จารใจรัก 117-1 ล่องทะเลสาบสนทนา

Now you are reading จารใจรัก Chapter 117-1 ล่องทะเลสาบสนทนา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

           ประโยคนี้ของเยี่ยนถิงตรงกับประโยคที่ฉินอวี้ใช้พูดกับเขาก่อนหน้านี้ ทว่าขณะเดียวกันก็คลับคล้ายคลับคลาแฝงความหมายที่คลุมเครือด้วย  

 

 

           ฉินอวี้มิได้ตอบกลับ  

 

 

           “สภาพแวดล้อมในวังหลวงบำรุงร่างกายได้ดีกว่านอกวัง ถึงอย่างไรก็เป็นบ้านของโอรสสวรรค์ ถึงผู้คนมากน้อยอยากเข้ามาก็เข้ามามิได้” เซี่ยฟางหวามองเยี่ยนถิง ตอบเขาแทนฉินอวี้   

 

 

           เยี่ยนถิงชะงัก ราวกับไม่คิดว่าเซี่ยฟางหวาจะตอบตน เขาหันกลับไปมองนาง แววตาเต็มไปด้วยคำถาม  

 

 

           เซี่ยฟางหวากลับมิสนใจเขาอีก หันไปมองยังริมทะเลสาบ พบว่าหลี่มู่ชิงกับชุยอี้จือมาถึงแล้วเช่นกัน ทว่าทั้งสองมิได้ใช้พลังกระโดดตามขึ้นมาบนเรือเหมือนอย่างเยี่ยนถิง หากแต่หยุดเท้าพลางกำลังมองมาทางนี้ นางจึงเอ่ยขึ้น “ไว้ค่อยมาล่องเรือวันอื่นแล้วกัน”  

 

 

           “เรียกพวกเขาขึ้นมาก็พอแล้ว” ฉินอวี้ส่ายหน้า ก่อนหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง  

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อรีบก้าวขึ้นมา ก่อนตะเบ็งเสียงตะโกนไปยังท่าเรือ “คุณชายหลี่ รองราชเลขาชุย ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้ท่านสองคนขึ้นเรือขอรับ”  

 

 

           หลี่มู่ชิงกับชุยอี้จือได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้ากัน ก่อนขยับปลายเท้าใช้วิชาตัวเบา เหยียบลงบนใบบัวและพืชน้ำในทะเลสาบ เพียงพริบตากันร่อนกายลงบนหัวเรือ เป็นวิทยายุทธ์ขั้นสูง แน่นอนว่าวิทยายุทธ์ของหลี่มู่ชิงเหนือชั้นกว่า เหยียบผิวน้ำโดยมิฝากร่องรอยไว้  

 

 

           เมื่อทั้งสองขึ้นมายืนบนเรือ คนหนึ่งดั่งความเรืองรองในวสันต์ คนหนึ่งคล้ายดอกเบญจมาศในสารทฤดู ทั้งสุภาพอ่อนโยนแลหล่อเหลาล้ำเลิศ  

 

 

           “ถวายบังคมฝ่าบาท” หลังทั้งสองทรงตัวมั่นคงแล้วก็ทำความเคารพฉินอวี้พร้อมกัน   

 

 

           “ตามสบาย” ฉินอวี้ยกมืออย่างอ่อนโยน  

 

 

           ทั้งสองยืดตัวตรง  

 

 

           “ฟังว่าฉินเจิงกลับมาพร้อมพวกเจ้า ไฉนถึงไม่เห็นเขา” ฉินอวี้อมยิ้มมองทั้งสอง   

 

 

           หลี่มู่ชิงมองฉินอวี้แวบหนึ่ง ก่อนมองไปยังเซี่ยฟางหวา พบว่าใบหน้านางเรียบเฉย ไม่แฝงอารมณ์ใด เขามิได้ตอบกลับทันทีในเวลานั้น  

 

 

           ชุยอี้จือเองก็มองทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนตอบอย่างระวัง “ทูลฝ่าบาท สามวันก่อนท่านพี่บอกว่ามีเรื่องหนึ่งต้องไปทำจึงแยกกับพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”  

 

 

           “หืม เรื่องอะไร” ฉินอวี้ถาม  

 

 

           “ท่านพี่มิได้บอกพ่ะย่ะค่ะ” ชุยอี้จือส่ายหน้า  

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า พูดกับทั้งสามคน “ไปกันเถอะ เข้าไปคุยกันข้างใน ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว แดดแรงเกินไป”  

 

 

           ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน  

 

 

           ทั้งหมดเข้าไปในห้องโดยสาร เรือแล่นไปยังบริเวณที่มีดอกบัวหนาแน่นกลางทะเลสาบ  

 

 

           ภายในห้องโดยสารตกแต่งอย่างวิจิตรเหมาะสม มีเตียงทรงเตี้ยวางไว้หลายจุด จะนั่งหรือนอนก็ย่อมได้  

 

 

           เสี่ยวเฉวียนจื่อสั่งงานขันทีฝ่ายในสองคนบนเรือให้ยกน้ำแกงแช่เย็นมาต้อนรับ ฉินอวี้เห็นแล้วก็พูดบอกเขา “มิต้องให้ฟางหวาดื่มสิ่งนี้ เย็นเกินไป ไม่ดีต่อนางที่กำลังพักฟื้นร่างกาย ให้นางดื่มอุ่นๆ”  

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เสี่ยวเฉวียนจื่อวางถ้วยลงแล้วก็รีบออกไป  

 

 

           หลี่มู่ชิงได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเซี่ยฟางหวา ถามด้วยความเป็นห่วง “ฟังว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือยัง”  

 

 

           “ไม่น่ากังวลแล้ว” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า  

 

 

           “ไหนเลยจะมิน่ากังวลแล้ว ยังต้องพักฟื้นอีกนาน อย่าได้ประมาทเด็ดขาด” ฉินอวี้พูด  

 

 

           “ข้าเป็นหมอ หรือว่าไม่รู้จักร่างกายตัวเองดีไปกว่าเจ้า” เซี่ยฟางหวามองเขาอย่างจนใจ  

 

 

           “เจ้าเป็นหมอดูแลคนอื่นได้ กลับไม่ยอมดูแลตัวเอง จะไม่คอยจับตามองเจ้าได้อย่างไรกัน” ฉินอวี้ส่ายหน้า  

 

 

           “เจ้านี่น่ารำคาญนัก” เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด  

 

 

           “เพื่อให้เจ้าหายดี ยังต้องสร้างความน่ารำคาญให้เจ้าอีกนาน” ฉินอวี้หลุดยิ้ม  

 

 

           เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนี ราวกับคร้านจะสนใจเขาแล้ว  

 

 

           หลี่มู่ชิงทอดสายตามองคล้ายค้นหาบางสิ่งระหว่างทั้งสองพักหนึ่ง ก่อนละสายตากลับมาแล้วยกน้ำแกงขึ้นมาดื่ม  

 

 

           “ตอนข้าออกจากเมือง ตอนนั้นเจ้าป่วยหนักยังไม่หายดี ใบหน้าซีดเซียวดูอ่อนแรงอย่างยิ่ง ราวกับแค่ลมวูบหนึ่งพัดผ่านก็จะล้มลงได้อย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้ดูแล้วดีขึ้นกว่าตอนนั้นมาก” เยี่ยนถิงมองเซี่ยฟางหวาแล้วเอ่ยขึ้น   

 

 

           “ตอนนั้นข้าแกล้งป่วย” เซี่ยฟางหวาบอก  

 

 

           เยี่ยนถิงชะงัก เบิกตากว้างมองนาง “แกล้งป่วยหรือ”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า  

 

 

           เยี่ยนถิงไม่อยากเชื่อ “นึกไม่ถึงว่าเจ้าแกล้งป่วย” หยุดชั่วครู่แล้วถามอีก “แกล้งป่วยกี่ปี มิได้ป่วยมาตลอดเลยหรือ หรือว่า…ลอบค่อยๆ รักษาอาการป่วยจนดีขึ้น เพียงแต่เพื่อตบตาคนอื่น”  

 

 

           “มิได้ป่วย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “ข้าอยู่ที่เขาไร้นามตลอดมา ท่านปู่กับท่านพี่เพื่อปิดบังความจริงที่ข้ามิได้อยู่ในจวนจึงโกหกว่าข้าป่วยหนัก ผนวกกับตอนนั้นท่านพี่ป่วยจริงๆ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อีกอย่างข้าก็เป็นบุตรีในหอนอน เดิมไม่มีใครคอยสนใจความเป็นความตายของข้าอยู่แล้วจึงตบตาได้อยู่หมัด”  

 

 

           เยี่ยนถิงอุทาน “อา” ก่อนกล่าวต่อ “ตอนนั้นเจ้าอยู่เขาไร้นาม แล้วสตรีคนนั้นที่อยู่ในจวนจงหย่งโหวเป็นใคร ที่ข้าได้พบนางหลายครั้ง”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “สาวใช้ของข้าชื่อว่าผิ่นจู๋ เชี่ยวชาญการแปลงโฉม”  

 

 

           เยี่ยนถิงชะงักค้าง ชั่วพริบตาก็เข้าใจทุกกอย่าง “มิน่าถึงไม่เคยเปิดเผยใบหน้า…”  

 

 

           เซี่ยฟางหวายิ้ม  

 

 

           “นี่เป็นความลับ ไฉนเจ้าถึงพูดออกมาอย่างง่ายดาย” เยี่ยนถิงพลันถามขึ้นอีก   

 

 

           “อดีตฮ่องเต้จากไปแล้ว ตรงนี้นอกจากเจ้าที่มิทราบ ยังมีใครมิทราบอีก พูดหรือไม่ก็มิได้สำคัญอันใด” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ   

 

 

           เยี่ยนถิงได้ยินเช่นนั้นก็มองซ้ายแลขวา พบว่าหลี่มู่ชิงกับชุยอี้จือมิได้แสดงสีหน้าแปลกใจเลยดังคาด เขาเบะปากกล่าว “จากเมืองหลวงไปนานดังคาด กลับมาต้องใช้เวลาทำความเข้าใจเรื่องนี้ประมาณหนึ่ง ความจริงแล้ว…”  

 

 

           “หากเจ้าไม่กลับมาสิบปี คงไม่รู้จักหนานฉินแล้ว” หลี่มู่ชิงหยอกล้อ  

 

 

           “เจ้าเองก็อยู่ในเมือง ไม่เห็นว่าเจ้าจะทำสิ่งใดบ้าง” เยี่ยนถิงแค่นเสียง   

 

 

           “คิดว่านิสัยเจ้าเปลี่ยนแล้ว ที่แท้ก็ยังพูดจาไม่ไว้หน้าคนอื่นเหมือนเดิม” หลี่มู่ชิงแย้มยิ้มพลางส่ายหน้า   

 

 

           เยี่ยนถิงแค่นเสียงในลำคอ  

 

 

           “ฮูหยินคิดถึงเจ้ามาก ยังมิได้กลับไปที่จวนหรือ” ฉินอวี้ถาม  

 

 

           “ไม่รีบร้อน” เยี่ยนถิงพยักหน้าตอบ  

 

 

           “ตอนนี้พรมแดนมีการระดมกำลัง ทหารห้าแสนนายของจื่อกุยกับหวางกุ้ยออกรบสามครั้งแล้ว สร้างความสูญเสียบ้าง เดิมทีเราคิดว่าจะให้มู่ชิงกับเจ้านำทหารไปยังพรมแดน แต่เมื่อวานฉินอี้นำทหารส่วนตัวห้าหมื่นนายไปพรมแดนแล้ว เมื่อส่งทัพสนับสนุนออกไปแล้วจึงมิได้เร่งด่วนอันใดอีก” ฉินอวี้พูด   

 

 

           เยี่ยนถิงได้ยินเช่นนั้นก็กะพริบตาปริบ ส่ายหน้ากล่าว “กระหม่อมกลับเมืองมาครั้งนี้มิได้คิดจะออกไปไหนอีกแล้ว อีกอย่างกระหม่อมก็มิเคยอยู่ในค่ายทหาร หากส่งไปรบ มีหรือจะไม่ยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเดิม”  

 

 

           “ไม่เคยอยู่ในค่ายทหารก็จะได้ถือโอกาสฝึกหาประสบการณ์ ตั้งแต่เจ้าจากเมืองไป หย่งคังโหวกับ  

 

 

ฮูหยินก็ราวกับคิดได้แล้ว มิได้ผูกมัดเจ้าเป็นท่านโหวสืบทอดตำแหน่งอีก เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองจะไม่อยากลองดู อนาคตอนุชนจะได้ไม่วิจารณ์เจ้าว่าไม่ทำอันใดสักอย่าง เอาแต่พึ่งบารมีบรรพบุรุษ” ฉินอวี้เลิกคิ้ว  

 

 

           “วันหน้าค่อยว่ากัน ถึงอย่างไรกระหม่อมก็เพิ่งกลับมา มิได้อยากไปไหนอีก” เยี่ยนถิงเบ้ปาก   

 

 

           “ก็ดีเหมือนกัน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มิอาจโยกย้ายทหารสามแสนนายในค่ายใหญ่เขาตะวันตกได้ เพื่อรับมือฉีเหยียนชิงจึงวางกลยุทธ์อื่นไว้แล้ว หากเป็นผล สงครามที่พรมแดนก็จะถูกหยุดไว้ก่อนชั่วคราว ระหว่างนี้ต้องเตรียมสวัสดิการเสบียงทหาร เตรียมการรับมือสนับสนุน ยังมีหลายสิ่งต้องทำ จำต้องให้พวกเจ้าช่วยเหลือเช่นกัน” ฉินอวี้ยิ้มพูด   

 

 

           “ขอเพียงไม่ส่งกระหม่อมออกจากเมืองไปอีก ให้ทำสิ่งใดก็ย่อมได้” เยี่ยนถิงดื่มน้ำแกงอึกหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “ยังเป็นน้ำในหนานฉินที่รสชาติเยี่ยม อยู่ที่ใดก็ไม่สบายเท่าในเมืองหลวง แม้แต่อากาศยังน่าสูดดมกว่า”  

 

 

           “เจ้าอยู่ข้างนอกนานเกินไป เมื่อกลับมาจึงรู้สึกว่าเมืองหลวงดีกว่าทุกอย่าง” หลี่มู่ชิงพูดจบก็กล่าวกับฉินอวี้ “ฝ่าบาทรับสั่งมาเถิด หากไปพรมแดนวันพรุ่งนี้กระหม่อมก็พร้อมเดินทาง”  

 

 

           “สองวันก่อนเสนาบดีฝ่ายขวาแนะนำว่าให้เจ้าไปสมทบที่พรมแดนเพื่อช่วยจื่อกุย แต่ตอนนี้มิได้รีบร้อนขนาดนั้นแล้ว” ฉินอวี้บอก “ขุนนางราชสำนักรุ่นอาวุโสแก่กันหมดแล้ว ส่วนใหญ่มิอาจใช้งานได้ หลังจากนี้เรายังต้องพึ่งพาพวกเจ้า ตอนนี้เตรียมพร้อมสวัสดิการเสบียงทหารก่อน ลำดับต่อไปก็คัดเลือกผู้มีพรสวรรค์จากการสอบเคอจวี่ กำลังในราชสำนักควรถึงคราวผลัดเปลี่ยนแล้ว”  

 

 

           หลี่มู่ชิงพยักหน้า  

 

 

           ฉินอวี้หันไปมองชุยอี้จือที่มิได้เอ่ยคำใดขึ้นเลย ยิ้มถามว่า “อี้จือ หลายวันนี้ไม่มีข่าวคราวของเจ้ากับฉินเจิงเลย เล่ามาสิว่าเกิดอันใดขึ้นบ้าง”  

 

 

           ชุยอี้จือพยักหน้า “ได้ยินว่าเมืองหลินอันอยู่ในขั้นวิกฤต ท่านอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาจึงขอให้กระหม่อมกับท่านพี่ออกเมืองไปด้วยกัน” หยุดชั่วครู่ เขามองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง เห็นว่านางมิแสดงอารมณ์ใด ราวกับมิได้คัดค้านที่เขาจะเอ่ยถึงความลับบางอย่าง จึงกล่าวต่อ “ในมือกระหม่อมมีนกแสนรู้ตัวหนึ่งที่ผู้นำตระกูลชุยแห่งชิงเหอให้มา และใช้วิชาเสาะหาร่องรอยตามหาที่อยู่ของคุณหนูฟางหวา ตามไปจนถึงผาไน่เหอ ไขกลไกได้ก็ตามไปยังลำน้ำสวินสุ่ย แต่ตอนนั้นคุณหนูฟางหวาเดินทางไปแล้ว พวกเราจึงได้พบกับคุณชายอวิ๋นหลาน”  

 

 

           “จากนั้นเล่า” ฉินอวี้ถาม  

 

 

           “ท่านพี่ทราบว่าคุณหนูฟางหวานำสมุนไพรดำม่วงไปแล้วจึงรั้งข้าอยู่ที่ลำน้ำสวินสุ่ยก่อน กระทั่งคุณชายอวิ๋นจี้ตามไปและทราบข่าวการสวรรคตของอดีตฮ่องเต้จึงออกจากลำน้ำสวินสุ่ย ในเวลาเดียวกันนั้นเองคุณชายหลี่ก็หาลำน้ำสวินสุ่ยจนพบ พวกเราจึงเดินทางกลับมาด้วยกัน แต่ระหว่างทาง ท่านพี่บอกว่ามีธุระอื่นต้องไปจัดการจึงแยกทางกับพวกเราไป”  

 

 

           “อยู่ที่ลำน้ำสวินสุ่ยตลอดเวลา เป็นความต้องการของเขาหรือ” ฉินอวี้ย่นพระขนง   

 

 

           ชุยอี้จือพยักหน้า  

 

 

           ฉินอวี้ไม่เข้าใจ ผินหน้ามองเซี่ยฟางหวา  

 

 

           เซี่ยฟางหวากึ่งพิงกึ่งนอนบนเตียงนุ่มอย่างเกียจคร้าน หันหน้ามองไปนอกตัวเรือ คล้ายฟังคล้ายมิฟัง  

 

 

           “ระหว่างที่พวกเจ้าอยู่ที่ลำน้ำสวินสุ่ยทำสิ่งใดบ้าง” ฉินอวี้หันกลับไปพูดกับชุยอี้จือ   

 

 

           ชุยอี้จือตอบ “ท่านพี่กับเซี่ยอวิ๋นหลานเล่นหมากล้อมกระดานหนึ่งทุกวัน เวลาที่เหลือเขาก็นั่งสมาธิในห้อง ตัวเขาได้รับบาดเจ็บภายในเช่นกัน ซ้ำต้องฟื้นฟูบาดแผลเก่า” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “ลำน้ำสวินสุ่ยมิอาจส่งข่าวสู่ภายนอกได้”  

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด