จารใจรัก 35-1 เลือกได้

Now you are reading จารใจรัก Chapter 35-1 เลือกได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

          ไม่ทำลายก็หยัดยืนใหม่ไม่ได้

 

 

           ฉินเจิงพลันมองเจิ้งเซี่ยวหยางด้วยความชื่นชมแวบหนึ่ง พยักหน้าชมเชยว่า “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางโง่เขลามาหลายรุ่นแล้ว หายากที่จะมีลูกหลานเข้าใจเรื่องความจงรักภักดี กตัญญู และคุณธรรมอย่างเจ้า”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตา “เห็นชัดว่าเจ้ากำลังชมผู้อื่นอยู่แท้ๆ แต่ไฉนฟังแล้วถึงได้รู้สึกไม่รื่นหูถึงเพียงนี้”

 

 

           ฉินเจิงถือไม้ก่อไฟเขี่ยท้องเตาครู่หนึ่ง ทำให้เปลวไฟในท้องเตาลุกโชติช่วงยิ่งกว่าเดิมเล็กน้อย “ดังนั้น เจ้าจึงแอบช่วยข้ากำจัดสายสอดแนมตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเงียบๆ มิให้ผู้นำตระกูลรู้เข้า ก็เพราะเหตุนี้”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางผงกศีรษะ “ท่านอ๋องน้อยเจิงมีอุบายร้ายกาจ หูตาว่องไว ข้าเดาว่าเจ้าน่าจะรู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงตั้งใจเข้าเมืองมารอเจรจาค้าขายกับเจ้าก่อน”

 

 

           “แผนเจรจาค้าขายของเจ้าดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ ไม่เพียงแต่ล่อข้ากลับเมือง ยังก่อคลื่นลมลูกใหญ่ในเมืองหลวงขึ้นอีก” ฉินเจิงมองเขา

 

 

           “เช่นนั้นตอนนี้ เจ้ายินดีจะทำการตกลงค้าขายนี้หรือยัง” เจิ้งเซี่ยวหยางเหลือบมองเขา

 

 

           ฉินเจิงผงกศีรษะ “ฟังรายละเอียดก่อน”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางหัวเราะขึ้นมาเสียงหนึ่ง “การเจรจาค้าขายนี้ สำหรับเจ้าแล้วมีแต่กำไรไม่ขาดทุน”

 

 

           ฉินเจิงหัวเราะเสียงหนึ่ง กล่าวโดยมิได้สนใจชื่อเสียงเงินทอง “การเจรจาค้าชายนี้เกี่ยวข้องกับแผ่นดิน ข้าเป็นเพียงแค่นายหน้าตัวแทนแผ่นดินหนานฉินมาคุยกับเจ้าเท่านั้น สำหรับข้า ไม่มีกำไรขาดทุนอันใด ถึงอย่างไรแผ่นดินก็ไม่ใช่ของข้า”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางกะพริบตาปริบ จ้องมองฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อยเจิงแม้แต่แผ่นดินหนานฉินยังไม่อยู่ในสายตา สิ่งที่ต้องการคืออันใดกันแน่ หรือว่าที่ลือกันนั้นเป็นจริง มีพระชายาน้อยคนเดียวที่เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในใจเจ้า อย่างอื่นล้วนเป็นดั่งฝุ่นละออง”

 

 

           ฉินเจิงชำเลืองมองเขา แววตาอ่อนโยนลงโดยพลัน “นางมิใช่แค่สิ่งล้ำค่า แต่เป็นเหมือนเลือดเนื้อและชีวิตของข้า”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางกระแอมขึ้น มองฉินเจิงพลางหัวเราะ “วันนี้ข้าได้พบพระชายาน้อยของเจ้าแล้ว โดดเด่นเหนือใครดังคาด” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “แต่ก็มิได้โดดเด่นถึงขั้นสำคัญดังที่เจ้าว่ากระมัง ถึงต่างจากสตรีอื่น แต่ก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่งเท่านั้น”

 

 

           ฉินเจิงออกแรงเขี่ยฟืนในท้องเตา แยกเปลวเพลิงที่อยู่รวมกันกระจายออกเป็นส่วน “นางประเสริฐมากเพียงใด คนอื่นไม่จำเป็นต้องรู้ ข้ารู้คนเดียวก็พอแล้ว”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตา พูดไม่ออกชั่วขณะ

 

 

           ฉินเจิงก็ไม่พูดอันใดอีก เพ่งสมาธิมองเปลวเพลิงที่ลุกไหม้กระจาย เสมือนแผ่นดินหนานฉินแห่งนี้ใกล้จะเกิดเพลิงไหม้ลุกลามไปทั่วก็มิปาน เหมือนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่เจิ้งเซี่ยวหยางพูด แผ่นดินหนานฉินมีรากฐานยาวนานกว่าสามร้อยปี อยู่ในจุดที่หากไม่ทำลายก็ยืนหยัดใหม่ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

 

           แต่นอกจากแผ่นดินหนานฉินแล้ว สิ่งที่กดทับจิตใจเขากลับเป็นเรื่องที่นางกับเขาพอจะได้รับความเมตตาจากกสวรรค์หรือไม่ จะได้ปกป้องกันและกันไปตลอดชาติหรือไม่

 

 

           ตั้งแต่คืนวาน เขาก็พบว่าตนมีกิเลสมากยิ่งขึ้น เมื่อก่อนคิดว่าร้ายแรงที่สุดก็แค่ตกลงสู่ปรโลกไปพร้อมกับนาง ทว่าตอนนี้เขาอยากอยู่กับนางไปจนแก่เฒ่า

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางนั่งข้างฉินเจิง เขาสัมผัสได้ถึงความหนักหน่วงที่จู่ๆ ก็ทะลักออกมาจากเบื้องหลังความอ่อนโยนนั้น ความหนักหน่วงนี้ดุจภูผากดทับไว้ชั่วพริบตา ชวนให้หายใจไม่ทั่วท้อง เขาจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “นี่ เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

 

 

           ฉินเจิงสลัดความหนักหน่วงนั้นไปโดยพลัน ตวัดตามองเขา

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางยิ่งแปลกใจ “เรื่องใดทำให้เจ้าดูแล้ว…ดูแล้ว…” เขากำลังหาคำจำกัดความ แต่ก็จำกัดความมิได้ จึงเกาศีรษะเก้อ มองเขาอย่างสื่อความหมายชัดเจนแม้พูดไม่ออก

 

 

           ฉินเจิงหันกลับไป พูดขึ้นว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางอยากกอกตาอีกหน แต่ก็ทนเอาไว้ ขยับเข้าใกล้แล้วพูดว่า “เราสองคนแม้มิได้มีไมตรีต่อกัน แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ถือว่าเป็นต้นกำเนิดไมตรีอันยิ่งใหญ่ เจ้าลองบอกข้ามา ไม่แน่ข้าอาจช่วยเจ้าก็เป็นได้”

 

 

           “คุณชายรองจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่นอกจากฝึกสุนัข ทำร้ายคนอื่น แย่งดอกไม้ ยังมีความสามารถอันใดอีก” ฉินเจิงพูดตามอำเภอใจ

 

 

           “เจ้ายังอยากให้คนอื่นเจรจาดีๆ ด้วยหรือไม่ มีคนช่างดูถูกคนอื่นเช่นเจ้าอีกไหม” เจิ้งเซี่ยวหยางถลึงตามอง

 

 

           ฉินเจิงหัวเราะ พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “พูดแบบนี้แล้วกัน หากชีวิตของข้ากับพระชายาน้อยล้วนรักษาไว้ไม่ได้ แผ่นดินหนานฉินสำหรับข้าแล้ว เจ้าคิดว่ายังมีสิ่งใดสำคัญอีกหรือไม่”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางตกใจ

 

 

           “มนุษย์ขอเพียงมีชีวิตต่อถึงจะคุยเรื่องอื่นได้ ไม่ใช่หรือ” ฉินเจิงพูดขึ้นอีก

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง หยั่งเชิงถามว่า “เจ้ากำลังบอกว่า เจ้ากับพระชายาน้อยของเจ้า…” พูดจบ เขาก็พลันกระจ่าง “อ๋า ข้านึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เข้าใจแล้ว มิน่าเล่า”

 

 

           ฉินเจิงผินหน้ามองเขาอีกหน

 

 

           “บางทีในมือข้าอาจมีสิ่งที่ช่วยเจ้ากับพระชายาน้อยของเจ้าได้จริงๆ” เจิ้งเซี่ยวหยางเล่นหูเล่นตาใส่เขา

 

 

           ฉินเจิงพลันหรี่ตาลง

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางคุยโวอย่างหน้าไม่อาย “หลายปีที่ผ่านมา ข้านอกจากชอบฝึกสุนัขและหยิบแผนที่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางขึ้นมาชมเล่นแล้ว ยังมีอีกสองสิ่งที่ค่อนข้างชอบเช่นกัน คือการสะสมตำราโบราณ รวมถึงสะสมของพิสดารล้ำค่า”

 

 

           ฉินเจิงมองเขา ไม่ส่งเสียงใด

 

 

           “เจ้าอย่าได้ดูถูกของพิสดารล้ำค่าที่ข้าสะสมไว้เชียว” เจิ้งเซี่ยวหยางเลิกคิ้วกล่าว “ของวิเศษอายุเกือบหมื่นปี ข้าก็มีชิ้นหนึ่งเช่นกัน ถึงนำความตายเกิดใหม่ไม่ได้ แต่น่าจะนำคนจากด่านประตูผีกลับมาได้ไม่มีปัญหา”

 

 

           “ของวิเศษอันใด” ฉินเจิงเริ่มเกิดความสนใจหลายส่วน

 

 

           “เป็นความบังเอิญ ข้าได้ของล้ำค่าจากเผ่าภูตผีมาชิ้นหนึ่ง ในตำราโบราณเขียนไว้ว่า ของล้ำค่าชิ้นนี้สามารถเปิดฟ้าดินนำพลังชีวิตกลับมา มีชีวิตยืนยาวไม่แก่เฒ่า” เจิ้งเซี่ยวหยางตอบอย่างเป็นความลับ

 

 

           “มีของล้ำค่าที่ทำให้ไม่แก่เฒ่าด้วยรึ” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ

 

 

           “เจ้ายังไม่เชื่ออีก” เจิ้งเซี่ยวหยางยอมไม่ได้ “เจ้าแสดงออกบ้าบออะไร ข้ากำลังหิวและคุยเรื่องการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของข้ากับเจ้า จริงจังกว่าตอนตอบตกลงท่านหญิงจินเยี่ยนเสียอีก” พูดจบ เขาก็โบกมือปัด “ช่างเถอะ เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดถึง ป้าอ้วน บะหมี่เสร็จหรือยัง ข้าหิวจะแย่แล้ว”

 

 

           “คุณชายรอง เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ป้าอ้วนตอบทันที

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางลุกขึ้นยืน ปัดเศษฟืนที่ติดตามตัวออกก่อนเดินไปที่หน้าหม้อ ชะโงกหน้ามองบะหมี่ที่กำลังเดือดปุดๆ ข้างใน เขาดมฟุดฟิดแล้วเอ่ยขึ้น “กลิ่นหอมเหลือเกิน”

 

 

           ป้าอ้วนตักบะหมี่ใส่ชามอย่างเบิกบาน พร้อมเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องน้อยชอบบะหมี่หยางชุนที่ข้าทำที่สุด”

 

 

           “เขาคงไม่อยากกินแล้ว มิสู้ยกให้ข้าทั้งหม้อ” เจิ้งเซี่ยวหยางบอก

 

 

           ป้าอ้วนมองฉินเจิง พบว่าเขากำลังมองท้องเตา ใบหน้าประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างเพราะถูกเปลวเพลิงส่อง นางจึงส่งเสียงเรียก “ท่านอ๋องน้อย”

 

 

           ฉินเจิงเงยหน้าขึ้น “ยกให้เขาเถอะ”

 

 

           “ท่านมิใช่หิวหรือเจ้าคะ” ป้าอ้วนชะงัก

 

 

           “ตอนนี้ไม่หิวแล้ว” ฉินเจิงตอบ

 

 

           ป้าอ้วนมองไปทางเจิ้งเซี่ยวหยาง

 

 

           “ข้าจะกินให้หมดเอง” เจิ้งเซี่ยวหยางดีใจทันที

 

 

           ป้าอ้วนยิ้มพลางพยักหน้า ตักบะหมี่หยางชุนให้เต็มทั้งสองชาม ถามเจิ้งเซี่ยวหยางว่า “คุณชายรอง ท่านจะทานตรงนี้หรือว่าออกไปทานข้างนอกเจ้าคะ”

 

 

           “ตรงนี้แหละ” เจิ้งเซี่ยวหยางยกชามบะหมี่ขึ้นมา เริ่มกินด้วยคำโต กินพลางชมพลาง “อร่อยจริงๆ”

 

 

           ป้าอ้วนหันไปมองฉินเจิง “ท่านอ๋องน้อย เช่นนั้น…ข้ารินน้ำให้ท่าน”

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า

 

 

           ป้าอ้วนรินน้ำอุ่นให้ฉินเจิงแก้วหนึ่ง

 

 

           ฉินเจิงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มสองอึกแล้ววางลง กล่าวกับเจิ้งเซี่ยวหยางว่า “พูดการเจรจาของข้ามา คิดจะทำอย่างไรต่อไป”

 

 

           “ไม่มีการเจรจาค้าขายอีกแล้ว” เจิ้งเซี่ยวหยางกินพลางส่ายหน้าตอบ

 

 

           ฉินเจิงเลิกคิ้วใส่เขา

 

 

           “ไม่คุยกับคนที่ดูถูกข้าวของของข้า” เจิ้งเซี่ยวหยางบอกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง

 

 

           ฉินเจิงพลันยิ้มออกมา ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเขา ก่อนแย่งบะหมี่อีกชามหนึ่งมา พร้อมยกตะเกียบขึ้น

 

 

           “นี่ เจ้ามิใช่บอกว่าไม่กินแล้วหรือ” เจิ้งเซี่ยวหยางห้ามเขาทันที

 

 

           “ตอนนี้ข้าอยากกินแล้ว” ฉินเจิงตอบ

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางตวัดฝ่ามือปัดตะเกียบในมือฉินเจิงออก แต่ฉินเจิงหลบอย่างคล่องแคล่ว เจิ้งเซี่ยวหยางออกกระบวนท่าอีกครั้ง ฉินเจิงตอบโต้กลับหนึ่งกระบวนท่า เจิ้งเซี่ยวหยางถูกโจมตีจนถอยร่นไปหลายก้าว ฝืนทรงตัวอย่างยากเย็น โมโหใส่เขาว่า “วิญญูชนไม่รักษาสัจจะ เป็นคนแบบไหนกันน่ะเจ้า”

 

 

           “คุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ทันทีที่เข้ามาในเมืองก็ปลุกปั่นเมืองหลวงจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ท่านหญิงจินเยี่ยนแม้เป็นผู้หญิง แต่กล้าสู่ขอในห้องโถง ย่อมกล้ายินยอมที่จะออกเรือนด้วย ตอนนี้เจ้าเป็นจวิ้นหม่าแห่งจวนองค์หญิงใหญ่ ใครจะกล้าดูถูกเจ้า” ฉินเจิงมองเขา

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตาขึ้นฟ้า แค่นเสียงในลำคอ

 

 

           ฉินเจิงวางบะหมี่หยางชุนชามนั้นลง เอ่ยถามเขา “นอกจากต้องการให้ตระกูลของเจ้าตั้งตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผยบนโลกแล้ว เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก”

 

 

           “ให้ฝ่าบาทของเรามอบตำแหน่งขุนนางอาลักษณ์กับข้า” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าว

 

 

           “ทั้งหมดที่เจ้าพูดมาคือต้องการตำแหน่งนี้ มีเจ้าดำรงตำแหน่งอาลักษณ์ เกรงว่าอนุชนรุ่นหลังคงไม่เชื่อมั่นในประวัติศาสตร์แล้ว” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ

 

 

           “ข้าอ่านตำรามานับหมื่นเล่ม จรดพู่กันดั่งเทพมังกร*[1]” เจิ้งเซี่ยวหยางโมโหจนสำลัก

 

 

           ฉินเจิงหันหลังกลับไปนั่ง

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางร้อง “นี่” ก่อนเคลื่อนกายมาขวางเขาไว้ “เจ้าหมายถึงอะไรกันแน่ ดูถูกข้าอีกแล้ว”

 

 

           “ยศทางราชการของอาลักษณ์นั้นไม่สูง เหตุใดเจ้าถึงต้องการ” ฉินเจิงมองเขาแล้วพูดขึ้น

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางวางบะหมี่หยางชุนลง ตบบ่าฉินเจิง กล่าวอย่างพี่น้องปรองดองกัน “พี่ชาย เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจ ยศทางราชการของอาลักษณ์แม้ไม่สูง แต่นอกจากฮ่องเต้ มีใครกล้าล่วงเกินหรือไม่ พูดไปแล้วฮ่องเต้ก็ไม่กล้าล่วงเกินด้วยกระมัง หากล่วงเกิน ข้าจะเขียนบริภาษอันทิ้งเชื่อเสียงฉาวโฉ่ไว้ให้เขา”

 

 

           ฉินเจิงปัดแขนเขาออก

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางเห็นฉินเจิงนิ่งไป เขาก็พูดติดตลก “ก็ได้ บอกความจริงกับเจ้าแล้ว หนานฉินกับเป่ยฉีช้าเร็วต้องเกิดสงคราม ถูกหรือไม่ คลื่นโหมซัดซาด แผ่นดินเปลี่ยนสี ข้าก็อยากมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์ครั้งนี้”

 

 

           “บางคนอยากหนีแต่ไม่ทัน เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากมีส่วนร่วม” ฉินเจิงมองเขาด้วยความจริงจัง

 

 

           “ถึงอย่างไรตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางก็ต้องมีส่วนร่วมอย่างหนีไม่พ้น ข้าเป็นลูกหลานของตระกูล แม้ไม่อยากยอมรับ แต่ข้าก็สกุลเจิ้งเช่นกัน” เจิ้งเซี่ยวหยางกล่าว “ข้าเลือกชาติกำเนิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์เพื่อตระกูลได้”

 

 

           “ตกลง” ฉินเจิงผงกศีรษะ “พรุ่งนี้ข้าจะขอพระราชโองการไปยังฝ่าบาท มอบตำแหน่งอาลักษณ์ให้เจ้า”

 

 

           “ขอบคุณท่านอ๋องน้อยมาก” เจิ้งเซี่ยวหยางประสานมือโค้งคำนับต่อฉินเจิงอย่างจริงจังและทั้งยิ้มกริ่ม

 

 

           ฉินเจิงรับอย่างขอไปที บอกเขาว่า “แต่เจ้าต้องฟังข้า”

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางเบิกตาขึ้นเล็กน้อย “ย่อมได้”

 

 

           ฉินเจิงหมุนตัวเดินออกจากครัวใหญ่ทันที

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางหันกลับไปกินบะหมี่คำใหญ่ต่อ

 

 

 

 

[1] *จรดพู่กันดั่งเทพมังกร หมายถึง เขียนบทความได้ยอดเยี่ยม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด