“ว่าไง?” (ยูกิ)

 

“อืม…….” (ฮินากิ)

 

ผมมองออกไปด้วยความงุนงงในขณะที่เธอดูจะพยายามพูดอะไรบางอย่าง และมันดูอ้ำอึ้งในคำพูดของเธอ มันก็เป็นเวลานานแล้วจากที่เราได้เคยพูดคุยกัน ผมไม่คุยกับเธอมานานแล้ว ว่าแต่ครั้งสุดท้ายที่เธอพูดกับผมแบบนี้มันคือเมื่อไหร่กันนะ? ผมจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ

 

“เฮ้นี่….วันนี้นายจะกลับบ้านมั้ยเลยไม๊ ยูกิโตะ?” (ฮินากิ)

 

“อืม ฉันตั้งใจว่าจะไปแวะทางอื่นสักหน่อย” (ยูกิ)

 

“อย่างงั้นเหรอ……” (ฮินากิ)

 

เวลาที่ใช้ได้หลังเลิกเรียนนั้นมีจำกัด ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องกิจกรรมของชมรมจริงๆ ผมก็คงไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนรุ่นน้องได้นานสักเท่าไหร่ พระอาทิตย์ก็ตกเร็วกว่าปกติ แต่เมื่อลองนึกถึงความจริงที่ว่าพวกเราต้องทำให้พวกเขานั้นกลับบ้านก่อนมืด พวกเราก็ต้องทำให้ได้อย่างดีที่สุดในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามพวกเขายังต้องการจะเล่นกับผมต่อ

 

มันดูเป็นอีกทางเลือกนึงจากความเห็นแก่ตัวของผมเอง ที่ต้องทำให้ผมนั้นออกจากชมรมไป แต่ถ้าพวกรุ่นน้องอยากจะเล่นกับผม ผมก็อยากที่จะทำให้ความหวังของพวกเขาเป็นจริง อย่างน้อยก็ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงที่เหลือนี้

 

“นายรับสิ่งนี้ไว้ได้นะ” (ฮินากิ)

 

“ช็อคโกแลต……” (ยูกิ)

 

ผมมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้มันจะต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วตั้งแต่ที่ ซูซุริคาว่าได้เรียกหยุดผมไว้ ผมน่ะสามารถที่จะเดาได้เลยเนื่องจากมันเป็นวันนี้ แล้วเธอทำมันอย่างเป็นประจำเลยล่ะ

 

“ต้องขอบใจนะ ฉันดีใจที่นายยอมรับมันน่ะ” (ฮินากิ)

 

ผมยอมรับมันมาและเธอก็ขอบคุณผมมาอย่างจริงใจ

 

ผมรู้สึกได้ และจากที่ได้มองใบหน้าของซูซุริคาว่าให้ดูชัดเจนขึ้นกว่าเดิมนี้เล็กน้อย ซึ่งเธอก็ดูเหมือนไม่ค่อยจะดีเลย มันก็คงจะเป็นเรื่องปกติสินะ ก็นั่นมันเป็นเพราะเธอไม่ได้อยากจะให้ใครขอบคุณด้วยสักหน่อย

 

“ขอบคุณสำหรับช็อกโกแลตนะ ซูซูริคาว่า แต่จากนี้เรามาหยุดเรื่องแบบนี้กันเถอะ” (ยูกิ)

 

“เอ๊ะ?” (ฮินากิ)

 

เธอดูงุนงงราวกับอยู่ในความตกตะลึง

 

ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันแหล่ะ เพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเราได้ทำกันในวันวาเลนไทน์มาหลายปีแล้ว ราวกับว่ามันเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเรา

 

และเธอก็ได้ให้ช็อคโกแลตแบบนี้กับผมมาอีกครั้งในปีนี้

 

ราวกับเป็นนิสัยประจำที่เคยชิน เหมือนกับเป็นสิ่งที่ผูกไว้ว่าควรจะต้องทำ

 

“เธอเองก็ได้มีความรักที่แท้จริงแล้วนะ ดังนั้นอย่าได้มาให้ช็อกโกแลตสำหรับฉันอีกต่อไปเลย” (ยูกิ)

 

“นายกำลังพูดเรื่องอะไร……?” (ฮินากิ)

 

“ฉันน่ะไม่อยากจะได้มัน ที่มันมาจากความจำเป็นหรือการทำติดเป็นนิสัยราวกับเป็นปกติน่ะ” (ยูกิ)

 

จนถึงปีที่แล้ว ผมสามารถที่จะมีความสุขได้อย่างแท้จริง ผมคงอาจจะตั้งความหวังเอาไว้ได้อีก แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเธอมีแฟนไปแล้ว ช็อคโกแลตที่ราวกับบังคับว่าจะต้องเอามาให้ผม ด้วยวิธีแบบนี้ มันก็ออกจะดูไร้เหตุผลและก็ดูน่าสมเพชเกินไป

 

“จุดประสงค์ของวันวาเลนไทน์คืออะไรล่ะ? ที่เธอได้ให้ช็อคโกแลตนี้เพื่ออะไรกัน?” (ยูกิ)

 

“ยูกิโตะ……?” (ฮินากิ)

 

ถึงแม้ว่าเธอจะมีแฟนแล้ว แต่เธอก็คงอาจจะรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ หรือลำบาก และคงจะไม่สะดวกใจที่จะต้องให้ช็อกโกแลตกับผม เพียงเพราะว่าเรานั้นรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก และมันก็เหมือนเดิมทุกปี ผมสามารถที่จะบอกได้เลยเพียงแค่จากการมองดูการแสดงออกบนใบหน้าของเธอ

 

ถ้าหากเธอแสดงออกมาอย่างสดใสเหมือนในอดีต ผมก็คงอาจจะพอหวังอะไรบางอย่างได้บ้าง แต่ว่ามันก็อึมครึมและมืดมน เธอคงจะรู้สึกว่าผมนั้นน่ะเป็นภาระ การดำรงอยู่ของผมตอนนี้มันก็ได้ไม่มีอะไรไปมากกว่าการเป็นภาระสำหรับเธอ

 

ช็อคโกแลตนี้ย่อมหมายถึงอะไรบางสิ่งที่พิเศษ เป็นเป้าหมายไม่ควรมอบให้ใครอื่น มันเป็นสิ่งเพื่อใช้แสดงความรู้สึกของเธอ แต่อย่างไรก็ตาม ช็อกโกแลตนี้ดูจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น

 

“ทุกปีๆ ช็อคโกแลตที่เธอได้ให้ฉันมามันทำให้ฉันมีความสุขนะ ฉันน่ะต้องการมันจากเธอมากกว่าสิ่งอื่นใดเลยล่ะ แต่ฉันก็ไม่ได้อยากที่จะให้มันถูกนับไปเป็นภาระที่ผูกพันเธอเอาไว้” (ยูกิ)

 

“ไม่นะ มันไม่ใช่! นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ฉันให้นาย—-!” (ฮินากิ)

 

“สิ่งที่ฉันต้องการก็คือให้เธอ–” (ยูกิ)

 

แล้วผมก็ได้กลืนคำพูดของผมกลับเข้าไป ผมน่ะไม่สามารถพูดอะไรแบบนั้นได้อีกแล้วจากนี้ไป มันเป็นสิ่งต้องห้าม เธอน่ะน่าสงสารมาก แล้วก็ในท้ายที่สุด ผมก็ไม่อาจที่แม้แต่จะไปถึงการแข่งขันรอบสุดท้ายได้ และบาสเก็ตบอลที่ผมได้ทุ่มลงไป ที่จริงมันก็เพื่อที่จะสลัดความรู้สึกนี้ของผมออกให้หายไปในอากาศ ผมได้ทิ้งความรู้สึกทั้งหมดนั้นไว้ที่ไหนสักแห่งไปแล้ว

 

“แต่ก็แน่นอน ฉันจะตอบแทนมันให้ในวันไวท์เดย์ ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกนะ” (ยูกิ)

 

แน่นอน ฉันจะตอบแทนของขวัญนี้ให้ แต่มันจะจบลงเพียงแค่ปีนี้

 

“มีอะไรน่ะรุ่นพี่? พวกเรารีบไปกันเถอะ” (นักเรียน)

 

พวกนักเรียนที่เป็นรุ่นน้องก็เข้ามาเพื่อหาผม ซึ่งมันก็ได้จังหวะพอดี ผมก็ไม่ได้ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปด้วย

 

“โอ้ ขอโทษที แล้วฉันกำลังจะไปที่นั่นแล้วละ” (ยูกิ)

 

ผมได้ใส่ช็อคโกแลตลงไปในกระเป๋าแล้วเปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ไม่มีส้น ผมไม่ได้มองย้อนกลับไปอีกเลย มันดูราวกับตัวตลก ผมเคยหวังอะไรบางอย่างแต่กลับถูกปฏิเสธ วันวาเลนไทน์แบบนั้นมันจบลงไปแล้ว ซึ่งผมก็ไม่เคยได้สังเกตเลย ผมก็ไม่รู้ว่าซูซูริคาว่าทำสีหน้าแบบไหนในตอนนั้น เพราะในเวลานี้ ผมไม่ได้เห็นเธออยู่ในสายตาอีกต่อไปแล้ว

 

————————————————————-

 

 

[มุมมองของ ฮินากิ ซูซูริคาว่า]

 

“ฉันสงสัยทำไม……ทำไมถึงได้เกิดเรื่องพรรคนี้ขึ้นได้นะ…….” (ฮินากิ)

 

ฉันได้เอนตัวพิงกำแพงด้วยความรู้สึกงงงวย สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือประคองร่างเอาไว้ไม่ให้ล้มลง

 

มันก็เป็นเวลาผ่านมานานแล้วที่พวกเราได้เคยพูดคุยกัน ดูเขาจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่เรียกชื่อฉัน วันวาเลนไทน์ก็ได้ดึงเอาความเอียงอายของฉันนั้นกลับคืนมา แล้วในวันนี้ซึ่งเป็นหนึ่งในวันพิเศษเหล่านั้น ราวกับผ่านไปสักพันปี ฉันเหมือนกับเฝ้ารอวันนี้มานานมาก

 

“ไม่ใช่ภาระผูกพัน…… มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำเพราะเคยทำก่อน……” (ฮินากิ)

 

ฉันไม่เคยที่จะให้สิ่งเหล่านั้นแก่เขาด้วยความตั้งใจแบบนั้น

 

 ก็ไม่น่าแปลกใจที่ยูกิโตะจะคิดอย่างนั้น

 

เพราะในอดีต เวลาให้ช็อกโกแลตแก่เขา ฉันมักใช้คำที่ดูตรงกันข้ามเพื่อปกปิดความเขินอายของตัวเองอยู่เสมอ: “ก็เหตุผลตามนั้นแหล่ะ” “อย่ามาเข้าใจฉันผิดนะ” “ก็เพราะเพื่อนสมัยเด็กน่ะ” “ก็แค่… เรื่องบังเอิญ” ฉันที่ได้พูดคำตรงกันข้ามกับใจออกมาอย่างน่ารังเกียจและเลวร้าย ซ้ำไปซ้ำมา

 

ตัวฉันนั้นเต็มไปด้วยคำโกหก เต็มไปด้วยความไม่จริง และฉันก็ไม่เคยบอกอะไรกับเขาเลย การเข้าใจผิดแบบนี้มันอะไร? อะไรล่ะคือการที่จะต้องทำอย่างตรงไปตรงมา? ฉันพยายามมากที่สุดที่จะเลือกของขวัญ บางครั้งก็ทำมันด้วยมือ เพื่อที่จะทำให้เขามีความสุข แต่ถึงกระนั้น ฉันเองก็เป็นคนที่ปฏิเสธเรื่องนั้นทั้งหมด แล้วกำปั้นของฉันก็กระแทกเข้ากับกำแพง

 

ถ้าฉันไม่สามาถทำให้มันออกมาเป็นคำพูดได้ ฉันก็จะไม่สามารถถ่ายทอดอะไรออกมาได้ แต่ฉันก็คงจะโกหกเขาต่อไปเพราะว่าฉันไม่สามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้ แล้วฉันก็ได้รู้ตัวแล้วว่าเขาได้หายไปจากด้านหน้าของฉันเสียแล้ว

 

 ฉันอยากจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร

 

 จุดประสงค์ของวันวาเลนไทน์คืออะไรล่ะ? ที่เธอได้ให้ช็อคโกแลตนี้เพื่ออะไรกัน?

 

 ทำไมฉันถึงไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้มาก่อนเลยล่ะ

 

 สิ่งที่เขาต้องการ สิ่งที่เขาปรารถนานั้นไม่ใช่ช็อกโกแลต

 

 แต่มันเป็นคำพูดของฉัน ความ-

 

“ความรู้สึกของฉัน……” (ฮินากิ)

 

ตัวเธอนี่ยังคงปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองต่อช็อกโกแลต ฉันเคยสงสัยว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรที่เขานั้นได้รับช็อคโกแลตจากฉันมาจนถึงตอนนี้ แล้วทุกครั้งที่ฉันคาดหวังอะไรจากเขาแล้ว ฉันมักจะปฏิเสธมัน ถึงแม้อย่างนั้น เขาก็ยังคงยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณ” และ “ดีใจ” เป็นการตอบแทนเสมอ

 

เมื่อเขาให้ของขวัญกับฉันในวันไวท์เดย์ เขาไม่เคยพูดเลยว่ามันเป็นหน้าที่ของเพื่อนสมัยเด็กของฉัน เขาไม่เคยมองตาฉันได้ตรงๆ และบอกกับฉันในสิ่งที่เขาจะต้องพูดในวันนั้น

 

 ช็อคโกแลตพิเศษที่มอบให้กับเขา ก็เป็นฉันเองที่ได้ทำลายคุณค่าของมันด้วยตัวเอง

 

 นายจะรู้สึกแบบไหนมาตลอดกันนะ เมื่อนายได้กินช็อคโกแลตไร้ค่า ที่ไม่ได้มีความรู้สึกของฉันอยู่ในนั้น?

 

แล้วท้องฟ้าก็ได้เริ่มแต่งแต้มไปด้วยแสงสีแสดแดงเข้ม มันช่างเหมือนกับวันที่เขาสารภาพให้กับฉันในวันนั้นเลย

 

———————————————————–

 

 

[มุมมองของ ชิโอริ คามิชิโระ]

 

“โม่ว!” (ชิโอริ)

 

ฉันกำลังรีบมาก มันเป็นวันที่ครูประจำชั้นของฉันได้กดดันทำให้ฉันต้องทำบางอย่างในเรื่องที่ไม่เคยคิดว่าจะทำ และฉันก็กำลังจะช้าไปแล้ว มันเป็นเวลาหลังเลิกเรียน พอฉันได้ไปที่ห้องเรียนของยูกิ ก็พบว่าเขาก็ได้ออกไปแล้ว ฉันมองไปที่กล่องรองเท้า แต่ก็ไม่มีรองเท้าอยู่ ฉันคิดว่าเขากลับบ้านไปแล้วหรือเปล่า

 

 ฉันลังเล และสงสัยว่าฉันควรจะทำอย่างไร

 

 ฉันได้คิดพยายามจะติดต่อเขา แต่เขาก็ไม่มีโทรศัพท์ติดตัว

 

พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ และถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงจะต้องไปรอเจอกันในวันจันทร์หน้า จะรอถึงตอนนั้นเลยเหรอ? และในกระเป๋าของฉัน มีช็อคโกแลตที่ฉันได้ทำการเลือกเอาไว้หลังจากคิดมาอย่างถี่ถ้วนก่อนหน้า นี่น่ะเป็นครั้งแรกเลยที่ฉันเลือกช็อกโกแลตแบบนี้จริงๆ ทุกๆปีในวันวาเลนไทน์ ฉันเองมักจะเฝ้ามองดูพวกผู้หญิง เอะอะโวยวายราวกับเป็นเรื่องอะไรบางอย่าง และฉันก็คิดว่ามันก็เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน

 

 แต่ในตอนนี้

 

“บางทีฉันน่าจะต้องไป” (ชิโอริ)

 

ฉันเองก็รู้จักบ้านของยูกิ ยูกิเคยบอกฉันเรื่องนี้ในตอนที่พวกเราเคยเดินกลับบ้านด้วยกัน แต่ว่าฉันเองก็ไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน ฉันเลยสงสัยว่านี่มันจะไปรบกวนเขาไหม ถ้าหากฉันไปที่นั่นโดยไม่บอกเขาให้รู้ก่อน แล้วฉันก็เริ่มออกเดินไปที่บ้านของยูกิโดยที่ไม่รู้เลยว่าต้องทำตัวอย่างไร

 

“น่าจะเป็นที่นี่…..” (ชิโอริ)

 

ฉันหยุดเดินเมื่อได้เห็นอพาร์ตเมนต์อยู่ตรงหน้า ฉันได้มาถึงแล้ว แต่ว่าฉันก็ได้ยืนอยู่ที่นี่มาเกือบ 10 นาทีแล้ว โดยยังมีความสงสัยว่าจะต้องทำตัวอย่างไรดี ฉันยังคงทำเพียงแค่ยืนอยู่ที่ทางเข้าและปล่อยให้เวลาเลยผ่านไป ฉันกำลังคิดว่าจะใส่มันไว้ในกล่องจดหมายและกลับบ้านไป แต่ก็มีบางอย่างที่ฉันนั้นอยากจะพูดให้ได้อยู่ด้วยจริงๆ

 

หลังจากการรักษาตัวในโรงพยาบาล พวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากนักหลังยูกิออกจากโรงพยาบาลและเริ่มกลับไปโรงเรียน ยูกิไม่ได้เอ่ยแม้แต่ชื่อของฉันในขณะที่เขาได้อธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาเหล่านั้นได้ฟัง ฉันเองก็อยากจะถามเขาไปเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ไม่อ้างถึงฉันเลย และทำไมเขาไม่แม้แต่จะเรียกชื่อของฉัน ฉันอยากจะถามเขา แต่ฉันก็ทำไม่ได้ เพราะความรู้สึกฉันมันสำนึกว่าแบบนั้นมันก็จะเท่ากับไม่เคารพในสิ่งที่เขาได้ทำเพื่อฉัน

 

 ฉันหยิบช็อกโกแลตออกจากกระเป๋าแล้วมองขึ้นไปที่ยังชั้นที่เขาอาศัยอยู่

 

 จนในที่สุดฉันก็ยังไม่ได้สะสางความเข้าใจผิดนั้น

 

 ดังนั้นฉันจึงมายังที่นี่เพื่อที่จะได้สารภาพความรู้สึกกับเขาอีกครั้ง

 

“เธอคือ คามิชิโระซัง?” (???)

 

“เอ๊ะ?” (ชิโอริ)

 

 มีผู้หญิงที่ออกมาจากอพาร์ตเมนต์เรียกชื่อของฉัน

 

เธอมีผมสีดำยาว สวมกางเกงสกินนี่ ซึ่งเป็นกางเกงทรงสั้นที่ดูดีสำหรับเธอเลย เธอนั้นผอมเพรียวและสวยงาม

 

“ประธานนักเรียน……?” (ชิโอริ)

 

“นั่นมันตั้งแต่ปีอะไรแล้ว?” (???)

 

 แล้วเธอโพล่งออกมาด้วยตาที่เปิดเพียงครึ่งเดียวราวกับว่าเธอกำลังอึ้งอยู่

 

 ฉันไม่เคยพูดคุยกับเธอโดยตรง แต่ฉันรู้จักเธอดี เธอคือพี่สาวของยูกิ

 

เธอนั้นจบการศึกษาไปแล้ว แต่เธอก็เป็นประธานสภานักเรียนจนถึงปีที่แล้ว เธอสวย ดูดี และฉลาด เธอเป็นคนที่ไร้ที่ติ และนั่นก็คือความประทับใจที่มาจากใจจริงของฉัน

 

“ยูริซัง” (ชิโอริ)

 

“ทำไมเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่?” (ยูริ)

 

 ฉันสังเกตเห็นว่าสายตาของเธอที่ส่งมานั้นดูไม่เป็นมิตรเลย มันเป็นสายตาที่ดุดันราวกับจะบีบหัวใจของฉันไว้

 

“นั่น …… ยูกิ ฉันอยากจะมาพบยูกิโตะ …… ฉัน–!” (ชิโอริ)

 

“เขายังไม่ได้อยู่ที่นี่” (ยูริ)

 

“เอ๊ะ? อ-อย่างนั้นเหรอคะ” (ชิโอริ)

 

มันช่างเสียเวลาเปล่า ฉันถึงกับรู้สึกท้อแท้ ฉันสงสัยว่าเขาคงจะออกไปที่ไหนสักแห่งหรือว่าเขาแค่จะยังไม่กลับมา แต่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกในเมื่อคนที่ต้องการจะเจอนั้นไม่ได้อยู่

 

“เธอ… กำลังจะให้เขาเหรอ?” (ยูริ)

 

“เอ๊ะ?” (ชิโอริ)

 

แล้วสายตาของยูริก็ได้จับจ้องไปที่ช็อกโกแลตที่อยู่ในมือของฉัน ซึ่งก็มันเห็นได้ชัดนะว่าฉันกำลังถือมันไว้ในมือ เมื่อถูกรู้อย่างนี้แล้ว ฉันหน้าก็แดงขึ้นทันที

 

“อืม…..ก็ถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่ งั้นจะกลับมาใหม่อีกครั้งค่ะ!” (ชิโอริ)

 

 ฉันจึงได้รีบพลิกเท้าเพื่อหันกลับไป

 

 แต่เสียงอันเย็นเยียบจากด้านหลังก็ได้ทำให้ฉันต้องหยุดลง

 

“นี่แกจะมาหลอกใช้น้องของฉันอีกอย่างงั้นรึไงกัน?” (ยูริ)

 

“—–!” (ชิโอริ)

 

 พอฉันหันหลังกลับ ยูริก็ได้มาอยู่ที่ตรงหน้าของฉันแล้ว

 

เสียงของเธอดูอย่างกับถูกเค้นออกมาเหมือนกับเสียงพื้นถูกกระทบจนปริแตก แล้วก็ยังมีการจ้องมองด้วยที่สายตามที่เฉียบคมของเธอที่ดูราวกับจะทิ่มทะลุตัวของฉัน

 

“เธอกำลังพยายามหลอกน้องชายชั้นอีกแล้วรึไงกัน? คิดว่าฉันจะยอมให้เธอได้ทำอย่างนั้นอีกรึไง?” (ยูริ)

 

“อะไรกัน……คุณ……?” (ชิโอริ)

 

 ในดวงตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างชัดเจน

 

“ฉันรู้นะว่าเธอได้ทำอะไรเอาไว้ คามิชิโระซัง เพราะสิ่งที่เธอได้ทำ นั่นล่ะคือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส” (ยูริ)

 

“ฉ-ฉันขอโทษ! ฉัน—” (ชิโอริ)

 

 ฉันหยุดสั่นไม่ได้ ฉันกำลังถูกเข้าใจผิด

 

เพียงเพราะยูกิไม่เอ่ยชื่อฉันออกมาที่โรงเรียน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่บอกครอบครัวในเรื่องนี้ เขาเองก็ต้องซื่อสัตย์ให้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ยูกิไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกครอบครัวของเขา

 

เขาไม่เคยเป็นคนประเภทที่จะซ่อนสิ่งต่างๆเอาไว้ตั้งแต่แรก ยูกิปกป้องฉันไว้มาก แต่ฉันก็เข้าใจว่านั่นคงจะเป็นสิ่งที่ยกโทษให้ไม่ได้สำหรับครอบครัวของยูกิ

 

“กล้าดียังไงมาทำร้ายน้องของชั้น” (ยูริ)

 

“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ!” (ชิโอริ)

 

“เขาน่ะถูกทำร้ายจากผู้หญิงมามากพอแล้ว และตอนนี้เธอก็ยังจะมาฉวยโอกาสมันแบบนี้อยู่อีก” (ยูริ)

 

“ฉันจริงจังนะคะ! ฉันไม่ได้พยายามหลอกเขา……” (ชิโอริ)

 

“ถ้างั้น…! แล้วทำไมเธอถึงได้โกหกเขาล่ะ!” (ยูริ)

 

ระยะห่างระหว่างเรานั้นหดใกล้กันมากจนตัวฉันแทบจะติดกับหน้าอกเธอ และยังคงถูกจ้องจากเธอ

 

พวกเขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉันแล้ว แม้กระทั่งเรื่องโกหกโง่ๆ ที่ฉันได้บอกออกไป

 

ฉันเข้าใจเลย ว่าถ้าฉันเป็นคุณยูริก็ยกโทษให้ไม่ได้เหมือนกัน

 

มันเป็นความผิดของฉัน! เขาได้โกหกต่อพวกเขาเหล่านั้นและปกปิดเอาไว้เพื่อฉัน แต่ก็เพราะว่าเขาไม่ได้บอกกับใคร เขาถึงจะต้องออกจากชมรมไปเพราะเรื่องนี้! ถ้าไม่ใช่เพราะฉัน ยูกิก็คงได้เข้าร่วมลงทัวร์นาเมนต์นั้นแน่!

 

ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันควรจะพูดอะไร แต่น้ำตาฉันก็ได้ไหลออกมา และฉันก็ได้เอาแต่พูดคำว่าขอโทษ มีแต่เพียงแรงในมือของฉันที่ได้กำกล่องช็อกโกแลตไว้อย่างแรง

 

“เธอน่ะไม่ใช่คนที่ควรร้องไห้ มันควรจะเป็นเด็กคนนั้นต่างหากล่ะ” (ยูริ)

 

“ฉันขอโทษ….” (ชิโอริ)

 

 และราวกับว่าเธอได้หมดความสนใจแล้ว เธอก็ได้ละสายตาจากฉันและเดินจากไป

 

“บางทีเขาอาจจะยังอยู่ที่สนามกลางแจ้ง” (ยูริ)

 

 ฉันได้ยินยูริพูดคำไม่กี่คำนั้นในขณะที่เธอกำลังจากไป

 

 พอฉันได้รู้ว่าเธอนั้นหมายถึงอะไร ฉันก็เริ่มออกวิ่งทันที

 

—————————————————————–

 

 

[มุมมองของ ยูริ]

 

ชิโอริ คามิชิโระ วิ่งออกไปแล้ว ดูจะต้องใช้เวลาพอสมควรเลยนะ แล้วมันก็ไม่มีการรับประกันหรอกว่าน้องชายของฉันจะอยู่ที่นั่นรึเปล่าเมื่อเธอได้ไปถึงเอาตอนนั้น ไม่ เขาคงอาจจะกลับออกมาแล้ว เขาน่าจะกลับถึงบ้านเร็วๆนี้ ถึงแม้ว่าชิโอริ คามิชิโระจะออกไปตอนนี้ มันคงจะเป็นการเสียเวลาเปล่าที่สุด

 

“เธอน่ะเป็นผู้หญิงที่น่ารังเกียจ ฉัน……” (ยูริ)

 

ถึงอย่างนั้น ฉันเองก็เคยได้ทำร้ายเขาไปแบบนั้นและก็จบลงอย่างไร้ความหมาย แต่ก็เพราะไม่เช่นนั้นฉันก็คงจะหยุดมันเอาไว้ไม่ได้ ฉันนั้นถูกทรมานไปด้วยความเกลียดชังตัวเองในแบบที่ไม่สามารถจะอธิบายออกมาได้ นี่จึงดูราวกับกำลังส่องดูกระจก กระจกที่สะท้อนถึงความอัปลักษณ์ของตัวเอง

 

และคนที่ได้ทำร้ายเขาไว้มากที่สุดนั้นก็คือฉันเอง

 

 แล้วคำพูดที่ฉันพูดออกไปอย่างไม่ได้เจาะจงถึงใครก็จางหายไปพร้อมกับการเยาะเย้ยถากถางตัวเองของฉัน

 

——————————————————————–

 

 

[มุมมองของ ชิโอริ คามิชิโระ]

 

“เขาไม่อยู่ที่นี่.……?” (ชิโอริ)

 

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว มีเพียงแสงไฟจากถนนเท่านั้นที่ยังคงส่องสว่างในความมืด เสียงประกอบเพียงอย่างเดียวคือเสียงหึ่งๆ ซึ่งเป็นเสียงของแมลงจากในที่ไกลๆ

 

ในที่สุด ยูกิก็ออกกลับไปแล้ว เขาคงไม่สามารถอยู่ข้างนอกค่ำแบบนี้ได้หรอก มันสายเกินไป ฉันทำมันไม่ทัน ฉันสงสัยว่ายูริตั้งใจจะบอกอะไรฉันหรือเธอนั้นได้คาดหวังอะไรไว้ พอฉันคิดเกี่ยวกับมัน มันก็ออกจะผิดปกติด้วยเช่นกันที่ยูริซึ่งดูจะศัตรูกับฉันขนาดนั้น ได้บอกกับฉันอย่างตรงไปตรงมา

 

ฉันได้นั่งลงบนม้านั่ง ทุกอย่างผิดพลาดไปหมด ฉันไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้เลยแม้แต่คำเดียว และฉันก็ไม่สามารถให้สิ่งหนึ่งที่ฉันต้องการจะให้เขาได้ ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ใกล้เขามาก แต่ก็อดคิดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงระยะที่ห่างไกลระหว่างเรา

 

และตอนนั้น ฉันเหลือบไปเห็นถังขยะที่อยู่ข้างๆม้านั่ง ฉันคิดว่าฉันควรจะโยนมันทิ้งไปดีไหม เพราะไม่มีทางที่ฉันจะให้เขาได้อยู่แล้ว……

 

“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้…….” (ชิโอริ)

 

กล่องด้านนอกนั้นบู้บี้และก็ดูแย่มาก ฉันไม่แน่ใจว่าข้างในยังดีอยู่รึเปล่า มันอาจจะถูกบดเละไปแล้ว ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดไปว่ามันก็ดูน่าเกลียดเหมือนกับฉันในตอนนี้เลย

 

ราวกับถูกล่อลวงด้วยความปรารถนาที่ไม่อาจจะฝืนได้ไหว ฉันก็ได้ยืนขึ้นและกำลังจะโยนมันลงไปในถังขยะ ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกว่าฉันรักเขา ทั้งหมดที่ฉัน่ควรจะทำได้คือต้องชดใช้ ทั้งหมดที่ฉันทำได้คือหวังว่าจะได้ชดใช้ให้กับทุกๆสิ่งที่ฉันได้ทำมันพังไป

 

 ฉันควรจะโยนความรู้สึก รัก นี้ทิ้งไป

 

“เธอมาทำอะไรที่นี่ ในเวลาแบบนี้น่ะ?” (ยูกิ)

 

 แล้วฉันได้ยินเสียงที่ฉันอยากจะได้ยินมากที่สุด และมือของฉันก็หยุดลง

 

—————————————————————————-

 

 

[มุมมองของ ยูกิโตะ]

 

“…… ยูกิ? ทำไม? ทำไมนายถึงยังอยู่ที่นี่……?” (ชิโอริ)

 

“นั่นมันเป็นคำพูดของฉันนะ ฉันก็แค่อยู่คุยกับคนที่ฉันรู้จักน่ะ” (ยูกิ)

 

 อย่างไรก็ตาม ชิโอริ คามิชิโระ ก็อยู่ที่ตรงนั้น ทำไมล่ะ?

 

 เธอยังอยู่ในชุดนักเรียนของเธอในตอนนี้

 

“เพื่อนเหรอ?” (ชิโอริ)

 

“ฉันกำลังคุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งในโรงเรียนมัธยมปลายน่ะ และเขาไม่ใช่เพื่อนของฉันอย่างแน่นอน” (ยูกิ)

 

ทั้งหมดแล้ว คนรู้จัก ก็น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด ผมไม่ได้มาพบกับกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายที่ผมเคยเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันมาพักใหญ่แล้ว ก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรที่พวกเขาจะไม่เจอผมมาพักใหญ่ ก็เพราะมันเป็นตอนที่ผมพักเพราะกระดูกหักน่ะสิ แต่พวกเขาก็แสดงความเป็นห่วงเป็นใยให้เพราะว่าผมไม่ได้โผล่ไปอีกเลย รุ่นพี่ฮยาคุชิน นั้นน่ะเป็นคนดี  ผมคงจะต้องเสียใจถ้าหากไปเรียกเขาว่าตาลุงเข้าอ่ะนะ

 

“แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่? เดี๋ยวเธอจะเป็นหวัดเอานะ” (ยูกิ)

 

“อ-อืม ฉันขอโทษ” (ชิโอริ)

 

“ฉันไม่ได้อยากได้คำขอโทษนะ” (ยูกิ)

 

แล้วผมได้ไปซื้อกาแฟและชาร้อนจากตู้ขายของอัตโนมัติและก็กลับมานั่งลงบนม้านั่งด้วย ผมได้ยื่นชาไปให้คามิชิโระและจิบกาแฟของตัวอง

 

“แล้วมีอะไรรึเปล่า?” (ยูกิ)

 

“……ขอโทษนะ” (ชิโอริ)

 

“เธอเอาแต่ขอโทษอยู่ตลอดเลยนะ” (ยูกิ)

 

“ไม่มีทางที่ฉันขออภัยพอได้พอหรอก” (ชิโอริ)

 

“ไม่มีใครอยากจะฟังมันหรอกน่า” (ยูกิ)

 

“แต่ แต่ว่า! เพราะฉันนี่แหละคือต้นเหตุนะ ยูกิ…” (ชิโอริ)

 

 ผมกำลังมีปัญหาแล้วแฮะ ดูเหมือนคามิชิโระจะมีอารมณ์ที่ไม่คงที่อยู่

 

พูดตามตรง ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกังวลจากมุมมองของตัวผมเองเลย เนื่องจากผมมักจะได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ แต่ดูเหมือนว่า คามิชิโระ นั้นจะไม่สามารถที่จะยอมรับให้เป็นแบบนั้นได้

 

อย่างไรก็ตาม ผมคงไม่สามารถพูดอะไรกับเธอได้ ดังนั้นสิ่งที่ผมทำได้คือนั่งเงียบๆ ผมหิวแล้วสิ ……. หวังว่าแม่คงจะไม่โกรธผมนะ แต่มั่นเลยใจว่าพี่สาวของผมต้องโกรธแน่

 

“วันนี้ ที่จริงฉันตั้งใจจะให้สิ่งนี้กับนาย” (ชิโอริ)

 

“แล้วทำไมมันเละอย่างนี้เนี่ย” (ยูกิ)

 

“ฉันขอโทษนะ นายก็ไม่ต้องการของแบบนี้ใช่ไหมล่ะ” (ชิโอริ)

 

 แล้วเธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ และพยายามโยนมันลงไปในถังขยะ

 

“เธอวางแผนที่จะให้ของกับคนอื่น ด้วยสิ่งที่เธอก็คิดว่าพวกเขานั้นไม่ต้องการมันรึเปล่าล่ะ?” (ยูกิ)

 

“ไม่นะ มันไม่ใช่! แต่ว่าฉันก็ไม่สามารถให้ได้ ฉันไม่สามารถที่จะให้นายได้! เพราะฉันน่ะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดมากไปกว่านั้น ……” (ชิโอริ)

 

“ก็แค่เอามาให้ฉันมาซะสิ” (ยูกิ)

 

“ม-ไม่!” (ชิโอริ)

 

และเมื่อผมเปิดกล่องออก ผมก็พบว่าข้างในมันเป็นช็อคโกแลต ผมคงจะต้องแปลกใจถ้าหากว่ามันเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่สิ่งที่ผมได้คาดไว้ แต่ดูแล้วก็มีบางชิ้นแตกกระจัดกระจายอยู่รอบกล่อง แต่ดูรวมๆแล้วก็ไม่ได้มีอะไรแปลกอะไรนัก ผมจึงเปิดหยิบมันและใส่มันเข้าไปในปากของผม มันเป็นของว่างที่ดีที่จะทานไปคู่กับกาแฟเลย

 

“ช็อคโกแลตน่ะ ดีสำหรับการบรรเทาความเหนื่อยล้าด้วยนะ” (ยูกิ)

 

“ยูกิ……” (ชิโอริ)

 

“อย่ามองฉันอย่างนั้นสิ คามิชิโระ กินมันด้วยกัน มันจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดของเธอด้วยนะ” (ยูกิ)

 

“เค๊ะ” (ชิโอริ)

 

ผมมันยัดเข้าไปในปากของคามิชิโระอย่างไม่ลังเล และนอกจากนี้ ช็อกโกแลตนี่ยังจะช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายอีกด้วย การให้ช็อกโกแลตแก่ใครสักคนในฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเย็นในวันวาเลนไทน์นั้น ช่างดูมีเหตุผลได้อย่างน่าประหลาดใจ

 

“เอาล่ะตอนนี้เรากินช็อคโกแลตกันเสร็จแล้ว กลับบ้านกันเถอะ” (ยูกิ)

 

“ยูกิ ทำไมนายถึงทำดีเพื่อฉันถึงขนาดนี้กัน?” (ชิโอริ)

 

“ทำดี? นั่นดูจะไม่เคยอยู่ในสมุดรายงานประจำตัวของฉันเลยนะ” (ยูกิ)

 

“ก็นายน่ะมักจะไม่ใช่ถูกตัดสินได้ว่าดีจากแค่รูปลักษณ์ภายนอกน่ะ” (ชิโอริ)

 

ผมเองก็ไม่รู้ว่าอารมณ์แบบไหนถึงจะออกมาเป็นคำพูดต่อสิ่งที่ผมควรจะตอบไปดี ผมก็ไม่รู้ว่าเธอนั้นต้องการอะไร ผมไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้คนอย่างลึกซึ้งดีพอที่จะเข้าใจทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ และผมเองมีประสบการณ์ไม่มากพอที่จะทำแบบนั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คำตอบของผมนั้นมักจะผิดเพี้ยนไปจากจุดประสงค์เดิมอย่างสิ้นเชิง

 

“ก็ดูสิ นี่มันเป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ และคามิชิโระไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย มันก็เหมือนกับนักเบสบอลมืออาชีพตัวจริงที่เคยว่าไว้ มันน่ะเป็นความผิดของฉันเองทั้งหมด และนั่นคือทั้งหมดว่ามา กลับบ้านกันเถอะนะนักเรียน” (ยูกิ)

 

พวกเราไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป และนี่ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด มันคงจะน่าเสียดายถ้าหากว่าเธอต้องล้มป่วย ผมจึงตัดบทสนทนาและทำให้เธอลุกขึ้นได้

 

 ผมน่ะเป็นคนที่ผิดเสมอ ไม่ใช่ใครอื่นหรอก

 

 ถ้าหากว่าผมไม่ได้อยู่ที่นั่น คามิชิโระก็ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมาน

 

 ถ้าหากไม่ใช่เพราะผม ซูซูริคาว่าคงจะสามารถคบกับรุ่นพี่ได้โดยไม่ต้องมาพะวักพะวง

 

 ถ้าหากผมไม่ไปที่ตรงนั้น พี่สาวของผมคงไม่ต้องทำอย่างที่เธอได้ทำ

 

 และถ้าหากว่าไม่ใช่เพื่อผม แม่คงจะทุ่มเทสมาธิให้กับงานของเธอได้ดีกว่า

 

 ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีอะไรที่จะต้องให้ใครมาเป็นกังวลสักหน่อย

 

 มันก็แค่ง่ายๆแค่นั้น

 

“แล้วทำไมมันถึงได้ไปกวนใจพวกเขามากขนาดนี้กันนักนะ?” (ยูกิ)

 

 คงไม่มีใครที่จะตอบคำถามนั้นได้

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด