จารใจรัก 20-1 สู่ขอต่อหน้า

Now you are reading จารใจรัก Chapter 20-1 สู่ขอต่อหน้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

           หากองค์หญิงใหญ่ทราบว่าจินเยี่ยนเต็มใจสละชีวิตตัวเองเพื่อฉินอวี้และแผ่นดินหนานฉิน เกรงว่าจะโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

 

 

           นางอุตส่าห์ประคบประหงมเลี้ยงดูบุตรีจนเติบโต กลับไม่คิดเลยว่าบุตรีจะเลือกเส้นทางที่นางมิได้เลือกในยามนั้น ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะนึกเสียใจที่ไม่ควรรับการสมรสกับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางมาจากฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวา

 

 

           ทว่าต่อให้รู้สึกมากเท่าไรก็ตามแล้วจะทำอันใดได้ ยามนั้นคงสายเกินไปแล้ว

 

 

           หลังเซี่ยฟางหวากับฮูหยินหมิงหารือกันจบลง ก็ออกมาจากห้องหนังสือเล็ก กลับมาที่เรือนไม้อุ่น

 

 

           ทั้งสองเพิ่งนั่งลง ด้านนอกก็มีเสียงกระเซ้าเย้าแหย่ด้วยความสนุกสนานดังขึ้น ไม่นานชุนหลานก็นำทางจินเยี่ยนกับเยี่ยนหลานเข้ามา

 

 

           ทั้งสองเดินยิ้มเข้ามา พบฮูหยินหมิงอยู่ด้านในด้วย จึงรีบสำรวมกิริยาแล้วทำความเคารพฮูหยินหมิง

 

 

           ฮูหยินหมิงยิ้มพลางโบกมือ “มิได้พบท่านหญิงน้อยเยี่ยนหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วใช่ไหม”

 

 

           “ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณฮูหยินที่นึกถึง” เยี่ยนหลานยิ้มพลางยืดตัวตรง

 

 

           “องค์หญิงใหญ่กับฮูหยินโหวมาถึงกันแล้วหรือ” ฮูหยินหมิงถามอีก

 

 

           “แม่ข้ามาแล้ว ไปหาท่านป้าสะใภ้ใหญ่แล้ว” จินเยี่ยนตอบ

 

 

           “ท่านแม่ท้องแก่จึงมิได้มาด้วย ก่อนมายังได้ยินนางถอนหายใจด้วยความเสียดาย บอกว่างานชม

 

 

บุปผาทุกปีล้วนไม่เคยขาดนาง ปีนี้ในครรภ์มีเจ้าตัวน้อยนอนอยู่ ทรมานนางแล้ว” เยี่ยนหลานส่ายหน้า

 

 

           ฮูหยินหมิงยิ้มขำ “ข้าได้ยินว่าฮูหยินโหวตั้งครรภ์ครั้งนี้เป็นคุณชายน้อย”

 

 

           เยี่ยนหลานพยักหน้า ยิ้มตอบว่า “ใช่แล้ว เป็นฟางหวาตรวจชีพจรให้”

 

 

           “ครั้งนี้ฮูหยินโหวคงดีใจมาก” ฮูหยินหมิงกล่าว

 

 

           “ท่านแม่มิได้ดีใจที่สุด คนที่ดีใจที่สุดคือพี่ชายข้า เขาบอกว่าในที่สุดอนาคตก็มีคนเป็นเสาหลักของจวนโหวแล้ว ต่อไปเขาอยากทำอะไรก็ทำได้” เยี่ยนหลานส่ายหน้า

 

 

           ฮูหยินหมิงหัวเราะ “ฟังว่าช่วงนี้ท่านโหวน้อยเยี่ยนลำบากมาก ดูท่าคงเหนื่อยเอาการ”

 

 

           เยี่ยนหลานพยักหน้าทันใด “ใช่แล้ว พอเขากลับจวนมาทุกวันก็สลบเหมือดทันที เขาบอกว่าแม้แต่เวลาจะดื่มสุรายังต้องเจียดออกมา”

 

 

           “ชั่วพริบตาเหล่าคุณชายในเมืองหลวงหนานฉินก็บรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว แต่ละคนมีพรสวรรค์ หากร่วมแรงร่วมกัน มิต้องเกรงกลัวเป่ยฉี” ฮูหยินหมิงกล่าว

 

 

           “ถูกต้อง” เยี่ยนหลานแค่นเสียง “ฉีเหยียนชิงข่มเหงรังแกกันเกินไปแล้ว หากข้าพบเขา จะต้องแยกส่วนเป็นแปดชิ้นแน่นอน”

 

 

           “พอทีเถอะเจ้า ฉีเหยียนชิงฟังว่ามีวิทยายุทธ์สูง หากพบเขาจริงๆ ยิ่งอยู่ห่างได้เท่าไรก็ยิ่งดี มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่เดินเข้าไปหา” จินเยี่ยนกระทุ้งศอกใส่เยี่ยนหลาน “เจ้ามีความสามารถเท่าไร แม้แต่หลูเสวี่ยอิ๋งยังเอาชนะมิได้ ยังกล้าบอกว่าจะแยกส่วนเขาแปดชิ้นอีก”

 

 

           “เจ้าตั้งแง่กับข้าอีกแล้วนะ” เยี่ยนหลานกระทุ้งศอกกลับ เบะปากกล่าว “ข้าทำมิได้ มิใช่ยังมีฟางหวาอยู่หรือ นางทำได้แน่นอน”

 

 

           “เจ้ามิใช่เพิ่งบอกข้าว่านางอยากมีลูกหรือ ไฉนผ่านไปครู่เดียวก็ลืมแล้ว เจ้ากล้าลากนางออกไป ดูสิว่าฉินเจิงจะจัดการเจ้าหรือไม่” จินเยี่ยนยิ้มขำ

 

 

           “จริงด้วย ลืมไปเลย ถ้าอย่างนั้นช่างเถอะ ฉีเหยียนชิงปล่อยให้พวกฝ่าบาทจัดการแล้วกัน” เยี่ยนหลานคล้องแขนเซี่ยฟางหวาพร้อมยิ้มแป้น “ข้ารอเป็นแม่บุญธรรมอยู่นะ หลายวันนี้ข้ากับท่านแม่ฝึกเย็บเสื้อผ้าเด็กน้อย ท่านแม่บอกว่าชุดของน้องชายข้าเพียงพอแล้ว ลำดับต่อไป ข้าก็ทำชุดน้อยๆ ให้ลูกบุญธรรมของข้า”

 

 

           เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด “ยังไม่ทันตั้งครรภ์เลย รีบเกินไปแล้ว”

 

 

           “ไม่รีบ ไม่รีบ หากในท้องเจ้ามีเด็กเมื่อไร เช่นนั้นก็ควรถูกประคบประหงมมากกว่าเดิม วันหนึ่งเปลี่ยนและซักเสื้อผ้าเป็นร้อยตัว เตรียมไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ไม่ขาดเหลือ” เยี่ยนหลานตอบ

 

 

           เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด

 

 

           เยี่ยนหลานกระทุ้งเซี่ยฟางหวา กระซิบเสียงเบา “เมื่อวานตั้งครรภ์หรือยัง”

 

 

           เซี่ยฟางหวาหน้าแดงทันใด ยกมือกดหน้าผากนาง ทั้งมีน้ำโหทั้งยิ้มขำ “เจ้าอายหรือไม่ เจ้ายังมิได้แต่งงานเลย ถ้อยคำแบบนี้ก็กล้าพูดออกมาแล้ว ยังมีตระกูลใดอยากสู่ขอเจ้าอีก”

 

 

           เยี่ยนหลานแลบลิ้น “มิใช่คนนอกสักหน่อย ถึงไม่มีใครสู่ขอข้าก็ไม่กลัว ค่อยแต่งฝ่ายชายเข้ามาก็สิ้นเรื่องแล้ว”

 

 

           เซี่ยฟางหวาหมดคำพูด

 

 

           จินเยี่ยนปรบมือทันใด “อันนี้ดี ข้าเห็นด้วย”

 

 

           ทั้งสามกำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน ด้านนอกก็มีเสียงพูดคุยดังขึ้นอีก เยี่ยนหลานมองไปด้านนอกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจิ้งเย่เวย หวางจื่อหมิง เฉิงอวี้ปิ่ง ซ่งฉินหร่านมากันแล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “แต่ละคนแต่งตัวกันงามหยาดเยิ้ม ราวกับเข้าร่วมคัดเลือกหญิงงามนางในก็มิปาน อลังการเกินไปแล้ว”

 

 

           สิ้นเสียงนาง จินเยี่ยนก็หลุดหัวเราะออกมาด้วยความตลก “วันนี้ไทเฮากับฝ่าบาทมิใช่เสด็จมาด้วยหรือ วันแบบนี้ก็มีแต่เจ้าที่ยังแต่งตัวเหมือนก่อน ไม่พิถีพิถัน”

 

 

           “เจ้าก็ด้วยมิใช่รึ” เยี่ยนหลานหดคอ แย้งนางกลับ

 

 

           “ข้าเหมือนกันที่ไหน เดิมทีนับว่าเป็นคนที่เตรียมสมรสแล้ว” จินเยี่ยนตอบ

 

 

           เยี่ยนหลานฟังแล้วก็ขยับเข้าใกล้พร้อมกระซิบถามทันที “เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือ เจิ้งเซี่ยวฉุนจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแม้ดีมาก แต่ก็มิสู้ฝ่าบาทของเรา วันหน้าหากเจ้านึกเสียใจขึ้นมาจะทำเช่นไร”

 

 

           “ไม่เสียใจแน่นอน” จินเยี่ยนตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว

 

 

           “แต่เจ้าต้องแต่งเข้าตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ไกลเกินไปแล้ว” เยี่ยนหลานทำปากจู๋

 

 

           “มิได้ไกลขนาดนั้นหรอก ขอแค่ไม่กลัวความลำบากเวลาเดินทาง อยากกลับเมื่อไรก็ย่อมได้ เจ้าไปเยี่ยมข้าก็ได้เช่นกัน” จินเยี่ยนกล่าว

 

 

           เยี่ยนหลานกะพริบตาปริบ ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ายังไม่เคยออกจากเมืองมาก่อน หากเจ้าออกเรือน ข้าไปส่งเจ้าออกเรือนก็แล้วกัน”

 

 

           “มีกฎให้คนสนิทไปส่งออกเรือนด้วยหรือ” จินเยี่ยนงุนงง

 

 

           “กฎเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้น ตอนฟางหวาแต่งงาน พวกเรามิใช่ว่ายังไปอยู่ในวังหลวงกับนางด้วยหรือ” เยี่ยนหลานหันไปถามเซี่ยฟางหวา “ฟางหวา ฟังว่าสิงหยางน่าเที่ยวเล่น ถึงตอนนั้นเราสองคนก็ไปด้วยกันเถิด ดีหรือไม่”

 

 

           แววตาเซี่ยฟางหวาวูบไหวเล็กน้อย ก่อนยิ้มพลางพยักหน้า “ถึงตอนนั้นถ้าทำได้ ไปส่งจินเยี่ยนก็ไม่เป็นไรเช่นกัน”

 

 

           จินเยี่ยนตวัดตามองเซี่ยฟางหวา สบตากับนางพอดี พลันยิ้มออกมา “พวกเจ้าสองคนหากไม่กลัวเดินทางไกล ไปส่งข้าออกเรือนได้จริงๆ เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้ไม่ตื่นตระหนกเกินไป”

 

 

           “เจ้ารับปากแล้ว เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” เยี่ยนหลานเอ่ยขึ้นทันที

 

 

           “นางรับปากเองได้ที่ไหน ต้องให้องค์หญิงใหญ่รับปาก” ฮูหยินหมิงที่เงียบมาตลอดยิ้มกล่าวขึ้น

 

 

           “ก็จริง” เยี่ยนหลานมองเซี่ยฟางหวา ความกระตือรือร้นสะดุดลงครึ่งหนึ่งเมื่อได้ยินคำว่าองค์หญิงใหญ่ “องค์หญิงใหญ่ให้ความสำคัญกับพิธี คงไม่ยอมให้เราสองคนไปด้วย เพราะกลัวว่าเราจะก่อความวุ่นวาย”

 

 

           “ตอนนี้คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางยังไม่เข้าเมืองมา คิดเรื่องนี้ออกจะเร็วไปหน่อย” เซี่ยฟางหวายิ้ม

 

 

           จินเยี่ยนพยักหน้า

 

 

           ทั้งสามพูดคุยกัน เจิ้งเย่เวย หวางจื่อหมิง เฉิงอวี้ปิ่ง ซ่งฉินหร่านก็มาถึง เรือนไม้อุ่นแคบขึ้นมาทันตา

 

 

           ทั้งหมดทำความเคารพซึ่งกันและกัน ทักทายกันพักหนึ่ง ฮูหยินหมิงก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าคุยกันไปเถิด ข้าจะออกไปหาเหล่าฮูหยินแล้ว”

 

 

           “เหล่าฮูหยินมาถึงกันแล้วหรือ” เซี่ยฟางหวาถามคนที่เพิ่งมาถึง

 

 

           ทุกครั้งพยักหน้าพร้อมกัน “พวกเรามาพร้อมกับท่านแม่”

 

 

           “ท่านอาสะใภ้หก เช่นนี้เถิด พวกเราไปชมดอกไม้ที่ศาลาริมน้ำกันดีกว่า” เซี่ยฟางหวากล่าว

 

 

           “จริงด้วย อยู่ในเรือนไม้อุ่นทำได้เพียงนั่งคุยกัน ไม่มีดอกไม้ให้ชม” เยี่ยนหลานโบกมือ “พวกเราก็ออกไปด้วยดีกว่า” หยุดเว้นช่วงแล้วกล่าวกับฮูหยินหมิง “ข้าได้ยินว่าที่นั่งของฮูหยิน คุณหนู และแขกบุรุษล้วนจัดแยกกัน แต่จัดไว้ที่ศาลาริมน้ำทั้งหมด ฮูหยินจะได้มิต้องไปคนเดียว”

 

 

           ฮูหยินหมิงยิ้มพลางพยักหน้า

 

 

           ทั้งหมดคุยกันพลางออกจากเรือนไม้อุ่น เดินไปยังศาลาริมน้ำ

 

 

           วันนี้อากาศปลอดโปร่งแจ่มใส แสงแดดมิได้ร้อนเกินไป บริเวณศาลาริมน้ำมีลมทะเลสาบพัดผ่าน สร้างความเย็นสบายอยู่บ้าง

 

 

           พวกเซี่ยฟางหวามาถึงศาลาริมน้ำ พบเหล่าฮูหยินกับพระชายาอิงชินอ๋องกำลังคุยกันพลางชมดอกไม้ ทั่วบริเวณอบอวลด้วยกลิ่นบุปผา แต่ละคนสวมอาภรณ์สีสันสดใส งดงามถูกกาลเทศะอย่างยิ่ง

 

 

           เหล่าฮูหยินยิ้มพลางสำรวจมองคุณหนูทุกท่าน แม้เซี่ยฟางหวาติดผอมบอบบาง ทว่าใบหน้าดุจภาพวาด สรีระสูงสะโอดสะองท่ามกลางคุณหนูด้วยกัน โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนแอบชมในใจ มิน่าพระชายาน้อยท่านนี้ถึงทำให้ผู้คนมากน้อยในเมืองหลงใหล ขนาดฝ่าบาทกับท่านอ๋องน้อยเจิงเองก็เกือบจะผิดใจกัน

 

 

           หลังทักทายกันแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องก็ถามเซี่ยฟางหวา “เสวี่ยอิ๋งเล่า”

 

 

           “น้องอีอยากชมดอกจื่อจิง พี่สะใภ้ใหญ่จึงพานางไปชม” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มออกมา “ดอกจื่อจิงในเรือนของคุณชายใหญ่ย่อมคู่ควรแก่การชมสักครั้ง” พูดจบก็ยิ้มกล่าวต่อ “เมื่อครู่ฉินชิงก็มาถึงแล้ว ลากฉินห้าวออกไป บอกว่าอยากชมดอกจื่อจิงเช่นกัน บังเอิญแล้ว”

 

 

           ฮูหยินหมิงผงะตกใจ

 

 

           เซี่ยฟางหวาชะงักไปเล็กน้อย ตวัดตามองไปยังสวนจื่อจิงแวบหนึ่ง พบว่าเซี่ยอีควงแขนหลูเสวี่ยอิ๋งเดินมาจากระยะไกลพอดี ใบหน้าเซี่ยอีราวกับไม่ค่อยดีนัก นางพลันนึกถึงฉินชิงเคยบอกว่าชอบเซี่ยอีตอนมาดื่มสุราที่เรือนลั่วเหมยกับฉินเจิงและพวกเยี่ยนถิงวันนั้น

 

 

           เยี่ยนหลานก็เห็นว่าหลูเสวี่ยอิ๋งกับเซี่ยอีกลับมาแล้ว เอ่ยขึ้นทันใด “พวกนางกลับมากันแล้ว”

 

 

           พวกฮูหยินหมิงล้วนมองไปยังทั้งสองเช่นกัน

 

 

           เวลานี้ เซี่ยอีพลันยกแขนเสื้อมาบังใบหน้าครู่หนึ่ง ทว่าเพียงครู่เดียวก็ลดมือลง ดวงหน้าเล็กเผยรอยยิ้มสว่างจ้าในชั่วพริบตา เห็นทุกคนกำลังมองมา นางจึงโบกมือตอบ

 

 

           “ไอ้หยา เห็นใบหน้าเซี่ยอีเช่นนี้แล้ว ก็พลอยอารมณ์ดีขึ้นเป็นกอง” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มกล่าว “ทุกครั้งที่ได้พบเด็กคนนี้ล้วนมีแต่ความร่าเริงสดใส ใบหน้ายิ้มแย้มของนางน่าชมกว่าดอกไม้ทั้งหมดของข้าอีก”

 

 

           “พระชายาอย่าชมนางเลย ข้าอายแทนนางแล้ว” ฮูหยินหมิงเอ่ยขึ้น

 

 

           “เห็นนางแล้วก็นึกถึงเหลียนเอ๋อร์ ตั้งแต่ส่งจดหมายมาเมื่อหลายวันก่อน บอกว่านางกำลังพักฟื้นที่เมืองหลินอัน จนป่านนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวส่งกลับมาเลย ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บหายดีหรือยัง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวอีก

 

 

           “ท่านแม่วางใจเถิด ผ่านไปหลายวันแล้ว อาการบาดเจ็บน่าจะดีขึ้นมากแล้ว” เซี่ยฟางหวากล่าว

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด