จารใจรัก 94 ผลงานของฟางหวา

Now you are reading จารใจรัก Chapter 94 ผลงานของฟางหวา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

        ฉินอวี้ทำการค้นตัวบุรุษชุดดำที่ถูกสังหารหลังการสู้รบจบลงภายในช่องแคบรอบหนึ่ง ได้ป้ายคำสั่งสีดำและสมุดบันทึกสีดำกลับมา ส่วนของจำพวกยาพิษอื่นๆ มิได้เก็บกลับมาด้วย จากนั้นก็จุดไฟเผาศพทั้งหมด 

 

 

           หลังเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี้ก็ใช้วิชาตัวเบาตามเซี่ยอวิ๋นจี้กับเหยียนเฉินไป 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้อุ้มเซี่ยฟางหวาออกจากช่องแคบ อุ้มเดินไปได้สิบลี้ จากนั้นก็ยัดเยียดนางให้เหยียนเฉินเป็นคนอุ้มต่อ “สลับกัน เจ้ามาอุ้มแทน” 

 

 

           “ข้ากับนางไม่ควรใกล้ชิดกันด้วย” เหยียนเฉินเลิกคิ้ว 

 

 

           “ประโยคนั้นแค่พูดให้ฉินอวี้ฟัง เจ้านำมาเปรียบเทียบทำไมกัน จะอุ้มหรือไม่” เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา 

 

 

           เหยียนเฉินหลุดยิ้ม รับตัวเซี่ยฟางหวาไปอุ้มแทน 

 

 

           เขาเพิ่งอุ้มเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ฉินอวี้ก็ไล่ตามมาจากข้างหลัง 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้เดินตัวปลิว หันไปเห็นว่าฉินอวี้ตามมาทันแล้วจึงเลิกคิ้ว “เร็วถึงเพียงนี้รัชทายาทก็จัดการเสร็จสิ้นแล้วหรือ” 

 

 

           ฉินอวี้พยักหน้า เห็นเหยียนเฉินอุ้มเซี่ยฟางหวาที่หมดสติก็ไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           “ได้เบาะแสหรือไม่” เซี่ยอวิ๋นจี้กอดไหล่เขา เอ่ยถามอย่างเป็นมิตร “หากมีของดีก็อย่าเก็บไว้คนเดียวเลย พี่ชายเองก็อุตส่าห์ช่วยเหลือด้วย สังหารปีศาจนั้นตายไปก็เป็นคุณงามความดีข้าด้วยเช่นกัน” 

 

 

           ฉินอวี้ปัดมือเขาออก ก่อนยื่นสมุดบันทึกสีดำให้เขา 

 

 

           “นี่คืออะไร” เซี่ยอวิ๋นจี้รับมาแล้วเอ่ยถาม 

 

 

           “ข้ายังไม่ได้อ่าน” ฉินอวี้ส่ายหน้า 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้เปิดออก อาศัยมุกราตรีเพิ่มแสงสว่าง พบว่าข้างในเป็นเพียงกระดาษเปล่าขาวโพลน เขาแค่นหัวเราะขึ้น “นี่ไม่ใช่กระดาษเปล่าหรอกหรือ ไว้ใช้ทำสิ่งใด” 

 

 

           “ไม่แน่ว่าเป็นกระดาษเปล่า” เหยียนเฉินหันมามอง 

 

 

           “สิ่งที่ค้นเจอบนตัวปรมาจารย์ พกติดตัวตลอดเวลาเช่นนี้ จะเป็นแค่กระดาษเปล่าธรรมดาหรือ” 

 

 

ฉินอวี้กล่าว “ข้าไม่เชื่อ” 

 

 

           “ก็จริง” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า ก่อนยึดเก็บเข้าอกเสื้อตนเองโดยพลการ “กลับไปข้าจะศึกษาดู” 

 

 

           ฉินอวี้แย้มยิ้ม มิได้ว่าอันใดที่เขานำไปเก็บไว้เอง 

 

 

           ทั้งสามกลับมาถึงเมืองหลินอันอย่างปลอดภัย 

 

 

           กลางดึก ในเมืองหลินอันจุดไฟสว่างโร่ ทุกหนแห่งมีแต่เสียงผู้คน ดูวุ่นวายอย่างยิ่ง 

 

 

           ทหารอารักขาเมืองเห็นว่าเป็นฉินอวี้ก็ตกใจครู่หนึ่ง ก่อนรีบเปิดประตูเมืองให้แล้วคุกเข่าถวายบังคม 

 

 

           “สมุนไพรดำม่วงมาถึงหรือยัง” ฉินอวี้ถาม 

 

 

           “ทูลองค์รัชทายาท สมุนไพรดำม่วงมาถึงเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ถูกส่งไปยังจวนผู้ว่าการแล้ว ท่านโหวเซี่ยออกคำสั่งประกาศทั่วเมืองว่าขอให้รอหน้าบ้านของตน เมื่อรัชทายาทกับคุณชายหมอเทวดากลับมาจะทำการปรุงยา เมื่อต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทหารจะนำไปแจกจ่ายให้ทีละครัวเรือน เพื่อมิให้ทุกคนแย่งกรูกัน สร้างความวุ่นวายขึ้นอีก” คนผู้นั้นรีบกล่าว “สมุนไพรดำม่วงมาถึงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากต้มตอนนี้ ก่อนยามอู่วันพรุ่งนี้ ประชาชนทุกคนในเมืองหลินอันก็จะได้ดื่มยารักษาโรคห่า วิกฤตการณ์ในเมืองก็จะคลี่คลายพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

           “เช่นนี้ก็ดี” ฉินอวี้ดีใจ กล่าวกับเหยียนเฉินและเซี่ยอวิ๋นจี้ “ไปกันเถอะ เข้าข้างในกัน” 

 

 

           เหยียนเฉินพยักหน้า 

 

 

           ทั้งสามเข้าไปในเมืองด้วยกัน มุ่งหน้าไปยังจวนผู้ว่าการ 

 

 

           บนถนนมีเหล่าประชาชนรออยู่ตลอดสองข้างทาง เมื่อเห็นฉินอวี้ต่างก็รีบคุกเข่า “ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ตามหาสมุนไพรดำม่วงกลับมาช่วยพวกเราได้” 

 

 

           ฉินอวี้ยกมือปราม ชี้ไปยังเซี่ยฟางหวาที่เหยียนเฉินกำลังอุ้มอยู่ “ผู้ที่หาสมุนไพรดำม่วงจำนวนมากได้มิใช่ข้า แต่เป็นคุณหนูฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหว นางช่วยข้าไว้เช่นกัน เพราะการตามหาสมุนไพรดำม่วง ยามนี้จึงได้รับบาดเจ็บสาหัส เมื่อทุกคนหายขาดจากโรคห่าแล้วค่อยมาขอบคุณนางเถอะ” 

 

 

           “ที่แท้เป็นคุณหนูฟางหวา” 

 

 

           “คุณหนูฟางหวาเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาโปรด” 

 

 

           “บุญคุณอันใหญ่หลวง เราทุกคนในเมืองหลินอันมิอาจลืมเลือน” 

 

 

           “ขอให้อาการบาดเจ็บของคุณหนูฟางหวาหายโดยเร็ววัน” 

 

 

           … 

 

 

           ทุกคนมองเห็นเซี่ยฟางหวาที่ถูกเหยียนเฉินอุ้มไว้ได้อย่างชัดเจน ต่างคนต่างกล่าวสรรเสริญ เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง 

 

 

           ถ้อยคำยกย่องสรรเสริญดังขึ้นตลอดทางไปจนถึงจวนผู้ว่าการ 

 

 

           เซี่ยม่อหานได้ยินว่าฉินอวี้ เหยียนเฉิน เซี่ยอวิ๋นจี้ และเซี่ยฟางหวากลับมา ทั้งทราบว่าเซี่ยฟางหวาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงรีบออกมารอรับที่หน้าประตู 

 

 

           “พี่จื่อกุย” ฉินอวี้เห็นเซี่ยม่อหานก็ประสานมือคำนับเป็นการขอโทษ “ฟางหวาบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ” 

 

 

           เซี่ยม่อหานโล่งอก เห็นเซี่ยฟางหวาที่หมดสติในอ้อมอกเหยียนเฉินแล้วเช่นกัน รีบรับมาอุ้มเอาไว้เอง พลางกล่าวบอกเหยียนเฉิน “ประชาชนในเมืองกำลังรอเจ้าอยู่ พวกชูฉือ ชิงเหยียน และชิงเกอแม้มีวิชาแพทย์เบื้องต้น แต่กับโรคห่าระบาดนั้นล้วนไม่กล้าเขียนเทียบยาโดยพลการ” 

 

 

           “เข้าข้างในก่อน ข้าจะเขียนเทียบยาให้ฟางหวา อาการบาดเจ็บของนางแม้ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่ก็ค่อนข้างน่าเป็นห่วง รีบดื่มยาโดยเร็วจะดีกว่า จะได้ห้ามเลือดที่หัวใจนาง” เหยียนเฉินบอก 

 

 

           เซี่ยม่อหานพยักหน้า 

 

 

           ทุกคนพากันเข้าไปในห้องรับรอง 

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ทั้งยังบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป ทุกคนล้วนมีเบ้าตาแดงก่ำ รีบเข้ามาช่วยกางกระดาษและฝนหมึกให้ 

 

 

           เหยียนเฉินเขียนเทียบยาให้เซี่ยฟางหวาอย่างรวดเร็ว ก่อนยื่นให้ซื่อฮว่ากับซื่อม่อนำออกไป 

 

 

           เหยียนเฉินเขียนเทียบยารักษาโรคห่าอีกแผ่นหนึ่งส่งให้ฉินอวี้ 

 

 

           หลังฉินอวี้รับไปมองก็อ่านแวบหนึ่ง ก่อนส่งให้เซี่ยม่อหานแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าตรวจทานดู ไม่ขาดเหลือสมุนไพรชนิดอื่นแล้วใช่ไหม” 

 

 

           เซี่ยม่อหานรีบไปอ่านดูรอบหนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่ขาดสมุนไพรอื่นแล้ว หลายวันก่อนเมื่อเหยียนเฉินศึกษาหายารักษาโรคห่าสำเร็จก็ได้บอกสมุนไพรชนิดอื่นที่สำคัญรองจากสมุนไพรดำม่วงกับข้า ข้าให้คนจัดเตรียมเอาไว้แล้ว ตอนนี้สมุนไพรที่เหลือถูกเก็บไว้ที่คลังเก็บของในศาลาว่าการ แค่ให้คนไปย้ายออกมาก็พอแล้ว” 

 

 

           “หลายวันนี้เจ้าต้องรักษาการเมืองหลินอันแทนคงเหนื่อยแย่แล้ว ข้าจะไปกำกับดูแลเร่งต้มยาด้วยตัวเอง เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” ฉินอวี้ผงกศีรษะแล้วกล่าวบอกเซี่ยม่อหาน 

 

 

           “แม้สมุนไพรดำม่วงมาถึงแล้วก็ยังเกียจคร้านมิได้ จนกว่าประชาชนที่ติดโรคห่าในเมืองจะได้รับการรักษาแล้วถึงสบายใจได้อย่างแท้จริง หากมีคนฉวยโอกาสที่กำลังต้มยารักษาก่อเหตุขึ้นอีก หากเกิดอะไรขึ้น ที่ทำมาก็สูญเปล่า ข้าจะไปดูแลกำกับกับท่านด้วย” เซี่ยม่อหานส่ายหน้า 

 

 

           “ตอนเดินทางกลับ ข้าได้ยินพี่อวิ๋นจี้บอกว่าเจ้าก็ติดโรคห่าแล้วด้วย ร่างกายเจ้ารับไหวหรือ” ฉินอวี้เห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายย่ำแย่มาก 

 

 

           “ไหว รัชทายาทวางใจเถิด” เซี่ยม่อหานตอบ 

 

 

           “เช่นนั้นก็ได้ เรารีบไปกันเถอะ ตั้งแต่วางหม้อ ต้มยา กระทั่งนำออกไปแจกจ่าย ทุกขั้นตอนจำต้องมีคนจับตามอง” ฉินอวี้พยักหน้า 

 

 

           “มิผิด ต้องเป็นคนของเราเท่านั้นด้วย ขุนนางในเมืองหลินอันมีคนเป็นสายสอดแนมให้ผู้อยู่เบื้องหลัง ตอนสมุนไพรดำม่วงมาถึง ข้าเพิ่งได้รับรายงานว่า หนึ่งในขุนนางที่ถูกท่านหญิงเหลียนขังไว้ที่โถงประชุมเสียชีวิตด้วยโรคห่ากำเริบ สรุปได้ว่าพวกขุนนางใช้งานมิได้ อย่าใช้งานเลยจะดีกว่า” เซี่ยม่อหานกล่าว 

 

 

           “หลังคลี่คลายโรคห่าระบาดได้แล้ว ขุนนางทั้งหมดในเมืองหลินอันจำต้องถูกลงโทษขั้นเด็ดขาด และอบรมสั่งสอนวิถีขุนนางใหม่” ฉินอวี้หรี่ตาลง 

 

 

           “หากไม่ใช่ว่าผู้ว่าการเมืองหลินอันจงใจปิดบังก่อนหน้านี้ หากเราทราบข่าวได้ทันกาล เตรียมการป้องกันรับมือแต่เนิ่นๆ เมืองหลินอันคงไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นตอนนี้ ครั้งนี้ในเมื่อองค์รัชทายาทอยู่ที่หลินอันแล้ว เพื่อให้ขุนนางมีมาตรฐานกฎเกณฑ์เดียวกัน จำต้องอบรมสั่งสอนใหม่” เซี่ยม่อหานพยักหน้า 

 

 

           ฉินอวี้ผงกศีรษะ หันกลับไปมองพวกซื่อฮว่าที่ยืนล้อมเตียงเซี่ยฟางหวาอยู่พร้อมเอ่ยกำชับ “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ อย่าออกห่างแม้แต่ก้าวเดียว ดูแลนางให้ดี อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเด็ดขาด” 

 

 

           “รัชทายาทวางพระทัยเถิด พวกหม่อมฉันย่อมต้องดูแลคุณหนูให้ดีแน่นอน มิกล้าถอยห่างไปไหนแม้แต่ครึ่งก้าวอีกแล้ว” พวกซื่อม่อรีบกล่าว 

 

 

           ฉินอวี้ผงกศีรษะ เอ่ยบอกเซี่ยม่อหาน “ไปกันเถอะ รีบออกไปดีกว่า” 

 

 

           เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วมองไปยังเหยียนเฉิน เขาผงกศีรษะรับ ทั้งสามออกไปจากห้องรับรองด้วยกัน 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้มิได้ตามออกไปด้วย เขามิได้สนใจเรื่องการตั้งหม้อ ต้มยา นำไปแจกจ่าย หรือรักษาโรคห่าอันใดทั้งนั้น สิ่งที่เขาสนใจคือสมุนบันทึกสีดำที่นำมาจากฉินอวี้ต่างหาก 

 

 

           เขารอจนทุกคนออกไปหมดแล้วจึงหยิบสมุดบันทึกสีดำเล่มนั้นออกมา จากนั้นก็นั่งลงหน้าโต๊ะ หยิบตะเกียงมาส่อง มองอยู่เป็นนานก็มิได้ความ จึงสั่งงานซื่อม่อ “ไปนำตะเกียงมาเพิ่มหน่อย” 

 

 

           ซื่อม่อขานรับ ก่อนไปหยิบตะเกียงมาเพิ่ม 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้วางตะเกียงขนาบทั้งซ้ายขวา แสงสว่างเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เขาเปิดสมุดสีดำพลิกมองอีกครั้ง 

 

 

           มองอยู่นานก็ยังมองไม่ออก ทราบเพียงหน้าปกเป็นหนังวัวสีดำ ข้างในเป็นกระดาษฟางสีขาวเหลือง 

 

 

           เขาวางสมุดลงด้วยความท้อแท้ กวักมือเรียกพวกซื่อม่อมา “มานี่ซิ พวกเจ้าช่วยข้าดูหน่อยว่าสมุดสีดำเล่มนี้มีความลับอันใด” 

 

 

           พวกซื่อม่อได้ยินเช่นนั้นก็เดินมาหา หยิบขึ้นมาพินิจดู 

 

 

           มองอยู่เนิ่นนาน ซื่อม่อก็ส่ายหน้า 

 

 

           ผิ่นจุ๋ลูบเนื้อกระดาษฟาง เอ่ยขึ้นด้วยความฉงน “นี่มิคล้ายกระดาษฟาง คล้ายกับ…” 

 

 

           “คล้ายสิ่งใด” เซี่ยอวิ๋นจี้จ้องนางแล้วเอ่ยถาม 

 

 

           “คล้ายหนังมนุษย์” ผิ่นจู๋กระซิบบอก 

 

 

           “อะไรนะ” เซี่ยอวิ๋นจี้ขึ้นเสียงสูงพลางมองผิ่นจู๋ 

 

 

           “คุณชายอวิ๋นจี้ ท่านคงทราบว่าบ่าวเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม ดังนั้นเพื่อประดิษฐ์หน้ากากอันสมบูรณ์แบบแล้ว จำต้องศึกษาวัสดุในการแปลงโฉมทุกชนิดอย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัสดุที่ยอดเยี่ยมสำหรับการทำหน้ากากแปลงโฉมก็คือหนังมนุษย์ เพราะทั้งบางและสวมใส่ง่าย เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง” ผิ่นจู๋รีบกล่าว 

 

 

           “เจ้าบอกว่า…นี่คือหนังมนุษย์” เซี่ยอวิ๋นจี้ใช้ปลายนิ้วคีบกระดาษขาวที่เริ่มเหลืองพร้อมเลิกคิ้วถาม 

 

 

           “น่าจะทำจากเศษฟางผสมกับหนังมนุษย์เจ้าค่ะ ดังนั้นเนื้อกระดาษแบบนี้เมื่อลูบดูแล้วจึงมิได้หยาบเหมือนกระดาษฟางขนาดนั้น ค่อนข้างเหนียวและทนทาน” ผิ่นจู๋กล่าว 

 

 

           “จริงด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้ลองลูบดู 

 

 

           พวกซื่อม่อก็ยื่นมือมาสัมผัสดูเช่นกัน 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้มองไปยังผิ่นจู๋อีกครั้ง แสดงท่าทางราวกับค้นพบเรื่องน่าสนุก เอ่ยขึ้นด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าลองดูอีกครั้ง ยังพบสิ่งใดอีกบ้าง พอจะทราบหรือไม่ว่าข้างในนี้ซ่อนความลับใดไว้” 

 

 

           ผิ่นจู๋พยักหน้า หยิบสมุดสีดำขึ้นมาศึกษาอย่างละเอียดอีกครั้ง เนิ่นนานก็ส่ายศีรษะ “บ่าวมองสิ่งอื่นไม่ออกแล้ว แต่ในเมื่ออุตส่าห์ใช้เวลาประดิษฐ์กระดาษอันประณีตเช่นนี้ขึ้นมา ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน” 

 

 

           “มองไม่ออกแล้วจริงหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้มองนาง 

 

 

           “มองไม่ออกแล้วเจ้าค่ะ” ผิ่นจู๋ส่ายหน้า 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้ท้อใจ 

 

 

           ผิ่นจู๋ครุ่นคิดก่อนหันไปมองที่เตียงแวบหนึ่ง เซี่ยฟางหวายังคงมิได้สติ นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “วิชาแปลงโฉมของคุณหนูยอดเยี่ยมกว่าบ่าวมาก หากคุณหนูฟื้นแล้วเห็นสมุดเล่มนี้ ไม่แน่ว่าอาจมองอันใดออกบ้างก็เป็นได้ คุณชายอวิ๋นจี้รอคุณหนูฟื้นมาแล้วค่อยดูกันใหม่ดีกว่า” 

 

 

           “ก็ดีเหมือนกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า ก่อนเก็บสมุดกลับเข้าอกเสื้อ 

 

 

           เวลานี้ ซื่อฮว่ากับซื่อหว่านก็ต้มยาเสร็จแล้วและยกเข้ามาในห้อง 

 

 

           พวกซื่อม่อกับผิ่นจู๋มารวมตัวกันที่หน้าเตียง คนหนึ่งประคองเซี่ยฟางหวาขึ้น คนหนึ่งถือถ้วยยาค้างไว้ คนหนึ่งใช้ช้อนตักยาป้อนให้นาง 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด