จารใจรัก 17-1 งานชุมบุปผา

Now you are reading จารใจรัก Chapter 17-1 งานชุมบุปผา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

       เทียบเชิญของเซี่ยฟางหวาถูกส่งไปถึงมือของผู้ที่ควรส่งในหนึ่งชั่วยามให้หลัง  

 

 

           หลังจากเยี่ยนหลันได้รับเทียบเชิญก็ตอบตกลงอย่างยินดีว่าจะมาเป็นอาคันตุกะในวันพรุ่งนี้ ทั้งยังยิ้มร่า เพราะโปรดปรานสุรารสชาติสุดล้ำค่าที่ซ่อนไว้ในจวนอิงชินอ๋อง  

 

 

           หลังจากจินเยี่ยนได้รับเทียบเชิญก็คลางแคลงใจอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่าตอนนี้มีเรื่องสำคัญมากมายต้องทำ แล้วเหตุไฉนเซี่ยฟางหวาถึงได้จัดงานชมบุปผาเพื่อต้อนรับหลูเสวี่ยอิ๋งกลับจวนอย่างสบายใจ ถึงอย่างไรวันนี้พวกนางก็เพิ่งได้พบกันในวังหลวง ทว่าก็ยังคงตอบตกลงที่จะไปในวันพรุ่งนี้อยู่ดี  

 

 

           หลังจากเจิ้งเย่เวย หวางจื่อหมิง เฉิงอวี้ปิ่ง และซ่งฉินหร่านได้รับเทียบเชิญก็พากันแปลกใจ ตั้งแต่พระชายาน้อยท่านนี้กับท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋องสมรสกันก็เกิดอุปสรรคมากมาย ครั้งหนึ่งเกือบจะกลายเป็นฮองเฮา ยามนี้เพิ่งกลับจวนมาไม่ถึงสองวันดี ไฉนถึงได้เชิญพวกนางไปชมบุปผาที่จวน  

 

 

           พวกนางมิได้สนิทสนมกับนาง แต่เนื่องด้วยพวกพี่ชายทั้งสี่อย่างหวางอู๋ เจิ้งอี้ เฉิงหมิง และซ่งฟางนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับฉินเจิง จึงเคยไปกินดื่มสุราที่เรือนลั่วเหมยในจวนอิงชินอ๋องมาก่อน ผนวกกับพวก  

 

 

จินเยี่ยนและเยี่ยนหลันล้วนเคยไปมาก่อนด้วย ทั้งสี่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมา ถึงอย่างไรหากมีไมตรีกับพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง อนาคตอาจเป็นประโยชน์กับพวกนางเช่นกัน เหมือนอย่างเยี่ยนหลัน หรือจินเยี่ยน  

 

 

           ครั้นเทียบเชิญของหลี่หรูปี้ส่งไปถึงจวนเสนาบดีฝ่ายขวา พ่อบ้านก็นำไปมอบให้ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาโดยตรง  

 

 

           หลังฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาอ่านเทียบเชิญจบก็วางลงเชื่องช้า บอกพ่อบ้านว่า “เจ้าตอบกลับไปว่า ขอบคุณในความหวังดีของพระชายาน้อย แต่ปี้เอ๋อร์ร่างกายไม่พร้อม ไปมิได้”  

 

 

           พ่อบ้านเพิ่งจะรับคำ หลี่หรูปี้ก็มาถึงเรือนหลัก เอ่ยขึ้นว่า “ตอบกลับว่าข้าจะไป”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาสะบัดหน้ามองหลี่หรูปี้ที่เข้ามาด้านใน โทสะเริ่มเกิดขึ้น “เจ้าจะไปทำไม”  

 

 

           “แน่นอนว่าไปชมบุปผา” หลี่หรูปี้ตอบ  

 

 

           “เจ้ามิใช่จะออกบวชรึ คนออกบวชที่ไหนยังสนใจเรื่องทางโลกเช่นนี้” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์  

 

 

           หลี่รูปี้ส่ายหน้า “ท่านแม่ ท่านพูดถูกแล้ว ท่านอุตส่าห์เลี้ยงข้าจนเติบโตมาด้วยความลำบาก มีหรือจะปล่อยให้ข้าออกบวชไปเป็นแม่ชี ท่านพี่เองก็พยายามโน้มน้าวใจข้า ข้าเข้าใจดีแล้ว ไม่ทำลายตัวเองอีกต่อไป และจะไม่ออกบวชแล้วเช่นกัน เรื่องงานสมรสก็จะเชื่อฟังตามที่ท่านแม่ว่า”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาตกใจ ลุกขึ้นยืนเชื่องช้า พินิจมองสีหน้าบุตรีอย่างถี่ถ้วน “เหตุใดเจ้าถึง…เปลี่ยนใจฉับพลัน”  

 

 

           หลี่หรูปี้มองมารดา เพราะนาง ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาที่เดิมทีมักดูแลรูปลักษณ์อย่างดีมาตลอดนั้นไม่เหมือนก่อนแล้ว บริเวณจอนมีผมขาวก็ขึ้นแซมหลายเส้น นางเม้มปาก “เป็นลูกที่คิดได้แล้ว สวรรค์บันดาลให้ข้าเกิดมาในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา มอบฐานะสูงศักดิ์และความร่ำรวยมีเกียรติมาให้ตั้งแต่เด็ก แล้วเหตุใดข้าถึงมุ่งปรารถนาแต่ในสิ่งที่มิอาจเอื้อมด้วยเล่า ถึงแม้ข้าออกบวช นอกจากท่านพ่อ ท่าน และท่านพี่แล้ว ก็ไม่มีใครมาสงสารข้า”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเดินมาหานาง กุมมือนางไว้ สะเทือนใจอยู่บ้าง “เจ้าคิดได้แล้วจริงหรือ”  

 

 

           “คิดได้แล้ว” หลี่หรูปี้พยักหน้า  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามองนาง ขอบตาเปียกชื้นเล็กน้อย “ข้ากับพ่อและพี่ชายเจ้าทุ่มเทความคิดไปมาก บ่ายเมื่อวานเจ้ายังมุ่งมั่นจะออกบวชให้ได้ วันนี้ไฉนจู่ๆ ถึงคิดขึ้นมาได้แล้ว” พูดจบก็มองนาง ถามด้วยความกังวล “เจ้าใช่คิดการอื่นหรือไม่”  

 

 

           หลี่หรูปี้ส่ายหน้า “ออกบวชเป็นความคิดที่เกิดขึ้นเพราะลูกสิ้นหวัง คิดว่าการใช้ชีวิตอย่างอ้างว้างในพุทธศาสนาจะทำให้จิตใจลูกสงบได้ ทว่าเย็นเมื่อวาน ระหว่างที่กำลังคัดลอกคัมภีร์ ลูกก็พลันคิดขึ้นมาได้ เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาหนึ่ง ท่านพี่เคยพูดเอาไว้ว่า หากมิใช่ข้าคิดได้ด้วยตัวเองก็ไม่มีใครช่วยข้าได้” พูดจบ ก็พลิกมากุมมือฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาแทน “ท่านแม่ ข้าคิดได้แล้ว ไม่ออกบวชแล้ว ไม่ดีหรือ”  

 

 

           “แน่นอนว่าดีมาก” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้าทันใด  

 

 

           หลี่หรูปี้ระบายยิ้ม กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “หลายปีที่หลงใหลมีแต่ความสูญเปล่า นับแต่วันนี้ไปลูกก็คิดได้อย่างแท้จริงแล้ว ความรักดั่งเมฆหมอก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที มิอาจแลกทั้งชีวิตไปเพราะความเลอะเลือนได้ ต้องใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาเห็นว่าบุตรีคล้ายกับคิดได้แล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มใจจนน้ำตาพาลจะไหลลงมา มือที่กุมมือบุตรีบีบแน่น “เจ้าเข้าใจแล้วก็ดี ไม่เสียแรงที่ข้ากับพ่อเจ้าให้กำเนิดเจ้ามา แค่บุรุษเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเป็นบุตรีในตระกูลที่เพียบพร้อมขนาดนี้ จะต้องมีคนที่ชอบเจ้า ประคบประหงมเจ้า อาวรณ์ไม่อยากทอดทิ้งแน่นอน”  

 

 

           หลี่หรูปี้พยักหน้า  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาดึงนางนั่งลงอย่างมีความสุข “ดูสิว่าหลายวันนี้เจ้าทรมานตัวเองจนผอมขนาดไหนแล้ว หากพ่อเจ้ารู้ว่าเจ้าคิดได้แล้วจะต้องดีใจเป็นแน่ วันนี้แม่ให้คนครัวทำอาหารมากหน่อย ตอนเย็นพ่อกับพี่ชายเจ้ากลับมาจะได้กินข้าวด้วยกัน”  

 

 

           หลี่หรูปี้พยักหน้าอีกหน  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามองเทียบเชิญด้านข้าง “หลายวันนี้เพราะเจ้ามุ่งมั่นจะออกบวช ด้านนอกกระพือข่าวลือกันหนาหู พรุ่งนี้เจ้าอย่าไปจวนอิงชินอ๋องเลย” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่างฉินเจิงที่มิใช่คนผู้นั้น พบเจ้าแล้วไม่แน่ว่าจะสังหารดังที่เคยลั่นวาจาไว้”  

 

 

           หลี่หรูปี้ส่ายหน้า “ท่านแม่ อนาคตอยู่ในเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องพบหน้ากันวันยังค่ำ มิอาจให้ลูกหลบหน้าเขาไปตลอดชีวิตได้ อีกอย่างลูกก็คิดได้แล้ว หรือว่าเขายังจะสังหารข้าให้ได้ ยิ่งด้านนอกกระพือข่าวลือ พรุ่งนี้ลูกยิ่งต้องไปจวนอิงชินอ๋อง ข่าวลือหนาหูเหล่านั้นก็จะหายไปเอง”  

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาลังเลพักหนึ่ง คิดว่าที่นางพูดมาก็มีเหตุผลเช่นกัน จึงพยักหน้ารับ “เช่นนั้นก็ได้ เพราะเรื่องของเจ้า แม่ก็มิได้ออกไปนอกจวนหลายวันแล้วเหมือนกัน และมิได้ไปจวนอิงชินอ๋องหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปกับเจ้าด้วย เมื่อก่อนเวลาพระชายาอิงชินอ๋องจัดงานชมบุปผามักเรียกข้าไปด้วย ปีนี้ยังมิได้จัดงานชมบุปผาเลยสักครั้ง”  

 

 

           หลี่หรูปี้ยิ้มพลางพยักหน้า “ท่านแม่ไปกับข้าด้วยย่อมดีมาก”  

 

 

           เมฆครึ้มเหนือศีรษะของฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาหายไป จิตใจปลอดโปร่งขึ้นเช่นกัน ดีดหน้าผากหลี่หรูปี้ครั้งหนึ่ง ก่อนบอกพ่อบ้านว่า “รีบตอบไปว่า พรุ่งนี้ข้ากับคุณหนูจะร่วมงานด้วย”  

 

 

           “ขอรับ” พ่อบ้านรีบออกไปทันที  

 

 

           ซื่อฮว่านำเทียบเชิญให้เซี่ยอีมาส่งที่จวนเรือนหก บอกกับพ่อบ้านว่าต้องมอบให้ฮูหยินกับมือ  

 

 

           พ่อบ้านรีบนำทางซื่อฮว่าเข้าไปในจวน  

 

 

           ฮูหยินหมิงกำลังคุยเล่นกับฮูหยินผู้เฒ่าประจำเรือนหก ได้ยินว่าซื่อฮว่านำเทียบเชิญมาก็ทราบว่าเซี่ยฟางหวาคงมีเรื่องสำคัญ จึงกำชับคนรีบนำทางซื่อฮว่าเข้ามาโดยเร็ว  

 

 

           ซื่อฮว่าเข้ามาในห้อง ทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากับฮูหยินหมิง  

 

 

           “แม่นางมาด้วยตัวเอง พระชายาน้อยมีเรื่องสำคัญหรือ” ฮูหยินหมิงลดเสียงต่ำลงทันที   

 

 

           ซื่อฮว่ายื่นเทียบเชิญให้นาง ยิ้มกล่าวว่า “มามอบเทียบเชิญให้คุณหนูอีเจ้าค่ะ พรุ่งนี้คุณหนูจะจัดงานชมบุปผาที่จวน ได้เชิญคุณหนูหลายท่านในเมืองหลวงมาด้วย คุณหนูรู้ว่าคุณหนูอีชอบความสนุกสนาน แต่เรือนหกมีกฎตระกูลอันเข้มงวด จึงตั้งใจให้บ่าวมาส่งให้ท่านเห็นผ่านตา”  

 

 

           ฮูหยินหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ระบายยิ้ม “ที่แท้เป็นเรื่องนี้” พูดจบ นางก็รับเทียบเชิญมาอ่านดูแวบหนึ่ง เส้นอักษรเชิญค่อนข้างหนักแน่นกว่าอักษรทั่วไป นางยิ้มพลางพยักหน้า “ข้าเองก็มิได้ไปเยี่ยมเยียนจวนอิงชินอ๋องหลายวันแล้ว พรุ่งนี้จะได้ถือโอกาสไปร่วมงานกับอีเอ๋อร์ด้วย” พูดจบก็เอ่ยถามฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านแม่ ท่านไปด้วยหรือไม่”  

 

 

           ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือปัด “เจ้าสองคนไปเถอะ” พูดจบก็พลันนึกขึ้นได้ จึงกล่าวว่า “พาซีเอ๋อร์ไปด้วยสิ หลายปีที่ผ่านมาล้วนเป็นข้าที่ใช้การสวดมนต์สอนนางผิดทาง หากไม่มาสวดมนต์กับข้า ตอนนี้คงไม่ถึงกับดื้อรั้นเช่นนี้ นับวันยิ่งมุ่งเข้าหาทางตัน นับวันยิ่งผอมลง ทุกวันเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องพระโดยไม่สนใจโลกภายนอก คิดแต่จะเป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์ได้ที่ไหนกัน พานางออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อยๆ เปิดหูเปิดตาโลกภายนอกบ้าง เผื่อจะเปลี่ยนความคิดได้บ้างจะดีกว่า”  

 

 

           ฮูหยินหมิงได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “ท่านแม่ก็อย่าโทษตัวเองเลย ซีเอ๋อร์มีนิสัยรักความสงบ นางกับอีเอ๋อร์เป็นพี่น้องกัน ทว่ากลับแตกต่างกันมาก เมื่อก่อนข้าเห็นอีเอ๋อร์มีนิสัยร่าเริงก็ปวดหัวแทบแย่ กลัวว่านางไร้ความสุขุมแบบนี้จะไม่มีใครต้องการ ยามนี้นึกไม่ถึงว่ากลับทำให้ข้าสบายใจ เรียกได้ว่าเรือแล่นถึงสะพานหัวเรือก็จะหันเอง วันข้างหน้าซีเอ๋อร์เป็นเช่นไรก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถิด ข้าจะไปถามนางดู หากนางเต็มใจออกไปข้างนอก ข้าก็จะพานางไปด้วย แต่หากไม่เต็มใจ ถึงบังคับออกไปก็พาลจะทำลายบรรยากาศงานชมบุปผาเปล่าๆ หากนางเข้ากับบรรดาคุณหนูในเมืองไม่ได้ รู้สึกอึดอัด เช่นนั้นมิสู้ไม่ต้องไป”  

 

 

           “ก็จริง แล้วแต่เจ้าแล้วกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือ  

 

 

           ทั้งสองกำลังคุยกัน เซี่ยอีก็วิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาจากด้านนอก ท่าทางมีความสุขยิ่งนัก ตัวคนยังมาไม่ถึง เสียงก็ดังเข้ามาก่อนแล้ว “ท่านแม่ ข้าได้ยินว่าพี่ฟางหวาส่งเทียบเชิญมาให้ข้าหรือ ใช่หรือไม่ อยู่ที่ใดเล่า อยู่ที่ใด รีบนำมาให้ข้าดูหน่อย”  

 

 

           “พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา* [1]  เด็กบ้าคนนี้” ฮูหยินหมิงตำหนิติดตลกประโยคหนึ่ง เห็นนางเข้ามาก็ยื่นเทียบเชิญให้ “อยู่ตรงนี้ เจ้าอ่านดูเองเถอะ”  

 

 

           “ไอ้หยา เป็นเทียบเชิญจริงด้วย งานชมบุปผาสินะ ข้าเคยไปงานชมบุปผาในจวนอิงชินอ๋องเพียงครั้งเดียวเมื่อสามปีก่อน ต่อมาท่านแม่ก็ไม่อยากพาข้าออกไปอีก กลัวว่าข้าวางตัวไม่สุขุมจนเป็นที่น่าขายหน้า สองปีมานี้จึงจำกัดข้าเรียนรู้กฎระเบียบภายในจวน ล้วนไม่ให้ข้าไปอีกเลย” เซี่ยอีถือเทียบเชิญพลิกซ้ายแลขวา ชอบมากจนวางไม่ลง “ตัวอักษรที่พี่ฟางหวาเขียนช่างสวยงามนัก ท่านแม่ นี่เป็นเทียบเชิญที่พี่ฟางหวาเขียนให้ข้าเอง ท่านคงมิได้ห้ามข้าหรอกกระมัง เช้าวันนี้นางบอกว่าถ้ามีเวลาว่างจะชวนข้าไปเที่ยวเล่นในจวน ไม่นึกเลยว่าพรุ่งนี้ก็เชิญข้าไปแล้ว ดียิ่งนัก”  

 

 

           “เจ้าไปเถอะ แต่ข้าไปด้วย หากพี่สาวเจ้าตกลง ก็พานางไปด้วยเช่นกัน” ฮูหยินหมิงหลุดยิ้ม   

 

 

           “ดีเลย ข้าจะไปหาท่านพี่ ถามดูว่านางไปด้วยหรือไม่” เซี่ยอีถือเทียบเชิญแล้วหันหลังวิ่งออกไปอีกครั้ง ขณะเดินออกไปได้สองก้าวก็หันตัวกลับมา คว้าแขนซื่อฮว่า ยิ้มถามว่า “เจ้ายังมีธุระที่จะคุยกับท่านแม่อีกหรือไม่”  

 

 

           ซื่อฮว่ายิ้มพลางส่ายหน้า “เรียนคุณหนูอี บ่าวไม่มีธุระอื่นแล้ว มาเพื่อส่งเทียบเชิญเจ้าค่ะ”  

 

 

           “เช่นนั้นข้าไปส่งเจ้ากลับจวน” เซี่ยอีดึงนางเดินออกไปด้านนอก  

 

 

           ซื่อฮว่าไม่ทันได้บอกลาฮูหยินหมิง ทำได้เพียงยิ้มเมื่อถูกอีกฝ่ายลากออกไป  

 

 

 

 

 

[1]  *พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หมายถึง เมื่อกำลังพูดถึงใครอยู่ คนนั้นก็มาหรือปรากฏตัวพอดี  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด