จารใจรัก 37.1

Now you are reading จารใจรัก Chapter 37.1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 37-1 ศพที่พิสูจน์ไม่ได้

 

 

 

 

           มือข้างนั้นคือมือของฉินเจิง เซี่ยฟางหวาถูกเขากุมมือไว้ ครั้งนี้ไม่ได้ถูกดีดออกเหมือนก่อนหน้านี้ 

 

 

           ลมปราณวิ่งเพ่นพ่านในร่างกายเขาราวกับซ่อนตัวสงบนิ่งชั่วพริบตา ไร้การเคลื่อนไหวอีก 

 

 

           “ลุกเองได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาลอบถอนหายใจออกมา เอ่ยถามเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำ  

 

 

           “เจ้าดึงข้าหน่อย” ฉินเจิงบอก 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า กระตุกมือดึงเขาขึ้นมา เขาลุกลงจากเตียงเชื่องช้าแล้วหันไปมองบนเตียง 

 

 

           ทรวงอกของฉินอวี้ยังมีเลือดไหลออกมา อาภรณ์เปื้อนเลือดเป็นวง มือที่ยื่นออกมาก่อนหน้านี้ดึงกลับไปแนบลำตัวตั้งแต่เมื่อไรก็มิทราบ เขานอนบนเตียงนิ่งโดยที่ผินหน้ามองมา 

 

 

           “เจ้ากระตุ้นคำสาปใจเดียว ดึงตัวเองพ่วงเข้ามาด้วย คิดจะทำสิ่งใดกันแน่” ฉินเจิงยิ้มเย็น 

 

 

           ฉินอวี้หรี่ตาลง ไม่ตอบคำถามเขา หากแต่หยุดสายตาบนใบหน้าเซี่ยฟางหวา “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้วิธีนี้ทำลายคำสาปใจเดียวกัน” 

 

 

           “หากไม่ทำร้ายเขาไปด้วย วันนี้ข้าคงไม่ใช้แค่เลือดจากทรวงอกเจ้าแค่เล็กน้อย แต่จะคว้านหัวใจเจ้าออกมา กระชากต้นคำสาปนั่นมาบดให้ละเอียด” เซี่ยฟางหวานึกถึงเหตุการณ์ที่ถูกเขาร่ายคำสาปใจเดียวกันวันนั้นก็เอ่ยตอบด้วยความเยือกเย็น 

 

 

           “เจ้าดีกับเขาถึงเพียงนี้เชียวรึ ถึงกับอยากให้ข้าตาย” ฉินอวี้ยิ้มออกมา กระตุกมุมปากแค่นหัวเราะ  

 

 

           “เขาเป็นสามีของข้า แต่เจ้าเป็นรัชทายาท” เซี่ยฟางหวาเม้มปาก 

 

 

           “จิตใจเจ้าไม่ได้มีความเมตตาชอบธรรมหรอกหรือ ข้าเป็นรัชทายาท หากข้าตายไป หนานฉินมีหรือจะไม่ตกอยู่ในความโกลาหล” ฉินอวี้จ้องมองนาง “ที่แท้ถ้อยคำเหล่านั้นที่เจ้าใช้สั่งสอนข้าเป็นเพียงคำพูดที่ใช้โจมตีข้าเท่านั้น แค่พูดให้ข้าฟังเฉยๆ ความจริงเจ้าไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย” 

 

 

           “เจ้าเป็นรัชทายาท ไหนเลยจะเหมือนข้า ข้าเป็นแค่สตรีผู้หนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอธรรมดาคนหนึ่ง คุณธรรมบ้านเมืองอันใดนั่นก็แค่พูดส่งๆ ไปเท่านั้นเอง หากทำจริงขึ้นมา ใต้หล้าคงหัวเราะเยาะแย่” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ “ตอนนี้ข้ารู้เพียงแค่หากมีใครทำร้ายสามีของข้า ข้าจะไม่ปล่อยคนผู้นั้นไว้แน่” 

 

 

           “เจ้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอธรรมดาแน่หรือ” ฉินอวี้แค่นหัวเราะ ก่อนมองไปยังฉินเจิง “ได้ยินนางพูดแบบนี้ เจ้าคงลำพองใจมากใช่หรือไม่” 

 

 

           ฉินเจิงมองเขา ไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           ฉินอวี้กล่าวขึ้นอีก “ข้าเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าก็ไม่ได้ทำดีไปกว่าข้าเท่าไรนัก คิดวางแผนสร้างอุบาย ทำร้ายผู้อื่นด้วยความโหดเ**้ยมไปไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่เจ้าช่างมีวาสนาดี” พูดจบก็กล่าวกับ 

 

 

เซี่ยฟางหวา “เจ้าใช้เลือดจากอกข้า ไม่นึกจะทำแผลให้สักหน่อยหรือ หากข้าตาย เขาก็ต้องตายเหมือนกัน” 

 

 

           “แทงเจ้ากระบี่หนึ่งยังไม่ตาย แค่เลือดเพียงเล็กน้อยจะตายได้หรือ” เซี่ยฟางหวาหยิบขวดจากอกเสื้อส่งให้อู๋เฉวียน “นี่เป็นยาห้ามเลือด” 

 

 

           “กระหม่อมทำแผลไม่เป็นนะพ่ะย่ะค่ะ!” อู๋เฉวียนรับมาด้วยมือสั่นเทา เอ่ยบอกด้วยใบหน้าซีดขาว 

 

 

           “ในค่ายทหารมีหมอไม่ใช่หรือ” เซี่ยฟางหวาจูงมือฉินเจิงเดินออกไป 

 

 

           “นี่…หากตามหมอมา เรื่องบาดแผลขององค์รัชทายาทจะถูกเผยแพร่ออกไป…” อู๋เฉวียนมองไปยังฉินอวี้  

 

 

           “หากคนอื่นรู้ว่าเจ้าทำร้ายข้าซึ่งเป็นรัชทายาทเพื่อช่วยเขา เจ้าลองเดาดูสิว่าราษฎรใต้หล้าจะพูดถึงเจ้าเช่นไร” ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวา 

 

 

           “ข้าสนใจที่ไหนกัน” เซี่ยฟางหวาไม่ยี่หระ 

 

 

           “แล้วจวนอิงชินอ๋องเล่า จวนอิงชินอ๋องไม่กลัวว่าจะถูกกล่าวหารึ” ฉินอวี้คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “พวกเจ้าไม่กลัว แล้วท่านลุงไม่กลัวรึ ถึงแม้เขาไม่ได้เอ็นดูข้า แต่จำต้องสนใจบ้านเมืองหนานฉินไม่ใช่หรือ ที่ผ่านมาเขาขยันขันแข็ง ไม่กล้าก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียว หรือว่าท้ายที่สุดจะยอมให้ถูกผู้คนรุมประณาม” 

 

 

           “ฉินอวี้ เจ้าคุกคามผู้อื่นครั้งแล้วครั้งเล่า มีฐานะเป็นรัชทายาทแท้ๆ เจ้าไม่คิดว่าทำการเช่นนี้นั้นไร้ยางอายบ้างหรือ” เซี่ยฟางหวาหยุดเท้าโดยพลัน หัวหน้ามาด้วยความรวดเร็ว  

 

 

           “ลับหลังเขาก็กระทำเรื่องไร้ยางอายไปไม่น้อย เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกต่อหน้าเจ้าเท่านั้น บางครั้งสิ่งที่เขาทำลงไปร้ายแรงกว่าข้าเสียอีก เจ้าว่าเขาไร้ยางอายหรือไม่” ฉินอวี้มองนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปากเงียบ 

 

 

           “ดูท่าจะถือหางคนไม่สนเรื่องราว ในสายตาเจ้า เขาทำสิ่งใดล้วนถูกต้องไปหมด ส่วนข้าทำสิ่งใดกลับผิดทุกอย่าง ต่อให้เป็นเรื่องแบบเดียวกันก็ตาม” ฉินอวี้หัวเราะออกมา 

 

 

           “อย่างน้อยเขาก็มีความรู้สึก ทั้งยังใจอ่อนและมีขอบเขต แต่เจ้าเล่า” เซี่ยฟางหวาอดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา “เวลานี้ไม่สนใจคดีฆาตกรรมในค่ายทหาร กลับกระตุ้นคำสาปใจเดียวกัน ทำให้เจ้ากับเขาหมดสติไปพร้อมกัน เจ้ามีเจตนาใดกันแน่” 

 

 

           “ทำไมเจ้าไม่ลองถามเขาดูบ้างเล่าว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด หลูอี้เป็นลูกหลานของตระกูลหลูแห่ง 

 

 

ฟ่านหยาง นึกจะผ่าพิสูจน์ศพก็ผ่าได้ทันทีเลยรึ ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่ยินยอม เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่ยินยอมเช่นกัน แต่เขายืนยันจะผ่าศพให้ได้ คนตายมีเกียรติสูงศักดิ์ หลูอี้ตายไปแล้วจะยังไร้ศพอีกหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากข้าอนุญาตให้เขาทำเช่นนี้จะเกิดผลใดตามมา” ใบหน้าของฉินอวี้เคร่งขรึมลง  

 

 

           “ข้ารู้เพียงแค่เขามีเหตุผลที่ต้องผ่าศพเป็นแน่” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           “ใช่ เขาทำสิ่งใดมักมีเหตุผลเสมอ” ฉินอวี้หัวเราะเยาะ  

 

 

           เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าไม่สนใจเขา เอื้อมมือดึงฉินเจิงออกมา “เราออกไปกันเถอะ” 

 

 

           ฉินเจิงมองไปยังฉินอวี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หลูอี้ตายอย่างไร ผู้อื่นอาจไม่ทราบแน่ชัด แต่ทั้งเจ้าและข้าต่างทราบดี โดยเฉพาะเกิดอะไรขึ้นกับศพหลูอี้ ข้าไม่เชื่อว่าเจ้ามองไม่ออก” 

 

 

           “มองออกแล้วอย่างไร เจ้าจะเปิดโปงรากฐานแผ่นดินหรือ” ฉินอวี้มองเขา 

 

 

           “แล้วเปิดโปงรากฐานแผ่นดินไม่ได้รึ” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเย็น 

 

 

           “เปิดโปงแล้วไม่เป็นการดีต่อใครทั้งนั้น” ฉินอวี้บอก “เจ้าไม่กลัวว่าจะเกี่ยวพันไปถึงจวนอิงชินอ๋อง?” 

 

 

           “มีเหตุผลใดต้องกลัว” ฉินเจิงตอบ 

 

 

           “แล้วบ้านเมืองหนานฉินเล่า ลูกหลานตระกูลฉินเหมือนกันแท้ๆ เจ้าลืมคำสั่งสอนของเสด็จย่าในตอนนั้นไปแล้วรึ” ฉินอวี้ถูกยั่วโทสะ ทรวงอกยิ่งมีเลือดทะลักออกมา 

 

 

           อู๋เฉวียนตกใจจนรีบเอ่ยขึ้น “รัชทายาทโปรดระงับความโกรธ อย่าวู่วามเลยพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ เขาเห็นว่าเซี่ยฟางหวาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจอีกจึงหยั่งเชิงถามขึ้น “ให้กระหม่อมไปตามหมอในค่ายมาเลยหรือไม่” 

 

 

           “กงกงไม่ต้องไปตามหมอมาหรอก ข้าจะทำแผลให้รัชทายาทเอง” หลี่มู่ชิงเอ่ยขึ้น “แม้ข้ารู้วิชาแพทย์แค่เบื้องต้น แต่ยังพอทำแผลได้” 

 

 

           “ไอ้หยา ลืมคุณชายหลี่ไปเสียสนิท ท่านทำแผลให้รัชทายาทย่อมดีมาก” อู๋เฉวียนรีบส่งยาให้หลี่มู่ชิง 

 

 

           หลี่มู่ชิงรับยามาแล้วเดินมาหน้าเตียง 

 

 

           ฉินอวี้ราวกับเพิ่งมองเห็นหลี่มู่ชิง มองเขาแวบหนึ่งแล้วกระตุกมุมปาก “นางก็ช่างเชื่อใจเจ้านัก” 

 

 

           “รัชทายาทอย่าเพิ่งขยับตัวจะดีกว่า ข้าจะห้ามเลือดท่านก่อน” หลี่มู่ชิงกล่าวด้วยความนุ่มนวล 

 

 

           ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใดอีก 

 

 

           “ข้าไม่ได้ลืมคำสั่งสอนของเสด็จย่า แต่เกรงว่าเจ้าคงลืมไปแล้ว” ฉินเจิงเห็นว่าหลี่มู่ชิงแหวกปกเสื้อบริเวณหน้าอกของฉินอวี้ออก เขาเอ่ยทิ้งท้ายประโยคหนึ่งแล้วจูงเซี่ยฟางหวาเดินออกไป 

 

 

           ทั้งสองออกมาจากตำหนักชั้นใน ทุกคนที่รออยู่ข้างนอกหันมามองโดยพร้อมเพรียงกัน เมื่อเห็นฉินเจิงเดินจูงมือเซี่ยฟางหวาออกมาด้วยสภาพปกติดีจึงลุกขึ้นก้าวออกมาทำความเคารพ 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย องค์รัชทายาทปลอดภัยดีหรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม 

 

 

           “ปลอดภัยดี” ฉินเจิงพยักหน้า 

 

 

           “เกิดอะไรขึ้นกับท่านและองค์รัชทายาทกันแน่ เหตุใดจู่ๆ ถึงหมดสติไปทั้งคู่ แล้วพระชายาน้อยใช้วิธีการใดช่วยพวกท่านฟื้นขึ้นมา” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถามต่อ  

 

 

           “ถ้าเจ้าอยากรู้นักก็เข้าไปถามรัชทายาทข้างในได้” ฉินเจิงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ตอบคำถามเหล่านั้น 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายหน้าหงาย 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย ท่านไม่เป็นไรจริงหรือ” หย่งคังโหวรีบก้าวขึ้นมา  

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้าตอบ 

 

 

           “ท่านกับรัชทายาทไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ทุกคนตรงนี้ไม่มีใครสูงศักดิ์ไปกว่าพวกท่าน หากพวกท่านเป็นอะไรขึ้นมา ฝ่าบาทจะต้องทรงพิโรธเป็นแน่ พวกเราตรงนี้คงหนีการกล่าวโทษจากฝ่าบาทไม่พ้น” หย่งคังโหวดูราวกับขอบคุณฟ้าดิน “ลำบากพระชายาน้อยแล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองหย่งคังโหวพร้อมถามขึ้น “ศพหลูอี้เล่า” 

 

 

           “หลังรัชทายาทกับท่านอ๋องน้อยหมดสติไป ศพก็ถูกเฝ้าไว้ก่อนชั่วคราว” หย่งคังโหวหันไปมองฉินเจิง พบว่าเขาก็กำลังมองมาจึงรีบตอบ  

 

 

           “ไปนำศพมาที่นี่” ฉินเจิงออกคำสั่ง 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย พวกเราไม่ยินยอมให้ท่านผ่าพิสูจน์ศพ หลูอี้ตายไปก็น่าเวทนาพอแล้ว หรือจะยังไม่มีศพให้ฝังอีก ตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของเราแม้ลูกหลานไม่โดนเด่น แต่ก็ไม่ยอมให้ผู้ใดมารังแกเขาเช่นนี้เหมือนกัน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบก้าวขึ้นมาสมทบกล่าวด้วยความร้อนใจ  

 

 

           “ใครรังแกตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของเจ้ากัน” ฉินเจิงเลิกคิ้ว 

 

 

           “ใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้นกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอ จวนอิงชินอ๋อง และจวนจงหย่งโหวต่างเกี่ยวดองกัน มีเพียงตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางของข้าที่ไม่ร่วมเกี่ยวดองกับสหายพี่น้อง ท่านอ๋องน้อยย่อมเข้าข้างตระกูลหลี่แห่งจ้าวจวิ้น เพื่อทำให้หลี่อวิ๋นพ้นจากความผิดฐานฆ่าคนตาย” ผู้อาวุโสคนเดิมรีบตอบ  

 

 

           “บ้านเมืองมีขื่อมีแป ทุกตระกูลย่อมมีกฎเป็นของตัวเอง หากหลี่อวิ๋นสังหารผู้อื่นจริง ไม่ว่าใครก็ปกป้องไม่ได้ทั้งนั้น แต่หากมีเงื่อนงำซุกซ่อนอยู่เล่า ไม่ใช่เป็นการปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลเหนือกฎหมายรึ” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น  

 

 

           “นั่นเป็นหน้าที่ของการสืบคดี เราไม่ยอมให้ผ่าศพหลูอี้เพื่อพิสูจน์โดยเด็ดขาด” ผู้อาวุโสคนเดิมยืนกราน 

 

 

           ผู้อาวุโสคนอื่นพากันส่งเสียงคล้อยตามกัน 

 

 

           “ท่านอ๋องน้อย การผ่าพิสูจน์ศพใช้สำหรับคนเลวไม่อาจให้อภัยได้ แต่หลูอี้ไม่ใช่คนแบบนั้น อีกอย่างตลอดเวลาที่อยู่ในค่ายทหารเขาก็ไม่เคยทำผิด กลับถูกสังหารอย่างไร้สาเหตุ สุดท้ายแล้วยังจะผ่าพิสูจน์ศพเขาอีก เรื่องนี้อย่างไรก็ทำไม่ได้โดยเด็ดขาด หากท่านอ๋องน้อยยังยืนยันที่จะทำ แม้ข้าต้องตายก็จะขัดขวางท่านอ๋องน้อยให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อนุญาต” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้นเช่นกัน  

 

 

           “วิชาแพทย์ของข้า ไม่จำเป็นต้องผ่าพิสูจน์ศพ” เซี่ยฟางหวาเอ่ยขึ้น “ทุกท่านไม่ต้องร้อนใจ” 

 

 

           ผู้อาวุโสทุกคนหันมามองเซี่ยฟางหวา 

 

 

           “ไปนำศพมาที่นี่” ฉินเจิงยกมือสั่งงาน ยืนกรานดังเดิม 

 

 

           “ขอรับ!” มีคนรีบออกไป 

 

 

           ผู้อาวุโสทุกคนมองหน้ากัน นึกจะเอ่ยห้าม ทว่าเวลานี้ฉินอวี้ก็เดินออกมาจากตำหนักชั้นใน เอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา “ขอเพียงไม่ต้องผ่าศพ เจ้าจะพิสูจน์อย่างไรข้าก็ยินยอม” 

 

 

           ผู้อาวุโสทุกคนกลืนคำพูดที่กำลังจะแย้งออกมาทันที ก่อนทำความเคารพฉินอวี้โดยพร้อมเพรียงกัน 

 

 

           “องค์รัชทายาท ทรงไม่เป็นไรใช่ไหม” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวขึ้นมา ดูเป็นห่วงฉินอวี้อย่างมาก 

 

 

           “ไม่เป็นไร” ฉินอวี้ยกมือปรามด้วยความนุ่มนวล สีหน้าไม่พบความผิดปกติ 

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายพินิจมองฉินอวี้ แม้ในใจยังสงสัย แต่ทราบดีว่าเรื่องนี้หากฉินอวี้กับฉินเจิงไม่ยอมพูดเอง ซักถามไปก็ไร้ความหมาย 

 

 

           หลี่มู่ชิงกับอู๋เฉวียนเดินตามหลังออกมา ทั้งสองมีสีหน้าปกติเช่นกัน ผู้อื่นพินิจมองไม่พบสิ่งใดผิดปกติ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด