จารใจรัก 107-1 ฮ่องเต้สวรรคต

Now you are reading จารใจรัก Chapter 107-1 ฮ่องเต้สวรรคต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฝ่าบาทวางพระทัยเถิด พวกกระหม่อมจะอุทิศตัวเองตราบจนลมหายใจสุดท้าย ทุ่มเทกำลังช่วยเหลือรัชทายาทสืบทอดรากฐานหนานฉินต่อไปถึงพันปีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหว ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน ผู้ตรวจการและคนอื่นๆ ต่างส่งเสียงรับรองด้วยความเศร้าใจ

 

 

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ เลื่อนสายตาออกจากทุกคน ท้ายที่สุดแล้วก็หยุดลงบนกายพระชายาอิงชินอ๋อง

 

 

พระชายาอิงชินอ๋องขยับมุมปาก ม่านน้ำตาเอ่อคลอ บอกกับพระองค์อย่างไร้สุ้มเสียง “ข้ามิเคยโทษท่าน เพียงแต่เราไร้วาสนาต่อกันเท่านั้นเอง ท่าน…ไปดีเถิด”

 

 

ฮ่องเต้ทรงแย้มสรวล พระหัตถ์ตกลง เปลือกพระเนตรค่อยๆ ปิดลง มิส่งเสียงใดอีกเลย

 

 

ฉินอวี้เดินเข่าเข้ามา ยื่นมือเขย่าพระองค์ ตะโกนขึ้นด้วยความเสียใจ “เสด็จพ่อ!”

 

 

“เสด็จพ่อ!” ฉินชิงเองก็ตะโกนขึ้นตาม

 

 

“ฝ่าบาท!” ฮองเฮาโถมเข้าหาพระวรกายฮ่องเต้แล้วกรรแสงออกมา

 

 

ทุกคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน พบว่าพระพักตร์ฮ่องเต้สงบเยือกเย็นดุจกำลังบรรทมก็มิปาน ทว่าไร้ลมหายใจโดยสิ้นเชิง ต่างพากันหมอบกับพื้นแล้วร่ำไห้

 

 

ตลอดชีวิตของฉินฉีมีหลายสิ่งที่น่าเสียดาย ทว่าต้องยอมรับว่า พระองค์นอกจากควบคุมตระกูลเซี่ยทุกย่างก้าวและแสวงหาลาภยศแล้ว ความจริงก็มิใช่จักรพรรดิธรรมดาเช่นกัน ช่วงแรกที่ราชาภิเษกก็ทรงผลักดันนโยบายมากมายอันเป็นประโยชน์ต่อราษฎร ทั้งรู้จักบริหารคนมีความสามารถจากหลายท้องที่ ยินดีรับฟังคำแนะนำติเตียนอย่างจงรักภักดี มิเคยบูรณะตำหนักราชนิเวศน์หรือก่อสร้างเป็นการใหญ่โต วัยชราแม้มีอารมณ์ฉุนเฉียวบ่อย ทว่าก็มิเคยลอบทำร้ายผู้ที่ซื่อสัตย์ ในราชสำนักไร้ซึ่งคนทรยศต่อแผ่นดินอย่างแท้จริง เป็นจักรพรรดิที่ในพระราชหฤทัยมีแต่ลูกหลานราษฎร

 

 

พระองค์ทรงมีชีวิตต่อไปได้นานกว่านี้แท้ๆ มิใช่ถูกโรคภัยโจมตี หากแต่ถูกภายในจิตใจตนเองโจมตี

 

 

เนิ่นนานจากนั้น ฉินอวี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าท่ามกลางเสียงร้องไห้ระงม

 

 

“กระหม่อมคารวะฮ่องเต้องค์ใหม่!” อิงชินอ๋องกับพวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาเป็นผู้นำ ต่างลุกขึ้นยืนแล้วหมอบตัวลงก้มกราบอีกครั้ง

 

 

ฉินอวี้มีนัยน์ตาแดงก่ำ มองทุกคนด้วยหน้าตาโศกเศร้า ก่อนยกมือบอกด้วยเสียงแหบพร่า “ใต้เท้าทุกท่านลุกขึ้นเถิด เสด็จพ่อจากไปแล้ว คำสั่งสุดท้ายของพระองค์เรามิกล้าฝ่าฝืน เราจะมุ่งมั่นสร้างสันติสุข ปกครองหนานฉินอย่างเต็มที่ นับจากนี้ต้องพึ่งพาใต้เท้าทุกท่านแล้ว” ตรัสจบก็ก้าวขึ้นมา ประคองอิงชินอ๋องขึ้น “ท่านลุง นับจากวันนี้ท่านเป็นอ๋องช่วยบริหารแผ่นดิน เมื่อพบเรา ละเว้นให้มิต้องคุกเข่า”

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” อิงชินอ๋องลุกขึ้นด้วยความเศร้าใจ

 

 

“ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี!” เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวคำนับ

 

 

ฉินอวี้มีคำสั่งให้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วเมือง ลั่นระฆังในหกตำหนัก เพื่อเป็นการแสดงความไว้อาลัยจึงสั่งให้สร้างศาลเซ่นไหว้นอกตำหนักบรรทม และเตรียมจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพ

 

 

เสียงระฆังบอกการสวรรคตของฮ่องเต้ดังขึ้น ความเศร้าโศกปกคลุมทุกหย่อมหญ้า

 

 

หลังเซี่ยฟางหวาออกจากตำหนักบรรทมฮ่องเต้โดยมีซื่อฮว่ากับซื่อม่อประคอง มาถึงตำหนักของฉินอวี้แล้วก็มิได้รีบพักผ่อนในทันที หากแต่จุดตะเกียงนั่งริมหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก

 

 

ภายในตำหนักของฉินอวี้มิได้มีพืชพรรณดอกไม้มากนัก มีเพียงต้นกุ้ย [1] * ไม่กี่ต้น เพราะยังไม่ถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้นจึงปราศจากกลิ่นหอมดอกไม้

 

 

ต้นกุ้ยมิได้ถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อยแบบพืชพรรณดอกไม้ในวังหลวง แม้เจริญเติบโตตามใจชอบและยุ่งเหยิง แผ่กิ่งก้านอย่างไร้กฎเกณฑ์ ค่อนไปทางสะเปะสะปะ ทว่าดูแล้วกลับชวนสบายตาอย่างมาก

 

 

ห้องห้อองนี้มิใช่ตำหนักหลักที่ฉินอวี้พำนัก แต่เป็นปีกตำหนักในตำหนักบรรทมของเขา

 

 

เซี่ยฟางหวานั่งในตำหนักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงลั่นระฆังหกตำหนักดังขึ้น

 

 

ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองเซี่ยฟางหวาด้วยความตกใจ ก่อนกล่าวเสียงเบา “คุณหนู ระฆังดังขึ้นแล้ว หรือว่าเป็นฝ่าบาท…”

 

 

“ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

“มิใช่บอกว่ายามอู่พรุ่งนี้หรือเจ้าคะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อสับสน

 

 

เซี่ยฟางหวามองนอกหน้าต่างพลางเอ่ยขึ้น “คนจะตายเมื่อไรมีหรือจะกำหนดได้แม่นยำ เดิมพระองค์สามารถยื้อชีวิตไปถึงยามอู่พรุ่งนี้ ทว่าเมื่อจิตใจผ่อนคลาย โทสะมลายหาย ก็สามารถจากไปได้ตลอดเวลา”

 

 

ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้า “เช่นนั้น…ท่านยังไปข้างหน้าหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“ไม่ไป” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

“คุณหนู ท่านเหนื่อยแล้ว มิเช่นนั้นก็พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อถามเสียงเบา

 

 

เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า “หากพวกเจ้าเหนื่อยแล้วก็ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

 

 

“บ่าวสองคนมิเหนื่อย หากคุณหนูมิเหนื่อย พวกเราก็จะอยู่กับท่าน” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อส่ายหน้า ก่อนกล่าวขึ้นอีก “ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว จะต้องแต่งตั้งรัชทายาทเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่กระมัง”

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

“หากรัชทายาทราชาภิเษก แล้วจากนี้ท่าน…” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อกัดริมฝีปาก ประโยคครึ่งหลังกลืนกลับลงไประหว่างที่เห็นสีหน้าเรียบเฉยของเซี่ยฟางหวา

 

 

เซี่ยฟางหวามิได้ตอบทั้งสอง และมิได้เอ่ยคำใดคล้ายมิได้ยิน พลางมองไปนอกหน้าต่าง

 

 

เสียงระฆังดังทั่ววังหลวง แพร่ออกไปนอกวัง กระทั่งปกคลุมทั่วเมืองหลวง

 

 

บรรดาคนในครอบครัวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ต่างๆ ในเมืองหลวงที่มิได้เข้าวังหลวงไปด้วยทราบข่าวแล้ว ต่างตื่นขึ้นด้วยความตระหนกตกใจกลางดึก โคมไฟทุกจวนสว่างขึ้นชั่วพริบตา

 

 

จวนใหญ่อื่นๆ ส่งคนไปสืบข่าวในวังหลวงก่อน เมื่อทราบข่าวว่าฝ่าบาทสวรรคตและทรงแต่งตั้ง

 

 

รัชทายาทเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ ขุนนางในราชสำนักต่างรีบร้อนเข้าวัง สตรีมียศเองก็เข้าวังด้วยเช่นกัน

 

 

ภายในจวนเสนาบดีฝ่ายซ้าย ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายรีบแต่งกายให้เรียบร้อย นางมีฐานะเป็นสตรีที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ ดังนั้นย่อมต้องเข้าวังด้วย ขณะที่ข้ามธรณีประตูออกมาก็พบกับ

 

 

หลูเสวี่ยอิ๋งพอดี

 

 

“อิ๋งเอ๋อร์” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงัก

 

 

หลังหลูเสวี่ยอิ๋งตกใจตื่นเพราะเสียงระฆังก็รีบลุกขึ้น หลังเหตุการณ์ที่นางถูกฉินอวี้ทรมานจนแท้งก็อยู่พักรักษาตัวที่จวนตลอดเวลา ยามนี้อาการบาดเจ็บได้รับการพักฟื้นแล้ว ดีขึ้นเจ็ดแปดส่วน เมื่อได้ยินเสียงระฆังก็ไตร่ตรองพักหนึ่ง ก่อนแต่งกายด้วยอาภรณ์สีขาว ทราบดีว่าฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเข้าวังด้วยจึงรีบมาหา กล่าวกับฮูหยินว่า “ท่านแม่ ข้าก็จะเข้าวังกับท่านด้วย”

 

 

“เจ้าจะเข้าวังด้วยหรือ” ฮูหยินมองนาง “ร่างกายเจ้า…”

 

 

“ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว เข้าวังได้มิเป็นปัญหา” หลูเสวี่ยอิ๋งตอบ

 

 

“แต่ว่า…หากพบฉินห้าวเล่า” ฮูหยินมองนาง

 

 

“พบก็พบเถิด ข้ามิอาจซ่อนตัวในจวนเสนาบดีเลี่ยงการพบเขาไปตลอดชีวิตได้ ตอนนี้ยังข้าเป็นสะใภ้คนโตของจวนอิงชินอ๋อง อดีตฮ่องเต้คือเสด็จอา ตอนนี้ร่างกายข้าดีขึ้นมากแล้ว หากมิไป วันข้างหน้าถ้ามีคนหยิบเอาเรื่องนี้มาประณามท่านพ่อ มีหรือจะมิทำให้ท่านพ่อลำบาก” หลูเสวี่ยอิ๋งตอบ

 

 

ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้ารับ “เช่นนั้นก็ได้ เจ้าเข้าวังไปพร้อมข้าแล้วกัน เจ้าเป็นลูกสะใภ้จวนอิงชินอ๋อง ตามกฎราชนิกุลแล้ว ในเมื่อเข้าวัง เจ้าก็ต้องไว้ทุกข์เพื่อร่วมพระราชพิธีพระบรมศพ เพียงแต่หากเจ้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมาก็รีบบอกแม่ แม่ช่วยขอพระประสงค์ให้เจ้ากลับมาพักผ่อนก่อน สิ่งใดก็มิสำคัญเท่าร่างกาย”

 

 

“ลูกทราบแล้ว” หลูเสวี่ยอิ๋งพยักหน้า

 

 

สองแม่ลูกออกจากจวนเพื่อเข้าวังไปด้วยกัน

 

 

ภายในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ฮูหยินลุกขึ้นมาแต่งกายให้เรียบร้อยเมื่อได้ทราบข่าวด้วยเช่นกัน ขณะข้ามธรณีประตูออกมาก็พลันนึกถึงหลี่หรูปี้จึงรีบเดินไปยังเรือนของนางโดยด่วน

 

 

หลังหลี่หรูปี้ได้ยินเสียงระฆังก็ลุกขึ้นมาแล้วเช่นกัน ทว่ายังมิได้แต่งตัว

 

 

เมื่อฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามาถึง ข้ามธรณีประตูเข้ามา พบว่าหลี่หรูปี้ยังนั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าเหม่อลอย นางรีบขมวดคิ้วกล่าว “ปี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ฝ่าบาทสวรรคตแล้ว เจ้าได้ยินเสียงระฆังหรือยัง รีบเข้าวังไปพร้อมข้าเร็ว”

 

 

“ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าเซี่ยฟางหวากลับมาถึงตอนค่ำเมื่อวาน ตอนนี้อยู่ในวังหลวง” หลี่หรูปี้เงยหน้าขึ้น

 

 

ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาชะงัก “เจ้าคิดว่านางทำอันใด”

 

 

“ฟังว่านางกลับมาพร้อมรัชทายาท หลังเข้าวังไปก็ติดตามรัชทายาทไปยังตำหนักบรรทมของฝ่าบาทด้วยกัน” หลี่หรูปี้กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “กล่าวเช่นนี้ ระหว่างนางกับรัชทายาทเป็นความจริงหรือ”

 

 

“จนป่านนี้แล้ว ไฉนเจ้ายังคิดถึงเรื่องนี้อีก รีบออกไปพร้อมข้า” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาถลึงตามอง

 

 

หลี่หรูปี้ลุกขึ้นยืน แต่งกายอย่างเชื่องช้า “รัชทายาทอยากอภิเษกสมรสกับเซี่ยฟางหวาตลอดมา ตอนนี้เซี่ยฟางหวากลับมาแล้ว มิได้กลับจวนจงหย่งโหว และมิได้กลับจวนอิงชินอ๋อง หากแต่ตรงไปยังวังหลวง ใช่หมายความว่า บางทีหลังจากนี้นางจะไม่ออกจากวังหลวงแล้วหรือไม่”

 

 

“นางจะเป็นเช่นไรก็เรื่องของนาง ก่อนสวรรคตอดีตฮ่องเต้ทรงโปรดเจ้ามาก ด้วยเหตุผลนี้เจ้าก็ควรเข้าวังไปแสดงความไว้อาลัยด้วย ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นเลย อย่ามัวโอ้เอ้” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาจนปัญญา

 

 

“ฉินเจิงยังมิกลับมาใช่หรือไม่ เขามิได้พบพระพักตร์ฝ่าบาทเป็นครั้งสุดท้ายหรือ” หลี่หรูปี้ถามอีก

 

 

ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเผยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนตำหนิด้วยโทสะ “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ยังคิดถึงเขาอยู่อีกใช่หรือไม่ หลายวันนี้ที่เจ้าสงบจิตไปก็เอาแค่คิดเรื่องนี้หรือ เจ้าขึ้นจากขุมนรกของเขามิได้ใช่ไหม เจ้าจะทำให้แม่โมโหจนตายเลยรึ”

 

 

หลี่หรูปี้ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบเสียงลง “ท่านแม่อย่าโกรธ ข้าจะตามท่านเข้าวัง”

 

 

ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามองนาง ยังเป็นบุตรีตระกูลใหญ่ที่มีอากัปกิริยาเพียบพร้อมแท้ๆ ทว่ากลับมิใช่บุตรีที่นางเคยโปรดปรานเมื่อก่อนอีกแล้ว มุ่งเข้าหาทางตันมิยอมออกมา ตนมิรู้ว่าจะช่วยนางอย่างไรดี ชั่วเวลานั้นทั้งโกรธทั้งโมโห ทว่าก็พาลออกมามิได้ นางจึงหันหลังเดินออกไป

 

 

หลังหลี่หรูปี้แต่งกายเรียบร้อยแล้วก็ตามฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาออกมา สองแม่ลูกมิได้สนทนากันอีก ออกจากจวนมุ่งหน้าเข้าวังหลวงไปด้วยกัน

 

 

ทางจวนองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่กับจินเยี่ยนทราบข่าวก็รีบเข้าวังทันที

 

 

 

 

[1]   *ต้นกุ้ย ไม้ยืนต้นเขียวตลอดปี มีดอกสีเหลืองและขาวที่หอมมาก ตัวใบนำมาใช้ทำเป็นเครื่องหอมได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด