จารใจรัก 3-1 เป็นตายด้วยกัน

Now you are reading จารใจรัก Chapter 3-1 เป็นตายด้วยกัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

           จะขึ้นสวรรค์หรือตกลงสู่ปรโลก ก็เป็นตายไปด้วยกัน  

 

 

           เซี่ยฟางหวาหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาไหลพรากลงมา ชาติก่อนนางรักไม่ผิดคนอย่างไร ชาตินี้ก็ยังคงรักไม่ผิดคนเช่นเดิม  

 

 

           ทั้งสองชาติล้วนเป็นฉินเจิง  

 

 

           ทว่ามนุษย์ต่อสู้กับสวรรค์ ต่อสู้กับโชคชะตา ต่อสู้กับวาสนา จะต่อสู้ได้หรือไม่ บิดามารดาของนางมิใช่ว่าต่อต้านไม่ไหว ท้ายที่สุดก็จบชีวิตลงหรือ เพียงแต่ไม่นึกเสียใจในตอนสุดท้ายก็เท่านั้น  

 

 

           ฉินเจิงมองนาง เห็นน้ำตาร่วงหล่นลงมาจึงยื่นมือไปรองรับเชื่องช้า หยาดน้ำตาตกลงบนกลางฝ่ามือเขา พลันเหมือนวางน้ำร้อนเดือดกลางฝ่ามือ ลวกลามไปจนถึงจิตใจ มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ยิ่งเห็นว่านางร้องไห้หนักขึ้น ชั่วพริบตาฝ่ามือเขาก็เปียกชุ่ม ใบหน้าเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวด เจ็บแปลบบริเวณหัวใจ ทว่าก็ยังควบคุมอารมณ์เอ่ยปากขึ้น “น้ำตามากถึงเพียงนี้ หากยังไหลต่อไป คงพอนำไปตุ๋นไก่ได้”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาตีเขา  

 

 

           ฉินเจิงโน้มกายเข้าใกล้ ยิ้มกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้าอย่าร้องไห้ อย่าเมินเฉยข้า อย่าเอาแต่พร่ำบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว และห้ามไปเป็นฮองเฮาของฉินอวี้ แค่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ ข้าก็จะปล่อยให้เจ้าตีตามใจชอบ”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดิมทีอยากตีอีกฝ่ายเพื่อระบายโทสะ แต่เมื่อได้ยินคำพูดเขากลับตีไม่ลง ชักมือกลับมา  

 

 

           “ตีไม่ลงใช่ไหม” ฉินเจิงมองนาง เงยหน้าถามด้วยรอยยิ้ม   

 

 

           เซี่ยฟางหวาสะบัดหน้าหนี  

 

 

           ฉินเจิงกอดนางแนบอก ทอดถอนใจกล่าว “หลายวันนี้เจ้าทรมานข้าจนกินมิได้นอนไม่หลับ ตอนนี้เราเปิดอกคุยกันเข้าใจแล้ว นับจากนี้ห้ามเจ้าไปจากข้าอีก”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาหยุดร้องไห้ ตวัดตามองเขา  

 

 

           “ตกลงหรือไม่” ฉินเจิงก้มหน้ามองนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่า “หากยังมีอีกครั้ง ข้าคงทนไม่ไหวจริงๆ แล้ว ชาตินี้เจ้าอยู่ที่เขาไร้นามนานถึงแปดปี ข้าเฝ้ารอเจ้ากลับมา รอจนเจ็บปวดใจไปหมด ต่อมาเพื่อหยุดยั้งมิให้เซี่ยอวิ๋นหลานพาเจ้าไปจึงยิงธนูสามดอกใส่เจ้า ข้าเกือบจะสงสัยตัวเองแล้วว่าการบังคับให้เจ้าอยู่กับข้านั้นเป็นเรื่องผิด ถึงอย่างไรหากว่าตามกฎเผ่าภูตผีและสวรรค์ลิขิตแล้ว เจ้ากับเซี่ยอวิ๋นหลานอยู่ด้วยกันถึงจะสงบสุขปลอดภัย ส่วนข้ามีแต่จะทำร้ายเจ้า ต่อมาพบว่าความทรงจำเจ้าค่อยๆ ฟื้นกลับมา ใบหน้ากลับปราศจากรอยยิ้ม ความคิดหนักแน่นลึกล้ำขึ้น ข้าตื่นตระหนกมาตลอด กลัวว่าเจ้าจะทอดทิ้งข้าไป ทว่ากลัวสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้น เจ้าตัดสินใจให้เสด็จอาออกหนังสือหย่าร้าง ระหว่างนั้นก็กลับมาพร้อมฉินอวี้ อยู่ในตำหนักบรรทมของเขา จะเป็นฮองเฮาของเขา ใต้หล้าเริ่มลือกันหนาหูว่าพวกเจ้าสมกันดั่งกิ่งทองใบหยก วาสนาต้องกัน ตอนที่ข้าได้ยินนั้นแทบอยากจะฆ่าฉินอวี้…”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปากเงียบ  

 

 

           ฉินเจิงกล่าวพลาง แฝงด้วยความโกรธเคือง “เพื่อหยุดยั้งข้ากลับเมือง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะร่วมมือกับฉินอวี้ ส่งคนนับไม่ถ้วนมาสกัดข้าระหว่างทางอย่างสุดชีวิต…”  

 

 

           ในที่สุดเซี่ยฟางหวาก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้าหลุดจากการสกัดนับไม่ถ้วนกลับเมืองมาได้อย่างไร”  

 

 

           “เซี่ยอวิ๋นหลานกับเซี่ยอวิ๋นจี้ช่วยข้ารับมือคนของฉินอวี้” ฉินเจิงพลันยกมือเขกหน้าผากนาง เอ่ยขึ้นอย่างแค้นเคืองระคนจนใจ “เจ้าใจคอโหดเ**้ยมนัก เหยียนเฉินสมกับที่เป็นสหายรู้ใจเจ้า เขาทุ่มเทสุดความสามารถเพื่อหยุดข้า ไม่ออมมือให้แม้แต่น้อย สำนักเทียนจีเก๋อก็ทุ่มสุดกำลังเช่นกัน หากมิใช่ข้าคาดการณ์ล่วงหน้า เชิญฉีอวิ๋นเสวี่ยมารับมือเขา จนป่านนี้ข้าคงยังกลับเมืองมามิได้”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาพูดไม่ออกพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้น “นึกไม่ถึงว่าเจ้าเชิญฉีอวิ๋นเสวี่ยมารับมือเหยียนเฉิน นางเป็นองค์หญิงเป่ยฉีนะ”  

 

 

           ฉินเจิงแค่นหัวเราะ “ตำแหน่งองค์หญิงเป่ยฉีของนางก็เหมือนกับตำแหน่งพระมาตุลาเป่ยฉีของเหยียนเฉิน มิได้เติบโตมาในเมืองหลวงเป่ยฉีอันรุ่งเรือง ฐานะนั้นสำหรับพวกเขาเป็นเพียงแค่ฐานะเท่านั้น มีหรือไม่มีก็ย่อมได้” หยุดชั่วครู่แล้วหลุดยิ้มกล่าว “แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเขาช่างเหมาะสมกันนัก จึงฉวยโอกาสนี้จับคู่พวกเขา”  

 

 

           เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เอ่ยคำใด  

 

 

           ฉินเจิงคลายอ้อมกอด หันหน้านางมองตรง กล่าวอย่างจริงจัง “รับปากข้า ต่อให้มีจุดจบเหมือนพ่อตาแม่ยาย ชาตินี้ความรู้สึกของเรายังคงลึกซึ้งไร้อายุขัย แต่อย่าได้ไปจากข้า หรือลั่นวาจาทอดทิ้งกันง่ายๆ อีกได้หรือไม่ บนโลกนี้มีนักพรตจื่ออวิ๋นเพียงคนเดียว และได้สละชีวิตเพื่อแก้ไขโชคชะตาให้พวกเราแล้ว หากในชาตินี้เจ้ากับข้าเดินทางผิดอีก มิอาจปกป้องกันและกันได้ ข้ามิอาจหาท่านอาจารย์คนที่สองมาแก้ไขโชคชะตาเพื่อกลับมาเกิดใหม่อีกชาติได้แล้ว”  

 

 

           เซี่ยฟางหวากัดริมฝีปาก  

 

 

           “ทั่วใต้หล้าข้าต้องการเซี่ยฟางหวาเพียงคนเดียว แผ่นดินหนานฉินถึงแม้กลายเป็นเถ้าถ่าน ข้าก็ต้องการเซี่ยฟางหวาคนเดียวเช่นกัน” ฉินเจิงกล่าวด้วยความจริงจังอีกหน  

 

 

           เซี่ยฟางหวาหลับตาลง  

 

 

           ฉินเจิงมองนาง กระชับข้อมือแน่นขึ้น น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยแฝงไปด้วยความเว้าวอน “ตกลงหรือไม่”  

 

 

           เซี่ยฟางหวายกมือปิดหน้า  

 

 

           ฉินเจิงดึงมือนางออก จ้องมองนาง บีบคั้นให้นางแสดงออก  

 

 

           ผ่านไปเป็นนานเซี่ยฟางหวาก็ลืมตาขึ้นเชื่องช้า ก่อนพยักหน้าตกลง น้ำเสียงที่ตอบรับนั้นค่อนข้างสั่นเครือ “ตกลง”  

 

 

           ฉินเจิงระบายยิ้มกว้างทันใด ใบหน้าหล่อเหลาแพรวพราวสะดุดตา เขากอดนางแน่นในอ้อมอกดุจสมบัติล้ำค่าที่สูญเสียไปทว่าได้กลับคืนมา หากจะมีสมบัติล้ำค่ายิ่งว่าสมบัติใดๆ ก็คือสตรีในอ้อมอกตนผู้นี้  

 

 

           สิ่งที่เขาเฝ้าแสวงหามาตลอดสองชาติมีเพียงสตรีในอ้อมอกผู้นี้เท่านั้น  

 

 

           ความสุขอัดล้นทรวงอกชั่วเวลานั้น ห้องห้องนี้สว่างเจิดจ้าเพราะความดีใจของเขา  

 

 

           เซี่ยฟางหวาผ่อนคลายร่างกายที่แข็งทื่อ ปล่อยให้เขากอดอย่างนุ่มนวล ความทอดถอนใจและความ  

 

 

โล่งอกอันนับไม่ถ้วนพลันบังเกิดขึ้นในใจนาง นางใช้ความกล้าหาญและพลังอย่างมากในการตัดสินใจ ทว่าก็พังทลายลงจนไม่เหลือชิ้นดีเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา  

 

 

           นี่คือฉินเจิง  

 

 

           ผู้ที่สลักลงในก้นบึ้งหัวใจนางเมื่อชาติก่อน  

 

 

           ผู้ที่ถึงแม้ต้องตายก็ปล่อยมือไม่ลง  

 

 

           ต่อให้ได้ยินข่าวลือนอกลำน้ำสวินสุ่ยว่าท่านอ๋องน้อยฉินเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋องทำเพื่อแผ่นดินหนานฉินอย่างไร เกี่ยวข้องกับคุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาอย่างไร นางก็โกรธเคืองเขาไม่ลงเช่นกัน ตอนนั้นเพียงคิดว่าโชคชะตากลั่นแกล้ง สวรรค์รังแกมนุษย์  

 

 

           ชาติก่อน นางเพียงเกลียดตนเองที่เป็นคุณหนูเซี่ยฟางหวาแห่งจวนจงหย่งโหว เกลียดตัวเองก็มิใช่คุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา  

 

 

           เกลียดที่มิอาจอยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่าไปด้วยกันกับเขาได้  

 

 

           ครั้นลืมตาอีกครั้ง ไม่คิดเลยว่ากลับลืมเรื่องราวในอดีตชาติ ลืมบุญคุณความแค้นและความรักสิ้นเชิง  

 

 

           ราวกับเหตุการณ์จวนจงหย่งโหวและตระกูลเซี่ยในชาติก่อนล่มสลายลง ตลอดหลายปีที่นางกับเซี่ยอวิ๋นหลานมีแต่ความลำบากอ้างว้างต้องคอยพึ่งพาอาศัยกันในลำน้ำสวินสุ่ย ยามนี้เมื่อนึกถึงมันก็มิได้ทรมานใจจนแทบแตกสลายขนาดนั้นแล้ว  

 

 

           คนที่เคยหลงลืมไปก็ยังคงเป็นคนที่จดจำได้เสมอมา  

 

 

           นางยากจะนึกภาพออกว่า ชาติก่อนยามที่ฉินเจิงหาลำน้ำสวินสุ่ยพบและเห็นนางกับเซี่ยอวิ๋นหลานนอนสิ้นใจจมกองเลือดนั้นเขามีท่าทางเช่นไร เขาขอให้อาจารย์ของเขาแก้ไขโชคชะตาอย่างไร การจะฝืนลิขิตสวรรค์แก้ไขโชคชะตานั้นต้องให้เฉียนและคุนกลับทิศทางกัน ทำให้ดวงดาราเคลื่อนย้อนกลับ มีหรือจะง่ายดายเช่นนั้น แล้วเขาทำเช่นไรถึงได้ทำเป็นไม่มีความทรงจำทั้งที่จดจำได้ทุกภาพเหตุการณ์ การรอคอยกว่าแปดเก้าปี กี่คืนวันที่รอนางกลับมา ทั้งยังปิดกั้นความทรงจำของนาง ทำให้นางโง่เขลาไม่รับรู้ความใด…  

 

 

           และยิ่งยากจะนึกภาพออกว่า ทั้งที่เขาทราบเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เต็มอก กลับวางแผนลับๆ อย่างไร ต้องทุ่มเทความยากลำบากมากแค่ไหน เพื่อรักษาสมดุลสถานการณ์ในหนานฉินอย่างไร้สุ้มเสียง และใช้จวน  

 

 

อิงชินอ๋องมาถ่วงสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างราชสำนักหนานฉินกับจวนจงหย่งโหวและตระกูลเซี่ย…  

 

 

           ฉินเจิงเขาแบกรับไว้หนักหนาเท่าไร…  

 

 

           นางเคยคิดว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นผลดีกับเขา จนกระทั่งเขาบอกความจริง ขณะเดียวกันที่เปิดเผยความหนักอึ้งที่ต้องแบกรับเอาไว้ ทำให้นางเข้าใจถ่องแท้ว่า การทอดทิ้งโดยไม่ปรึกษาใครนั้นมิได้เป็นการดีต่อเขาเลย  

 

 

           นางเคยคิดว่าแผ่นดินหนานฉินสำคัญกับเขาเท่าชีวิต และสำคัญกว่านาง ทว่าก็คิดผิด  

 

 

           นางไม่เคยเข้าใจฉินเจิงอย่างแท้จริงเลย  

 

 

           นางคิดว่าสิ่งที่ฉินเจิงต้องการคือตนในชาติก่อน ทว่าความจริงแล้วนางคิดผิด เป็นความทรงจำของนางที่ยังหยุดอยู่บนตัวเขาในชาติก่อน  

 

 

           ชาติก่อน คุณชายสายตรงแห่งจวนอิงชินอ๋อง หลานชายแท้ๆ ของฝ่าบาท หลานชายแท้ๆ ของไทเฮา ทายาทเพียงคนเดียวของพระชายา ยังมีตระกูลหวางกับตระกูลชุยแห่งชิงเหอสองตระกูลใหญ่คอยหนุนหลัง มีฐานะสูงศักดิ์ อยู่เหนือเหล่าองค์ชายและคุณชายในลูกหลานราชวงศ์และราชนิกุล เป็นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าหล่อเหลาล้ำเลิศ ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ้งเฟ้อ ท่วงท่าสง่างามกระทำตามอำเภอใจ ท่ามกลางเมืองหลวงอันรุ่งเรือง เหล่าคุณชายต่างแย่งกันตามติดด้วยความริษยา คุณหนูในหอนอนต่างแย่งกันรักชื่นชม  

 

 

           ฉินเจิงในตอนนั้น มีบุคลิกเป็นหนึ่งมิเป็นสองภายใต้หนานฉินที่เจริญรุ่งเรืองมากว่าสามร้อยปี  

 

 

           ชาติก่อน เขากับฉินอวี้แม้ไม่ลงรอยกัน ทว่าก็มิได้ทะเลาะกันถึงขั้นเป็นที่รู้กันไปทั่ว หากแต่รู้จักสำรวม  

 

 

           ชาติก่อน แม้เขาไม่เอาจริงเอาจังตั้งแต่วัยเยาว์ ทว่ามิได้มีนิสัยอย่างไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับ โอ้อวดเผด็จการ เหยียดหยามสรรพสิ่งเหมือนที่วิจารณ์กันในตอนนี้  

 

 

           ชาติก่อน เขามีทาสรับใช้บริวารเข้าออกเป็นว่าเล่น มิทันไรก็ทะลุถึงพันคน เป็นอนุชนผู้มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ กระทำตามอำเภอใจอย่างสุดโต่ง แสดงฐานะแจ่มชัดในทุกทาง  

 

 

           ….  

 

 

           ชาตินี้ เขาไล่ทาสรับใช้ออกจากเรือนลั่วเหมยตั้งแต่แปดขวบ ไล่คนปรนนิบัติทั้งหมดออกเหลือไว้เพียงทิงเหยียน เขากับฉินอวี้ไม่ลงรอยกันจนเป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้า เขากล้าเหยียบข้ามรถม้าเสนาบดีฝ่ายซ้าย หยิ่งทระนงจนเข้าขั้นกำเริบเสิบสาน  

 

 

           ชาตินี้ ความอวดตนของเขาล้วนมีไว้เพื่อสิ่งที่ตนประสงค์ ลับหลังกลับปิดบังความรับผิดชอบและภาระอันหนักอึ้งของเขา  

 

 

           ความรับผิดชอบนี้คือรากฐานแผ่นดินหนานฉิน  

 

 

           ภาระนี้ก็คือนาง  

 

 

           ทั้งหมดล้วนแบกอยู่บนกายเขา  

 

 

           นางเข้าใจได้ว่าหากรากฐานแผ่นดินหนานฉินพังทลายลง เขาจะต้องเสียใจมากเป็นแน่ ทว่าไม่เคยเข้าใจว่าหากไม่มีนาง เขาก็เสียใจจนไม่ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่เช่นกัน  

 

 

           ชาตินี้ สิ่งที่ฉินเจิงมอบให้นาง ล้วนเป็นการแสดงออกของเขาที่ทำให้นางเห็นชัด  

 

 

           เซี่ยฟางหวาปวดใจ โดยมิรู้ตัวน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด