จารใจรัก 65-3 โหดร้ายทารุณ

Now you are reading จารใจรัก Chapter 65-3 โหดร้ายทารุณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เป็นไปได้อย่างไร” ฉินเจิงรีบเอ่ยขึ้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวาฝืนยิ้ม “เป็นไปได้อย่างไร” นางถอยหลังก้าวหนึ่ง “ข้าเองก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้” หยุดชั่วครู่แล้วมองฉินเจิงพร้อมกล่าวเสียงเบา “ท่านอ๋องน้อยเจิง แต่นี่เป็นความจริง” 

 

 

           “เป็นไปไม่ได้!” ฉินเจิงกล่าวเด็ดขาด 

 

 

           “อยากรู้หรือไม่ว่าผู้ที่เจ้าสมรสด้วยคือใคร” เซี่ยฟางหวามองเขาพร้อมถามด้วยความนิ่งสงบ 

 

 

           “อย่าพูดเหลวไหล” ฉินเจิงกล่าวเสียงเย็น 

 

 

           “เป็นหลี่หรูปี้ คุณหนูหลี่หรูปี้แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา น้องสาวของหลี่มู่ชิง บุตรีแห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ชาติก่อนคล้ายกับว่านางก็ได้หมั้นหมายกับฉินอวี้ก่อน ต่อมาผู้ที่สมรสกับนางกลับกลายเป็นเจ้า ชาตินี้แม้ข้าออกเรือนกับเจ้าแล้ว แต่ดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงนี้ในเมืองหลวงหนานฉิน ไม่ได้แตกต่างอันใดกับเมื่อชาติก่อนเลย ก่อนตระกูลเซี่ยกับจวนจงหย่งโหวล่มสลายลง ข้าจำได้ว่าชาติก่อนก็เกิดคดีใหญ่ขึ้นมากมายในเมืองเช่นเดียวกัน พัวพันกันไปมาจนโยงมาถึงจวนจงหย่งโหว เมื่อตระกูลเซี่ยถูกลากเข้าไปพัวพันลุกลามต่อกันเป็นทอดๆ จะมีจุดจบน่าเวทนาเพียงใด ตอนนั้นข้ากับเจ้าเพิ่งหมั้นหมายกัน ตอนนี้แม้ได้สมรสกันแล้ว แต่บางทีประวัติศาสตร์อาจซ้ำรอยอีกครั้ง แม้มีจุดคลาดเคลื่อนไปบ้างเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มีจุดจบแบบเดียวกัน”  

 

 

เซี่ยฟางหวาฉีกยิ้มมุมปาก  

 

 

           “เพ้อเจ้อสิ่งใด ข้าฉินเจิงพูดคำไหนคำนั้น ขอเพียงยอมรับผู้ใดแล้ว ต่อให้จักรพรรดิหรือท่านพ่อมาพรากเราแยกจากกันก็เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อข้ารับปากเสด็จย่า เจ้ากับข้าหมั้นหมายกัน ข้าย่อมไม่ทอดทิ้งเจ้าแล้วไปแต่งกับสตรีอื่น ต่อให้จวนจงหย่งโหวล่มสลายลง ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า ไฉนถึงกลายเป็นหลี่หรูปี้ได้” ฉินเจิงกล่าวด้วยโทสะ 

 

 

           “ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน” เซี่ยฟางหวาหลับตาลง น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “ดังนั้น เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นได้ข้าถึงหมดสติไป ระหว่างหมดสติมีภาพความทรงจำไหลวนเข้ามาในสมอง เจ้าบอกว่าข้าสลัก 

 

 

พี่อวิ๋นหลานลงในก้นบึ้งหัวใจ ยากลืมเลือนได้ นั่นก็ถูกต้องแล้ว แต่ฉินเจิง หากข้าบอกเจ้า ต่อให้ข้าเฝ้าอยู่ข้างเตียง มองพี่อวิ๋นหลานตายไปต่อหน้าต่อตา ข้าไม่อาจใช้ร่างกายช่วยเหลือเขาได้ ได้แต่ยอมเสียเลือดตายไปพร้อมเขา นี่เป็นเพราะเหตุใด เป็นเพราะเจ้า เพราะคนที่ข้ารักก็คือเจ้า” 

 

 

           ฉินเจิงถอยหลังก้าวหนึ่ง 

 

 

           “สองวันนี้ข้าทบทวนตลอดเวลา ชาติก่อน ในภาพความทรงจำนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ความรักที่ท่านอ๋องน้อยเจิงมีต่อข้าไม่ได้ด้อยกว่าในชาตินี้เลย แต่เหตุใดถึงทอดทิ้งข้าไปแต่งกับสตรีอื่น ข้าครุ่นคิดแล้วก็หาคำตอบไม่ได้” เซี่ยฟางหวาลืมตามองเขา “แต่หลังไตร่ตรองมาสองวัน ในที่สุดข้าก็พอเข้าใจแล้ว” 

 

 

           “เจ้าเข้าใจอะไร” สีหน้าฉินเจิงไม่สู้ดีนัก 

 

 

           “เข้าใจว่าหัวใจของท่านอ๋องน้อยเจิงนั้น ต่อให้รักสตรีผู้นั้นมากเพียงใด แต่ก็ยังน้อยกว่าบ้านเมืองอยู่ดี” เซี่ยฟางหวามองเขา “เจ้าโตมาในวังหลวง อดีตฮ่องเต้กับเต๋อฉือไทเฮาทรงรักเจ้ามาก ให้ความรักและอบรมสั่งสอนเจ้าผู้เป็นหลานชายแท้ๆ อย่างลึกซึ้ง เทียบกับฉินอวี้ ย่อมถ่ายทอดหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองหนานฉินให้เจ้ามากยิ่งกว่า เหมือนกับอิงชินอ๋อง” 

 

 

           ฉินเจิงไม่เอ่ยคำใด นิ่งมองนาง 

 

 

           “ชาติก่อนก็คงเหมือนชาตินี้ ไม่ใช่ราชสำนักหนานฉินที่คิดประหารจวนจงหย่งโหวเก้าชั่วโคตร แต่ยังมีคนที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอยู่เบื้องหลัง บางทีอาจเป็นปรมาจารย์จากภูเขาลับที่ข้าพอทราบมาบ้าง บางทีอาจเป็นคนกลุ่มอื่น แต่สุดท้ายราชสำนักหนานฉินก็ควบคุมต่อไปไม่ไหว ถ้าต้องเลือกระหว่างตระกูลเซี่ยกับบ้านเมืองหนานฉิน เจ้าย่อมเลือกบ้านเมือง เพราะนี่เป็นรากฐานบรรพบุรุษสกุลฉินของเจ้า ดังนั้นต่อมาตระกูลเซี่ยถึงถูกประหารเก้าชั่วโคตร หนานฉินแม้เสื่อมอำนาจลง แต่โชคดีที่รักษารากฐานบ้านเมืองไว้ได้ ส่วนนี้มีคุณงามความดีของท่านอ๋องน้อยเจิงด้วย” เซี่ยฟางหวากล่าว “เจ้าอาวรณ์ข้า อาวรณ์จวนจงหย่งโหว แต่ช่วยราชสำนักกับบ้านเมืองหนานฉิน ความสำเร็จนี้ ไม่เสียแรงที่อดีตฮ่องเต้กับเต๋อฉือไทเฮาทรงสั่งสอนและโปรดปรานเจ้า” 

 

 

           “เจ้าใจเย็นก่อน นี่เป็นการคาดการณ์ของเจ้า ไม่ใช่ความจริง” ฉินเจิงเอ่ยเสียงเข้ม 

 

 

           “ฉินเจิง เจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร เดิมทีข้าไม่อยากพูดออกมาตอนนี้ แต่วันนี้เจ้าเป็นคนเริ่มพูดเรื่องพวกนั้นกับข้า เช่นนี้ก็ดี พูดแล้วก็พูดออกไปให้หมด ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้าต้องคิดเรื่องข้าจนเหลือทนแล้ว ข้าเองก็ทนตัวเองไม่ไหวแล้วเช่นกัน” เซี่ยฟางหวาเดือดดาล หยิบแก้วบนโต๊ะมาปาลงพื้น  

 

 

           แก้วตกลงบนพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง 

 

 

           เสียงดังกังวาน 

 

 

           ฉินเจิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป เขาก้าวขึ้นมาจับตัวนาง “ข้าแค่อยากให้เจ้าอยู่รักษาตัวในจวน ไม่ใช่ทนเจ้าไม่ได้ ข้าเป็นห่วง…” 

 

 

           “เก็บความเป็นห่วงเจ้าไปเสีย!” เซี่ยฟางหวาพลิกมือปัดมือเขาออกไป มองเขาด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ฉินเจิง เจ้าเหนื่อยมากแล้วใช่ไหม หมดแรงมากแล้วใช่ไหม เพื่อแต่งงานกับข้า ต้องทุ่มเทความคิดไปไม่น้อยเลยใช่ไหม ตอนนี้ภาระที่ต้องแบกรับบนบ่าคงหนักหนามากสินะ เจ้าบอกว่าเคยยิงธนูสามดอกใส่ข้าเพราะอยากปล่อยข้าไป ผลักไสข้าให้กับพี่อวิ๋นหลาน ทว่าหลังจากนั้นก็วางแผนแต่งงานกับข้า เป็นเพราะข้าตัดสินใจเลือกเจ้า รู้ว่าข้ารักเจ้า จึงปล่อยข้าไปไม่ได้ใช่หรือไม่ ก่อนเจ้าได้แต่งกับข้าก็ต้องลำบากตลอดมา หลังได้แต่งแล้วก็ยิ่งลำบากทุกย่างก้าว ข้ามันตัวซวย ทำให้เจ้าต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วเหตุใดยังต้องทนอยู่ต่ออีก” 

 

 

           “อย่าเหลวไหล ข้าพูดไปเพราะโมโห ไม่ได้…” ฉินเจิงโกรธ 

 

 

           “เจ้าไม่ต้องพูด!” เซี่ยฟางหวาตวัดฝ่ามืออย่างรวดเร็ว 

 

 

           ฉินเจิงหุบปากทันที 

 

 

           “ฉินเจิง สองชาตินี้ไม่นึกเลยว่าข้าจะตกหลุมรักเจ้า ตลอดสองชาติคงทำให้เจ้าเหนื่อยล้าและลำบากมาพอแล้ว หากไม่มีข้าเซี่ยฟางหวา เจ้าคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้ คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยสีหน้าเย็นชามาก  

 

 

           “เจ้าอยากพูดสิ่งใดกันแน่” ฉินเจิงเม้มปากแน่น 

 

 

           “สิ่งที่ข้าอยากพูดก็คือ เมื่อไม่มีเซี่ยฟางหวา เจ้าย่อมมีชีวิตที่ดีกว่านี้” เซี่ยฟางหวามองเขา “บ้านเมืองหนานฉินอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า วันหนึ่งเมื่อข้ากับจวนจงหย่งโหวเข้าไปมีส่วนพัวพันก็ต้องเป็นภาระของเจ้าอีก ในเมื่อช้าเร็วต้องมีวันนั้น วันที่จะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ เช่นนั้นเหตุใดยามนี้ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปด้วยเล่า” 

 

 

           “เจ้าคิดจะ…ไปจากข้า” ฉินเจิงจ้องมองนาง 

 

 

           “ข้าเมินเฉยจวนจงหย่งโหวไม่ได้ และไม่อาจลืมพี่อวิ๋นหลาน เจ้ามีหน้าที่ของเจ้า ข้ามีความยืนหยัดของข้า บางทีคงตรงกับประโยคที่ว่า ปณิธานต่างกันไม่อาจหารือด้วยกันได้” เซี่ยฟางหวามองเขา “ฉินเจิง ถึงเจ้ารักข้าเพียงใด แต่ทนมองดูบ้านเมืองหนานฉินล่มสลายลงได้หรือ ถึงข้ารักเจ้าเพียงใด แต่ข้าจะทนมองจวนจงหย่งโหวและญาติพี่น้องตายไปได้ลงหรือ ตอนนี้เมื่อไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรดึงดันที่จะออกเรือนกับเจ้า แต่ตอนนั้นข้ายังฟื้นฟูความทรงจำกลับมาไม่ได้ ตอนนี้…เป็นเช่นนี้เถอะ” 

 

 

           “เช่นนี้อะไร” ฉินเจิงรั้งกายนาง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาลงมือก่อนเขาก้าวหนึ่ง นางใช้วิชาประหลาดยิ่ง เห็นเพียงเส้นพลังสีดำมัดตัวเขาจนขยับไม่ได้ นางมองใบหน้าโกรธจัดของเขาแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม “ฉินเจิง ข้าอยากมีชีวิตเรียบง่ายกับเจ้าให้มากกว่านี้ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกหลายปี ทว่าสุดท้ายแล้ว ถึงเจ้ากับข้ามีความรักให้กันลึกซึ้งหากแต่ไร้วาสนา ข้าไปแล้ว เจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย” 

 

 

           “หยุดเดี๋ยวนี้!” ฉินเจิงตาแดง ทั้งลนลานทั้งโมโห “เจ้าใช้วิทยายุทธ์ใด” 

 

 

           “วิชาลับเผ่าภูตผี แม้วิทยายุทธ์เจ้าสูงกว่าข้า แต่หากไม่เข้าใจวิชาลับเผ่าภูตผีย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ข้า” เซี่ยฟางหวาหันตัวกลับเชื่องช้าแล้วตอบเสียงเบา  

 

 

           “เจ้าส่งท่านปู่ ท่านลุง พี่หลินซี กระทั่งป้าฝูออกเดินทางลับๆ ก็เพื่อไปจากเมืองหลวง ไปจากข้า สองวันนี้เจ้าเตรียมการสิ่งนี้เอาไว้หรือ” ฉินเจิงถามขึ้น 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเสียใจ “ใช่แล้ว วันนั้นข้าฟื้นขึ้นมาก็จดจำเรื่องราวได้มากมาย จึงตัดสินใจเช่นนี้” หยุดชั่วครู่แล้วหันหลังเดินออกไป ขณะเดียวกันก็กล่าวเสียงเบา “ฉินเจิง ข้าส่งคนไปเตรียมการไว้พร้อมแล้ว ขอให้ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ มีคำสั่งให้เจ้าออกหนังสือหย่าให้แก่ข้า ถึงอย่างไรข้าก็ยังไม่ได้อยู่ในผังราชนิกุลสกุลฉิน หนังสือหย่าก็เหมือนกับสมรสพระราชทาน ล้วนขึ้นอยู่กับพระราชโองการฉบับเดียวเท่านั้น ง่ายดายอย่างยิ่ง”     

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด