จารใจรัก 91 เยี่ยนถิงกลับมา

Now you are reading จารใจรัก Chapter 91 เยี่ยนถิงกลับมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

 

           หากฉีเหยียนชิงฉวยโอกาสปลุกปั่นก่อเหตุที่พรมแดนในช่วงที่หนานฉินกำลังเผชิญความวุ่นวายและความตกทุกข์ได้ยาก เช่นนั้นหนานฉินก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ภายในวุ่นวายภายนอกถูกรุกราน กลายเป็นผีซ้ำด้ำพลอย

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้ป้องกันฉีเหยียนชิงล่วงหน้า มีสายลับฝีมือดีระดับหนึ่งต่อหนึ่งร้อยที่เซี่ยเฟิ่งมารดาของเขามอบให้ เช่นนั้นฉีเหยียนชิงก็จะมีอุปสรรคขัดขวาง ไม่อาจประสบความสำเร็จได้โดยง่ายดาย

 

 

           เซี่ยม่อหานฟังการเตรียมการของเซี่ยอวิ๋นจี้จบก็เสมือนยกภูเขาออกจากอก หัวใจที่เคยหนักอึ้งผ่อนคลายลงหลายส่วน เอ่ยถามเซี่ยอวิ๋นจี้ว่า “กล่าวเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ไม่ได้นำสายลับที่ท่านป้ามอบให้กลับมาสักคนเลยหรือ ตั้งแต่พรมแดนม่อเป่ยจนถึงเมืองหลินอัน ตลอดการเดินทางมีเจ้าเพียงคนเดียว ตั้งแต่ท่านอาจวนโรงเก็บเกลือทราบว่าเจ้าถูกฉีอวิ๋นเสวี่ยนำตัวไปก็พากันออกตามหาเจ้า เจ้าได้ติดต่อกับพวกเขาหรือไม่ ได้พบหน้ากันหรือยัง”

 

 

           “ไม่ใช่ข้าคนเดียว ยังมีอีกคนหนึ่ง เยี่ยนถิงกลับมาพร้อมข้าด้วย” เซี่ยอวิ๋นจี้ตอบ “จวนโรงเก็บเกลือเลี้ยงดูข้ามาหลายปี มีบุญคุณหนักแน่นต่อข้าดั่งภูผา แม้ข้าไปเป่ยฉีกลับมาแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจไม่แยแสจวนโรงเก็บเกลือได้ หลังหลุดจากการจับกุมของฉีอวิ๋นเสวี่ยก็ส่งข่าวบอกพวกเขาแล้ว ตอนนี้ทุกคนในจวนโรงเก็บเกลืออยู่กับโหวเหยียผู้เฒ่า”

 

 

           “เยี่ยนถิงกลับมาแล้วหรือ” เซี่ยม่อหานชะงัก

 

 

           “อืม กลับมาแล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้พยักหน้า “ตอนที่เขาออกจากเมืองหลวงหนานฉิน เดิมเพราะความอัดอั้นที่สะสมมาเป็นเวลานานในจวนหย่งคังโหวจนไร้ทางระบาย ทั้งคะนึงหาน้องฟางหวาแต่ไม่สมปรารถนา ดังนั้นจึงตัดสินใจไปจากหนานฉิน น้องฟางหวาแม้ตอบรับความรู้สึกของเขาไม่ได้ กลับช่วยเขาให้หนีพ้นจากการไล่ตามมาขัดขวางของจวนหย่งคังโหวกับสายลับราชสำนัก รวมถึงตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง ขอให้เหยียนเฉินคุ้มครองเขาไปยังเป่ยฉี และพักอาศัยที่จวนพระมาตุลาแห่งเป่ยฉีตลอดมา ต้องยอมรับว่าเหยียนเฉินมีอุบายร้ายกาจยิ่ง แม้ตัวเขาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงเป่ยฉี แต่กลับส่งคนคุ้มครองเขาให้อยู่ในเมืองหลวงเป่ยฉีได้อย่างดี ตาแก่กับคนตระกูลอวี้แม้ทราบว่าเขาคือท่านโหวน้อยเยี่ยนจากจวนหย่งคังโหวแห่งหนานฉิน ทว่าก็แสร้งไม่รู้ ขี่ม้าสัญจรบนท้องถนนได้โดยไม่มีใครทำอะไรเขา เขาที่หลุดพ้นจากจวนหย่งคังโหวแล้วนั้นใช้ชีวิตในเป่ยฉีได้อย่างมีอิสระมาก”

 

 

           “เยี่ยนถิงเดิมมีนิสัยกระฉับกระเฉง สนิทสนมกับฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก จึงติดนิสัยชอบทำตามอำเภอใจของฉินเจิงมาหลายส่วน เวลาสองคนอยู่ด้วยกันก็มีนิสัยเข้ากันได้อย่างดี เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีใจใฝ่หาน้องสาวข้ากันทั้งคู่ ทำให้มิตรภาพพี่น้องห่างเหิน ช่าง…” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา

 

 

           “เพราะเขาทราบเรื่องพระราชโองการหย่าร้างจึงนั่งอยู่ในเป่ยฉีไม่ติดแล้ว” เซี่ยอวิ๋นจี้หัวเราะหึ

 

 

           “เขาไปตั้งครึ่งปีกว่าแล้ว ยังตัดใจจากนางไม่ได้อีกหรือ” เซี่ยม่อหานตกใจ

 

 

           “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบ ถึงอย่างไรพอได้ยินเรื่องน้องฟางหวาได้รับพระราชโองการหย่าร้าง เขาก็รีบห้อตะบึงม้ากลับมา ข้าอวดตนว่ามีทักษะการขี่ม้าเหนือชั้น มีวิทยายุทธ์สูงกว่าเขา ทว่ายังไล่ตามเขามาไม่ทัน หลังมาถึงพรมแดนม่อเป่ย ระหว่างที่ข้าเตรียมการรับมือเขาก็ไม่แม้แต่จะรอข้า ขี่ม้าเร็วห้อตะบึงกลับมาเพียงลำพัง ข้าไล่ตามมาทีหลัง แต่ตลอดทางไม่เห็นแม้แต่เงาเลย” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าว

 

 

           “กล่าวเช่นนี้แสดงว่าเขากลับมาก่อนเจ้าก้าวหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไปที่ใด หรือกลับเมืองหลวงไปแล้ว” เซี่ยม่อหานพูดพลางก็ส่ายหน้า “ไม่สิ หากจะกลับเมืองหลวงจำต้องผ่านเมืองหลินอัน ตอนนี้เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาด ปิดประตูเมืองห้ามสัญจรผ่านทั้งสี่ทิศ เขาจะกลับเมืองไปได้อย่างไร”

 

 

           “คนที่เขาเป็นห่วงคือน้องฟางหวา อาจไม่ได้มาที่เมืองหลินอัน แต่ตรงไปหานางแทน” เซี่ยอวิ๋นจี้กะพริบตาปริบ

 

 

           “ไปหานาง” เซี่ยม่อหานมึนงง เอ่ยด้วยความสงสัย “เขาจะนำสิ่งใดไปหา แม้แต่ข้ายังติดต่อนางไม่ได้ หากจะติดต่อนางจำต้องพึ่งเหยียนเฉิน เขาจะติดต่อนางได้อย่างไร”

 

 

           “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาได้เหยียนเฉินนำไปส่งที่จวนพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี ตอนนี้เหยียนเฉินออกจากเมืองหลินอันไปแล้ว เขากับเหยียนเฉินน่าจะติดต่อกันได้ หากติดต่อเหยียนเฉินได้ก็เท่ากับติดต่อน้องฟางหวาได้ไม่ใช่หรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้กล่าว

 

 

           “ก็จริง” เซี่ยม่อหานพยักหน้า “แต่ตอนนี้เหยียนเฉินล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกจากเมืองหลินอันไปแล้ว มุ่งหน้าไปหาน้องสาวข้า การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก เขาจะยอมให้เยี่ยนถิงเสี่ยงอันตรายหรือ เกรงว่าน้องสาวข้าก็ไม่ยอมเช่นกัน”

 

 

           “กังวลอันใดถึงเพียงนั้น เจ้ายังไม่แก่แต่ทำตัวเหมือนคนแก่ก็มิปาน เอาแต่กลุ้มอกกลุ้มใจทุกวัน มิน่าถึงรักษาตัวได้ไม่ถึงไหนสักที” เซี่ยอวิ๋นจี้หาวหวอด โบกมือไล่อย่างไม่ยี่หระ “เดินทางมาทั้งวัน ง่วงจะตายอยู่แล้ว ถ้าเจ้าไม่มีเรื่องใดแล้วก็ปล่อยให้ข้านอนสักงีบเถอะ”

 

 

           เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นจึงเห็นว่าใต้ตาเซี่ยอวิ๋นจี้นั้นคล้ำเพียงใด ทำได้เพียงยอมเลิกราแล้วลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นเจ้านอนเถอะ มื้อเย็นค่อยมาตามเจ้า”

 

 

           “ถ้าในเมืองไม่เกิดเรื่องใดก็ไม่ต้องเรียกข้า ข้าไม่กินมื้อเย็น” เซี่ยอวิ๋นจี้ลุกขึ้น เดินหาวหวอดเข้าไปในห้องชั้นใน

 

 

           เซี่ยม่อหานจนปัญญา ออกมาจากห้องแล้วกลับไปที่ห้องของตนเองที่อยู่ด้านข้าง

 

 

           ทิงเหยียนเดินตามหลังเซี่ยม่อหานพลางกระซิบถาม “ท่านโหว ท่านโหวน้อยเยี่ยนกลับมาแล้วจริงหรือ”

 

 

           “อืม กลับมาแล้ว” เซี่ยม่อหานทราบดีว่าทิงเหยียนเฝ้าอยู่หน้าประตูย่อมได้ยินบทสนทนาระหว่างตนกับเซี่ยอวิ๋นจี้ ทว่าทิงเหยียนแม้ถูกฉินเจิงปกป้องมาอย่างดีเกินไป มีความสามารถไม่มากนัก แต่เพราะติดตามฉินเจิงมาตั้งแต่เด็ก แม้เรื่องการพูดจาดูเชื่อถือไม่ได้ แต่เก็บความลับได้เข้มงวดมาก ไม่เผลอหลุดปากพูดออกไปง่ายๆ

 

 

           “ตอนนี้ท่านอ๋องน้อยกับคุณหนูฟางหวาอยู่ในสภาพเช่นนี้ ท่านโหวน้อยเยี่ยนจึงฉวยโอกาสกลับมา ช่างเลือกเวลาได้เหมาะเจาะนัก คุณหนูฟางหวาไม่ได้ชอบเขาแท้ๆ เขายังกลับมาทำไมอีก หรือว่าอยากแย่งคุณหนูไป เช่นนั้นท่านอ๋องน้อยจะทำอย่างไร” ทิงเหยียนเกาศีรษะ เอ่ยขึ้นด้วยความกลุ้มใจ

 

 

           “เยี่ยนถิงเป็นห่วงนางจึงรีบกลับมา ไม่แน่ว่ายังไม่ตัดใจจากนาง อีกอย่าง ฉินเจิงเป็นคนประเภทที่จะปล่อยให้คนอื่นแย่งไปง่ายๆ หรือ เว้นเสียแต่เขากับนางไม่อาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วจริงๆ ฉะนั้นแล้ว…สังเกตดูไปก่อนเถอะ” เซี่ยม่อหานได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวอย่างจนปัญญา

 

 

           “เช่นนั้นก็ยังดี” ทิงเหยียนผ่อนลมหายใจ

 

 

           “เจ้าก็กังวลเกินไปเหมือนกัน” เซี่ยม่อหานยิ้มขำก่อนยกมือไล่ “ไปถามดูว่าท่านหญิงฟื้นหรือยัง มีอาการแทรกซ้อนหรือไม่”

 

 

           ทิงเหยียนพยักหน้าแล้ววิ่งออกไป

 

 

           เซี่ยม่อหานนั่งพิงตั่งบุนวม คลึงหน้าผากด้วยความเหนื่อยล้า หลับตาลงพักสายตาครู่หนึ่ง

 

 

           ไม่นานทิงเหยียนก็วิ่งกลับมา กล่าวกับเซี่ยม่อหานว่า “ท่านโหว ท่านหญิงยังไม่ฟื้นขอรับ พวกผิ่นจู๋ทำตามคำสั่งของท่าน เฝ้าไว้เป็นอย่างดี บอกว่าหากฟื้นแล้วจะส่งคนมาบอกท่านแน่นอน ตอนนี้ไม่ได้ตัวร้อน ขอให้ท่านสบายใจได้”

 

 

           เซี่ยม่อหานพยักหน้าแล้วยกมือไล่ทิงเหยียนออกไป

 

 

           ทิงเหยียนทราบดีว่าเขาก็เหนื่อยแล้วเช่นกันจึงกลับออกมาจากห้อง ไม่รบกวนเขาอีก

 

 

           แสงอาทิตย์อัศดงลอดผ่านหน้าต่างสะท้อนเข้ามาในห้องของเซี่ยม่อหาน แม้เขากำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ทว่ากระแสความกลุ้มใจและความกังวลบริเวณหว่างคิ้วนั้นไม่ยอมคลายลงเลย

 

 

           คนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดย่อมเป็นเซี่ยฟางหวา

 

 

           ห้องด้านข้าง หลังจากเซี่ยอวิ๋นจี้ไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวจากห้องเซี่ยม่อหานแล้วก็เดินมาที่หน้าต่างด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เปิดหน้าต่างออกมองไปข้างนอกแวบหนึ่ง ภายในเรือนไม่พบผู้ใด เขากระโดดออกจากทางหน้าต่างแผ่วเบา เมื่อปลายเท้าสัมผัสพื้นก็ปิดหน้าต่างลงเงียบเชียบ ขณะเดียวกันก็เหินกายขึ้น ไม่กี่ก้าวก็มาถึงกำแพงเรือนทิศตะวันตก ก่อนกระโดดออกไป

 

 

           ตั้งแต่เมืองหลินอันเกิดโรคห่าระบาด สายลับจวนโหวที่เซี่ยม่อหานนำออกจากเมืองก็ถูกสั่งไปตามหาสมุนไพรดำม่วงทั้งหมด เหลือไว้เพียงอวิ๋นเย่ซึ่งเป็นสายลับประจำกาย เพียงแต่หากไม่ใช่สถานการณ์อันตรายถึงชีวิต เซี่ยม่อหานก็ไม่ยอมให้เขาปรากฏกายขึ้น

 

 

           ทว่าการที่เขาไม่ปรากฏกาย มิได้หมายความว่าเขาไม่อยู่

 

 

           ดังนั้นเมื่อเซี่ยอวิ๋นจี้กระโดดข้ามกำแพงเรือนออกไป เขาก็ปรากฏกายขึ้นที่นอกหน้าต่างห้อง

 

 

เซี่ยม่อหาน ก่อนตะโกนเรียกเสียงต่ำ “ท่านโหว”

 

 

           เซี่ยม่อหานลืมตาขึ้นทันที เขาทราบดีว่าอวิ๋นเย่สายลับประจำกายของตนนั้น หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นง่ายๆ ทั้งตอนนี้ยิ่งอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ยามนี้การเคลื่อนไหวแม้เพียงหญ้าปลิวก็ล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เขาปรากฏตัวขึ้นได้จะต้องเป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญแน่ เขารีบถาม “อวิ๋นเย่ มีเรื่องใดรึ”

 

 

           “คุณชายอวิ๋นจี้เพิ่งแอบออกไปจากเรือน มิทราบว่าไปที่ใด จะให้ข้าน้อยไปขัดขวางหรือปล่อยไปขอรับ” อวิ๋นเย่รายงานเสียงต่ำ

 

 

           “อวิ๋นจี้แอบออกไปจากเรือนหรือ” เซี่ยม่อหานมึนงง

 

 

           “ขอรับ”

 

 

           เซี่ยม่อหานก้มหน้าไตร่ตรอง ก่อนเข้าใจเรื่องราว “ตอนเพิ่งมาถึงเมืองหลินอัน พอได้ยินว่าเหยียนเฉินล่อผู้อยู่เบื้องหลังไปหาน้องสาวข้า เขาก็เกิดสนใจขึ้นมาบ้าง คิดอยากตามไปด้วย แต่ข้าห้ามไว้ก่อน ตอนนี้เขาคงนั่งไม่ติดอยากไปผสมโรงด้วย กลัวว่าข้าจะห้าม จึงฉวยโอกาสบอกว่าเหนื่อยอยากพักผ่อนแล้วแอบหนีไป”

 

 

           อวิ๋นเย่เงียบ

 

 

           เซี่ยม่อหานครุ่นคิดก่อนเอ่ยขึ้นอีก “ตระกูลเซี่ยมีวิชาแกะรอยเป็นของตัวเอง ตอนที่ท่านปู่กับท่านลุงจวนโรงเก็บเกลือรับอวิ๋นจี้มาจากเป่ยฉี ได้หารือกันเรื่องอบรมเลี้ยงดูอย่างรอบคอบ ต่อมาก็ตัดสินใจว่าจะเลี้ยงดูตามกฎเกณฑ์ของผู้สืบทอดจวนโรงเก็บเกลือ อนาคตเป็นอย่างไร จะกลับเป่ยฉีหรืออยู่ที่จวนโรงเก็บเกลือต่อ นั่นเป็นการตัดสินใจของเขา ในฐานะผู้สืบทอดที่ได้รับการเลี้ยงดูมาในจวนโรงเก็บเกลือ หากเขาอยากตามหา

 

 

เหยียนเฉิน ย่อมหาร่องรอยได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีแค่เหยียนเฉินที่ออกจากเมืองหลินอัน เขาล่อคนกลุ่มใหญ่ออกไปด้วย จะต้องมีบางคนทิ้งร่องรอยไว้แน่”

 

 

           อวิ๋นเย่ยังคงเงียบ

 

 

           “อวิ๋นเย่ เจ้าตามอวิ๋นจี้ไปเถอะ ไม่ใช่ไปเพื่อขัดขวาง แต่คอยติดตามสังเกตเขาเงียบๆ หากเกิดอันตรายจะได้รับมือทัน เผื่อว่าเขาหาน้องสาวข้าพบจริงๆ เจ้าจะได้ช่วยเหลือได้” เซี่ยม่อหานไตร่ตรองอีกพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น

 

 

           “ท่านโหว ข้าน้อยไม่เคยห่างจากท่าน ตอนนั้นโหวเหยียผู้เฒ่าให้ข้าจดจำไว้ ไม่ว่ายามใดก็ห้ามห่างจากกายท่านโดยเด็ดขาด” อวิ๋นเย่ส่ายหน้า

 

 

           “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว” เซี่ยม่อหานกล่าว “ท่านปู่ก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องกับนางเช่นกัน นอกจากนี้ผ่านเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันมา น่าจะไม่เกิดเรื่องใดขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรเหยียนเฉินก็ล่อพวกเขาออกไปหมดแล้ว”

 

 

           “เรื่องอื่นย่อมฟังคำสั่งท่านโหว เว้นแต่เรื่องห่างจากกายท่านเท่านั้นที่ทำมิได้ โดยเฉพาะตอนนี้ท่านติดโรคห่า หากพรุ่งนี้ยังไม่มีสมุนไพรดำม่วง ถ้าไม่มีทางเลือกแล้ว ข้าจำต้องนำท่านออกจากเมืองไปหาสมุนไพรดำม่วงแทน” อวิ๋นเย่ยังคงส่ายหน้า ยืนนิ่งไม่ไหวติง

 

 

           “เช่นนี้เรามาตกลงกัน คืนนี้คงไม่เกิดเรื่องใดในเมืองหลินอันแล้ว เจ้าตามอวิ๋นจี้ไปก่อน แล้วค่อยรีบกลับมาหาข้าก่อนฟ้าสว่างวันพรุ่งนี้ก็พอแล้ว เจ้าวางใจเถอะ ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ไม่มีใครก่อเหตุในเมืองหลินอันแล้ว ข้าไม่เป็นไรแน่นอน” เซี่ยม่อหานถอนหายใจออกมา

 

 

           อวิ๋นเย่ยังคงส่ายหน้า ไม่ยอมจากไปไหน

 

 

           “ช่างเถอะ ปล่อยอวิ๋นจี้ไปแล้วกัน ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว” เซี่ยม่อหานจนปัญญา ได้แต่โบกมือไล่

 

 

           อวิ๋นเย่เห็นเซี่ยม่อหานไม่บังคับตนอีกแล้วจึงผงกศีรษะแล้วกลับออกไป

 

 

           เมื่อเข้าสู่กลางคืน เมืองหลินอันเงียบสงัดอย่างยิ่ง

 

 

           หลังเซี่ยอวิ๋นจี้ออกมาจากเรือนก็ตรงไปยังประตูเมือง พวกซื่อฮว่า ซื่อม่อ ซื่อหลาน และซื่อหว่านกำกับดูแลคนเก็บกวาดคราบเลือดและความไร้ระเบียบที่หน้าประตูเมืองจนเรียบร้อยแล้ว ขณะเตรียมตัวกลับก็เห็นเซี่ยอวิ๋นจี้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูเมือง

 

 

           ทั้งสี่คนทำความเคารพเขา

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้ส่งเสียงปราม ซ่อนตัวในที่ลับ แล้วกวักมือเรียกทั้งสี่คนมาหา

 

 

           ทั้งสี่ฉงนใจ เดินไปหาเขาด้วยความสงสัย

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้รอให้ทั้งสี่คนเดินเข้ามาหา ก่อนเอ่ยบอกพวกนางด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ข้าจะออกจากเมืองไปรับน้องฟางหวา พวกเจ้าสี่คนเฝ้าเมืองหลินอันให้ดี” หยุดชั่วครู่ก็กล่าวอีก “แต่ข้าคาดการณ์ว่า คืนนี้คงไม่มีใครก่อเหตุในเมืองหลินอันแล้ว พวกเจ้าอยากนอนก็นอนเถอะ แต่ตื่นตัวไว้สักหน่อยก็ดี”

 

 

           “ท่านจะออกไปรับคุณหนู” ทั้งสี่ตกใจ “ท่านทราบที่อยู่ของคุณหนูแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้ส่ายหน้า “ยังไม่รู้ แต่เมื่อครู่ข้าสำรวจประตูเมืองทั้งสี่ทิศแล้ว และพบร่องรอยบ้างแล้วเช่นกัน ถ้าตามร่องรอยนั้นไปจะต้องได้เบาะแสเป็นแน่ แต่แวะมาบอกพวกเจ้าก่อน พรุ่งนี้ครบกำหนดวันสุดท้ายที่โรคห่าระบาดใช่หรือไม่ ในเมื่อฟางหวาไปหาสมุนไพรดำม่วงมาแล้ว ด้วยอุบายของนางต้องนำกลับมาได้แน่นอน ระหว่างนี้นอกจากพวกเจ้าดูแลเมืองหลินอันแล้วก็คุ้มครองเซี่ยม่อหานด้วย อย่าให้เขาเป็นอะไรไป”

 

 

           ทั้งสี่พยักหน้ารับ “ท่านออกไปรับคุณหนู ใช่ปิดบังท่านโหวหรือไม่”

 

 

           “เด็กผู้หญิงฉลาดถึงเพียงนี้ทำไมกัน” เซี่ยอวิ๋นจี้พูดพลางก็นำโซ่ปีนกำแพงออกมาก่อนกระโดดลงไป

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อสี่คนมองหน้ากัน เห็นเพียงเซี่ยอวิ๋นจี้ใช้โซ่ปีนกำแพงลงไปได้อย่างคล่องแคล่ว เพียงครู่เดียวก็ออกจากเมืองไปแล้ว พักใหญ่ต่อมาก็เดินออกไปไกลยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

 

 

           เมืองหลินอันตั้งอยู่ในตำแหน่งพิเศษ ด้านหนึ่งโอบล้อมด้วยภูเขาจึงเรียกว่าภูผาวกวน อีกด้านหนึ่งโอบล้อมด้วยแม่น้ำจึงเรียกว่าธาราคดเคี้ยว ไม่ว่าทางบกหรือทางน้ำล้วนเดินทางสะดวก เพราะมีการคมนาคมสะดวกเป็นจุดเด่น ทำให้เมืองหลินอันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่หนานฉินก่อตั้งมา ด้วยความเจริญรุ่งเรืองนี้เองจึงกลายเป็นเมืองหลักที่ผู้คนจากทุกสารทิศแห่มาทำการค้าและการเจรจาค้าขาย

 

 

           ดังนั้นเมืองทั่วไปมีประชาชนอาศัยเพียงไม่กี่หมื่นคน แต่เมืองหลินอันกลับมีประชาชนและผู้สัญจรผ่านนับหลักแสน

 

 

           และทิศทางที่เซี่ยอวิ๋นจี้มุ่งไปเป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่โอบล้อมด้วยภูเขา ทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเพียงภูเขาด้านเดียว ที่บอกว่าหนานฉินมีการคมนาคมสะดวกก็เพราะแม้ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นภูเขาโอบล้อม แต่ก็ไม่คล้ายกับภูเขาลูกอื่นที่สูงชันยากจะสัญจรผ่าน หรือแม้แต่นกยังบินผ่านลำบาก ในทางกลับกันเป็นทางสลับคดเคี้ยว วกไปวนมา มีเส้นทางภูเขามากมาย ทะลุผ่านถึงกันได้ทุกทิศทาง

 

 

           ทางภูเขาเหล่านี้มีจุดร่วมกันจุดหนึ่งคือ ขอเพียงอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลินอันก็สามารถเชื่อมต่อกับเมืองหลินอันได้ทั้งหมด หรือก็คือแม้ไม่มีถนน แต่ก็สามารถมาถึงเมืองหลินอันได้

 

 

           ยิ่งไปกว่านั้น ภูผาวกวนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือลูกนี้เชื่อมต่อกับธาราคดเคี้ยวในทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วย ไม่ว่าจะทางบกหรือทางน้ำต่างมาบรรจบกันทั้งสิ้น

 

 

           เนื่องด้วยมีภูมิประเทศเช่นนี้จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เหยียนเฉินตัดสินใจล่อผู้อยู่เบื้องหลังออกจากเมืองหลินอัน ในสถานที่แบบนี้สามารถกระทำในสิ่งที่ทำในเมืองหลินอันมิได้มากมาย

 

 

           ศัตรูซุ่มในที่ลับแต่เราอยู่ในที่แจ้งมิสู้ศัตรูอยู่ในที่แจ้งแต่เราอยู่ในที่ลับ

 

 

           หลังเซี่ยอวิ๋นจี้หาร่องรอยพบก็มุ่งหน้าไปตามร่องรอยนั้น ไปยังภูผาวกวน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด