จารใจรัก 2-2 ชาติก่อนชาตินี้

Now you are reading จารใจรัก Chapter 2-2 ชาติก่อนชาตินี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา หลายปีนั้นในชาติก่อน ช่วงที่ข้าอาศัยที่ลำน้ำสวินสุ่ยกับพี่อวิ๋นหลาน ตัวเจ้ากำลังทำสิ่งใดอยู่” เซี่ยฟางหวาจ้องเขา   

 

 

           ฉินเจิงเม้มปาก  

 

 

           “เจ้าตอบมิได้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าตอบเอง เจ้ากำลังพลิกสถานการณ์แผ่นดินหนานฉิน กอบกู้สถานการณ์ความพ่ายแพ้กลับมา เดิมไม่มีเวลามาสนใจข้า ถึงแม้เจ้ามิได้แต่งกับหลี่หรูปี้ แต่ข่าวลือที่ประชาชนข้างนอกต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันจะมาจากที่ใด เพื่อแผ่นดินหนานฉิน เจ้ากับจวนเสนาบดีฝ่ายขวาตกลงแลกเปลี่ยนสิ่งใดกัน ในหัวใจของเจ้า ถึงอย่างไรแผ่นดินหนานฉินก็สำคัญกว่าข้า” เซี่ยฟางหวามองเขา   

 

 

           ฉินเจิงเงียบ  

 

 

           “เจ้าตอบมาสิ ตอนนี้ขอเพียงเจ้าตอบมาคำเดียวว่าไม่ ข้าก็จะเชื่อเจ้า” เซี่ยฟางหวาผลักอกเขาอย่างที่เคยทำกับนางเมื่อครู่   

 

 

           ฉินเจิงยกมือกุมปลายนิ้วนาง ทันใดนั้นก็ทั้งโมโหทั้งขำขัน “เรียนรู้จากข้าไวนัก”  

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยใบหน้าจริงจัง  

 

 

           ฉินเจิงถอนหายใจออกมา ก้าวขึ้นมาอีกก้าวหนึ่ง ยกมือถือโอกาสดึงนางเข้ามาในอ้อมอก โอบกอดร่างกายบอบบางของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ชาติก่อน ครั้นพลาดก้าวหนึ่ง ก้าวต่อไปก็พลาดตาม ข้าคิดว่าพวกเรายังมีเวลาอีกตลอดชีวิต แต่แผ่นดินหนานฉินต้องการเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น กลับไม่คิดว่าสุดท้ายแล้ว ข้าไม่เพียงแต่กอบกู้สถานการณ์ความพ่ายแพ้ของแผ่นดินหนานฉินกลับมาได้ หากแต่ยังสูญเสียเจ้าไปด้วย ดังนั้นข้าที่นึกเสียใจจึงขอให้ท่านอาจารย์ฝืนลิขิตสวรรค์แก้ไขโชคชะตา ข้าบอกกับเขาว่า ขอเพียงได้เจ้ากลับคืนมา ให้ข้าทำสิ่งใดก็ไม่ปริปากบ่นทั้งนั้น ต่อให้แผ่นดินหนานฉินต้องล่มสลายลงก็ตาม สุดท้ายท่านอาจารย์ก็ลบความทรงจำที่เจ้ามีต่อข้าและสละชีวิตเขา ฝืนลิขิตสวรรค์แก้ไขโชคชะตา เขียนม้วนโชคชะตาของเจ้าขึ้นมาใหม่”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาปล่อยให้เขากอด อ้อมกอดอันคุ้นเคยทำให้จิตใจนางคล้ายล่องลอย  

 

 

           “เพราะฝืนลิขิตสวรรค์แก้ไขโชคชะตา หลายสิ่งมิอาจต่อต้านได้ ท่านอาจารย์ก็มิอาจทำนายชะตากรรมของหนานฉินได้อีก และมิอาจทำนายโชคชะตาสุดท้ายของเจ้ากับข้าได้ ดังนั้น พอข้าทราบว่าเจ้าเดินทางไปเขาไร้นาม จึงคิดว่าเจ้าออกจากจวนโหวไม่เป็นคุณหนูสุดล้ำค่าก็ดีเหมือนกัน จะได้มิต้องซ้ำรอยเดิมอย่างการเติบโตมาในหอนอนจนไม่ทราบเรื่องทางโลก ทว่าหลังจากที่เจ้าเพิ่งไปเขาไร้นาม ข้าก็รู้สึกว่าคิดผิดไปแล้ว หากเจ้าไม่กลับมาเล่าจะทำเช่นไร ตลอดแปดปีนั้นที่รอเจ้ากลับมา เจ้านึกภาพออกหรือไม่ว่าข้าต้องเฝ้ารออย่างทุกข์ใจแค่ไหน ระยะเวลาแปดปี คืนวันอันนับไม่ถ้วน ข้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับความเสียใจ เสียใจที่ตอนนั้นน่าจะห้ามเจ้า ข้าอยากขุดไร้นามทิ้งเพื่อตามเจ้ากลับมา แต่ด้วยอายุยังน้อย ไหนเลยจะมีความสามารถทำลายเขาไร้นาม จำต้องค่อยๆ วางแผนไป” ฉินเจิงกล่าว   

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบ  

 

 

           “หลังเจ้ากลับมาเกิดใหม่ สายตาและหัวใจเจ้าล้วนมีแต่จวนจงหย่งโหว แม้แต่เศษเสี้ยวความทรงจำที่เกี่ยวกับข้ายังหาไม่ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงทำได้เพียงขังเจ้าไว้ก่อน ผูกมัดเจ้า เข้าหาเจ้า ทำให้เจ้าหลงรักข้าใหม่อีกครั้ง มิได้อยากเปลี่ยนเจ้ากลับไปเป็นอย่างเมื่อชาติก่อน หากแต่อยากให้ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้ากลับคืนมา แต่ข้าไม่มีความมั่นใจจึงเอาแต่บีบบังคับ กลัวว่าเจ้าจะปฏิเสธ จึงไม่เหลือทางให้เจ้าได้ปฏิเสธ…” ฉินเจิงกล่าวอีก   

 

 

           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ  

 

 

           “แต่ที่นอกเหนือความคาดหมายคือ นึกไม่ถึงว่าเซี่ยอวิ๋นหลานก็มีความทรงจำชาติก่อนเหมือนกัน คงเป็นเพราะสายเลือดราชนิกุลเผ่าภูตผีที่เกี่ยวข้องกับเจ้า ขณะรักษาตัวในวังหลวงก็รู้เข้า เขาลอบวางแผนการล่อลวงเจ้าออกจากวัง เดิมคำสาปเผาใจมิได้กำเริบในวันนั้น เขากลับกระตุ้นให้คำสาปกำเริบ คิดคว้าโอกาสนี้พาเจ้าหนีไป ข้าจึงนั่งไม่ติดแล้ว ด้วยความลนลานจึงคิดอุบายแสร้งตัดขาดความสัมพันธ์กับเจ้าอย่างเด็ดขาด เดาว่าเจ้าจะมาที่เรือนลั่วเหมย จึงกลั้นใจลงมือทำร้ายเจ้าอย่างโหดเ**้ยม ทำให้เซี่ยอวิ๋นหลานเห็นความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้าให้ชัดเจน ขณะเดียวกันก็เพื่อถ่วงแผนการที่เขาคิดจะพาเจ้าหนีไปด้วย ถึงอย่างไรตอนนั้นข้าก็บาดเจ็บสาหัส หากเขาพาเจ้าหนีไป ข้าคงขวางไม่ไหว…” ฉินเจิงกล่าวอีก   

 

 

           เซี่ยฟางหวาหลับตาลง  

 

 

           “การลงมือทำร้ายเจ้า ทรมานกว่าให้ข้าลงมือทำร้ายตัวเองหมื่นเท่า ทว่ายังมีทางใดอีกเล่า ข้ายอมลำบากมาหลายปีก็เพื่ออยากอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต แต่งเจ้าเข้าจวน มิอาจยกเจ้าให้ผู้ใดได้ ต่อให้เป็นเซี่ยอวิ๋นหลานที่มีวาสนาเผ่าภูตผีเกี่ยวพันกับชะตาชีวิต ถึงเป็นเขาก็มิได้” ฉินเจิงกระชับกอดนางแน่น   

 

 

           เซี่ยฟางหวาฟังเงียบๆ  

 

 

           “แต่สิ่งที่ข้านึกไม่ถึงก็คือธนูสามดอกนั้น นึกไม่ถึงว่าความทรงจำเกี่ยวกับข้าจะค่อยๆ ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา” ฉินเจิงกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทั้งเรื่องดี เรื่องไม่ดี ไหลทะลักปะปนกัน ทำให้ข้าไม่รู้ว่าจะฟังใครดี”  

 

 

           “อวี้จั๋วใช้วิชาคุมหมาป่าเป็นการเปิดกล่องความทรงจำอย่างเลือนราง ทำให้ข้านึกบางสิ่งขึ้นได้ ต่อมาข้าก็เห็นตำราผ้าไหมวิชาคุมหมาป่าที่เจ้ามอบให้อวี้จั๋ว ข้าจึงเดาว่า เจ้าเองก็น่าจะมีความทรงจำชาติก่อนเหมือนกัน” ในที่สุดเซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น   

 

 

           “ชาติก่อน เจ้าเคยเห็นข้าใช้วิชาคุมหมาป่ากับตา เมื่ออวี้จั๋วใช้มัน เจ้าจะนึกถึงภาพเหล่านั้นได้ย่อมเป็นเรื่องปกติ ส่วนตำราผ้าไหมวิชาคุมหมาป่าที่ข้าให้อวี้จั๋วนั้น เดิมทีเคยให้เจ้าเมื่อชาติก่อน ตอนที่เจ้าเสียเลือดจนตายยังถือมันไว้ในมือ ข้าเก็บมันกลับมา ขอให้ท่านอาจารย์ใช้วิชาภูตผีคงสภาพมันไว้ เป็นสมบัติชิ้นเดียวในชาติก่อนเพื่อใช้เตือนสติข้าว่า ชาตินี้ห้ามซ้ำรอยเดิมอีกเป็นอันขาด แต่ทว่าทุกครั้งที่เห็นมันก็ปวดใจอย่างยิ่ง ครั้นไปเมืองผิงหยาง อวี้จั๋วเกิดสนใจในวิชาคุมหมาป่า ข้าขัดแย้งกับตัวเองอยู่นานถึงยกมันให้เขา หากมองไม่เห็นมันก็เสมือนว่าการตายของเจ้านั้นไม่เคยเกิดขึ้น พวกเราก็แค่ทำความรู้จักและสร้างมันขึ้นใหม่ในชาตินี้” ฉินเจิงพยักหน้า   

 

 

           ดวงตาที่กำลังปิดอยู่ของเซี่ยฟางหวามีหยาดน้ำใสไหลออกมา  

 

 

           “ชาติก่อน ฉินเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋องเป็นเพียงแค่ท่านอ๋องน้อยที่ถูกตามใจจนเสียคน ได้รับคำสั่งสอนจากเสด็จปู่และเสด็จย่า การปกป้องแผ่นดินหนานฉินกลายเป็นหน้าที่ ในตอนนั้นท่านพ่อมิอาจสืบทอดแผ่นดินหนานฉินได้เพราะร่างกายไม่สมบูรณ์ เสด็จย่ารู้สึกเสียดายตลอดมา นางไหนเลยจะยอมยกแผ่นดินให้เสด็จอา กระทั่งยกให้โอรสของเสด็จอา ผู้ที่นางอบรมเลี้ยงดูมาอย่างแท้จริงก็คือข้า เขี่ยลูกอนุเปิดทางให้ทายาทที่ถูกต้อง นางอยากให้ข้าสืบทอดกิจราชสำนักบ้านเมืองในวันหนึ่ง” ฉินเจิงกอดนางเงียบๆ   

 

 

           “ความจริงแล้วก่อนวันสมรส หลินไท่เฟยนำของขวัญอวยพรของเต๋อฉือไทเฮามอบให้ข้า แท้จริงแล้วมิใช่มอบให้ข้า แต่เดิมทีเก็บไว้ให้เจ้า แต่เจ้าไม่ต้องการ หลินไท่เฟยเป็นคนฉลาดจึงมอบมันให้ข้าแทน เป็นตราโยกย้ายทหาร และพระราชเสาวนีย์สั่งเสียของอดีตไทเฮาที่แต่งตั้งเจ้าสืบราชบัลลังก์” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงต่ำ   

 

 

           “หลินไท่เฟยฉลาด หากเก็บของเหล่านั้นไว้กับตัวต้องเกิดปัญหาในสักวันหนึ่ง ทว่านางก็มิกล้านำมันไปให้เสด็จอากับฉินอวี้ ทำได้เพียงฉวยโอกาสวันสมรสของเรา มอบมันให้กับเจ้า” ฉินเจิงพยักหน้า   

 

 

           “ตราโยกย้ายทหารกับพระราชเสาวนีย์สั่งเสียของอดีตไทเฮา รวมกับกับแผ่นดินครึ่งหนึ่งในมือข้า”   

 

 

เซี่ยฟางหวายิ้มเย้ยหยัน ยกมือผลักเขาออก “แม้เจ้าไม่ต้องการแผ่นดินหนานฉิน แต่ด้วยหัวใจที่เคารพรักเสด็จปู่กับเสด็จย่าของเจ้าตลอดมา ย่อมมิอาจกลั้นใจมองดูแผ่นดินหนานฉินที่พวกเขาปกป้องมาโดยตลอดพังทลายลง ด้วยเหตุนี้ เจ้าวางแผนตลอดมาก็เพื่อปกป้องแผ่นดินหนานฉินไว้ให้ได้”  

 

 

           ฉินเจิงกอดนางแน่นขึ้น ไม่ยอมให้นางผลักออก แล้วพยักหน้ารับ “ใช่ ข้าทนมองแผ่นดินหนานฉินพังทลายลงในวันหนึ่งมิได้ และยิ่งไม่อยากเห็นกองทัพเป่ยฉีเหยียบย่ำบ้านเมืองหนานฉินในวันหนึ่งด้วย แต่ข้ายิ่งไม่เห็นเห็นเจ้ากลายเป็นฮองเฮาของคนอื่น ไม่อยากให้เจ้าไปตกลงแลกเปลี่ยนกับฉินอวี้แล้วทอดทิ้งข้าไป กลายเป็นฮองเฮาของเขา”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบ  

 

 

           “ไม่ว่าเซี่ยอวิ๋ำนหลานหรือฉินอวี้ ไม่ว่าคำสาปเผาใจหรือคำสาปใจเดียว ไม่ว่าสายลับราชสำนักหรือความทะเยอทะยานของเป่ยฉี ไม่ว่าจวนจงหย่งโหวหรือแผ่นดินหนานฉิน ไม่ว่าบัลลังก์จักรพรรดิหรือต้อยต่ำดุจฝุ่นธุลี ข้าฉินเจิงก็รู้ใจตัวเองดียิ่ง หากไม่มีเซี่ยฟางหวาก็ไร้ความหมาย” ฉินเจิงแทบจะกอดนางให้จมอก   

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก  

 

 

           “ก่อนท่านอาจารย์ตายได้บอกกับข้าว่า อย่าแสวงหาสิ่งใดมากเกินควร โลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ จิตใจมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่ปรารถนาก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน ชาตินี้ข้าคว้าได้เพียงสิ่งหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว”   

 

 

ฉินเจิงกล่าว   

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด  

 

 

           ฉินเจิงค่อยๆ คลายอ้อมกอดเชื่องช้า มองตานางแล้วเอ่ยขึ้น “ชาตินี้ สิ่งที่ข้าอยากคว้าไว้ให้ได้ก็คือเจ้า ส่วนแผ่นดินหนานฉินนั้น หากข้าปกป้องได้ก็จะปกป้อง ถ้าปกป้องมิได้ก็ปล่อยมันไป ให้มันได้เป็นไปตามโชคชะตาที่ควรเป็น ต่อให้บ้านเรือนพังถล่ม ดินแดนแตกเป็นเสี่ยง แต่เจ้าเท่านั้นที่ข้าจะไม่ยอมปล่อยมือ วงโคจรของเจ้าจะต้องมีข้า ตอนอยู่มีข้า ตอนตายก็มีข้า จะอยู่บนสวรรค์หรือตกลงสู่ปรโลกล้วนต้องมีข้า วงโคจรใดเปลี่ยนไปก็ย่อมได้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น เจ้ามีได้เพียงข้าเท่านั้น”  

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา มองแล้วมองเล่าพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ทรวงอก อดมิได้ที่จะยกฝ่ามือขึ้นมากุมหน้าอกแล้วไอออกมา  

 

 

           ฉินเจิงมองนาง เห็นว่านางราวกับอยากสะกดกลั้น ทว่ากลั้นไว้ไม่อยู่ เนิ่นนานจากนั้นในที่สุดนางก็ผลักเขาออก หันหลังกลับไปแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาปิดปาก  

 

 

           ฉินเจิงก้าวขึ้นมา ยื่นมือหมุนกายนางให้หันมาหา พบว่าใบหน้านางซีดขาว เขาจึงยกมือไปดึงผ้าเช็ดหน้าที่นางกำลังปิดปากอยู่ออกมา  

 

 

           เซี่ยฟางหวายื้อผ้า ไม่ยอมให้เขาดึงออกไป  

 

 

           ฉินเจิงออกแรงกระชากจนผ้าเช็ดหน้านางตกลงมา พบว่าบนพื้นมีคราบเลือดสีแดงคล้ำดุจดอกเหมยผลิบาน คล้ายกับตอนที่นางเสียเลือดจนตายแล้วทิ้งร่องรอยเอาไว้บนตำราผ้าไหมวิชาคุมหมาป่าเมื่อชาติก่อนมาก ใต้ตาเขาปรากฏรอยดำคล้ำ ทว่ามิได้แปลกใจแต่อย่างใด เขาโยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง แล้วช้อนเอวนางขึ้นมาอุ้มเดินเข้าไปในห้อง  

 

 

           เซี่ยฟางหวาตีเขา  

 

 

           ฉินเจิงไม่ปล่อยมือ เดินเข้ามาในห้องแล้ววางนางลงบนเตียง ปั้นหน้าขึงตึงกล่าวขึ้น “วันนี้ข้าพูดไปตั้งมากมายขนาดนี้ เจ้าเข้าใจข้าบ้างหรือยัง” หยุดชั่วครู่ มองนางแล้วเอ่ยขึ้น “บางทีเจ้ามิใช่ไม่เข้าใจข้า แต่กลัวว่าตัวเจ้าเองเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จึงไม่อยากเหนี่ยวรั้งข้า ทำให้ข้าต้องเจ็บปวด แต่เซี่ยฟางหวา ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง เจ้าเหนี่ยวรั้งข้ามาสองชาติแล้ว และข้าไม่สนด้วยว่าจะถูกเจ้าเหนี่ยวรั้งไว้นานกว่านี้หรือไม่ ถึงแม้ต้องตาย ข้าตายไปพร้อมกับเจ้าก็พอแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่มีวันทอดทิ้งข้าแล้วจากไปได้อีก”       

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด