จารใจรัก 103-2 เรียกกลับเมืองด่วน

Now you are reading จารใจรัก Chapter 103-2 เรียกกลับเมืองด่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โดยมิรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม นางเริ่มเหนื่อยล้าจึงเอนกายนอนลง ทว่าได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังขึ้นจากภายนอกจึงหยุดชะงัก ก่อนมองไปยังนอกหน้าต่าง

 

 

ฉินอวี้เดินฝ่าแสงตะวันแผดเผาเข้ามา อาภรณ์งดงามถูกตะวันส่องจนเกิดแสงระยับแสบตา

 

 

“รัชทายาท” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อทำความเคารพจากข้างนอก

 

 

“ฟางหวาเล่า เป็นเช่นไรบ้าง” ฉินอวี้ถาม

 

 

“คุณหนูกำลังพักผ่อนอยู่ข้างในเพคะ” ซื่อฮว่าตอบเสียงเบา

 

 

“มีคนอยู่ด้วยหรือไม่” ฉินอวี้ถามอีก

 

 

ซื่อฮว่าส่ายหน้าตอบ “เมื่อเช้าคุณชายเหยียนเฉินกับคุณชายอวิ๋นจี้มาหาและสนทนากันอยู่นาน เมื่อคุณชายทั้งสองท่านกลับไปคุณหนูก็ไล่บ่าวออกมา แล้วพักผ่อนเพียงลำพังเพคะ” พูดจบก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง “มิทราบว่ายามนี้กำลังนอนกลางวันอยู่หรือไม่”

 

 

“ข้าจะเข้าไปดู” ฉินอวี้บอก

 

 

ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า แล้วก้าวขึ้นไปเปิดประตูให้

 

 

ฉินอวี้เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าผ่อนคลาย ผ่านห้องรับรองมาถึงหน้าห้องชั้นใน ระหว่างม่านมุกกั้นมองเห็นเซี่ยฟางหวากำลังนั่งพิงหัวเตียงพลางมองไปนอกหน้าต่าง มิทราบว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขากระแอมขึ้นแผ่วเบา “ฟางหวา”

 

 

เซี่ยฟางหวาหันมาเชื่องช้า มองมายังเขาผ่านม่านมุกกั้น

 

 

ฉินอวี้เลิกม่านมุกออกแล้วเดินเข้ามาหา เอ่ยถามด้วยเสียงอ่อนโยน “ไฉนถึงไม่นอนกลางวัน ในห้องร้อนเกินไปหรือไม่” พูดจบก็ได้ยินจักจั่นส่งเสียงร้องจึงกล่าวขึ้นอีก “เสียงจักจั่นรบกวนหรือเปล่า ให้คนจับออกไปหรือไม่”

 

 

“ข้ามิได้อ่อนแอขนาดนั้น ในห้องกำลังดี มิได้ร้อนเกินไป จักจั่นก็มิได้รบกวนแต่อย่างใด แต่ข้าหมดสติเพิ่งฟื้นมา นอนไปมากแล้วจึงไม่อยากนอนกลางวันอีก มิฉะนั้นกลางคืนคงนอนไม่หลับเอา” เซี่ยฟางหวาอดยิ้มออกมามิได้

 

 

“ก็จริง” ฉินอวี้หลุดยิ้ม ก่อนเดินมานั่งข้างเตียง

 

 

“เป็นเช่นไรบ้าง โยกย้ายทหารได้มากน้อยเท่าไร” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

“สองแสนนาย” ฉินอวี้ตอบ

 

 

เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “หากมีทหารสองแสนนายคอยสนับสนุน ถึงเป่ยฉีอยากบุกประชิดเข้ามาคงไม่ง่ายถึงเพียงนั้นแล้ว จะเตรียมพร้อมออกเดินทางได้เมื่อไร”

 

 

“ค่ำวันนี้” ฉินอวี้พยักหน้าตอบ

 

 

“ผู้ใดนำทัพ” เซี่ยฟางหวาถามอีก

 

 

“ห่างจากเมืองหลินอันแปดร้อยลี้ ผู้บัญชาการเฝ้าระวังด่านวกวนนามว่าหวางกุ้ย เขาเป็นผู้นำทัพ” ฉินอวี้ตอบ “ตอนนี้มีเพียงเขาเท่านั้นที่เหมาะสม”

 

 

“คนตระกูลหวางของไทเฮารึ” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

“ถูกต้อง” ฉินอวี้ผงกศีรษะ

 

 

“ไม่มีผู้ใดเหมาะสมที่จะนำทัพไปยังพรมแดนม่อเป่ยเพื่อรับมือกับคนตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉีมากไปกว่าคนตระกูลหวางอีกแล้ว ตระกูลหวางกับตระกูลอวี้มีความแค้นกันมาหลายชั่วคน ตระกูลหนึ่งอยู่หนานฉิน ตระกูลหนึ่งอยู่เป่ยฉี สามร้อยปีมานี้ ผ่านไปกี่รุ่นมากน้อยก็มิเคยสะสางความแค้น ต่างฝ่ายต่างสืบข่าวคราว ต่างฝ่ายต่างติดตามอย่างใกล้ชิด ไม่มีผู้ใดรู้จักตระกูลอวี้ดีไปกว่าคนตระกูลหวาง และไม่มีผู้ใดรู้จักตระกูลหวางดีไปกว่าตระกูลอวี้” เซี่ยฟางหวากล่าว

 

 

“ข้าก็คิดว่าเขาเหมาะสมเช่นกัน” ฉินอวี้ถอนหายใจออกมา “ความจริงควรเป็นข้าที่เดินทางไปม่อเป่ย แต่วันนี้ได้รับข่าวจากเสนาบดีฝ่ายซ้ายว่า สุขภาพเสด็จพ่อเกรงว่าไม่ค่อยดีนัก น้องแปดยังเด็ก ได้รับการเลี้ยงดูจากไท่เฟยจนมีนิสัยเช่นนั้น ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองมาก่อน ยามนี้ต้องบริหารบ้านเมืองครั้งแรกจึงยังไม่มีประสบการณ์มากพอ หากเสด็จพ่อเป็นอันใดขึ้นมา ข้าจำต้องรีบกลับไปควบคุมสถานการณ์ในราชสำนัก”

 

 

“ตอนอยู่ในเมืองหลวง ข้าเห็นว่าฝ่าบาทยังมีเวลาอีกอย่างน้อยครึ่งปี น่าจะไม่เร็วขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

“ข้าเองก็หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงยืนหยัดไปได้อีกสักพัก แม้พระองค์ทรงประชวรและชราแล้ว แต่ขอเพียงพระองค์ยังอยู่ก็จะสามารถประคับประมองหนานฉินมิให้ล่มสลายลง” ฉินอวี้พูดพลางก็แฝงไปด้วยความโศกเศร้า “ยังจำได้ว่าทุกครั้งที่ข้าพบเสด็จพ่อตอนเด็กมักเห็นแต่รูปร่างแข็งแกร่งทรงพลัง คิดในใจว่าเมื่อโตขึ้นจะต้องเป็นจักรพรรดิเหมือนพระองค์ให้จงได้ แต่เมื่อค่อยๆ เติบโตขึ้น หลังได้เข้าใจบางสิ่งถ่องแท้ พบว่าเสด็จพ่อมิได้นับว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีขนาดนั้น จึงแอบต่อหน้าฝ่าฝืนทว่าทำตามลับหลัง ยามนี้มองย้อนกลับไป ราวกับเพียงพริบตาเดียวข้าก็โตขึ้นแล้ว แต่ในพริบตาเดียวนั้นพระองค์ก็ชราลงเช่นกัน ตอนนี้ไม่นึกเลยว่า…” ระหว่างพูดก็เงียบลง

 

 

เซี่ยฟางหวายิ้ม “จะจัดการเรื่องเมืองหลินอันเสร็จเมื่อไร”

 

 

“ครึ่งเดือนกระมัง” ฉินอวี้ตอบ

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

“ครึ่งเดือนให้หลัง หากม่อเป่ยมิน่ากังวล ข้าก็จะกลับเมือง” ฉินอวี้มองนาง “ถึงตอนนั้นเจ้าจะกลับไปพร้อมข้าหรือไม่”

 

 

“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันเถิด” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก

 

 

“ย่อมได้ ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็ไม่ควรคิดมาก สุขภาพสำคัญที่สุด” ฉินอวี้กล่าว

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

ฉินอวี้นั่งต่ออีกพักหนึ่ง มีคนมารายงานว่าหวางกุ้ยนำทัพมาถึงนอกเมืองหลินอันแล้ว เขาจึงรีบออกไป

 

 

หลังฉินอวี้ออกไป เซี่ยฟางหวาก็นวดหว่างคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า นางดึงหมอนอิงออกแล้วเอนกายนอนหลับตาลง

 

 

ซื่อฮว่ากับซื่อม่อลอบเปิดประตูมองแวบหนึ่ง เห็นว่าเซี่ยฟางหวาสบายดีจึงปิดประตูลง มิรบกวนนาง

 

 

ยามบ่ายวันเดียวกันนั้น หวางกุ้ยนำทหารสองแสนนายพร้อมด้วยคำสั่งโยกย้ายจากรัชทายาทฉินอวี้เดินทางไปม่อเป่ย

 

 

ส่งหวางกุ้ยออกเดินทางแล้ว ฉินอวี้ก็ยังมิกลับไปพักผ่อน แต่เริ่มสืบสวนขุนนางทุกระดับในเขตการปกครองโจว จวิ้น และเซี่ยนของเมืองหลินอัน ทำการลงโทษเพื่อปรับแก้วิถีการเป็นขุนนาง

 

 

วันที่สอง ข่าวทหารสองแสนนายไปม่อเป่ยก็แพร่มากลับมายังเมืองหลวง

 

 

ภาคราชสำนักและประชาชน ขุนนางทั้งราชสำนักต่างชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของรัชทายาท การโยกย้ายทหารที่ใกล้ที่สุดในเมืองหลินอัน เดินทางสิบวันย่อมไปถึงม่อเป่ยแล้ว อีกทั้งยังใช้คนตระกูลหวางของ

 

 

ไทเฮา นับว่าเป็นการใช้ยารักษาตรงโรคต่อตระกูลอวี้แห่งเป่ยฉี

 

 

อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหวพร้อมด้วยขุนนางชั้นผู้ใหญ่มารวมตัวกันในโถง

 

 

ราชสำนักตั้งแต่เช้า เพื่อรอฮ่องเต้ทรงเปิดการว่าราชการยามเช้า ต่างคนต่างคิดตรงกันว่ารัชทายาทกระทำการได้อย่างเหมาะสม

 

 

รอจนถึงเวลาว่าราชการยามเช้า อู๋เฉวียนมาถึงพร้อมประสานมือกล่าว “ใต้เท้าทุกท่าน ฝ่าบาททรงรับสั่งว่า ร่างกายมิพร้อม วันนี้งดว่าราชการยามเช้าขอรับ”

 

 

เหล่าขุนนางมองหน้ากัน ก่อนทำความเคารพแล้วแยกย้ายกันกลับ

 

 

เมื่อออกมานอกประตูวัง อิงชินอ๋องหันกลับไปมองวังหลวงอันสูงตระหง่านพลางถอนหายใจ ก่อนกลับไปยังจวนอิงชินอ๋อง

 

 

เสนาบดีฝ่ายซ้ายรั้งเสนาบดีฝ่ายขวา ก่อนกระซิบกล่าว “ฝ่าบาททรงยังมิคลายโทสะจากเมื่อวาน หรือว่าพระวรกายมิพร้อมจริงๆ กันแน่”

 

 

“มีส่วนทั้งนั้นกระมัง” เสนาบดีฝ่ายขวาตอบคลุมเครือ

 

 

“หวังว่ารัชทายาทจะทรงจัดการเมืองหลินอันเสร็จโดยเร็วแล้วรีบกลับเมือง” เสนาบดีฝ่ายซ้ายกลุ้มใจ

 

 

เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า

 

 

อีกสองวันถัดมา ฮ่องเต้ก็ยังมิทรงเข้าว่าราชการยามเช้า

 

 

สามวันให้หลัง ม่อเป่ยส่งข่าวกลับมาว่าเป่ยฉีมีทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งบุกปะทะองค์ชายรองฉีเหยียนชิง ทว่ายังมิทันได้รับการลงโทษ ทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นก็หนีออกจากค่ายทหารเป่ยฉี และถูกค่ายทหารม่อเป่ยจับตัวไว้ นายพลเฟยหู่ผู้รักษาพรมแดนเป่ยฉีส่งคนมาขอตัวทหารนายนั้นกับทัพม่อเป่ย เนื่องด้วยน้องสาวของรองนายพลทัพม่อเป่ยออกเรือนไปเป่ยฉี บังเอิญเป็นพี่ภรรยาของทหารที่หลบหนีมานายนั้นพอดี จึงปฏิเสธมิส่งตัวให้ นายพลเฟยหู่แห่งเป่ยฉีโกรธมากจึงไปรายงานองค์ชายรองแห่งเป่ยฉี ฉีเหยียนชิงเองก็โกรธจัดเช่นกัน จึงออกคำสั่งให้ทัพเป่ยฉีบุกโจมตีทัพม่อเป่ย

 

 

ในที่สุดข้อตกลงร่วมกันระหว่างเป่ยฉีกับม่อเป่ยตลอดหลายปีก็พังทลายลงด้วยชนวนนี้ สงครามระหว่างพรมแดนเป่ยฉีกับหนานฉินเปิดฉากโหมโรงขึ้น

 

 

ทัพเป่ยฉีเนื่องด้วยเซี่ยม่อหานติดอยู่ที่เมืองหลินอัน และอยู่ในระหว่างการเดินทางไปม่อเป่ย ยามนี้จึงไร้ผู้บัญชาการ มีเพียงรองผู้บัญชาการเท่านั้น แม้สืบข่าวได้ว่าเป่ยฉีมีการระดมกำลังก่อนแล้วและมีการเตรียมการรับมือ ทว่าก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของทัพเป่ยฉีที่บุกมาด้วยความฮึกเหิม วันนั้นค่ายทหารม่อเป่ยได้รับความเสียหายหนัก ทั้งบาดเจ็บและล้มตายนับหมื่น

 

 

เป่ยฉีรบชนะรวด

 

 

เมื่อข่าวแพร่ออกมา ภาคราชสำนักและประชาชนในหนานฉินก็ตื่นตกใจ

 

 

อิงชินอ๋อง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหวและขุนนางชั้นผู้ใหญ่รีบเข้าวังตั้งแต่เช้าตรู่ บุกไปรอนอกตำหนักบรรทมของฮ่องเต้

 

 

รอเป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วยาม อู๋เฉวียนก็เดินออกมาแล้วถอนหายใจ กล่าวขึ้นด้วยใบหน้ากังวลมิเสื่อมคลาย “หลายวันนี้หมอหลวงเข้าๆ ออกๆ วังหลวง ท่านอ๋องกับใต้เท้าทุกท่านคงทราบกันแล้ว ฝ่าบาททรงลุกขึ้นมิไหว”

 

 

“หลายวันก่อนฝ่าบาททรงดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ถึงทรงลุกมิไหวแล้ว” อิงชินอ๋องตกใจ

 

 

“ท่านอ๋องเองก็ทราบ อาการประชวรของฝ่าบาทประเดี๋ยวดีประเดี๋ยวร้าย ยามอารมณ์ดีก็ทรงลุกขึ้นมาทรงงานราชการได้บ้าง แต่เมื่ออารมณ์มิดี ความกลัดกลุ้มอัดแน่นในพระราชหฤทัย อาการประชวรก็ยิ่งทรุดลง” อู๋เฉวียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เมื่อครู่ฝ่าบาททรงตื่นมาครู่หนึ่ง ให้บ่าวออกมาบอกท่านอ๋องและขุนนางทุกท่าน ทรงรับสั่งให้รัชทายาทรีบเสด็จกลับเมือง”

 

 

อิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

 

 

เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นกัน

 

 

สถานการณ์แบบใดถึงทรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วน

 

 

รัชทายาททรงกำลังจัดการงานในเมืองหลินอัน หากมิจำเป็น ยามนี้ย่อมไม่ควรกลับเมืองหลวง ทว่าวันนี้ฝ่าบาททรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วน อธิบายได้ว่าอย่างไร

 

 

คนบางกลุ่มได้ยินแล้วก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งโดยพร้อมเพรียงกัน

 

 

อู๋เฉวียนมองทุกท่านแวบหนึ่งแล้วกล่าวอีก “จนกว่ารัชทายาทจะเสด็จกลับมาถึง ฝ่าบาทตรัสว่า นอกจากรัชทายาทแล้วก็มิพบผู้ใดทั้งนั้นขอรับ”

 

 

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ

 

 

อู๋เฉวียนกล่าวอีกสองประโยค ก่อนหันหลังกลับเข้าไปในตำหนัก

 

 

อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวามองหน้ากันแวบหนึ่ง ยามนี้ฝ่าบาททรงเรียกรัชทายาทเสด็จกลับเมืองโดยด่วน อาการประชวรหนักเพียงนี้ ย่อมมิอาจสนใจเรื่องสงครามพรมแดนได้แล้ว จึงอดมิได้ที่จะเผยสีหน้ากลัดกลุ้มใจออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด