จารใจรัก 106-2 พระราชโองการสั่งเสีย

Now you are reading จารใจรัก Chapter 106-2 พระราชโองการสั่งเสีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซี่ยฟางหวาออกมาจากในตำหนัก พบฉินอวี้ที่ถือพระราชโองการสั่งเสียในมือกำลังรออยู่หน้าประตู รวมไปถึงอิงชินอ๋องกับพระชายาที่อู๋เฉวียนไปเชิญมาด้วยตนเองด้วย

 

 

ทั้งสามยืนอยู่นอกตำหนักด้วยความสงบ ประตูตำหนักมิได้ปิดไว้ มิทราบว่าพวกเขามายืนรออยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อใด และมิทราบว่าถ้อยคำเมื่อครู่นั้นพวกเขาได้ยินไปมากแค่ไหน

 

 

เซี่ยฟางหวามองทั้งสาม ก่อนทำความเคารพอิงชินอ๋องกับพระชายา “ท่านอ๋อง พระชายา”

 

 

อิงชินอ๋องพยักหน้า

 

 

พระชายาอิงชินอ๋องอ้าปากค้าง ผ่านไปเนิ่นนานถึงหาเสียงพบ “หวาเอ๋อร์ เจ้า…”

 

 

“ข้าสบายดี ท่านรักษาตัวด้วย” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็หันไปกล่าวกับฉินอวี้ “จัดที่พักในวังหลวงให้ข้าแล้วกระมัง”

 

 

ฉินอวี้พยักหน้า ก่อนตวัดมือเรียกคนมาสั่งงาน “พาคุณหนูฟางหวาไปพักในตำหนักข้าที่เตรียมไว้ ต้อนรับอย่างดี อย่าได้ละเลย”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” คนผู้นั้นผงกศีรษะรับ ก่อนกล่าวด้วยความเคารพ “คุณหนูฟางหวา เชิญตามบ่าวมา”

 

 

เซี่ยฟางหวาพยักหน้า คนผู้นั้นเดินนำทางข้างหน้า นางค่อยๆ ก้าวเท้าตามไปอย่างเชื่องช้า

 

 

ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเดินตามหลังนางขนาบซ้ายขวา

 

 

พระชายาก้าวขึ้นมาคิดอยากเอ่ยรั้ง ทว่าอิงชินอ๋องคว้ามือนางแล้วส่ายหน้าปราม นางจึงหยุดเท้าลง

 

 

อู๋เฉวียนลอบละสายตากลับมา เลิกม่านเข้าในตำหนัก ก่อนทูลรายงานขึ้น “ฝ่าบาท รัชทายาท ท่านอ๋อง และพระชายามาถึงแล้ว กำลังรออยู่ข้างนอกพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ให้พวกเขาเข้ามา” ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์อย่างไร้เรี่ยวแรง

 

 

อู๋เฉวียนเดินออกมาเชิญทั้งสามเข้าไปข้างใน

 

 

ฉินอวี้ อิงชินอ๋อง และพระชายาเข้าไปในตำหนัก

 

 

ฮ่องเต้หยุดสายตาลงบนกายพระชายาอิงชินอ๋อง แววตาเลื่อนลอยไกลออกไป คล้ายกำลังทรงมองนาง และคล้ายมองผ่านนางไป

 

 

พระชายาอิงชินอ๋องหยุดเท้าชะงัก มองฮ่องเต้จากระยะไกล เมื่อเห็นสภาพของพระองค์แล้วก็พลันหวนนึกถึงเมื่อตอนนั้น ความเจ็บปวดที่ไม่เคยมีมานานหลายปีทะลักออกมา

 

 

อิงชินอ๋องราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้ มิได้ส่งเสียงใด

 

 

ฉินอวี้เองก็มิได้ส่งเสียงใดเช่นกัน

 

 

ผ่านไปพักหนึ่ง แววตาของฮ่องเต้ก็ค่อยๆ กระจ่างใสขึ้น เลื่อนสายตากลับมาตรัสกับอิงชินอ๋อง “ท่านพี่ ท่านมีโชคชะตา วาสนา และชีวิตดีกว่าเรามาก”

 

 

“น้องกล่าวถูกแล้ว” อิงชินอ๋องพยักหน้า

 

 

“ตลอดชีวิตนี้ เรามีฐานะเป็นฮ่องเต้แต่ก็เอาแต่อิจฉาผู้อื่น ครึ่งชีวิตแรกก็อิจฉาเซี่ยอิง ครึ่งชีวิตหลังก็อิจฉาท่าน” ฮ่องเต้ตรัสอีก “ตอนนี้เรามาถึงนาทีสุดท้ายแล้ว นับว่าหลุดพ้นเสียที”

 

 

“น้องอย่าเพิ่งท้อ อาการประชวรของเจ้าต้องหายดีแน่” อิงชินอ๋องรีบกล่าวด้วยตาแดงก่ำ

 

 

ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์ “ท่านพี่มีเมตตากรุณา ใจบุญสุนทาน หลายปีมานี้ต่อให้ทราบว่าเราถวิลหาจื่อชิงตลอดมา ท่านก็ไม่แม้แต่จะสอดปากสักครึ่งคำ ทุ่มเททุกสิ่งให้แผ่นดินหนานฉินเพื่อให้เราเป็นฮ่องเต้ที่ดี เรียกได้ว่ายอมอุทิศตัวเอง และด้วยเหตุผลนี้เอง หลายปีที่ผ่านมาต่อให้เราคิดรับมือตระกูลเซี่ยทุกคืนวัน คิดกำจัดตระกูลเซี่ย แต่ก็มิเคยคิดลงมือกับจวนอิงชินอ๋องมาก่อน มิใช่เพียงเพราะอิงชินอ๋องมีสตรีที่เรารักอาศัยอยู่”

 

 

อิงชินอ๋องอ้าปากค้าง มิได้เอ่ยคำใดออกมา

 

 

“มีท่านอยู่ ถึงแม้หนานฉินในตอนนี้ปั่นป่วนและถูกรุกรานจากภายนอก ต่อให้เราจากไปแล้ว ถึงอยู่ในปรโลกก็สบายใจแล้วเช่นกัน” ฮ่องเต้ตรัสอีก “เราฝากรัชทายาทกับแผ่นดินหนานฉินนี้ไว้กับท่านแล้ว”

 

 

“น้องพี่” ในที่สุดอิงชินอ๋องก็ทนมิไหว น้ำตาไหลออกมา

 

 

“ท่านเห็นรัชทายาทเติบโตมา แม้เขากับเจ้าเจิงต่างไม่ลงรอยกัน แต่หากเป็นเรื่องสำคัญก็มิเคยเลอะเลือน” ฮ่องเต้ตรัสจบก็ถอยหายใจออกมา “ยังไม่มีข่าวคราวของเจ้าเจิงอีกหรือ”

 

 

“ยังเลย” อิงชินอ๋องส่ายหน้า

 

 

“เราให้ท้ายเขาตลอดมาก็จริง แต่ก็ชอบเขาด้วยเช่นกัน ในราชวงศ์มีคนต้นแบบอยู่มากมาย แต่คนที่เย่อหยิ่ง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ โอ้อวด ไม่เอาจริงเอาจังอย่างที่สุดกลับมีน้อยมาก” ฝ่าบาทตรัสอีก “ดูท่าคงมิได้พบหน้าเขาครั้งสุดท้ายแล้ว หลังเขากลับมา ให้เขาเผากระดาษสองแผ่นต่อหน้าสุสานเราด้วย พร้อมจุดธูปหนึ่งดอก เท่านี้ก็ไม่เสียแรงที่เราให้ท้ายเขามาหลายปีถึงเพียงนี้”

 

 

“ในใจเขาระลึกถึงสิ่งที่เสด็จอาดีกับเขาได้ มิใช่ไม่รู้ความจริงๆ ข้าจะ…บอกเขาให้” อิงชินอ๋องพยักหน้าทั้งน้ำตา

 

 

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก่อนมองไปยังฉินอวี้

 

 

“เสด็จพ่อ” ฉินอวี้คุกเข่าหน้าแท่นบรรทมอีกครั้ง ยื่นพระราชโองการให้พระองค์ “ลูกนำมาแล้ว”

 

 

ฮ่องเต้มองพระราชโองการที่ยังมิได้เปิดออก ก่อนตรัสถามเขา “เจ้ายังไม่เปิดดูหรือ”

 

 

ฉินอวี้ส่ายหน้า

 

 

“หากเราตอบรับคำขอร้องของเจ้า แต่ถอนตำแหน่งรัชทายาท ไม่ยกแผ่นดินหนานฉินให้เจ้าเล่า” ฮ่องเต้ทรงมองเขา

 

 

“ลูกมิเสียใจ” ฉินอวี้ก้มหน้าลง

 

 

“มิเสียใจก็ดี” ฮ่องเต้ถอนหายใจออกมา “เจ้าเปิดพระราชโองการดู”

 

 

ฉินอวี้รับคำ ก่อนค่อยๆ เปิดพระราชโองการอ่าน

 

 

เบื้องหน้าเป็นพระราชโองการสั่งเสียของฮ่องเต้ รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ แต่งตั้งอิงชินอ๋องเป็นอ๋องช่วยบริหารแผ่นดิน

 

 

“เสด็จพ่อ…” ฉินอวี้ถือพระราชโองการสั่งเสียพลางมองฝ่าบาท

 

 

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ ก่อนตรัสกับอู๋เฉวียน “เราได้ยินเสียงข้างนอก พวกเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับขวามากันแล้วใช่หรือไม่ ให้พวกเขาเข้ามา”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” อู๋เฉวียนรีบออกไป

 

 

นอกตำหนักเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา หย่งคังโหว ผู้ตรวจการ ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลินและขุนนางตำแหน่งสำคัญในราชสำนักดังคาด รวมถึงฮองเฮา หลินไท่เฟย องค์ชายแปด และองค์ชายน้อยกับองค์หญิงหลายท่านที่ทราบข่าวต่างมาถึงแล้ว และกำลังรออยู่นอกตำหนัก

 

 

หลังอู๋เฉวียนออกไปก็นำทุกคนเข้ามาในตำหนักบรรทม

 

 

ตำหนักบรรทมฮ่องเต้ที่เคยกว้างขวางเบียดเสียดไปด้วยผู้คนจำนวนหนึ่งทันที

 

 

ฮ่องเต้ปรายตามองทุกคนรอบหนึ่ง ก่อนเรียกฮองเฮามา “ฮองเฮา มานี่สิ”

 

 

“ฝ่าบาท” ฮองเฮามีพระเนตรบวมช้ำ ราวกับกลั้นความรู้สึกเต็มที่ ทรงเดินไปข้างพระวรกายฮ่องเต้

 

 

ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์กุมมือนาง “หลายปีที่ผ่านมา เราขอโทษเจ้าด้วย”

 

 

“ฝ่าบาท…” ในที่สุดฮองเฮาก็ร้องไห้ออกมาเพราะทนมิไหว ถึงอย่างไรนางก็ชอบฮ่องเต้จากใจจริง ถึงแม้วันก่อนฮ่องเต้มิทรงพบนาง แม้ในใจนางแค้นเคือง แต่ก่อนที่จะจากลากันตลอดกาล ที่สุดแล้วก็สะกดกลั้นมิอยู่ มิได้บรรทมเลยตลอดคืน กระทั่งมีคนไปเชิญและบอกว่าฮ่องเต้ทรงเรียกหานาง นางจึงเสด็จมา

 

 

“เจ้าเป็นสตรีที่ดี เพียงแต่ต้องออกเรือนกับเรา ย้ายเข้ามาอยู่ในวังหลวงแห่งนี้จึงทุกข์ทรมานมาหลายปี หลังจากนี้พอเราไปแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้ว จงเป็นไทเฮาอย่างสบายใจและมีความสุขเถิด” ฮ่องเต้ทรงลูบมือนาง

 

 

ฮองเฮาร้องไห้หนักด้วยความเศร้าใจ

 

 

ฮ่องเต้อยากยื่นพระหัตถ์ไปลูบศีรษะนางเพื่อปลอบประโลม กลับยกพระหัตถ์ไม่ไหวแล้ว จึงถือโอกาสนี้มองไปยังไท่เฟย “ไท่เฟย ท่านถูกกักขังอยู่ในวังหลวงมาทั้งชีวิตแล้ว องค์ชายแปดแม้ยังไม่ถึงวัยที่จะออกไปสร้างจวนข้างนอก แต่ครั้งนี้เราอนุญาตให้เขาออกไปสร้างจวนได้ก่อน ท่านย้ายออกไปอยู่ในจวนองค์ชายแปดแล้วใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบเถิด”

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” ไท่เฟยเองก็ร้องไห้เช่นกัน

 

 

“องค์ชายแปดก็ต้องกตัญญูต่อไท่เฟย หากไม่มีนางก็ไม่มีเจ้า” ฮ่องเต้ตรัสอีก

 

 

“ลูกน้อมรับพระประสงค์ของเสด็จพ่อ” ฉินชิงก็ปล่อยน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างทนไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกลั้นเสียงสะอื้นมิให้เล็ดลอดออกมา

 

 

“เสนาบดีฝ่ายซ้าย เสนาบดีฝ่ายขวา หย่งคังโหว…” ฮ่องเต้ทรงมองไปยังขุนนางตำแหน่งสำคัญในราชสำนักตามลำดับ “เรามิใช่ฮ่องเต้ที่ดีนัก พันปีให้หลังมิได้สร้างคุณูปการอันใด ขุนนางทุกท่านติดตามเราก็มีแต่ประสบชื่อเสียงแง่ลบ เราขอโทษพวกเจ้าด้วย”

 

 

“ฝ่าบาท…” ทุกคนคุกเข่ากับพื้น ต่างโศกเศร้าอาดูร

 

 

“หลังเราตายไปรัชทายาทจะสืบทอดบัลลังก์ โองการสั่งเสียอยู่ในมือรัชทายาทแล้ว พวกเจ้าต้องคอยช่วยเหลือรัชทายาท รักษารากฐานแผ่นดินหนานฉินสืบต่อไป” ฮ่องเต้ตรัสพลาง น้ำเสียงพลันอ่อนแรงลง สิ้นกำลังจะประคับประคองต่อไป “เรา…ฝากแผ่นดินหนานฉินไว้กับพวกเจ้าแล้ว…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด