จารใจรัก 105-1 สายตาของสตรี

Now you are reading จารใจรัก Chapter 105-1 สายตาของสตรี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

           อิงชินอ๋องออกจากวังหลวง เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวยังมิแยกย้ายกันกลับ หากแต่กำลังรอเขาอยู่หน้าประตูวัง  

 

 

           เมื่อเห็นเขาออกมา เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็รีบก้าวขึ้นมารั้งแขนเขา “ท่านอ๋อง เป็นเช่นไรบ้าง ท่านกับ  

 

 

อู๋กงกงคุยกันเป็นการส่วนตัว เขาได้พูดสิ่งใดบ้าง ข้างในอยู่ในสถานการณ์แบบใด ฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง”  

 

 

           ใบหน้าอิงชินอ๋องสิ้นหวังอย่างยิ่ง มองทุกคนแวบหนึ่ง น้ำตาแทบจะไหลออกมารอมร่อ “อู๋กงกงบอกว่า หวาเอ๋อร์…” ชะงักไปราวกับคิดว่าหากเรียกหวาเอ๋อร์ต่อไปคงไม่ค่อยเหมาะสมนัก จึงเปลี่ยนคำพูด “คุณหนูฟางหวาตรวจชีพจรให้ฝ่าบาท บอกว่ามากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้”  

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป  

 

 

           “เป็นไปได้อย่างไร หลายวันก่อนฝ่าบาทยังทรงดูดี ไม่มีทางไปเร็วถึงเพียงนี้…นี่ไฉน…” หย่งคังโหวพูดจาสับสนเล็กน้อย  

 

 

           “ใช่แล้ว ฝ่าบาทไฉนเลยจะ…อยู่ได้มากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้ได้อย่างไร” เสนาบดีฝ่ายซ้ายเองก็ราวไม่อยากเชื่อด้วยเช่นกัน  

 

 

           อิงชินอ๋องส่ายหน้า น้ำตาเอ่อคลออยู่ในเบ้าตา “ข้าเองก็มิเชื่อ แต่อู๋กงกงดูท่าทางมิได้โกหก น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง รัชทายาทอยู่เฝ้าข้างในตลอดเวลา มิกล้าออกไปไหน”  

 

 

           “พวกเรามิได้พบฝ่าบาทหลายวันแล้ว” เสนาบดีฝ่ายซ้ายหันไปมองเสนาบดีฝ่ายขวา “วันนั้นท่านพบ  

 

 

ฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้าง”  

 

 

           “มิค่อยดีนัก เพราะเหตุนี้วันนั้นข้าถึงห้ามเจ้าไว้” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว  

 

 

           “กล่าวเช่นนี้ ฝ่าบาทจะทรงทนมิไหวแล้วจริงหรือ” หย่งคังโหวก้าวขึ้นมาถาม  

 

 

           “คุณหนูฟางหวามีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยมเพียงใดเราเองก็ทราบกันดี หากนางบอกว่าทนมิไหวแล้วจริงๆ อยู่ได้ไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้ เช่นนั้นคงเป็นความจริง” เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า   

 

 

           “เราเองก็ทราบว่าฝ่าบาททรงมิโปรดนางตลอดมา นางเองก็มิชอบฝ่าบาท ตอนนี้…คำพูดของคุณหนูฟางหวาจะเชื่อถือได้หรือ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายถาม  

 

 

           “ถึงท่านไม่เชื่อคุณหนูฟางหวา แต่ก็ควรเชื่อรัชทายาท” เสนาบดีฝ่ายขวาถอนหายใจออกมา  

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายเงียบเสียงลงทันที  

 

 

           “ไปเถอะ กลับจวนกันก่อน รัชทายาทสั่งไว้ว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่ พรุ่งนี้พวกเราก็เข้าวังมาเช้าหน่อยแล้วกัน” อิงชินอ๋องโบกมือแยกย้าย  

 

 

           เสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา และพวกหย่งคังโหวพยักหน้าพร้อมเพรียง  

 

 

           ทั้งหมดแยกย้ายกันออกจากหน้าประตูวัง  

 

 

           อิงชินอ๋องกลับมาถึงจวนอิงชินอ๋อง ภายในจวนยังจุดโคมสว่างไสว พระชายายังมิได้เข้านอนแต่กำลังรออิงชินอ๋องอยู่ เมื่อเห็นว่าเขากลับมาก็รีบออกมาหา ไถ่ถามด้วยความร้อนใจ “ข้าได้ยินว่าหวาเอ๋อร์กลับเมืองมาพร้อมรัชทายาทด้วย เข้าวังไปแล้วหรือ”  

 

 

           อิงชินอ๋องพยักหน้าหนักแน่น  

 

 

           “ไฉนหวาเอ๋อร์ถึงเข้าวังไปพร้อมรัชทายาทได้” พระชายาอิงชินอ๋องถาม  

 

 

           อิงชินอ๋องส่ายหน้า  

 

 

           “ท่านได้พบหวาเอ๋อร์หรือไม่ นางพูดอันใดหรือเปล่า” พระชายาอิงชินอ๋องถามอีก  

 

 

           “เรียกข้าว่าท่านอ๋อง ทำความเคารพข้า มิได้พูดอันใดทั้งนั้น” อิงชินอ๋องส่ายหน้า  

 

 

           “กล่าวเช่นนี้…เรื่องนางกับรัชทายาทเป็นความจริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป   

 

 

           อิงชินอ๋องกุมมือนาง กระชับให้แน่นขึ้น “ตอนนี้มิใช่เวลาพูดเรื่องพวกนี้แล้ว อู๋กงกงบอกกับข้าว่าหวาเอ๋อร์ตรวจชีพจรให้ฝ่าบาท มากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้”  

 

 

           “มากสุดไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้หมายความว่าอย่างไร” พระชายาอิงชินอ๋องไม่เข้าใจ มิได้ตอบสนองกลับในทันที  

 

 

           “หมายความว่าฝ่าบาทจะมีพระชนม์ชีพอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” อิงชินอ๋องมองนาง   

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไป ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมา กล่าวไม่ออกชั่วเวลาหนึ่ง  

 

 

           อิงชินอ๋องลูบมือนาง ก่อนจูงนางเข้าไปในห้อง นั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก  

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง พระชายาอิงชินอ๋องก็เรียกสติกลับคืนมาได้ หันกลับมาถามด้วยความอึกอัก “ท่านบอกว่าฝ่าบาทจะทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ได้ไม่เกินยามอู่วันพรุ่งนี้หรือ”  

 

 

           “หมายความเช่นนี้” อิงชินอ๋องพยักหน้า  

 

 

           “นี่…ไฉนถึงได้กะทันหันเช่นนี้” พระชายาอิงชินอ๋องค่อนข้างไม่อยากเชื่อ  

 

 

           อิงชินอ๋องครุ่นคิดแล้วกล่าวออกมา “ตั้งแต่กลับจากวังหลวงข้าก็ทบทวนมาตลอดทาง แรกเริ่มยังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สุดท้ายก็เข้าใจแล้ว ฝ่าบาทเดิมประชวรหนัก ยาใดก็รักษาไม่หาย ความมุ่งมั่นตลอดชีวิตของพระองค์คือการกำจัดตระกูลเซี่ย ทำให้บ้านเมืองหนานฉินถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ว่าโปร่งใส หลายปีมานี้พัฒนากลายเป็นอุดมการณ์ คิดเป็นตุเป็นตะว่าตระกูลเซี่ยเป็นตัวขัดขวางเส้นทางนั้นของพระองค์ ด้วยแผนการอันยากลำบากตลอดหลายปี เดิมคิดว่าเป็นปณิธานนั้นจะทำสำเร็จในชีวิตนี้ ทว่ากลับล้มลุกคลุกคลานหลายต่อหลายครั้ง หลังพระองค์ทรงประชวรหนักก็คิดฝากความหวังไว้ที่รัชทายาท หากแต่รัชทายาทกลับมีใจเอนเอียงให้ตระกูลเซี่ย เสนอให้มีการแก้ไขระบบทหาร ยกอำนาจการทหารให้กับตระกูลเซี่ยใหม่อีกครั้ง อุดมการณ์ของพระองค์กลายเป็นตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ เดิมทีพระองค์ยังทรงอดกลั้นไว้ได้ แต่ยามนี้ความพยายามนั้นแตกซ่าน ตัวพระองค์ก็หมดกำลังแล้วเช่นกัน”  

 

 

           “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ พระองค์อายุน้อยกว่าท่านแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา ดวงตาเริ่มแดงก่ำ   

 

 

           “ใช่แล้ว” อิงชินอ๋องกระชับมือแน่นขึ้นแล้วมองนาง “จนถึงตอนนี้ใจเจ้ายังถวิลหาฝ่าบาทอยู่ใช่หรือไม่ แค้นเคืองที่ตอนนั้นพระองค์ไม่ดื้อรั้นพอที่จะแต่งงานกับเจ้า”  

 

 

           “พูดอันใดแบบนั้นเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องตีมือเขา “ตั้งแต่มีสมรสพระราชทานกับท่านวันนั้น ข้าก็ปล่อยวางได้แล้ว เพียงแต่พอได้ยินว่าพระองค์ใกล้จะ…จึงรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง”  

 

 

           “ที่ผ่านมาฝ่าบาทยังถวิลหาเจ้าตลอดเวลา ใจข้าทราบดี” อิงชินอ๋องกล่าว “พระองค์ทรงทนทุกข์มาทั้งชีวิตแล้วจริงๆ”  

 

 

           “ใจท่านก็ถวิลหาอวี้หวั่นตลอดมาเช่นกัน ข้าเองก็ทราบดี” พระชายาอิงชินอ๋องถลึงตามองเขา   

 

 

           อิงชินอ๋องชะงัก นิ่งมองพระชายาพักหนึ่ง ก่อนพึมพำขึ้น “หลายปีก่อนข้าปล่อยวางมิได้ แต่ต่อมาก็เข้าใจทุกสิ่งดีแล้ว ตอนนี้มิได้ถวิลหาอีกแล้ว”  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องแค่นหัวเราะแผ่วเบา  

 

 

           “อายุปูนนี้แล้ว ไฉนเลยยังหึงหวงอยู่อีก” อิงชินอ๋องเอ่ยขึ้น  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องหลุดหัวเราะขึ้นมาครู่หนึ่ง “ท่านต่างหากที่หวงข้า ยังมีหน้ามาตำหนิข้าอีกหรือ”  

 

 

           อิงชินอ๋องเองก็หัวเราะเช่นกัน  

 

 

           หลังทั้งคู่แย้มยิ้มหัวเราะกัน ก่อนที่ความกลัดกลุ้มจะแผ่คลุมใบหน้าอีกครั้ง  

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง พระชายาอิงชินอ๋องก็เอ่ยขึ้น “ทำเช่นไรดี ท่านมีความคิดใดหรือไม่”  

 

 

           “รัชทายาทมีคำสั่งให้ใต้เท้าทุกท่านกลับไปพักผ่อนที่จวนก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าวังใหม่ ตอนนี้ฝ่าบาทยังบรรทมอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่หลังยามอู่เมื่อวานก็ยังไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย” อิงชินอ๋องส่ายหน้า   

 

 

           “ตอนนี้ผู้ใดอยู่เฝ้าฝ่าบาทเล่า” พระชายาอิงชินอ๋องถาม  

 

 

           “หลังยามอู่เมื่อวาน ฮองเฮา ไท่เฟย และพระสนมในวังหลังล้วนไปเยี่ยมเยียน เวลานั้นฝ่าบาททรงตื่นขึ้นมาแต่ก็ไม่พบผู้ใดทั้งนั้น แม้แต่ฮองเฮากับไท่เฟยก็ไม่ขอพบเช่นกัน ฮองเฮาทรงเฝ้าอยู่ครึ่งวันก่อนเสด็จกลับไป สองวันก่อนองค์ชายแปดไปเฝ้าตลอดเวลา แต่ก็มิได้พบฝ่าบาทเช่นกัน แดดแรงออกขนาดนั้นทำให้องค์ชายแปดเป็นไข้แดดจึงต้องตามหมอหลวงมาตรวจรักษา ถูกไท่เฟยรับกลับตำหนักไปแล้ว” อิงชินอ๋องกล่าว “ตอนนี้มีเพียงรัชทายาทกับหวาเอ๋อร์ที่อยู่เฝ้า”  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราก็รีบพักผ่อนกันดีกว่า เมื่อวานท่านเฝ้ามาทั้งวัน ตอนนี้สีหน้าย่ำแย่ถึงเพียงนี้ หากล้มป่วยไปอีกคนจะทำเช่นไร พักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงรับมือกับเรื่องที่จะตามมา พรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้าวังไปกับท่านด้วย”  

 

 

           อิงชินอ๋องพยักหน้า “ไม่รู้ว่าเจิงเอ๋อร์จะกลับมาตอนไหน”  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องส่ายหน้า ก่อนถอนหายใจออกมา “เวลาแบบนี้เขาไม่กลับมาก็ดีแล้ว หากกลับมาเห็น…ไม่แน่ว่าจะก่อเรื่องพลิกฟ้าในเมืองอย่างไร”  

 

 

           อิงชินอ๋องผงกศีรษะรับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด  

 

 

           ทั้งคู่เข้าไปพักผ่อนในห้องด้วยกัน  

 

 

           ไม่นานโคมไฟในจวนอิงชินอ๋องก็ดับลง โคมไฟในจวนใหญ่ต่างๆ ก็ทยอยดับลงเช่นกัน  

 

 

           มีเพียงวังหลวงเท่านั้นที่ยังจุดโคมสว่างประหนึ่งตอนกลางวัน  

 

 

           ฮองเฮาทรงทราบข่าวว่าฉินอวี้กลับถึงวังหลวงแล้ว เดิมอยากรีบเสด็จไปหา ทว่าได้ยินว่าเซี่ยฟางหวาก็กลับเมืองมาพร้อมเขาด้วยจึงหยุดพระบาทลงฉับพลัน หันกลับไปตรัสถาม “จริงหรือ”  

 

 

           “รัชทายาทพาคุณหนูฟางหวาไปพบฝ่าบาทแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ตำหนักบรรทมของฝ่าบาทเพคะ” หรูอี้พยักหน้า ทูลรายงานเสียงเบา   

 

 

           ฮองเฮาแม้เตรียมใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ทว่ายังคงตกใจปนสงสัยอยู่บ้าง “ฝ่าบาททรงตื่นแล้วหรือ”  

 

 

           “หลังฝ่าบาททรงตื่นขึ้นมายามอู่ก็บรรทมตลอดมา ยังมิตื่นเพคะ” หรูอี้ส่ายหน้าตอบ   

 

 

           “ตอนนี้ผู้ใดอยู่ที่ตำหนักบรรทมฝ่าบาทบ้าง” ฮองเฮาตรัสถามอีก  

 

 

           “มีเพียงรัชทายาทกับคุณหนูฟางหวาเพคะ คนอื่นๆ ยังถูกขวางไว้นอกตำหนักมิให้เข้าพบ อิงชินอ๋องกับเสนาบดีฝ่ายซ้ายเฝ้ามาตลอดทั้งวันแล้ว” หรูอี้หยั่งเชิงถาม “ฮองเฮาเพคะ พระองค์จะเสด็จไปตอนนี้เลยหรือไม่ ไหนๆ รัชทายาทก็เสด็จกลับมาแล้ว หากพระองค์เสด็จไปหา รัชทายาททรงตัดสินใจเอง จะต้องให้ทรงเข้าไปพบ  

 

 

ฝ่าบาทเป็นแน่เพคะ”  

 

 

           ฮองเฮาทรงยืนหน้าประตูพักหนึ่ง มองไปยังทิศที่ตั้งตำหนักบรรทมฮ่องเต้ เนิ่นนานจากนั้นก็ตรัสด้วยความท้อใจ “ช่างเถอะ ข้ามิไปแล้ว”  

 

 

           หรูอี้มองนางด้วยความไม่เข้าใจ  

 

 

           “หลายปีแล้ว ข้ามองตำหนักบรรทมฮ่องเต้จากตำหนักเฟิ่งหลวน แม้ทั้งสองตำหนักอยู่มิไกลกันนัก แต่ข้าซึ่งเป็นฮองเฮาก็มิอาจเข้าไปหาได้หากไม่มีรับสั่ง คู่สามีภรรยาในหล้ามีคู่ไหนเป็นอย่างพวกเราบ้าง ครอบครัวสามัญชนมากมายต่างปรองดองมีความสุขกัน แต่มีผู้ใดทราบบางว่าวังหลวงอันสูงศักดิ์ที่สุดแห่งนี้นั้น สามีภรรยากลับต้องต่างคนต่างอยู่ มิได้ยืนหยัดในสามหลักห้าจรรยาแต่อย่างใด อีกอย่างในพระราชหฤทัยของฝ่าบาทก็ไม่เคยมีข้ามาตั้งแต่ต้น ถึงข้าไปหาแล้วอย่างไร” ฮองเฮามีพระพักตร์ย่ำแย่มาก   

 

 

           หรูอี้มองฮองเฮาด้วยความปวดใจ ก่อนเดินมาประคองนาง “เช่นนั้นให้บ่าวประคองพระองค์ไปพักผ่อนที่เตียงนะเพคะ”  

 

 

           ฮองเฮาพยักพระพักตร์ ก่อนเดินกลับไปที่เตียงโดยมีหรูอี้ประคอง  

 

 

           แม้ขึ้นมาบรรทมบนเตียงแล้ว แต่จนกลางดึกฮองเฮาก็ยังมิบรรทม ตำหนักเฟิ่งหลวนจุดไฟสว่างทั้งคืน  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด