จารใจรัก 52 ปรมาจารย์ราชสำนัก

Now you are reading จารใจรัก Chapter 52 ปรมาจารย์ราชสำนัก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

           เซี่ยฟางหวามองฉินเจิงด้วยความมึนงง นึกไม่ถึงว่าจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี

 

 

           ฉินเจิงตวัดตามองนาง เห็นว่านางชะงักมึนงงก็เลิกคิ้วถาม “แปลกใจมากหรือ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ แน่นอนว่านางแปลกใจมากเพราะนึกไม่ถึงว่าจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี นางเม้มปากก่อนเอ่ยถามเสียงทุ้ม “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

 

           “หวางชิงเม่ยกับอวี้ฉี่เหยียนอาศัอยู่ที่เมืองผิงหยางมาแล้วสิบกว่าปี การที่พวกเขาสองคนเลือกเมืองเข้ามาอยู่อาศัย แน่นอนว่าย่อมต้องสืบหาข้อมูลคนในเมืองให้ชัดแจ้ง แรกเริ่มทั้งสองทำเพื่อหนีความขัดแย้งระหว่างตระกูลหวางกับตระกูลอวี้ ต่อมาก็ค่อยๆ กลายเป็นชอบขุดค้นข้อมูลของผู้คน” ฉินเจิงตอบ “ตอนพวกเขาจากเมืองไปก็ได้ทิ้งข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้ข้า หนึ่งในนั้นคือบันทึกฐานะของจ้าวเคอ”

 

 

           “หมายความว่าเจ้ารู้ฐานะของจ้าวเคอนานแล้ว” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           ฉินเจิงส่งเสียง “อืม” ตอบ

 

 

           “ในเมื่อจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี แล้วเขามาติดตามพี่อวิ๋นหลานตั้งแต่เมื่อไร” เซี่ยฟางหวาถามอีก

 

 

           “สามสี่ปีก่อน ตอนที่เซี่ยอวิ๋นหลานจากเมืองหลวงมาอาศัยที่เมืองผิงหยางกระมัง” ฉินเจิงครุ่นคิด “แต่นี่เป็นช่วงเวลาที่แสดงตนในที่สาธารณะ ส่วนเบื้องหลังนั้น เมื่อก่อนได้ติดตามหรือไม่ก็ไม่รู้”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           “หากเจ้าเป็นห่วงเขา ข้าจะให้คนออกตามหา” ฉินเจิงมองนาง

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่งก่อนถอนหายใจแผ่วเบา “ช่างเถอะ ในเมื่อจ้าวเคอเป็นชาวภูตผี เขาคอยดูแลคำสาปเผาใจให้พี่อวิ๋นหลานตลอดมา คอยคุ้มครองเขาให้ปลอดภัย ตอนนี้เจ้าบอกแล้วว่าเขาต้องไม่เป็นไรแน่นอน เช่นนั้นก็ไม่ต้องออกตามหาหรอก”

 

 

           ฉินเจิงเงียบลงพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “แม้ข้าบอกว่าเขาอาจไม่เป็นไร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง”

 

 

           เซี่ยฟางหวาตวัดตามองฉินเจิง พบว่าใบหน้าเขาประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง นางกำนิ้วเข้าหากันครู่หนึ่ง “พี่อวิ๋นหลานต่างจากข้า ข้าเป็นสตรี ถึงอย่างไรก็มีสายเลือดตระกูลเซี่ยไหลเวียนในกาย ทั้งตอนนี้ได้ออกเรือนกับเจ้าแล้ว กลายเป็นคนของจวนอิงชินอ๋องอย่างแท้จริง ส่วนพี่อวิ๋นหลานไม่มีสายเลือดตระกูลเซี่ยแม้แต่น้อย และเป็นทายาทราชนิกุลเผ่าภูตผีอย่างแท้จริง”

 

 

           ฉินเจิงมองนาง รอให้นางพูดต่อจนจบ

 

 

           “ข้ามีเจ้า มีท่านปู่ ท่านพี่ จวนจงหย่งโหว และจวนอิงชินอ๋อง ถึงข้าไม่ทำตามคำสั่งสอนของบรรพบุรุษเผ่าภูตผี ข้าก็ยังมีพวกเจ้าเป็นที่พักพิง ทว่าตั้งแต่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนแหล่งธัญพืชจากไป พี่อวิ๋นหลานกลับไร้ที่พึ่งพา” เซี่ยฟางหวาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ “หากเขามีทางเลือกอื่นแล้ว ข้าก็ไม่ควรห้ามด้วยความเห็นแก่ตัวอีก หากเขาได้รับความช่วยเหลือจากใคร ในเมื่อปลอดภัยไร้อันตรายแล้ว เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้เถอะ”

 

 

           “เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว” ฉินเจิงพยักหน้า

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก

 

 

           “คุณหนู ยาของท่านอ๋องน้อยกับท่านต้มเสร็จแล้ว” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อเอ่ยขึ้นจากข้างนอก

 

 

           “ยกเข้ามา”

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อยกยาเข้ามา วางถ้วยหนึ่งตรงหน้าฉินเจิง และวางอีกถ้วยตรงหน้าเซี่ยฟางหวา

 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นว่ายาอยู่ในอุณหภูมิพอเหมาะจึงยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด หลังวางถ้วยยาลงแล้วก็เห็นว่าฉินเจิงกำลังมองนางนิ่ง นางจึงเร่งเขา “อุณหภูมิกำลังดี รีบดื่มเถอะ เมื่อครู่เจ้านอนไปได้ครู่เดียว ดื่มยาเสร็จแล้วจะได้พักผ่อนต่อ”

 

 

           ฉินเจิงก้มหน้าก่อนยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียว หลังวางถ้วยลงแล้วก็ลุกขึ้นยืน คว้าแขนนางลุกขึ้นพลางเอ่ยด้วยอย่างเอาแต่ใจ “เจ้าก็ไปพักผ่อนกับข้าด้วย”

 

 

           เซี่ยฟางหวาระบายยิ้ม ก่อนพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง

 

 

            ทั้งคู่เดินมาที่เตียง ฉินเจิงนอนกอดนางก่อนหลับตาลง

 

 

           นอนนิ่งพักหนึ่ง ไม่นานฉินเจิงก็ผล็อยหลับไป

 

 

           เซี่ยฟางหวาไร้ซึ่งความง่วง นางนอนจ้องหลังคา เหตุการณ์ว้าวุ้นใจผุดขึ้นในสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านไปเนิ่นนานนางก็หลับตาลงเชื่องช้า

 

 

           พลบค่ำ เยว่ลั่วก็เอ่ยเรียกจากนอกหน้าต่าง “ท่านอ๋องน้อย”

 

 

           “มีเรื่องใด” ฉินเจิงเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ลืมตา

 

 

           “มีข่าวจากเมืองหลวง ฟังว่าอาการโหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวไม่ค่อยดี…” เยว่ลั่วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

 

           เดิมทีเซี่ยฟางหวายังไม่หลับ พอได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นนั่งโดยพลัน ลงจากเตียงแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปยังริมหน้าต่าง ยกมือเปิดหน้าต่างออกมองเยว่ลั่วที่ยืนอยู่ข้างนอก เอ่ยถามด้วยเสียงร้อนใจ “ท่านปู่ข้า เขาเป็นอะไร”

 

 

           “เรียนพระชายาน้อย ฝนตกหนักหลายวัน ฟังว่าโหวเหยผู้เฒ่าเดิมไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดเรื่องกับท่านที่อารามลี่อวิ๋นก็เป็นลมล้มป่วยไปด้วยความตกใจ” เยว่ลั่วก้มหน้า

 

 

           “เกิดขึ้นเมื่อไร” เซี่ยฟางหวารีบถาม

 

 

           “ข่าวเพิ่งมาถึงเมื่อครู่ พิราบส่งข่าวกลับมา อย่างน้อยก็สองชั่วยามแล้ว” เยว่ลั่วตอบ

 

 

           “เรื่องที่เกิดขึ้นกับข้า ไม่ได้ปิดบังท่านปู่หรือ” เซี่ยฟางหวาหันไปหาฉินเจิงทันที

 

 

           “ท่านปู่แม้อายุมากแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะปิดหูปิดตาจากเหตุการณ์ภายนอก จวนจงหย่งโหวย่อมมีแหล่งข่าวของตนเอง คิดปิดบังย่อมปิดไม่ได้” ฉินเจิงลงจากเตียงแล้วเช่นกัน เดินตรงมาหานางแล้วเอ่ยขึ้น “เรารีบเดินทางตั้งแต่ตอนนี้ รีบขี่ม้าเร็วกลับกันเถอะ”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้ารับ

 

 

           ฉินเจิงยกมือไล่เยว่ลั่ว เยว่ลั่วถอยกลับออกไป

 

 

           เซี่ยฟางหวาตะโกนเรียกซื่อฮว่ากับซื่อม่อมาสั่งงาน

 

 

           เวลาหนึ่งถ้วยชาถัดมาก็เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาขี่ม้าเร็วออกจากเมืองเหมียน มุ่งหน้ากลับเมืองหลวง

 

 

           หลังฝนห่าใหญ่ผ่านไป แอ่งน้ำบนถนนทางการยังไม่ได้รับการขุดลอกระบายออก ทำให้เดินทางไม่สะดวกเช่นเดิม

 

 

           จนถึงกลางดึกก็เดินทางมาได้ห้าสิบลี้แล้ว ห่างจากเมืองหลวงอีกหกสิบลี้

 

 

           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาขี่ม้าเคียงกัน ห้อตะบึงด้วยความรีบร้อน พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนติดตามข้างหลัง เยว่ลั่วนำสายลับติดตามในที่ลับ

 

 

           “หยุดก่อน มีบางสิ่งผิดปกติ” เดินทางไปได้อีกสิบลี้ ฉินเจิงพลันเอ่ยบอกเซี่ยฟางหวา

 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติเช่นกัน โดยทั่วไปถนนทางการภายในรัศมีเมืองหลวงหนึ่งร้อยลี้นั้น นอกจากนางที่เคยเดินทางเพียงลำพังก็เคยเดินทางพร้อมกับฉินเจิงมาหลายครั้ง ทิวทัศน์แต่ละช่วงล้วนแตกต่างกัน ทว่าหลังทั้งคู่ผ่านป่าผืนหนึ่งมา เดินทางต่อไปสิบลี้ ราวกับเห็นแต่ทิวทัศน์เดิมๆ

 

 

           คล้ายกับว่าพวกเขาเดินทางวนอยู่ที่เดิมอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           ฉินเจิงดึงเชือกบังเ**ยน กวาดตามองรอบกาย

 

 

           เซี่ยฟางหวาเองก็ดึงเชือกบังเ**ยนเช่นกัน มองไปรอบกายตามเขา

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนที่อยู่ข้างหลังก็สังเกตรอบด้านอย่างตื่นตัวเช่นกัน

 

 

           “เห็นสิ่งใดหรือไม่” เซี่ยฟางหวามองพักหนึ่งก็เอ่ยถามฉินเจิง

 

 

           “ค่ายกลหยินหยางห้าธาตุ” ฉินเจิงตอบ ก่อนแค่นหัวเราะขึ้นมา “สมัยเด็กข้าชอบเล่นค่ายกลประเภทนี้ ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งจะมีคนใช้ค่ายกลนี้กับข้า แต่ค่ายกลนี้ได้รับการปรับแต่งอย่างยอดเยี่ยม คล้ายมีทว่าไม่มี หลังเข้าสู่ค่ายกลแล้วถึงเพิ่งรู้สึกตัว”

 

 

           เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง

 

 

           ฉินเจิงดึงกริชออกมาจากข้างเอว เขาสะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา เสียง ‘อา’ ดังขึ้น เสียงร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นมาจากจุดหนึ่ง

 

 

           ชั่วพริบตานั้นสภาพแวดล้อมก็แปรเปลี่ยน ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาหาได้เดินทางบนถนนทางการ หากแต่เดินทางบนเนินหญ้าแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าคือป่าต้นเฟิง*[1] ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ห่างจากป่าต้นเฟิงไม่เกินสิบจั้ง**[2]

 

 

           “กะแล้วว่าข้าไม่ได้มองท่านอ๋องน้อยเจิงผิดไป ค่ายกลเช่นนี้สำหรับท่านแล้วเป็นเพียงแค่ของเด็กเล่น” เสียงคนแก่พลันดังขึ้นจากในป่า

 

 

           “เบื้องหน้าคือผู้ใด ข้าไม่ชอบคนลับๆ ล่อๆ หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะเผาป่าต้นเฟิงผืนนี้เสีย ดูว่าเจ้ายังหลบๆ ซ่อนๆ ตอนพูดกับข้าได้หรือไม่” ฉินเจิงรวบแขนเสื้อเข้าด้วยกันเชื่องช้า ใบหน้าเผยความเยือกเย็น

 

 

           “เจ้าเด็กคนนี้ วางเพลิงเผาป่าแล้วไม่กลัวว่าจะนำเพลิงเผากายรึ ถึงอย่างไรพวกต้นไม้ใบหญ้าก็ไร้ความปรานี ถึงเผาข้าไปเจ้าก็หนีไม่พ้น ที่นี่เป็นเขารกร้าง” เสียงหัวเราะยกใหญ่ของคนแก่ดังก้องทั่วป่า

 

 

           “ทางนั้นไตร่ตรองได้รอบคอบนัก” ฉินเจิงหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าสร้างค่ายกลล่อพวกเราเข้ามา มีเจตนาใดกันแน่”

 

 

           “มีเรื่องหนึ่งต้องคุยกับพระชายาน้อยของเจ้า” คนแก่ผู้นั้นเอ่ยตอบ

 

 

           ฉินเจิงผินหน้ามองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง

 

 

           “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องใดต้องคุยกับข้า” เซี่ยฟางหวาตอบด้วยเสียงฟังชัดอย่างสุขุม

 

 

           “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร เพียงส่งตำราเคล็ดวิชาในมือเจ้ามาก็พอแล้ว” คนแก่ผู้นั้นตอบ

 

 

           “ข้าไม่รู้จักตำราเคล็ดวิชาอะไรนั่น” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง

 

 

           “เซี่ยฟางหวา ทางที่ดีเจ้ายอมส่งมาเสียดีกว่า มิฉะนั้นหากอยากพบท่านปู่เจ้าอีกครั้ง เกรงว่าจะต้องไปพบในยมโลกแทน” คนแก่ผู้นั้นเตือนด้วยความดุดัน

 

 

           เซี่ยฟางหวาเผยหน้าสีเยือกเย็น กำเชือกบังเ**ยนแน่น

 

 

           “โหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวเป็นคนที่ใครก็สามารถเอาชีวิตเขาได้หรือ ข้ามิยักเชื่อ” ฉินเจิงจ้องมองป่าต้นเฟิงเบื้องหน้า

 

 

           “ตอนนี้จวนจงหย่งโหวเป็นเพียงกระดองเปล่า เหลือแค่ตาเฒ่าคนเดียวเท่านั้น ด้วยอุบายของข้า มีหรือจะเอาชีวิตเขาไม่ได้” คนแก่ผู้นั้นหัวเราะหยาม “หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไม่มอบมันมา ข้ารับรองว่าจงหย่งโหวจะมีชีวิตไม่พ้นเช้าพรุ่งนี้”

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปากไม่ตอบโต้

 

 

           “ว่าอย่างไร จะยอมมอบมันหรือไม่” คนแก่ผู้นั้นถาม

 

 

           เซี่ยฟางหวายังคงเงียบ

 

 

           “หากเจ้าพูดคำว่าไม่ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าขู่ รอเก็บศพจงหย่งโหวได้เลย” คนแก่ผู้นั้นกล่าวขึ้นอีก

 

 

           “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตำราเคล็ดวิชาอยู่ในมือข้า” เซี่ยฟางหวาโพล่งขึ้น

 

 

           “เซี่ยฟางหวา ข้าหยั่งเชิงเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ทุกครั้งล้วนถูกเจ้ามองออก ข้าจะไม่รู้ว่าตำราเล่มนั้นอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร ทั้งเจ้ายังเรียนรู้มันหมดแล้วด้วย” คนแก่ผู้นั้นหัวเราะยกใหญ่

 

 

           “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าคดีฆาตกรรมที่ค่ายใหญ่เขาตะวันตก ใต้เท้าหานถูกสังหาร ท่านหญิงจินเยี่ยนถูกเข้าฝัน ดินถล่มที่อารามลี่อวิ๋น คดีพวกนี้ล้วนเป็นเจ้าที่อยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาถาม “เพียงเพราะตามหาตำราเคล็ดวิชา”

 

 

           “ถูกต้อง” คนแก่ผู้นั้นตอบ

 

 

           “เจ้าเป็นใครกันแน่ และมีเจตนาใด” เซี่ยฟางหวาใช้น้ำเสียงเยือกเย็น

 

 

           “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร ส่วนข้ามีเจตนาใดนั้น…” เสียงของคนแก่ผู้นั้นพลันแฝงด้วยจิตสังหาร “ต่อไปเจ้าก็รู้เอง”

 

 

           “เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือว่าข้าจะมอบตำราให้เจ้า” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ

 

 

           “หรือว่าเจ้าไม่ต้องการชีวิตของจงหย่งโหวแล้ว” คนแก่ผู้นั้นถาม

 

 

           “ท่านปู่อายุมากแล้ว เดิมยังมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี” เซี่ยฟางหวามองป่าต้นเฟิง “เขาเองก็คงไม่อยากให้ข้าถูกบีบบังคับอย่างง่ายดายเช่นนี้ด้วย”

 

 

           “ตระกูลเซี่ยดำรงชีวิตด้วยความหรูหราฟุ้งเฟ้อ เป็นตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ว่ากันว่าจวนจงหย่งโหวสืบทอดจริยธรรมต่อกันมา มีคุณธรรมและความกตัญญู คุณหนูทายาทโดดเด่นในเรื่องนี้มาก หากเผยแพร่ออกไปว่าหลานสาวที่จงหย่งโหวเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาด้วยความยากลำบากนั้นหาได้แยแสบั้นปลายชีวิตของเขา เจ้าคิดว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร ใต้หล้าจะประณามเจ้าอย่างไร” คนแก่ผู้นั้นหัวเราะ

 

 

           “อีกฝ่ายเป็นผีหรือคนก็มิทราบ แต่ใช้ท่านปู่มาขู่และบีบบังคับข้า หากข้ายอมง่ายๆ เช่นนี้ต่างหากถึงจะไร้เดียงสาเกินไปหน่อย” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น “ใต้หล้าจะพูดถึงข้าเช่นไรนั้นข้าไม่เคยสนใจ และไม่กลัวด้วยว่าจะถูกวิจารณ์โจมตีเพิ่ม” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “จวนจงหย่งโหวมีความหยิ่งทระนงในตัวเอง ท่านปู่ย่อมไม่ตำหนิข้า”

 

 

           “สมกับเป็นบุตรีแห่งจวนจงหย่งโหว” คนแก่ผู้นั้นพลันโมโห “หากเพิ่มชีวิตของพี่ชายเจ้าด้วยเล่า”

 

 

           “พี่ชายข้าออกจากเมืองหลวงไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           “ออกจากเมืองแล้วจะปลอดภัยรึ หากข้าอยากสังหารเขาย่อมเป็นเรื่องง่าย” คนแก่ผู้นั้นบอก

 

 

           “ในเมื่อเจ้าสังหารท่านปู่กับพี่ชายข้าได้ แล้วเหตุใดต้องมาพบข้าอีก” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเยาะ “แค่สร้างค่ายกลเล็กๆ ยังถูกสามีข้าทำลายอย่างง่ายดาย ตอนนี้กลับเอาแต่ซ่อนตัวข่มขู่ผู้อื่น ดูท่าหาได้มีความสามารถใดไม่”

 

 

           “เด็กน้อย ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้จักกับความร้ายกาจ” คนแก่ผู้นั้นพลันโมโหโกรธา

 

 

           เขาพูดจบ สายลมโหมกระหน่ำอันบ้าคลั่งก็พลันบังเกิดขึ้นในป่าต้นเฟิงเพียงชั่วพริบตา ครู่ต่อมาก็มีลำแสงสีทองหลายทางโจมตีมายังเซี่ยฟางหวา

 

 

           เซี่ยฟางหวามีสีหน้าเปลี่ยนไป

 

 

           ฉินเจิงกระโจนม้ามาขวางหน้านาง ตวัดฝ่ามือรับลำแสงสีทองแล้วขับพลังภายในต้านกลับไป

 

 

           เวลานี้เซี่ยฟางหวาก็ก้าวขึ้นมาแล้วเช่นกัน สลัดกระบี่ใต้แขนเสื้อลอยออกไป

 

 

           ได้ยินเพียงเสียงแตกกังวานดังขึ้นหลายหน ใบมีดหลายใบร่วงหล่นตรงหน้าทั้งคู่

 

 

           ข้อมือของฉินเจิงถูกใบมีดเฉือนแผลหนึ่ง เลือดสดไหลอาบออกมา

 

 

           เซี่ยฟางหวากดข้อมือของฉินเจิงไว้ พบว่าบริเวณข้อมือถูกคมกระบี่เฉือนตัดจนเห็นชั้นกระดูก นางรีบกดจุดสองจุดบนข้อมือเขาทันที ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยความร้อนใจ “ยังบาดเจ็บตรงไหนอีกบ้าง”

 

 

           ฉินเจิงส่ายหน้า

 

 

           “เขาไร้นามถูกทำลายไปแล้ว ไม่นึกเลยว่ายังมีศพคนเป็นปีนออกมาได้อีก มิทราบว่าทางนั้นเป็นหนึ่งในสามปรมาจารย์ท่านใด” เซี่ยฟางหวาตวัดตามองป่าต้นเฟิงด้วยสายตาคมกริบ

 

 

           ฉินเจิงพลันหันมามองเซี่ยฟางหวาคล้ายกับแปลกใจนัก

 

 

           ป่าต้นเฟิงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ ทันใดนั้นคนแก่ผู้นั้นก็หัวเราะขึ้นมา “ก่อนหน้านี้มีคนสืบทราบว่ามีเด็กหญิงคนหนึ่งปะปนเข้ามาในเขาไร้นาม เด็กหญิงคนนั้นคือหลานสาวของจงหย่งโหว ข้ายังไม่อยากเชื่อ ตอนนี้เห็นทีไม่เชื่อไม่ได้แล้ว ที่แท้เด็กหญิงคนนั้นก็เป็นเจ้าจริงด้วย มิน่าเจ้าถึงมีตำราเคล็ดวิชานั่น”

 

 

           “กู่อิ้น ฉางเฟิง ฉือเฟิ่ง อย่าบอกนะว่าทั้งสามท่านยังมีชีวิตอยู่” เซี่ยฟางหวาหัวเราะเสียงเย็น

 

 

           “เขาไร้นามคือภูเขาทอดตัวเป็นแนวยาวกว่าหลายร้อยปี นึกจะทำลายก็ทำลายได้หรือ เด็กน้อยช่างไร้เดียงสานัก” คนแก่ผู้นั้นกล่าวขึ้น “แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำลายเขาไร้นาม มิฉะนั้นพวกเราคงไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “ตอนนี้ในเมื่อเจ้าล่วงรู้ฐานะแล้ว อย่าว่าแต่ชีวิตของปู่กับพี่ชายเจ้าเลย แม้เป็นชีวิตเจ้าก็ต้องถูกฝังไว้ที่นี่”

 

 

           “สามปรมาจารย์ของสายลับราชสำนัก ดูท่าว่าจะไม่ได้จงรักภักดีต่อบ้านเมืองหนานฉินขนาดนั้น” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง

 

 

           “อย่ามัวไร้สาระ ส่งตำราเคล็ดวิชามา แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า” เจ้าของเสียงคนแก่ผู้นั้นแค่นหัวเราะ

 

 

           “ตำราเคล็ดวิชาถูกข้าทำลายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่ในความทรงจำของข้า” เซี่ยฟางหวานั่งบนม้าด้วยความสุขุมเยือกเย็น “ใครจะไว้ชีวิตใครกันแน่เล่า” พูดจบ นางพลันหยิบหินเหล็กไฟออกมาก่อนจุดไฟบนคบเพลิง จากนั้นก็หยิบถุงน้ำในถุงหน้าอานม้าออกมา สาดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ครั้นแล้วก็โยนคบเพลิงไปเบื้องหน้า

 

 

           คบเพลิงปะทะกับน้ำมันบนพื้น เสียงพรึ่บดังขึ้น เปลวไฟลุกโชติช่วงขึ้นมาทันที

 

 

           เวลานี้มีลมพัดผ่านพอดี คบเพลิงเจอกับน้ำมันและหญ้าแห้งบนพื้นพลันพัดตามกระแสลมไปยังผืนป่า

 

 

           “ไปกันเถอะ” เซี่ยฟางหวาคว้าแขนฉินเจิงแล้วหันม้ากลับ

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้าก่อนตวัดแส้พร้อมเซี่ยฟางหวา มุ่งหน้าย้อนกลับไปยังทิศทางที่มา ม้าเร็วสองตัวดุจอัสนีบาต ห้อตะบึงจากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตื่นตกใจ รีบตามทั้งสองออกไปเช่นกัน

 

 

           “เซี่ยฟางหวา นึกไม่ถึงว่าจะกล้าวางเพลิง” เสียงที่ทั้งตกใจทั้งโกรธเกรี้ยวของคนแก่ผู้นั้นดังแว่วมาจากผืนป่า ราวกับคิดอยากไล่ตามมา ทว่าเปลวเพลิงลุกโชติช่วงกั้นขวางเขาเอาไว้ในผืนป่า เขาระเบิดโทสะออกมา “วันนี้เจ้าไม่รู้จักให้เกียรติ ข้าต้องสังหารปู่กับพี่ชายเจ้า และตระกูลเซี่ยทั้งหมดให้จงได้”

 

 

           เซี่ยฟางหวาพลันดึงเชือกบังเ**ยน นางคล้ายกับเคยได้ยินถ้อยคำเช่นนี้มาก่อนในชาติที่แล้ว

 

 

 

 

*ต้นเฟิง คือ ต้นเมเปิล

 

 

**จั้ง คือ หน่วยวัดความยาวของจีน 1 จั้ง = 3 เมตร

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด