เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ 38: ชั้นในของอาจารย์

Now you are reading เหล่าผู้หญิงที่ทำให้ผมช้ำชอกใจต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ผมเกรงว่ามันน่าจะสายไปแล้วล่ะ Chapter 38: ชั้นในของอาจารย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชั้นในของอาจารย์

 

วันหยุดหน้าร้อนมันก็เปรียบได้กับเสียงวิทยุสำหรับการแอโรบิค และเมื่อพูดถึงเสียงวิทยุของแอโรบิคแล้ว มันก็มักจะเป็นตอนเช้าเสมอ เพราะเนื่องจากว่ามันจะออกอากาศในเวลา 6:25 น. ซึ่งเป็นตอนเช้าเท่านั้น แต่ในกรณีของผม มันก็ไม่สำคัญว่าจะเป็นเวลาไหนหรอก ก็เพราะว่าผมนั้นได้ซื้อเพลงประกอบของการฝึกเป็นแบบ CD เอาไว้แล้วน่ะสิ (และพอหลังจากออกกำลังกายนี้แล้ว พี่สาวของผมก็จะประทับตราให้กับผม) ผมเองก็ไม่รู้ว่าผมควรจะมาฟังวิทยุและออกกำลังกายแอโรบิคยิมในขณะที่ผมได้เป็นนักเรียนมัธยมปลายดีหรือเปล่า แต่นี่มันก็เป็นธรรมเนียมในช่วงปิดเทอมหน้าร้อน ซึ่งผมก็เป็นคนที่ชื่นชอบในการทำตามแบบแผนที่วางเอาไว้แล้วซะด้วย ก็เพราะผมก็คือยูกิโตะ โคโคโนเอะ

 

หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ผมก็ได้เปิดเล่นเพลง Phantom Radio Gymnastics No. 3 ขึ้นมาเพื่อทำการยืนเส้นสายคลายร่างกาย แต่ว่าในตอนนี้ผมนั้นรู้สึกประหม่ามากจนร่างกายตึงไปหมด ถ้าหากว่านี่คือการนัดบอดแล้วล่ะก็ หัวใจของผมคงจะเต้นระรัวเลยล่ะ แต่ว่านี่มันก็ไม่ใช่ แต่ว่ามันก็เป็นโอกาสที่จะทำให้พบกับใครบางคน คนที่น่าจะมองผมไม่ดีในตอนที่อยู่โรงเรียน และร่างที่ดูคุ้นตาก็ช่างมาได้จังหวะเอาซะพอดีจริงๆ

 

“ก็.. วันนี้เป็นวันที่ดีนะครับ—” (ยูกิโตะ)

 

“นี่ทำไมนายถึงต้องทักทายให้มันจริงจังแบบนี้ด้วยล่ะ?” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“ก็เราเป็นคู่ปรับกันไม่ใช่รึครับ?” (ยูกิโตะ)

 

“ไม่ เราไม่ใช่! นายนี่ก็ยังเหมือนเดิมเลย ใช่ไหมเนี่ย?” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“มีอะไรให้ผมช่วยคุณกันล่ะครับ อาจารย์ซันโจจิ” (ยูกิโตะ)

 

“นี่มันก็ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนหรอกนะ นายก็ไม่จำเป็นต้องมีระวังขนาดนั้น สำหรับนักเรียนแล้วน่ะ อาจารย์ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกจัดแยกออกเป็นหมวดหมู่ไปแม้แต่ตอนที่อยู่ข้างนอกแบบนี้หรอกนะ และก็อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อบ่นนายหรอก” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

อาจารย์เรียวกะ ซันโจจิ นั้นแต่งกายด้วยเสื้อเบลาส์(เสื้อเบาลูกไม้) กระโปรงที่รัดรูป และสวมส้นสูง ซึ่งค่อนข้างดูผ่อนไปกว่าในตอนที่เธอนั้นอยู่ในโรงเรียน เพียงแค่เธอนั้นไม่ได้สวมแจ็กเก็ตที่ดูราวกับเป็นผู้สังเกตการณ์ ตัวเธอก็จะดูเหมือนกับพนักงานออฟฟิศที่น่าจะทำงานได้เก่ง และพออาจารย์ซันโจจิได้โทรเรียกผมที่กำลังอยู่หน้าสถานีในตอนเช้า ผมก็รู้สึกประหม่าให้กับสิ่งที่เธอนั้นกำลังจะพูด แต่ว่าท่าทางของเธอเองนั้นดูนุ่มนวลและสายตาของเธอที่มองผ่านแว่นของเธอนั้น ก็ไม่ได้ดูเข้มงวดเหมือนกับปกติ ผมถึงกับรู้สึกประหลาดใจในตอนที่อาจารย์ซันโจจิ ติดต่อผมมาทางโทรศัพท์ แต่ภายในใจผมเองนั้นก็รู้สึกมีความสุขขึ้นเล็กน้อย

 

“มันก็ลำบากนะที่จะพูดมันในที่ตรงนี้น่ะ ดังนั้นมาที่บ้านของฉันกันเถอะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“อะ, อื้ม?” (ยูกิโตะ)

 

 นี่ผมจะต้องไปบ้านของอาจารย์? ในวันหยุดหน้าร้อนนี้? หรือจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของผมในหน้าร้อนเรอะ!?

 

—————————————————

 

 

[มุมมองของอาจารย์  ซันโจจิ]

 

มันเป็นเรื่องในเดือนที่แล้ว

 

“ให้ตายสิ นักเรียนคนนั้นน่ะมันอะไรกัน……” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

นักเรียนใหม่ปีนี้ได้มาสุมหัวกัน เพราะว่ามีคนๆนึงในชั้นเรียนที่เป็นคนทำให้พวกนั้นมารวมกลุ่มกัน ซึ่งก็มาจากห้อง 1-B ถึงมันจะมีนักเรียนอีกหลายคนที่ฉันได้ให้ความสนใจอยู่ ถึงแม้จะอย่างนั้น ความโดดเด่นของพวกนั้นก็ดูจะตามหลังเขาคนนั้นเสมอ และเหนือสิ่งอื่นใด เขาคนนั้นก็คือเด็กผู้ชายที่มีปัญหามากที่สุดในโรงเรียน ยูกิโตะ โคโคโนเอะ

 

และชื่อนี้ก็ได้กลายเป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งโรงเรียนแล้ว แม้กระทั่งโรงเรียนอื่นก็พูดถึงเขาด้วยเช่นกัน มันก็ไม่ได้เป็นความผิดของเขาหรอกนะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นตัวต้นตอของปัญหาก็ตาม แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สร้างปัญหาขึ้นมาโดยตรงด้วยตัวเอง ในตอนมองแวบแรก เขานั้นก็ดูจะไม่มีพิษมีภัยอะไรนัก และหากพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นของความโกลาหลเหล่านี้แล้ว เขาเองนั้นก็อาจจะดูเป็นเหยื่อเสียมากกว่า ฉันก็เลยโกรธเขาไม่ได้ และตัวเขายังเป็นนักเรียนประเภทที่พวกเราเองนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากรู้และสงสัย จึงได้เรียกเขามา และหลังจากนั้น ฉันก็ได้พบข้อความบางอย่างในเอกสารที่ได้ดึงเอาความสนใจของฉันไป

 

“เอ๊ะ…?” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

โรงเรียนประถมที่เขาเคยเข้าเรียนนั้นก็คือโรงเรียนที่ฉันเคยได้รับหน้าที่สอนมาก่อน และเขาก็เป็นนักเรียนใหม่ในโรงเรียนมัธยมปลาย อายุก็ 16 ปี ถ้าใช่ล่ะก็ มันก็คือเขาจากตอนนั้น……. แล้วฉันก็ได้รีบตรวจสอบชื่อของเขา ซึ่งก็เคยคิดว่าเขานั้นจะมีการเปลี่ยนชื่อหรืออะไรประมาณนั้น แต่มันดูจะเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผล แต่ว่าฉันก็อดไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากที่จะยอมรับถึงความเป็นไปได้นั้น ที่ราวกับว่าฉันกำลังปฏิเสธมันอยู่ แล้วนี่ก็เป็นภายในห้องพักครู ฉันยกกาแฟขึ้นมาจิบราวกับจะพยายามสลัดความกระวนกระวายในใจของฉันทิ้งไป ที่ฉันเองก็ไม่ได้รับรู้ถึงรสชาดของมันเลยซะด้วยซ้ำ

 

มันคงเป็นเรื่องแย่มากในตอนโรงเรียนประถม ฉันไม่รู้ว่าเขานั้นยังคงเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกที่ควรนี้มาได้อย่างไรจนถึงตอนนี้ แล้วจากนั้นฉันก็ตระหนักได้ถึงความเป็นไปได้ขึ้นมา ก็บางทีก็ฉันนี่แหล่ะที่อาจจะเป็นคนที่…… ทำให้เขาต้องกลายมาเป็นแบบนี้

 

จะให้ฉันลืมมันไปได้ยังไงกันล่ะ ฉันจะทำเป็นไม่รู้ได้อย่างไร ฉันพลาดเองที่จะได้นึกถึงมัน ฉันนั้นคิดว่าฉันนั้นได้เตือนตัวเองอย่างเสมอมา นี่ฉันได้หันหลังให้กับมันไปแล้วจริงๆงั้นเหรอ? ก็เพราะมันน่ะเป็นทั้งจุดเริ่มต้นของฉันในฐานะครู และความบอบช้ำทางจิตใจไปพร้อมๆกัน แต่การที่เรียกมันว่าความบอบช้ำนั้นก็อาจจะเป็นการดูถูกเขาเอาอย่างมากที่สุด ก็เพราะว่าฉันน่ะเป็นคนหยิบยื่นมันให้แก่เขานั่นเอง

 

และฉันก็เลยตัดสินใจที่จะไม่ทำผิดพลาดลงอีกครั้ง และถ้าหากว่าฉันได้เจอเขาอีกครั้งล่ะก็ ฉันก็จะขอโทษจากใจจริงเลยในครั้งนี้ ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่ฉันนั้นไม่ได้รู้มาตลอดเลยจนกระทั่งในตอนนี้……

 

ฉันนึกย้อนกลับไปถึงใบหน้าของเขาแล้วก็ทำให้รู้ได้ว่า ฉันว่าแล้ว เพราะมันไม่ค่อยจะเหมือนกัน การแสดงออกบนใบหน้าของเขาในตอนนั้นช่างไม่เหมือนกับใบหน้าในตอนนี้เลย และบางทีฉันอาจจะเป็นคนที่…… ได้ทำให้เขาเป็นแบบนั้น

 

ฉันนึกถึงใบหน้าของเขาแล้วก็มานึกขึ้นได้จริงๆว่า มันช่างไม่เหมือนกัน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ฉันไม่ได้รู้สึกตัวเลย ทั้งๆที่ได้เห็นเบาะแสที่ใหญ่ที่สุดมันก็คือชื่อของเขา ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ดวงตาไร้อารมณ์ที่จ้องมองมาที่ฉันในวันนั้น และที่สำคัญเขาไม่เคยเปิดปากขึ้นอีกเลยจนกระทั่งจบปีการศึกษา ไม่เพียงแต่สำหรับฉัน หรือครูประจำชั้นของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเพื่อนร่วมชั้นด้วย

 

และก็เธอ มิซากิ ผู้ซึ่งเป็นคนรับผิดชอบ ถึงกับต้องสละทิ้งอาชีพในการเป็นครูของเธอไป

 

——————————————–

 

 

“นี่มันจะไม่ใหญ่ไปเหรอครับเนี่ย?” (ยูกิโตะ)

 

“ครอบครัวซันโจจิเป็นครูมาหลายชั่วอายุคนแล้วน่ะ พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา ล้วนแล้วแต่ก็เป็นครูน่ะ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันภูมิใจหรอก แต่ความน่าประทับใจนั้น บางครั้งก็ดูกดดัน ยังไงก็เถอะนะ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอก เข้ามาสิ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

บ้านในโตเกียวแบบนี้ ยังไงมันก็ยังค่อนข้างใหญ่ไปนะ และอาจารย์ซันโจจิเองก็เป็นหญิงสาว ความลับที่ไม่ได้คาดคิดก็ได้ถูกเปิดเผยแล้ว ในขณะที่ผมกำลังเดินผ่านประตูหน้าไป โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ก็ได้วิ่งเข้ามาหาผม มันไม่ได้เห่า แต่ถูตัวเข้ากับร่างของผม

 

“โอ้ ตามปกติแล้วนี่อินุคิจิ ควรจะต้องคิดถึงฉันก่อนนี่นา” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“ความคิดในการตั้งชื่อแบบนี้มันอะไรกันเนี่ย?” (ยูกิโตะ)

 

[TL: อินุ = หมา ส่วนคิจิ ก็คิดว่ามันเป็นแค่ชื่อสร้อยต่อท้ายแค่นั้น]

 

เมื่อผมลูบไปที่ตัวของอินุคิจิ มันก็ส่งสียงครางออกมาดูสนุกสนาน เคยมีการพูดคุยกันในเรื่องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้านโคโคโนเอะด้วยนะ แต่ก็ต้องพักมันไว้เพราะตอนนั้นแม่ยุ่งมาก ส่วนพี่สาวที่ดูแลตัวเองยังไม่ได้ก็ดูจะไม่มีความสามารถในการดูแลสัตว์เลี้ยงเลย ผมเองก็อยากได้สัตว์เลี้ยงนะ แต่ก็…….

 

“สมกับที่เป็นตัวเมียจริงๆสินะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“อินุคิจิที่น่าสงสาร……” (ยูกิโตะ)

 

 ดวงตาที่ดูเศร้าๆของอินุคิจิ นั้นถูกส่งมาราวกับขอร้องให้ผมทำอะไรบางอย่าง

 

“เอาล่ะ ไปที่ห้องของฉันกันเถอะ ฉันจะไปเอาเครื่องดื่มมาให้นาย ช่วยรอสักครู่นะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“มันคือการเสียใจที่ถูกขัดจังหวะเหรอครับนั่น?” (ยูกิโตะ)

 

ก็เพราะไม่ได้มีใครสนใจ มันก็เลยไม่มีคำตอบกลับมา โดยปกติแล้ว ในการไปเยี่ยมบ้านเนี่ย พวกอาจารย์จะไปบ้านนักเรียนนี่นา แล้วทำไมผมที่เป็นนักเรียนถึงมาที่บ้านอาจารย์กันเนี่ย? แถมไม่ใช่อาจารย์ประจำชั้นของผมด้วย แถมเป็นบ้านของอาจารย์ซันโจจิอีกต่างหาก ที่น่าจะถูกเรียกได้อีกอย่างว่ามันเป็นถิ่นของศัตรู คุณจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคุณจะไปเหยียบโดนกับระเบิดเอาเมื่อไหร่

 

และห้องของอาจารย์ซันโจจินี้น่าจะมีพื้นที่ประมาณสิบเสื่อทาทามิ มันช่างกว้างขวางและโอ่อ่า ซึ่งมันก็อาจจะสะท้อนถึงบุคลิกของเธอ ในห้องนั้นก็ดูเรียบๆและเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูแล้วก็ไม่มีทางที่ผมจะไปแตะต้องของใช้ส่วนตัวของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจเอาได้เลย ดังนั้นผมจึงทำได้เพียงแค่นั่งอยู่เงียบๆ บนเบาะที่ได้จัดไว้ให้และมองไปรอบๆ แล้วอาจารย์ก็คงจะสังเกตเห็นความประหม่าของผมได้ จึงนำเค้กและเครื่องดื่มมาให้กับผม

 

“นายชอบของหวานไหมล่ะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“ใช่ครับ ผมชอบ งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของผมคือการตระเวนไปหาขนมกินน่ะ” (ยูกิโตะ)

 

“อืมมม นายนี่เหมือนเด็กผู้หญิงเลยนะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

มีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอที่ราวกับเป็นสายลมพัดพาให้ใจนั้นสดชื่น เพราะโดยปกติแล้วเธอมักจะโกรธผมซะตลอด แล้วเธอก็ได้หยิบอัลบั้มออกมาวางไว้ที่ตรงหน้าของผม จากนั้นเธอก็มองตรงมาที่ผม

 

“โคโคโนเอะคุง นายพอจะจำฉันได้ไหม?” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“อะไรน่ะ? นี่ผมออกจะถูกเรียกตัวไปบ่อยมากเลยช่วงหลังนี้ ดังนั้นผมแน่ใจว่าพวกเราก็ได้เจอกันออกจะบ่อยนะครับ” (ยูกิโตะ)

 

“ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น เราน่ะเคยรู้จักกันในโรงเรียนประถมนะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“โรงเรียนประถมศึกษา? อ้อเข้าใจแล้ว นี่คุณเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกับผม!” (ยูกิโตะ)

 

“นายอย่ามาพูดมั่วๆสิ! นายช่วยอย่าสร้างเรื่องเแบบนี้เลยได้ไหม? ไม่ ฉันไม่ได้ แล้วนี่นายกำลังพูดถึงอะไรเนี่ย? และฉันก็ไม่ได้กำลังจะล้อนายเล่นด้วยนะ!” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

ราวกับอุณหภูมิที่อยู่ๆก็ได้หายออกจากร่างไป แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็จำอะไรจากโรงเรียนประถมไม่ได้เลยเอาด้วยสิ มันอาจจะเป็นเพราะว่าผมนั้นเคยผ่านสถานการณ์ที่แย่ๆ มาเยอะมากในชีวิต ซึ่งมันก็ได้ทำให้ผมสามารถลืมเรื่องต่างๆ ได้ง่ายมากเลยล่ะ เพราะว่ามันเจ็บปวดเกินกว่าที่จะต้องเอามาจดจำ

 

“ผมขอโทษด้วยครับ ผมน่ะจำอะไรไม่ได้เลย” (ยูกิโตะ)

 

“ใช่…… ไม่สิ ฉันน่ะแน่ใจว่ามันเป็นความผิดของฉันเอง ที่ได้ทำให้มันเป็นสิ่งที่นายนั้นไม่อยากจะจดจำ ลองดูนี่โคโคโนเอะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

แล้วอาจารย์ก็ได้เปิดอัลบั้มออกมา ในนั้นมีรูปนักเรียนชั้นประถมจำนวนมากในชุดนักเรียน และหนึ่งในนั้นคือเด็กผู้ชายที่มีสีหน้าว่างเปล่าและหน้านิ่งๆ ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆกับเด็กคนนั้นเลย เขานั้นอยู่คนเดียวในรูปถ่าย …… นี่คือผมงั้นเหรอ? และที่ชื่ออาจารย์ประจำชั้นก็เขียนไว้ว่าเรียวกะ ซันโจจิ

 

“ฉันเป็นครูประจำชั้นของนายตอนคุณอยู่เกรดสอง ฉันต้องขอโทษจริงๆนะกับเรื่องในตอนนั้นน่ะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

แล้วอาจารย์ซันโจจิเหลือบตาขึ้นและก็โค้งคำนับอย่างเต็มที่ เกรดสองเหรอและครูประจำชั้นก็คือเธอ แล้วพอผมได้ยินมาขนาดนี้แล้ว ผมก็เลยนึกขึ้นได้

 

 —ถ้าพูดถึงเมื่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 นั่นก็คือตอนที่ผมนั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผิดอย่างไม่ถูกต้องเป็นครั้งแรก

 

มันมีของใช้ส่วนตัวของครูผู้หญิงที่มาฝึกงานคนหนึ่งหายไป และไม่รู้เพราะอะไรมันก็ได้ถูกพบในโต๊ะของผม จากมุมมองของผมแล้ว ผมเองก็ไม่เคยได้รู้เรื่องแบบนี้มาก่อนและตอนนั้นผมก็ยังไร้เดียงสา จำได้ว่าครูฝึกงานนั้นกลับไม่โกรธ เธอยิ้มอย่างอ่อนโยนและบอกผมอย่างสุภาพ “ถ้าทำผิดต้องขอโทษจริงๆ ใช่ไหม” เธอพูดแบบนั้น

 

แต่ไม่ว่าจะให้ถูกบอกแบบนี้สักกี่ครั้ง ผมนั้นก็ไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำได้ ผมจึงยังคงปฏิเสธต่อไป ครูฝึกงานเองก็ไม่ได้โกรธ แต่ครูประจำชั้นของผมนั้นกลับโกรธที่ผมไม่ยอมรับความผิดนั้นเป็นของผม “สิ่งที่เธอทำมันคือการขโมยนะ ฟังฉันนะ นี่เป็นอาชญากรรม!” ครูประจำชั้นของผมว่าไว้

 

แน่นอน ผมจึงถูกโดดเดี่ยวในห้องเรียน เพื่อนร่วมชั้นของผมก็เหินห่างจากผม และผมก็ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง มันดูไม่มีทางออกสำหรับเรื่องนี้ได้ ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ในวันที่ทรัพย์สินส่วนตัวนั้นหายไปมาอยู่ที่ผม ผมก็ได้จัดทำรายการกิจกรรมทั้งหมดทีทำในช่วงเวลาที่คาดไว้ ผมนั้นอยู่กับใคร และสิ่งที่ได้ทำไปในขณะนั้น และในการทำแบบนี้ ทำให้ผมจำกัดผู้ต้องสงสัยให้แคบลง และสุดท้ายก็พบกับผู้กระทำความผิดจริงเข้าจนได้

 

ผมเองก็ไม่มีเพื่อนคนไหนสนิทเป็นพิเศษ แต่ก็มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งในชั้นเรียนของผม เขาดูจะชอบครูที่เป็นครูฝึกงาน และเมื่อขณะที่เขากำลังขโมยของใช้ส่วนตัวของเธอไป อยู่ๆในใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกดังขึ้นใกล้เข้ามา จึงได้นำมันไปวางไว้บนโต๊ะของผมที่อยู่ใกล้ๆในทันที ทั้งหมดที่ผมนั้นจะสามารถพูดได้ก็คือว่า มันน่ารำคาญเป็นบ้า และผมก็ได้หลักฐานทั้งหมดมารวมกันแล้วไปหาครูพร้อมกลับชี้ว่าเขาให้เป็นคนร้ายตัวจริง

 

ผมมองเขาไปอย่างเย็นชาขณะที่เขาร้องไห้และขอโทษ ครูประจำชั้นและเด็กฝึกงานดูเหมือนกำลังพูดอะไรออกมาบางอย่าง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ มันก็เป็นเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่ก็เล็กน้อยเช่นกัน ตัวผมนั้นมีความคิดที่หยาบกระด้างเหมือนต้นอาซาเซียไปแล้ว และตอนนี้ผมก็ไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้วด้วย

 

ผมรู้สึกได้ว่าไม่อยากจะเข้าไปเป็นเพื่อนกับพวกเพื่อนร่วมชั้นที่ปฏิบัติกับผมเหมือนกับเป็นอาชญากร และผมก็ไม่ได้คุยกับครูประจำชั้นหรือเพื่อนร่วมชั้นของผมอีกเลย จนกระทั่งผมเลื่อนชั้นขึ้นเป็นชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งชั้นเรียนของผมก็ได้เปลี่ยนไปแล้วด้วย และนั่นคือเกือบครึ่งปีที่ได้ผ่านไป ที่ต้องอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจในชั้นเรียนอยู่เสมอ ปกติแล้วด้วยเรื่องแบบนี้ก็มักจะนำไปสู่การกลั่นแกล้ง แต่เนื่องจากพวกเขาที่คงจะรู้สึกผิดในความผิดของพวกเขาแล้ว ผมเองก็ยังเป็นนักเรียนและนักกีฬาที่เก่งด้วย ดังนั้นผมจึงเดาว่าพวกเขาคงจะไม่อยากมายุ่งอะไรกับผม และหนือสิ่งอื่นใดเลย ผมน่ะเป็นคนประเภทที่ชอบทำสิ่งเหล่านั้นย้อนกลับไปหาด้วยหากว่าผมนั้นเป็นฝ่ายโดนกระทำก่อน

 

 มันก็ช่างน่าคิดถึง ซึ่งมันก็เป็นช่วงที่มืดมนที่สุดในสมัยประถมของผมเลยล่ะ

 

“ครูประจำชั้นในตอนนั้นคืออาจารย์ซันโจจิใช่ไหมครับ? แต่ผมก็ลืมไปหมดแล้ว” (ยูกิโตะ)

 

“ฉันขอโทษ……. ฉันควรจะสร้างความทรงจำดีๆให้กับนาย แต่ฉันกลับทำให้ภาพลักษณ์นายต้องติดลบจากพวกเขา ฉันรู้ ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถให้อภัยได้ถึงแม้ว่าฉันจะขอโทษยังไงก็ตาม ยังไงก็จะต้องขอโทษด้วยนะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“ผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนะครับ ที่จริงต้องขอบคุณซะอีก ที่ทำให้ผมได้เรียนรู้วิธีที่จะใช้จัดการกับมัน” (ยูกิโตะ)

 

“โคโคโนเอะ นี่นายยัง……” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

ผมสงสัยว่านี่ผมควรทำอย่างไรกับอาจารย์ซันโจจิที่ดูเศร้าสร้อยอยู่แบบนี้กัน ผมน่ะไม่ได้สนใจมันเลยจริงๆนะ หรือจะบอกว่าผมไม่ได้สนอะไรในเรื่องแบบนั้นหรอก แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่กล้าบอกอาจารย์ซันโจจิเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะมันอาจจะทำให้เธอต้องกังวลใจมากขึ้น แล้วนี่ผมควรทำอย่างไรดีล่ะ? อาจารย์ต้องการอะไรจากผมกัน อะไรคือจุดประสงค์ของการขอโทษนี้ล่ะ และทำไมเธอถึงบอกเอามาบอกผมกันตอนนี้?

 

ยกโทษให้…… ผมควรที่จะให้อภัยไหม? แต่ว่าผมก็ไม่ได้โกรธ แล้วจะให้อภัยได้ยังไงกัน ผมจะทำให้อาจารย์ซันโจจิกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ยังไง?

 

พอคิดเกี่ยวกับมันแล้ว ครั้งนี้ผมจะไม่โยนความคิดเหล่านี้ทิ้งออกไปอีกแล้ว ผมจะไม่มีวันทิ้งมันไป มันจะต้องมีคำตอบ งั้นก็แค่บอกไปเธอ ห้ามหนี บอกไปตามตรง บอกกับเธอไปสิว่านายกำลังคิดอะไรอยู่

 

“อาจารย์ครับ ช่วยนั่งลงและกินเค้กกับผมหน่อย” (ยูกิโตะ)

 

“แต่….” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“ผมอยากให้คุณทำมันนะ” (ยูกิโตะ)

 

“….. ฉันเข้าใจละ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

ก็เพราะผมจำอะไรไม่ได้เลยตั้งแต่ตอนนั้น มันไม่มีความทรงจำใดๆ ทั้งหมดที่ผมยังจำได้คือแค่ความจริงที่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมลืมครูประจำชั้นและแม้กระทั่งเพื่อนร่วมชั้นของผม ผมจำสักชื่อหนึ่งในนั้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ และผมก็ไม่ชอบสายตาของอาจารย์ซันโจจิ ที่กำลังนั่งจ้องหน้าผมอย่างเจ็บปวดแบบนี้

 

 เอาล่ะถ้างั้น-

 

“งั้นช่วยบอกผมทีครับอาจารย์ ในตอนนั้นน่ะมันเป็นยังไงบ้าง มันเป็นห้องเรียนแบบไหน? ผมมีเพื่อนร่วมชั้นแบบไหน? น่าจะมีอัลบั้มแบบนี้อยู่อีก งั้นช่วยบอกผมทีครับ อาจารย์” (ยูกิโตะ)

 

มันก็แค่ง่ายๆ ถ้าหากมีคนรู้จักหรือจำได้ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือถามเขาคนนั้น ถ้าหากว่าผมอยู่คนเดียวผมก็จะไม่มีทางรู้ได้ พึ่งใครก็ไม่ได้ถ้าหากว่าไม่มีใครรู้จัก

 

“แน่ใจเหรอ ว่าต้องการแบบนั้นน่ะ” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

“ก็ผมจำอะไรไม่ได้เลย คุณก็ควรจะต้องเป็นคนบอกผมนะครับ” (ยูกิโตะ)

 

“ฉันเข้าใจแล้ว! ฉันยังมีอัลบั้มอื่นด้วย ช่วยรอสักครู่!” (อาจารย์ซันโจจิ)

 

 แล้วอาจารย์ซันโจจิ ก็ได้เดินไปที่ชั้นหนังสือที่อยู่ตรงข้ามกับผมพร้อมกับก้มลงไปอยู่ในท่าคลานที่ทั้งมือเท้าสี่ข้างนั้นได้อยู่บนพื้น

 

 แต่แล้วผมก็รู้สึกอะไรขึ้นมาได้

 

 นี่มันไม่ดีแล้ว! นี่คุณไม่ควรทำขณะแต่งตัวแบบนี้นะ เรียวกะจัง!

 

ก็เพราะอาจารย์ซันโจจินั้นสวมกระโปรงน่ะสิ แถมกระโปรงที่เธอสวมอยู่นั้นก็สั้นและรัดรูป แม้ว่าเธอจะสวมถุงน่องอยู่ก็ตาม แต่ถ้าหากว่าเธออยู่ในท่าคลานที่แขนและขาทั้งสี่นั้นยันอยู่บนพื้น มันก็จะเป็นการหันบั้นท้ายหันเข้ามาหาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนะ

 

“…… ชุดชั้นในของอาจารย์” (ยูกิโตะ)

 

 มันเป็นสีม่วง ผมรู้สึกดีนะที่ผมได้เห็นมันน่ะ!

 

 แล้วผมก็ได้บันทึกสิ่งนี้เอาไว้ในลงความทรงจำของผม

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด