จารใจรัก 33-1

Now you are reading จารใจรัก Chapter 33-1 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หมอหลวงถูกสังหาร

 

           บนถนนทางการเต็มไปด้วยน้ำฝนท่วมขัง ฝนห่าใหญ่ตกกระทบหลังคาเกิดเสียงดังต่อเนื่อง

           ถึงแม้จะใช้ม้าพันธุ์ดีลากรถ แต่ม้าต้องเหยียบลงในน้ำฝนท่วมขัง ผิวถนนลื่นอย่างยิ่ง รถม้าจึงวิ่งด้วยความเร็วไม่มากนัก

           เดินทางไปได้ห้าลี้ เบื้องหน้ามีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่

           อวี้จั๋วสวมเสื้อกันฝนพร้อมด้วยหมวกงอบ เขาสะบัดน้ำบนหมวกงอบพลางมองไปยังเบื้องหน้าพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยบอกคนข้างใน “พี่สะใภ้ ดูเหมือนว่าเป็นรถม้าจวนหมอหลวงซุน”

           เซี่ยฟางหวาเลิกม่านมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง เป็นรถม้าจวนหมอหลวงซุนจริงดังที่บอก นางเอ่ยขึ้น “ท่าทางหมอหลวงซุนจะล่วงหน้ามาก่อนก้าวหนึ่งแล้วหยุดรอเราที่นี่ เจ้าไปบอกพวกเขาว่าให้เดินทางไปพร้อมกันเถอะ”

           อวี้จั๋วพยักหน้าแล้วขับรถม้าเข้าไปเทียบใกล้ๆ เขาไม่ลงจากรถ แต่พูดกับคนขับว่า “ใช่รถม้าจวนหมอหลวงซุนหรือไม่”

           คนขับสวมเสื้อกันฝนพร้อมด้วยหมวกงอบเช่นเดียวกัน เอาแต่ก้มหน้าไม่ส่งเสียงใด

           อวี้จั๋วตะโกนอีกครั้งก็ยังไม่มีการตอบรับ เขาแปลกใจจึงโยนเชือกบังเ**ยนแล้วเดินไปยังรถม้าคันนั้น

           “อวี้จั๋วหยุดก่อน ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าเพิ่งขยับ” เซี่ยฟางหวาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติก็รั้งอวี้จั๋วไว้ก่อน

           อวี้จั๋วหยุดอยู่กับที่ทันที หันกลับมามองยังรถม้า

           “ลงไปดู” เซี่ยฟางหวาเอ่ยบอกซื่อฮว่ากับซื่อม่อ

           ทั้งสองสัมผัสได้ถึงความผิดปกติแล้วเช่นกันจึงพยักหน้า คนหนึ่งเลิกม่านให้ อีกคนหนึ่งกางร่มประคองเซี่ยฟางหวาลงจากรถม้า

           เซี่ยฟางหวาลงจากรถแล้วเดินไปยังรถม้าคันนั้น นางยื่นมือไปดึงหมวกงอบบนศีรษะของคนขับรถออก พบว่าเขากำลังเอียงศีรษะ หลับตาสนิท กริชเล่มหนึ่งปักคาอยู่บริเวณหน้าอก เขาเสียชีวิตไปแล้ว

           อวี้จั๋วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบประกบซ้ายขวาเพื่อคุ้มกันเซี่ยฟางหวาทันที พลางมองรถม้าคันนี้ด้วยความระวัง

           เซี่ยฟางหวาเม้มปากมองรถม้าคันนี้พักหนึ่งก่อนก้าวออกไปเลิกม่านออก

           พบว่าหมอหลวงซุนนั่งอยู่ข้างใน

           หมอหลวงซุนนั่งพิงผนังรถ หน้าอกมีกริชเล่มหนึ่งปักคาอยู่เช่นเดียวกัน คงอากัปกิริยาเดิมโดยไม่ส่งเสียงใด เห็นได้ชัดว่าเสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน

           “นี่คือหมอหลวงซุนหรือ เขาถูกสังหาร?” อวี้จั๋วมีสีหน้าเปลี่ยนไป

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองคนขับรถและหมอหลวงซุนที่ถูกสังหารด้วยความตระหนกตกใจเช่นเดียวกัน พวกนางมองซ้ายขวาด้วยความระวัง บริเวณโดยรอบนอกจากรถม้าของพวกตนก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น “คุณหนู ทำเช่นไรดีเจ้าคะ”

           “พวกเจ้าสองคนรีบกลับเมืองไปแจ้งความที่ศาลาว่าการของขุนนางจิงจ้าวอิ่น” เซี่ยฟางหวาหรี่ตาลง สั่งงานซื่อฮว่ากับซื่อม่อด้วยใบหน้าเคร่งขรึม

           “แล้วคุณหนู…” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อกังวลใจ

           “ข้ากับอวี้จั๋วจะรออยู่ที่นี่” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเข้ม “ไม่อาจเพิกเฉยกับการตายของหมอหลวงซุนแล้วไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกได้ ในเมื่อเราเป็นผู้พบศพย่อมไม่อาจเลี่ยงได้”

           “เจ้าค่ะ เช่นนั้นคุณหนูโปรดระวังตัวด้วย” ซื่อฮว่ากับซื่อม่อมองอวี้จั๋ว

           “ข้าไปแจ้งความเองดีกว่า” อวี้จั๋วรีบเสนอตัวแทน

           “เจ้าอยู่ที่นี่แหละ” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้าก่อนยกมือไล่ซื่อฮว่ากับซื่อม่อ “ปลดรถม้าออก พวกเจ้าขี่ม้าไป หลังแจ้งความเสร็จแล้วก็ไปแจ้งข่าวให้จวนหมอหลวงซุนทราบด้วย”

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อพยักหน้ารับ ก่อนเดินกลับไปปลดรถม้าออก ทั้งสองขี่ม้าตัวเดียวกันมุ่งหน้ากลับเมืองหลวงด้วยความว่องไว

           “พี่สะใภ้ แล้วพวกเราเล่า” อวี้จั๋วมองเหตุการณ์เบื้องหน้า

           “เรากลับไปรอที่รถม้าของเรา” เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินกลับไปที่รถม้าของตัวเอง

           อวี้จั๋วก็เดินตามมาเช่นกัน พลางกล่าวด้วยความแปลกใจ “ข้าเป็นคนกลับมาส่งข่าวเอง ข้ามาที่จวนอ๋องก่อนแล้วค่อยส่งเด็กรับใช้ไปส่งข่าวบอกจวนหมอหลวงซุน ตามหลักหลังส่งข่าวแล้ว ท่านมิได้ล่าช้า เราจึงออกมาจากจวนทันที หมอหลวงซุนทราบข่าว หากไม่ล่าช้าเช่นกันก็ควรออกมาจากเมืองพร้อมเราถึงจะถูกต้อง เหตุใดเขาถึงล่วงหน้ามาถึงที่นี่ก่อนเราได้”

           “หากไม่ล่วงหน้ามาที่นี่ก่อนก็จะไม่ตาย” เซี่ยฟางหวาแค่นหัวเราะ “ต้องมีคนล่วงหน้าไปส่งข่าวก่อน ข่าวไปถึงเร็วกว่าเจ้า เขาจึงออกจากจวนมาเร็วกว่าข้า”

           “พี่สะใภ้ ตอนนี้ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ ร่องรอยใดใดคงถูกชะล้างไปหมดแล้ว ถึงแม้ขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาถึงจะสืบหาสาเหตุการตายได้แน่หรือ” อวี้จั๋วกังวล “จะไม่ป้ายความผิดให้เราหรอกใช่ไหม”

           เซี่ยฟางหวามองม่านสายฝนห่าใหญ่เบื้องหน้า รถม้าจอดอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาครู่หนึ่งแล้วจึงเกิดแอ่งน้ำสะสม นางแค่นหัวเราะกล่าว “คดีที่เกิดขึ้น ผู้ที่ถูกพบในที่เกิดเหตุต้องเป็นฆาตกรเสมอไปหรือ เช่นนั้นทุกปีคงมีคนมากน้อยต้องตกเป็นแพะ?”

           “เดิมทีหมอหลวงซุนกับเราจะเดินทางไปค่ายใหญ่เขาตะวันตกด้วยกัน ทว่าตอนนี้หมอหลวงซุนถูกสังหารไปแล้ว เราต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่ ขุนนางจิงจ้าวอิ่นทราบข่าวและรีบมาทันทีแต่ก็ต้องใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยาม ยังต้องสอบปากคำ ไหนจะบันทึกคำให้การ เวลายิ่งยืดเยื้อออกไปเช่นนี้ พวกเราจะไปถึงค่ายใหญ่เขาตะวันตกเมื่อไร” อวี้จั๋วพยักหน้าก่อนมองท้องฟ้า

           เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใด ก้มหน้าใช้ความคิด

           อวี้จั๋วยังอยากกล่าวบางอย่างต่อ เมื่อเห็นใบหน้าเซี่ยฟางหวาประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืดราวกับกำลังไตร่ตรองเหตุการณ์อยู่ เขาจึงไม่กล้ารบกวนนาง ไม่ส่งเสียงใดขึ้นอีก

           ครึ่งชั่วยามถัดมา หนุ่มน้อยคนหนึ่งควบม้ามาด้วยความรีบร้อน เสียงกีบเท้าม้าเหยียบแอ่งน้ำบนพื้น น้ำขังยิ่งกระเซ็นสูงขึ้นหลายจั้ง

           หนุ่มน้อยคนนั้นอายุราวสิบสามสิบสี่ ยังไม่โตเต็มวัยแต่โตว่าอวี้จั๋วเล็กน้อย หากแต่ยังคงความอ่อนวัยชัดเจน

           “มีคนมา” อวี้จั๋วรีบบอกเซี่ยฟางหวา

           “เขาน่าจะเป็นหลานชายของหมอหลวงซุน พอเขามาถึงแล้วเจ้าก็จับตามองเขาด้วย อย่าให้เขาแตะต้องศพบนรถม้า ห้ามทำลายที่เกิดเหตุ” เซี่ยฟางหวาเงยหน้ามองแล้วเอ่ยขึ้น

           อวี้จั๋วรับคำแล้วรีบลุกขึ้นยืน

           หนุ่มน้อยคนนั้นมาถึงในชั่วพริบตา เขาตะโกนเรียกท่านปู่เสียงดัง พลิกกายลงจากม้าก่อนสะบัดเชือกบังเ**ยนทิ้ง จากนั้นก็เดินตรงไปยังรถม้าพลางร้องไห้ครวญคราง

           อวี้จั๋วรีบเข้าไปห้ามเขา

           “เจ้าเป็นใคร” หนุ่มน้อยคนนั้นเห็นเด็กอีกคนที่ดูเด็กกว่าตนเล็กน้อยมาขวางทางไว้จึงรีบถาม

           “ข้าเป็นเด็กรับใช้ของท่านอ๋องน้อยเจิงแห่งจวนอิงชินอ๋อง พระชายาน้อยของเราเพิ่งเดินทางผ่านมา พบว่าหมอหลวงซุนถูกสังหารและได้ส่งคนไปแจ้งขุนนางจิงจ้าวอิ่นแล้ว เจ้าล่ะเป็นใคร” อวี้จั๋วตอบ

           “ข้าชื่อซุนจั๋ว หมอหลวงซุนคือปู่ของข้า เจ้าหลบไปประเดี๋ยวนี้” ซุนจั๋วผลักอวี้จั๋วออก

           ถึงอย่างไรอวี้จั๋วก็ฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ซุนจั๋วแม้ได้ฝึกฝนทักษะการขี่ม้ายิงธนูมาบ้างเช่นกัน แต่ยังสู้อวี้จั๋วไม่ได้ ดังนั้นแม้เขาผลักอวี้จั๋วออกก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด

           “เจ้ามาขวางไม่ให้ข้าเข้าไปทำไม” ซุนจั๋วโมโห

           “เจ้าไปดูปู่เจ้าได้ แต่ห้ามแตะต้องที่เกิดเหตุโดยเด็ดขาด รอขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาก่อนจะได้จับตัวฆาตกรเพื่อสะสางคดี” อวี้จั๋วรวบมือเขา เอ่ยเตือนด้วยเสียงดังฟังชัด

           “รอขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาสะสางคดี? ที่นี่ไร้ผู้ใด มีแค่เจ้าที่อยู่ด้วย เจ้าเป็นคนสังหารท่านปู่ใช่หรือไม่” ซุนจั๋วโมโหขึ้นมา

           “ข้าพบปู่เจ้าถูกสังหารอยู่บนรถก็หมายความว่าข้าเป็นคนสังหารรึ? เจ้าอายุมากกว่าข้าเสียอีก สมองมีปัญหาหรืออย่างไร” อวี้จั๋วเองก็เริ่มโมโหแล้วเช่นกัน

           ซุนจั๋วหน้าหงาย “ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ มีแค่เจ้าที่อยู่ที่นี่ เหตุใดท่านปู่…”

           “ซุนจั๋ว!” เซี่ยฟางหวาเลิกม่านออก ขัดจังหวะด้วยเสียงราบเรียบ

           ซุนจั๋วถูกขัดจังหวะก็ตกใจ เขาหันหลังมองไปยังเซี่ยฟางหวาที่นั่งอยู่บนรถม้า

           “เจ้าทราบข่าวแล้วมาที่นี่ได้อย่างไร เหตุใดถึงมีแค่เจ้าคนเดียว” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ

           “มีสตรีคนหนึ่งบอกว่าท่านปู่ถูกสังหารที่นี่ ข้าจึงรีบมาดู ท่านพ่ออยู่นอกเมืองยังไม่กลับ ท่านแม่กับเอ้อร์เหนียงกำลังรีบนั่งรถม้าตามมาอยู่ข้างหลัง” ซุนจั๋วมองเซี่ยฟางหวา ลังเลครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “ท่านคือพระชายาน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋องหรือ”

           “ปู่เจ้าอายุปูนนี้แล้ว ไม่ว่าจะกับจวนอิงชินอ๋องหรือกับจวนจงหย่งโหวต่างมีไมตรีอย่างลึกซึ้ง ข้าย่อมไม่อยากเห็นเขาถูกสังหารอย่างมีเงื่อนงำเช่นกัน ดังนั้นทันทีที่ข้าพบศพจึงส่งคนไปแจ้งความกับขุนนางจิงจ้าวอิ่นแล้ว ขณะเดียวกันก็ให้สาวใช้ของข้าสองคนไปแจ้งจวนหมอหลวงซุน สตรีผู้ไปแจ้งจวนหมอหลวงซุนที่ว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสาวใช้ของข้า” เซี่ยฟางหวากล่าวด้วยความสงบ “ข้าให้อวี้จั๋วขวางเจ้าไว้เพราะกลัวว่าเจ้าจะทำลายที่เกิดเหตุเพราะความตื่นตระหนก เมื่อขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาแล้วจะกระทบกับการสืบคดี ขอเพียงเจ้าไม่แตะต้องที่เกิดเหตุก็เข้าไปดูได้”

           “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร ถึงอย่างมีแค่พวกท่านที่อยู่ตรงนี้ รอบข้างไม่มีผู้อื่น” ซุนจั๋วกล่าวอีก

           “ปู่เจ้ากับข้าต้องไปค่ายใหญ่เขาตะวันตก เขาออกจากเมืองมาเร็วกว่าข้า ทหารรักษาประตูเมืองเป็นพยานได้ ทั้งเวลาสังหารไม่ตรงกัน นอกจากนี้การสังหารคนต้องมีแรงจูงใจ ข้ามีแรงจูงใจใดต้องทำร้ายหมอหลวงซุนด้วย อีกอย่างหากต้องการตรวจสอบให้กระจ่าง ประเดี๋ยวขุนนางจิงจ้าวอิ่นมาก็ทราบแล้ว หากเกิดคดีฆาตกรรมทั้งในและนอกระยะเก้าเมืองก็น่าจะอยู่ในขอบเขตที่พวกเขาควบคุมไม่ใช่หรือ ตอนนี้เจ้าทำได้เพียงต้องเชื่อข้า” เซี่ยฟางหวาพูดจบก็ปล่อยม่านลง เอ่ยบอกอวี้จั๋ว “อวี้จั๋วหลบไป ให้เขาไปดูศพ”

           อวี้จั๋วเบี่ยงตัวหลีกทางให้

           ซุนจั๋วรีบเดินไปยังรถม้าทันที เมื่อเห็นกริชที่ถูกปักคาอกคนขับรถก็มีสีหน้าเปลี่ยน เขาเลิกม่านรถม้าออกด้วยมืออันสั่นเทา เมื่อเห็นหมอหลวงซุนที่ถูกกริชปักหน้าอกจนสิ้นลมหายใจแล้วก็หวีดร้องเสียงดังว่า “ท่านปู่!” ขณะจะถลาเข้าไปกอดร่างผู้เป็นปู่ก็นึกถึงคำพูดของเซี่ยฟางหวาได้จึงหยุดมือทัน จากนั้นก็ทรุดลงบนพื้นแล้วร้องไห้ออกมา

           อวี้จั๋วเห็นว่าเขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายเพิ่ม นับว่ายังรู้ความจึงมาหลบฝนหน้ารถม้า

           เซี่ยฟางหวามองซุนจั๋วทรุดอยู่บนพื้นพลางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ไม่คิดว่าหมอหลวงซุนจะมีจุดจบเช่นนี้ หลังนางกลับมาก็ถูกฉินเจิงวางแผนกักขังเอาไว้ที่จวนอิงชินอ๋อง นางได้พูดคุยกับหมอหลวงซุนท่านนี้หลายครั้ง เขาอายุปูนนี้แล้วฟังว่าคิดอยากเกษียณกลับบ้านเกิด เพียงแต่ฝ่าบาททรงประชวรอยู่จึงไม่ยอมให้เขาเกษียณ ไม่นึกเลยว่าจะตายลงเช่นนี้

           ซุนจั๋วร้องไห้ฟูมฟายพักหนึ่งก่อนลุกขึ้นยืน มองมายังรถม้าของเซี่ยฟางหวาก่อนเดินมาหา เอ่ยขึ้นทั้งที่ลำคอแห้งผาก “พระชายาน้อยโปรดชี้แนะด้วย ข้าควรทำเช่นไรดี ท่านปู่ถูกใครสังหารกันแน่ ท่านทราบหรือไม่”

           เซี่ยฟางหวายังไม่ทันตอบ เสียงกีบเท้าขบวนหนึ่งพลันดังขึ้นมาจากทางประตูเมือง เสียงกีบเท้าดูรีบร้อนราวกับมีคนมุ่งมาจำนวนมาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด