จารใจรัก 49 ความทรงจำชาติก่อน

Now you are reading จารใจรัก Chapter 49 ความทรงจำชาติก่อน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

           ครึ่งชั่วยามถัดมา ทุกคนก็เคลื่อนขบวนมาถึงตีนเขาอารามลี่อวิ๋น

 

 

           เบื้องหน้าคือเศษหินและโคลนไถลเต็มเนินเขา ไหนเลยจะยังคงเค้าเดิมของอารามลี่อวิ๋น เศษหินและโคลนยังคงไถลลงมาไม่ขาดสายประหนึ่งของเหลวก็มิปาน บริเวณที่มันไถลผ่าน ทั้งหินผาและต้นไม้ต่างถูกพัดราบจมหายไป

 

 

           “พระชายาน้อย ที่นี่อันตรายมาก ท่านรีบกลับไปจะดีกว่า” หัวหน้าทหารคนเดิมมองภาพตรงหน้าด้วยความหวาดกลัว ก่อนเดินมาโน้มน้าวใจเซี่ยฟางหวา

 

 

           “ไม่เป็นไร เราขึ้นไปดูจากเนินทางด้านซ้ายเถอะ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           หัวหน้าทหารนายนั้นได้แต่เงียบลง

 

 

           เซี่ยฟางหวาผินหน้ามองเซี่ยอวิ๋นหลาน

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้าให้นาง ขณะเดียวกันก็ปล่อยเชือกคุมบังเ**ยน จากนั้นก็เดินขึ้นจากทางเนินเขาด้านซ้ายไปพร้อมกับนาง

 

 

           ทหารกองนั้นเห็นเช่นนี้ก็รีบตามพวกเขาไป

 

 

           เมื่อมาถึงยอดเขา ภาพเบื้องหน้าพอจะเห็นเค้าโครงอารามลี่อวิ๋นที่ถูกฝังอยู่ใต้เศษหินและน้ำโคลนได้อย่างเลือนราง ต้นไม้ล้มระเนระนาด หินผายังคงกลิ้งลงมาไม่หยุด ภูเขาทั้งลูกราวกับสั่นสะเทือนตาม คิดจะเข้าไปใกล้เพื่อช่วยเหลือผู้คนนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้

 

 

           “จะทำเช่นไรดี อย่างไรก็เข้าใกล้มากกว่านี้มิได้” หัวหน้านายทหารเอ่ยขึ้น

 

 

           “พวกเจ้าเฝ้าตรงนี้ พี่อวิ๋นหลาน เราไปดูกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาบอกกับเซี่ยอวิ๋นหลาน

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานพยักหน้า

 

 

           “คุณหนู ให้พวกเราไปแทนเถิด มันอันตรายเกินไป” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนรีบก้าวขึ้นมา ขวางทางเซี่ยฟางหวาเอาไว้

 

 

           “พวกเจ้าแปดคนรออยู่ที่นี่ ข้ากับพี่อวิ๋นหลานจะไปดูเอง” เซี่ยฟางหวาออกคำสั่ง “ไปหากิ่งไม้หนายาวประมาณสามฉื่อ*[1]มาให้เราด้วย”

 

 

           “คุณหนู” พวกซื่อฮว่ายังคงขอร้องนาง

 

 

           “ไม่ต้องพูดแล้ว” เซี่ยฟางหวายกมือสั่ง “ถึงให้พวกเจ้าไปแทน แต่ถ้าข้าไม่ไปดูด้วยตัวเองแล้ว พวกเจ้าก็สำรวจไม่เจอสิ่งใดอยู่ดี”

 

 

           พวกซื่อฮว่าเงียบลงทันที

 

 

           “พวกเจ้าวางใจเถอะ มีข้าอยู่ด้วย ไม่ปล่อยให้ฟางหวาเป็นอะไรแน่นอน” เซี่ยอวิ๋นหลานบอก

 

 

           พวกซื่อฮว่าเห็นว่าเซี่ยฟางหวายืนกรานเช่นนี้จึงได้แต่ไปหากิ่งไม้หนามาให้

 

 

           ไม่นานก็นำกิ่งไม้หนากลับมาสองท่อน เซี่ยฟางหวารับไปถือว่าท่อนหนึ่งและยื่นให้เซี่ยอวิ๋นหลานท่อนหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “พี่อวิ๋นหลาน เราใช้มันช่วยพยุงเถอะ ถึงเวลาจวนตัวก็ต้องดูวิชาตัวเบาของเราแล้ว อย่าได้ถูกม้วนเข้าไปในน้ำโคลนโดยเด็ดขาด โคลนมีคุณสมบัติเหนียว หากตกลงไปเราจะถูกฝังไปด้วย”

 

 

           “ได้” เซี่ยอวิ๋นหลานผงกศีรษะ

 

 

           “พระชายาน้อย ท่านอย่าไปเลยดีกว่า สถานการณ์อันตรายเช่นนี้ หากท่านเป็นอะไรไป ชีวิตของพวกข้าน้อยคงหาไม่แล้วเช่นกัน” คนผู้นั้นเห็นว่าเซี่ยฟางหวาตั้งใจจะไปจริงๆ ก็รีบโน้มน้าว

 

 

           เซี่ยฟางหวายกมือปรามไม่ให้เขาพูดมาก จากนั้นก็สบตามองเซี่ยอวิ๋นหลานแวบหนึ่ง ทั้งสองเดินไปยังอารามลี่อวิ๋นที่อยู่ฝั่งตรงข้ามและถูกฝังอยู่ใต้โคลนด้วยกัน

 

 

           เนื่องจากทั้งสองมีวิทยายุทธ์ดีมาก ทั้งมีกิ่งไม้หนาช่วยพยุงตัว ทั้งหาหินขนาดสูงใหญ่ที่ไม่ได้จมใต้โคลนเป็นจุดพักเท้าเจอ แม้การเดินค่อนข้างลำบาก แต่ในเวลาหนึ่งก้านธูป**[2]ต่อมาก็มาถึงที่ตั้งอารามลี่อวิ๋น

 

 

           “พี่อวิ๋นหลาน ท่านว่าเช่นไร นี่เป็นภัยธรรมชาติหรือฝีมือมนุษย์กันแน่” เซี่ยฟางหวามองประเมินรอบทิศทาง ก่อนเอ่ยถามเซี่ยอวิ๋นหลาน

 

 

           “ดูคล้ายเป็นภัยธรรมชาติ ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ย่อมเกิดดินถล่มได้เป็นธรรมดา ท่าทางที่นี่จะไม่เหลือผู้รอดชีวิตแล้ว เขาด้านล่างคล้ายยังมีการสั่นไหวอยู่ เราต้องรีบออกไปจากที่นี่” เซี่ยอวิ๋นหลานมีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

           “ข้ากลับรู้สึกว่าไม่ใช่ภัยธรรมชาติ” เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น “ข้างหลังเขา เราไปดูกันเถอะ”

 

 

           “เจ้าหมายถึง” เซี่ยอวิ๋นหลานชะงัก

 

 

           “ข้างหลังเขาน่าจะมีคนอยู่” เซี่ยฟางหวาพูดพลางก็เดินไปยังหลังเขา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานรีบตามนางไป ทั้งสองกระโดดเหินตัวขึ้นลงสิบครั้ง ทว่าทันทีที่มาถึงยอดเขา หินผาบนยอดก็พลันทลายลงมา

 

 

           เซี่ยฟางหวาตกใจเมื่อหินผาที่พังทลายมุ่งตรงมาทับนาง

 

 

           “ฟางหวา!” เซี่ยอวิ๋นหลานมีสีหน้าเปลี่ยนไป รีบเบี่ยงกายขึ้นมาขวางไว้ข้างหน้าทันที

 

 

           ได้ยินเพียงเสียง ปึ่ก! ดังขึ้น หินผาก้อนนั้นกระแทกลงบนแผ่นหลังเซี่ยอวิ๋นหลาน

 

 

           “พี่อวิ๋นหลาน!” เซี่ยฟางหวายกมือประคองเขา แต่เนื่องด้วยแรงกระแทกจากหินผาเมื่อครู่รุนแรงมากทำให้เท้านางลื่น เมื่อคนหนึ่งทรงตัวไม่มั่นคง ทั้งสองจึงกลิ้งหกคะเมนลงไปข้างล่างด้วยกัน

 

 

           เศษหินดินโคลนไหลเชี่ยวกรากไล่หลังทั้งคู่มา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานหันไปมองพลันสีหน้าเปลี่ยน ยกมือผลักเซี่ยฟางหวาออกพร้อมทั้งเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “ฟางหวา รีบปล่อยข้า!”

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปากไม่พูดจา เมื่อฝ่าเท้าหาจุดเหยียบประคองตัวไม่ได้ นางจึงได้แต่ออกแรงกลิ้งตกเขาไปให้รวดเร็วยิ่งกว่าโคลนที่ไหลทะลักลงมา

 

 

           “ปล่อยข้า! เราสองคนจะยิ่งถ่วงความเร็ว เกรงว่าจะหลบไม่พ้น” เซี่ยอวิ๋นหลานผลักนางออกไม่สำเร็จ น้ำเสียงแหบแห้งจนแทบขอร้องนาง “ฟางหวาฟังข้า หากตกลงไปทั้งแบบนี้ เราสองคนต้องตายแน่”

 

 

           “พี่อวิ๋นหลาน ท่านก็รู้ว่าข้าปล่อยท่านไม่ได้” เซี่ยฟางหวากัดฟันเอ่ยขึ้น ของเหลวตรงหน้าใกล้จะสูบพวกเขาทั้งสองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง นางพลันสลับตำแหน่ง ดึงเซี่ยอวิ๋นหลานไปยังหน้าผาลาดเอียง

 

 

           “ฟางหวา เจ้าลืมฉินเจิงไปแล้วหรือ พวกเจ้าเพิ่งแต่งงานกันนะ!” เซี่ยอวิ๋นหลานมองไปยังทิศทางนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

 

 

           “ไม่ได้ลืม! แต่เราไม่ตายหรอก” เซี่ยฟางหวาชะงักไปครู่หนึ่ง

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานเงียบ

 

 

           ระหว่างพูดเซี่ยฟางหวาก็ลากเซี่ยอวิ๋นหลานมาถึงหน้าผา ครั้นแล้วก็กระโดดลงไปพร้อมเขาโดยไม่ลังเล

 

 

           ร่างกาย ฝ่าเท้า ปราศจากตำแหน่งให้ยึดทรงตัว ลมเคล้าน้ำฝนส่งเสียงคำรามบาดหู

 

 

           เศษหินดินโคลนที่ไล่หลังมาไหลเลียบริมหน้าผาตกลงไป

 

 

           “หากตายจริงๆ เล่า” เซี่ยอวิ๋นหลานเอ่ยขึ้น “ตรงนี้เป็นหน้าผาสูงถึงหมื่นจั้ง***[3] ก้นเหวก็คล้ายไม่มีน้ำ”

 

 

           “ไม่มีน้ำก็ไม่ตาย” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง มือของนางจับเขาไว้แน่นตลอดเวลา ถึงแม้อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมที่ใกล้จะถูกเศษหินดินโคลนสูบเข้าไปนางก็ไม่ยอมปล่อยมือ เสื้อกันฝนบนตัวนางขาดไปตั้งแต่กลิ้งตกลงมา ปิ่นบนศีรษะหลุดไปตั้งนานแล้ว ลมพายุฝนกระทบใบหน้าอย่างหนัก เขาเม้มปาก “เหตุใดถึงมั่นใจขนาดนี้”

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่พูดจา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานหลับตาลง ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีก

 

 

           ลมพายุฝนดุจคมดาบก็มิปาน แทบทิ่มแทงลึกถึงกระดูกจนสร้างความเจ็บปวด

 

 

           ขณะใกล้จะกระแทกกับพื้นดินข้างล่าง จู่ๆ เซี่ยอวิ๋นหลานก็รั้งนางเข้ามากอด จากนั้นก็พลิกกายให้ตัวเองเป็นฝ่ายอยู่ข้างล่างแทน

 

 

           เสียง ปั่ก ดังขึ้น ทั้งสองกระแทกลงบนพื้นพร้อมกัน

 

 

           น้ำโคลนสกปรกกระเซ็นทั่วทิศในชั่วพริบตา ทั้งสองตกลงมาในแอ่งน้ำขัง

 

 

           สักพักต่อมาเซี่ยฟางหวาก็ลากเซี่ยอวิ๋นหลานขึ้นจากโคลน สายฝนที่กระหน่ำเทลงมาช่วยล้างโคลนบนตัวให้สะอาด นางพลิกเซี่ยอวิ๋นหลานนอนหงาย มองเขาด้วยความน่ากลัว “พี่อวิ๋นหลาน ตอนนี้ท่านควรบอกข้าได้หรือยัง เหตุใดท่านถึงอยากตายนัก”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานเม้มปาก

 

 

           “ข้าทำลายหินยักษ์ก้อนนั้นด้วยตัวเองได้ แต่ท่านกลับเข้ามาใช้หลังรับแทน พอหินกระแทกหลังท่านแล้ว ด้วยพลังภายในของท่านย่อมไม่อาจหลบโคลนที่กำลังบ้าคลั่งได้ เพราะเหตุใดกัน” เซี่ยฟางหวามองเขา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานก้มหน้าลง ไม่เอ่ยคำใด

 

 

           “หรือท่านไม่รู้ว่า ในเมื่อข้าอยู่ข้างกายย่อมไม่ปล่อยให้ท่านตายโดยเด็ดขาด” เซี่ยฟางหวาจ้องเขม็ง “หรือว่าความจริงแล้วท่านอยากให้ข้าตายไปพร้อมท่านด้วย”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานยังคงเงียบกริบ

 

 

           “ท่านอยากตาย แต่ลืมคิดไปว่าฝนนี้ตกมาสามวันสามคืนแล้ว หุบเขาที่เป็นพื้นที่ต่ำก้นผาเช่นนี้ย่อมสะสมน้ำไว้จนกลายเป็นทะเลสาบ ก้นหน้าผาไร้ซึ่งร่อยรอยการอยู่อาศัยของคน ใบไม้ร่วงโรย ดินโคลนสะสมเป็นเวลานาน จนกลายสภาพเป็นดินเลนทับถมกัน ด้วยฝนตกหนักเช่นนี้แม้ตกลงมาก็มีปลักแอ่งน้ำรองรับ นำพาความตายมาให้ไม่ได้ อย่างมากสุดเราก็แค่บาดเจ็บบ้างเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าเราจะไม่ตายแน่นอน” เซี่ยฟางหวาจ้องเขา “เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่า เหตุใดท่านถึงอยากตายมากขนาดนี้”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานเงียบ

 

 

           “พี่อวิ๋นหลาน ข้าเชื่อใจท่าน เห็นท่านเป็นหนึ่งในครอบครัว แต่ท่านทำกับข้าเช่นนี้หรือ” เซี่ยฟางหวาตาแดงก่ำ เอาแต่จ้องเซี่ยอวิ๋นหลานเขม็ง “ก่อนข้าแต่งงานท่านได้พูดสิ่งใดกับข้าไว้ ตอนนี้ท่านยังจำได้หรือไม่ อย่าบอกว่าท่านลืมมันไปหมดแล้ว หรือว่าถ้อยคำที่พูดออกมาตอนนั้นแท้จริงแล้วโกหกข้า”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานยังคงเงียบ

 

 

           เซี่ยฟางหวายกมือผลักเขาอย่างแรง

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานตัวเซ กระอักเลือดออกมาทันที

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา พบว่าที่ที่เขายืนนั้นเต็มไปด้วยโลหิตกองใหญ่ ก่อนหน้านี้หินยักษ์ก้อนนั้นคงกระแทกโดนแผ่นหลังเขาจนบาดเจ็บ นางเม้มปากแน่นก่อนก้าวขึ้นมา ลากเขาออกจากที่แห่งนี้

 

 

           “ไปไหน” เซี่ยอวิ๋นหลานเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง

 

 

           “เราต้องหาที่หลบฝนแล้วทำแผลให้ท่าน” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานเงียบลงอีกครั้ง

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินเลียบไปตามหุบเขาประมาณสองสามลี้ก่อนจะพบถ้ำแห่งหนึ่ง นางจึงลากเซี่ย

 

 

อวิ๋นหลานเข้าไปในถ้ำ

 

 

           ถ้ำแห่งนี้มีขนาดจุคนได้สามสี่คนเท่านั้น

 

 

           เซี่ยฟางหวาประคองเซี่ยอวิ๋นหลานนั่งลง ข้างนอกฝนยังคงตกหนัก เดิมจึงไม่อาจหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟได้ นางจึงได้แต่เร่งพลังภายในอบเสื้อผ้าของเซี่ยอวิ๋นหลานกับตนให้แห้งก่อน จากนั้นก็ฉีกเสื้อตัวนอกของเขาออก พบว่าแผ่นหลังเขามีเลือดเปื้อนเป็นคราบ

 

 

           นางฉีกชายกระโปรงของตัวเอง ก่อนหยิบยาจากอกเสื้อมาทำแผลให้เขา

 

 

           ระหว่างนั้นเซี่ยอวิ๋นหลานไม่ส่งเสียงใดขึ้นเลย

 

 

           พักต่อมาก็ทำแผลที่แผ่นหลังเขาจนเสร็จ เซี่ยฟางหวาตรวจชีพจรให้ จากนั้นก็ตวัดตามองบริเวณหว่างคิ้วเขา คำสาปเผาใจราวกับใกล้จะกำเริบขึ้นอีกแล้ว มันคลับคล้ายคลับคลาว่ากำลังเต้นตุบ

 

 

           นางหยิบกระบี่ใต้แขนเสื้อมากรีดข้อมือตนเอง ก่อนยื่นไปจ่อริมฝีปากเขา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานเบือนหน้าหลบ

 

 

           “ถึงท่านอยากตายก็อย่ามาตายต่อหน้าข้า” เซี่ยฟางหวาโกรธ

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานตัวแข็ง

 

 

           เซี่ยฟางหวาหันหน้าเขามา บังคับกรอกเลือดเข้าปากเขา

 

 

           กลิ่นยาหอมและกลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งในอากาศเจือจาง ผ่านไปเนิ่นนาน กลุ่มพลังที่ใกล้ปะทุบนหว่างคิ้วของเซี่ยอวิ๋นหลานถึงค่อยสงบลง

 

 

           เซี่ยฟางหวาดึงมือกลับมา ทันใดนั้นก็ตัวอ่อนล้มไปกองกับพื้น

 

 

           “ฟางหวา” เซี่ยอวิ๋นหลานเอื้อมมือไปประคองนาง

 

 

           “อย่ามาแตะต้องข้า” เซี่ยฟางหวากดเสียงต่ำ

 

 

           ฝ่ามือเซี่ยอวิ๋นหลานชะงัก

 

 

           เซี่ยฟางหวาหยุดพักครู่หนึ่งก่อนห้ามเลือดบนข้อมือตนเองก่อน นางไม่ได้ลุกขึ้นยืน หากแต่นอนราบไปกับพื้นอย่างนิ่งสงบ

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานชักมือกลับเชื่องช้า พิงร่างกายเข้ากับหินผาบนกำแพง ใบหน้ามืดครึ้ม

 

 

           ชั่วเวลาหนึ่งไม่มีใครเอ่ยคำใดขึ้นมา

 

 

           ผ่านไปเนิ่นนานเซี่ยฟางหวาก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วมองไปยังเซี่ยอวิ๋นหลาน “หากเป็นเพราะวิชาเผาใจ ข้าจะต้องหาทางถอนมันให้จงได้”      

 

 

           “ข้าอยู่ต่อไปก็ไม่มีความสุข คำสาปเผาใจจะถอนได้หรือไม่ก็หาได้สำคัญขนาดนั้น” เซี่ยอวิ๋นหลานเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าอย่างเข้าใจยาก

 

 

           “ข้าเซี่ยฟางหวาไร้ความสามารถ ทำให้พี่อวิ๋นหลานเป็นได้ถึงเช่นนี้เชียวหรือ ข้าอยู่เขาไร้นามมาตั้งแปดปี เพิ่งกลับเมืองมาได้นานเท่าไร ได้พบท่านนานเท่าไร ท่านก็สาบานแล้วว่าจะไม่เปลี่ยนไป” เซี่ยฟางหวาโกรธจัด ผุดลุกขึ้นยืนทันที

 

 

           “ชาตินี้เจ้าได้พบข้าไม่นาน” เซี่ยอวิ๋นหลานพลันตวัดตามองนาง

 

 

           “ท่าน…หมายความว่าอย่างไร” เซี่ยฟางหวาตกใจ มองหน้าเขาทันที

 

 

           “ความหมายของข้าคือ ข้ามีความทรงจำเมื่อชาติก่อน” เซี่ยอวิ๋นหลานเหม่อมองไปไกลแสนไกล คล้ายหวนนึกถึงความทรงจำ คล้ายเจ็บปวดทรมาน

 

 

           เซี่ยฟางหวาสมองตื้อ ตัวนางสั่นระริกในชั่วพริบตาจนแทบยืนไม่ไหว

 

 

           พี่อวิ๋นหลาน…

 

 

           นึกไม่ถึงว่าเขามีความทรงจำเมื่อชาติก่อน

 

 

           เขามีความทรงจำเมื่อชาติก่อนได้อย่างไร

 

 

           เขา…

 

 

           หัวใจนางพลันจุกแน่น มองเขาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ตัวสั่นระริกอย่างน่ากลัว ไม่เอ่ยคำใดขึ้นอีกเลย

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง ลมฝนนอกถ้ำพัดเข้ามาทำให้ชายแขนเสื้อนางพลิ้วไหว เส้นผมปลิวสยายยุ่งเหยิง เขามองอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าไม่ใช่สตรีบอบบางในชาติก่อนอีกแล้ว แต่เจ้าก็คือเจ้า ต่อให้กลับมาเกิดใหม่อีกชาติ มีบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปเท่าไร แต่หัวใจเจ้ากลับไม่เคยเปลี่ยน”

 

 

           เซี่ยฟางหวาอ้าปากค้าง ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

 

 

           “เจ้าลองคิดดูสิ หากข้าไม่มีความทรงจำเมื่อชาติก่อน ข้าจะยอมให้เจ้าใกล้ชิดข้าตอนที่พบกันครั้งแรกได้อย่างไร” เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง “ไม่ว่าเจ้าเป็นสตรีใสซื่อบริสุทธิ์ไร้พิษภัยหรือเป็นคนเย็นชาที่เหยียบกองกระดูกในเขาไร้นามแล้วปีนกลับขึ้นมา ข้าล้วนรับได้ทั้งนั้น แต่พอเจ้าพบข้าแล้วก็เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ฟางหวา เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าเป็นเพราะเหตุใด”

 

 

           เซี่ยฟางหวามองขา เวลานั้นหน้าซีดขาวจนแทบมองทะลุได้

 

 

           “แรกเริ่มเจ้าเป็นสตรีในหอนอนที่จงใจแสร้งไม่เข้าใจเรื่องราวภายนอกเพื่อตระกูลเซี่ย แม้ข้ารู้ว่าเจ้าแกล้งทำ แต่ตอนนั้นกลับคิดถึงอย่างยิ่ง ต่อมาคำสาปเผาใจกำเริบขึ้น จู่ๆ เจ้าก็ได้ความทรงจำกลับมาบางส่วน จึงแกล้งเปลี่ยนไปอีก กลายเป็นเจ้าที่นิ่งขรึมเย็นชา แต่กับข้าแล้ว เจ้ากลับใกล้ชิดสนิทสนมด้วยอย่างจริงใจ” เซี่ยอวิ๋นหลานกล่าว “ในตอนนั้นข้าทั้งมีความสุขทั้งเสียใจยามมองเจ้า”

 

 

           “เหตุใดท่านถึงไม่บอกข้า” เซี่ยฟางหวาพลันเบือนหน้าหนี ดวงตาแดงก่ำ ข่มอารมณ์เอ่ยขึ้น

 

 

           “เจ้าชอบฉินเจิงไปแล้ว ถึงข้าบอกไปแล้วอย่างไร หรือว่าจะกลับไปเป็นเหมือนชาติก่อน พบกับจุดจบแบบเดิมเช่นนั้นหรือ” เซี่ยอวิ๋นหลานหลับตาลง

 

 

           เซี่ยฟางหวานึกถึงจุดจบของตนกับเซี่ยอวิ๋นหลานเมื่อชาติก่อน เขาที่คำสาปเผาใจกำเริบ นางที่เสียเลือดมากจนตาย ชั่วพริบตานั้นน้ำตาก็เปรอะเปื้อนไปทั่วดวงหน้า

 

 

           “ความปรารถนาดีที่เจ้ามีต่อข้ายังคงอยู่เสมอ แต่ภายในใจเจ้านั้น หากถึงเวลาที่ต้องเลือก ข้าไม่อาจเทียบฉินเจิงได้” เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง “แน่นอนว่าข้าอยากตาย โอกาสเช่นนี้ยากจะได้มา”

 

 

           “ถึงข้าชอบฉินเจิง แม้ออกเรือนกับเขาแล้ว ใครบอกว่าท่านจะไม่อาจพบเจอสตรีที่ชอบได้อีกเลย” เซี่ยฟางหวาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว

 

 

           “ผ่านมาสองชาติ ไม่ว่าเจ้าเป็นเช่นไรก็เอาชนะใจข้าได้เสมอ บนโลกนี้ยังมีสตรีคนใดที่จะลบเจ้าออกไปจากใจข้าแล้วแทนที่ได้อีกหรือ แม้กระทั่งชาตินี้ตอนที่ยังไม่ได้พบเจ้า สตรีคนใดก็ตามที่ข้าเข้าใกล้ด้วยก็ชวนให้รู้สึกรังเกียจจนทนไม่ไหว ฟางหวา ข้าที่เป็นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้ายังมีความสุขกับการใช้ชีวิตได้อีกหรือ”

 

 

เซี่ยอวิ๋นหลานฝืนยิ้ม

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา พลันไร้ถ้อยคำจะโต้แย้ง

 

 

           “ฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดนักพรตจื่ออวิ๋นเจ้าก็รู้ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่นางเกลียดเขามากที่สุดคือสิ่งใด” เซี่ยอวิ๋นหลานมองนาง

 

 

           สมองของเซี่ยฟางหวาปรากฏภาพก่อนฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนแหล่งธัญพืชสิ้นใจ ในตอนนั้นนางกุมมือพวกเขา พร้อมทั้งบอกให้นางถอนหมั้นกับฉินเจิงแล้วออกเรือนกับเขาแทน จากนั้นก็เอ่ยอีกประโยคหนึ่งด้วยเสียงขาดๆ หายๆ ไม่ชัดเจน นางรู้แค่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดนักพรตจื่ออวิ๋น คล้ายกับเกลียดที่เขาทำลายชีวิตเซี่ยอวิ๋นหลาน

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานกลับไม่ให้คำตอบ เปลี่ยนน้ำเสียงเอ่ยขึ้น “เรื่องบางเรื่องไม่รู้จะดีกว่า เพราะไม่รู้ถึงจะมีความสุข” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าไม่รู้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรู้แล้ว”

 

 

           “ท่านคิดว่า จนถึงตอนนี้แล้วข้ายังไม่จำเป็นต้องรู้อีกหรือ” เซี่ยฟางหวามองเขา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นหลานส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องรู้” พูดจบเขาก็พลันยกมือขึ้น ลมวูบหนึ่งพัดม้วนมาทางเซี่ยฟางหวา

 

 

           เซี่ยฟางหวากำลังจะหลบด้วยสัญชาตญาณ ทว่าก็หลบไม่ทันเสียแล้ว เบื้องหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำมืด ก่อนวูบล้มลงไปกองกับพื้น

 

 

 

 

*ฉื่อ คือหน่วยวัดของจีน โดย 1 ฉื่อ = 22.7 – 23.1 เซนติเมตร

 

 

**เวลาหนึ่งก้านธูป หรือเวลาประมาณ 15 นาที

 

 

***จั้ง คือหน่วยวัดความยาว โดย 1 จั้ง = 3.33 เมตร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด