จารใจรัก 106-1 พระราชโองการสั่งเสีย

Now you are reading จารใจรัก Chapter 106-1 พระราชโองการสั่งเสีย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮ่องเต้ทรงมองฉินอวี้ ในแววตาสะท้อนความอาวรณ์ เมื่อทรงเห็นว่าฉินอวี้หลั่งน้ำตา หางตาของพระองค์ก็มีน้ำตาซึมไหลออกมาเช่นกัน

 

 

ฉินอวี้กุมพระหัตถ์อันสั่นเทาของฮ่องเต้แน่น แทบมิอาจส่งเสียงใดออกมาได้

 

 

“แต่โชคดีที่เรายังมีลูกชายที่ดี” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงแหบพร่ายากฟังออก แต่แฝงด้วยความภูมิใจ

 

 

ฉินอวี้เอ่ยเรียกพระองค์อีกครั้ง สะอื้นกล่าว “เสด็จพ่อต้องมิเป็นไร ลูกจะตามหายาวิเศษทั่วใต้หล้า จะต้องรักษาอาการประชวรของท่านได้เป็นแน่…”

 

 

“เรารู้ดี เราไม่ไหวแล้ว” ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์

 

 

ฉินอวี้ตาแดงก่ำ

 

 

ฮ่องเต้ทรงหันมองไปยังเซี่ยฟางหวา

 

 

เซี่ยฟางหวายืนหน้าเตียงมิไกลนัก หลังกล่าวจบก็นิ่งมองพระองค์

 

 

“อวี้เอ๋อร์ ออกไปก่อน” ฮ่องเต้พลันตรัสขึ้น

 

 

“เสด็จพ่อ” ฉินอวี้มองฮ่องเต้ด้วยน้ำตานองหน้า

 

 

“เจ้าไปที่ห้องหนังสือ นำโองการสั่งเสียที่เราเก็บเอาไว้ในช่องลับที่สองบนเพดานห้องมา” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

“เสด็จพ่อ” ฉินอวี้คุกเข่าหน้าเตียงไม่ยอมขยับ “ลูกมิไป ให้อู๋กงกงไปนำมาเถิด”

 

 

“ฟังเรา” ฮ่องเต้ขึงพระพักตร์ตึง “บุรุษมิควรหลั่งน้ำตาง่ายๆ ยิ่งเจ้าเป็นรัชทายาทยิ่งมิควรร้องไห้” ตรัสจบก็ตรัสเพิ่มเติม “อู๋เฉวียนมีหน้าที่อื่น เรายังมีเรื่องให้เขาไปทำอีก”

 

 

ฉินอวี้เม้มปาก ยังคงมิขยับไปไหน

 

 

ฮ่องเต้ทรงมองเซี่ยฟางหวาแวบหนึ่ง ก่อนแย้มสรวลขึ้น “เจ้าวางใจเถิด เราจวนจะลงโลงอยู่แล้ว ทำอันใดนางมิได้หรอก และมิทำอันใดนางอีกแล้ว”

 

 

ฉินอวี้มองเซี่ยฟางหวา เซี่ยฟางหวาพยักหน้าให้เขา ตนจึงเดินออกไปอย่างทำอันใดมิได้

 

 

หลังเขาเดินออกไป ฮ่องเต้ก็ทรงสั่งงานอู๋เฉวียน “เจ้าไปยังจวนอิงชินอ๋อง บอกให้อิงชินอ๋องกับพระชายาเข้าวัง นอกจากนี้ให้คนไปยังจวนเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวา จวนหย่งคังโหว จวนสำนักวิชาขั้นสูงฮั่นหลิน และจวนผู้ตรวจการ บอกให้พวกเขารีบเข้าวังโดยด่วน” หยุดชั่วครู่ก่อนตรัสเพิ่ม “ส่วนวังหลัง…ส่งคนไปเชิญฮองเฮากับไท่เฟยมาก็พอ”

 

 

อู๋เฉวียนฟังแล้วก็ทราบเจตนาทันที ใบหน้าปรากฏความเศร้าใจสุดซึ้ง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้ แล้วองค์ชายแปดกับองค์ชายอื่นๆ ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ไท่เฟยมา องค์ชายแปดทราบข่าวก็ย่อมมาด้วย ส่วนคนอื่นๆ…” ฮ่องเต้ปิดเปลือกตาลง “ช่างเถอะ คนอื่นมิจำเป็นต้องมา”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้” อู๋เฉวียนหันหลังเดินออกไป

 

 

ชั่วพริบตา ภายในตำหนักก็เหลือเพียงเซี่ยฟางหวากับฮ่องเต้สองคน

 

 

ฮ่องเต้ทรงมองเซี่ยฟางหวาด้วยแววตาสงบนิ่ง ราวกับอยากอ่านนางให้ออก

 

 

เซี่ยฟางหวามีใบหน้าเรียบเฉย ในแววตาเองก็เรียบเฉยเช่นกัน

 

 

ฮ่องเต้ทรงมองพักหนึ่งก่อนที่จะตรัสขึ้น “ตลอดชีวิตเรา มีน้อยคนนักที่เราจะอ่านไม่ออก ทว่าตั้งแต่เราได้พบเจ้าก็พบว่าอ่านอย่างไรก็อ่านเจ้าไม่ออก ดังนั้นเราจึงมิชอบเจ้า”

 

 

“เกรงว่าฝ่าบาทมิใช่มิทรงโปรดแค่หม่อมฉัน แต่ตระกูลเซี่ยทุกคน พระองค์ก็มิโปรดทั้งนั้น” เซี่ยฟางหวากล่าวเสียงเรียบ

 

 

ฮ่องเต้ทรงแค่นหัวเราะ “เจ้าพูดถูกแล้ว เรามิชอบตระกูลเซี่ยก็จริง แต่ยังยินดีให้พวกเขาปรากฏตัวต่อหน้าเราได้ ยกเว้นเพียงเจ้า”

 

 

เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว

 

 

“แต่เราต้องยอมรับว่าเจ้าเป็นสตรีที่มีพรสวรรค์ มีความสามารถมาก ยอดเยี่ยมกว่าบุรุษหลายคนในหล้า” ฮ่องเต้ทรงมองนาง “มิน่าเจ้าเด็กบ้าฉินเจิงถึงถูกเจ้าปั่นหัวจนดูมิได้ รัชทายาทเองก็อยากสมรสกับเจ้า เจ้าทำให้สองบุรุษที่โดดเด่นที่สุดในหนานฉินของเราตกอยู่ในกำมือเจ้า”

 

 

“หม่อมฉันแค่มีเจตนาอยากปกป้องตระกูลเซี่ยกับจวนจงหย่งโหว ท่านอ๋องน้อยเจิงเข้ามามีส่วนร่วม

 

 

รัชทายาทเข้ามามีส่วนร่วม ล้วนเป็นความสมัครใจของพวกเขา ฝ่าบาททรงล้อเล่นเช่นนี้ ออกจะดูถูกพวกเขาไปหน่อยแล้ว” สีหน้าเซี่ยฟางหวาเปลี่ยนไปเป็นนิ่งขรึม

 

 

ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ทรงกริ้วอย่างงายดายเช่นเมื่อก่อน แต่พยักพระพักตร์เออออไปตามนาง “เจ้าพูดถูกอีกแล้ว” ตรัสจบก็ทรงมองนาง “เราเพิ่งบอกว่าอ่านเจ้าไม่ออก ตอนนี้คล้ายกับจับจุดอ่อนเจ้าได้บ้างแล้ว”

 

 

เซี่ยฟางหวาหรี่ดวงตา

 

 

“ฉินเจิงกับฉินอวี้ ต้องมีสักคนที่เจ้ามีใจให้ มิฉะนั้นเมื่อครู่คงมิถูกคำพูดของเรากระตุ้น ทนฟังวาจาสองคำนั้นมิได้จึงเกิดโทสะกับเรา” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

“ฝ่าบาทมาถึงขั้นนี้แล้ว ถึงแม้จับจุดอ่อนหม่อมฉันได้แล้วจะมีประโยชน์ใด” เซี่ยฟางหวามองพระองค์

 

 

“ไม่มีประโยชน์อันใด แต่เราก็มิอยากตายไปโดยที่ยังกล้ำกลืนความแค้น” ฮ่องเต้ตรัสพลางก็ทรงพระกาสะขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

เซี่ยฟางหวามองพระองค์ ฮ่องเต้ในยามนี้ไหนเลยจะยังมีความน่าเกรงขามเหมือนตอนที่นางเพิ่งกลับมาจากเขาไร้นามครั้งแรก เป็นเพียงตาแก่ที่จวนจะป่วยตายและเหลือเวลาไม่มากคนหนึ่งเท่านั้น

 

 

“ริน…รินน้ำมาให้เราแก้วหนึ่ง” หลังฮ่องเต้หยุดทรงพระกาสะก็ตรัสกับเซี่ยฟางหวา

 

 

เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินไปยังหน้าโต๊ะ รินน้ำให้พระองค์แก้วหนึ่ง

 

 

ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์รับ พระหัตถ์สั่นเทาจนแทบจับผ้าห่มไม่อยู่ ตรัสขึ้นอีก “ประคอง…เราลุกขึ้น”

 

 

เซี่ยฟางหวาก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว เอื้อมมือประคองพระองค์ขึ้นแผ่วเบา ก่อนหยิบหมอนอิงมารองพระปฤษฎางค์ให้พระองค์

 

 

ฮ่องเต้ทรงยกแก้วน้ำขึ้น ดื่มน้ำทีละอึกเชื่องช้า

 

 

ผ่านไปพักหนึ่ง ฮ่องเต้ก็ทรงส่งแก้วเปล่ากลับมาให้เซี่ยฟางหวา แล้วตรัสกับนาง “ตอนที่เจ้ากับเจ้าเจิงสมรสกัน เรายังมิได้ดื่มชามงคลของเจ้า วันนี้…”

 

 

เซี่ยฟางหวาเดิมทีกำลังจะนำแก้วเปล่าไปเก็บ ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเท้าชะงัก

 

 

ฮ่องเต้เงียบลงทันใด ก่อนตรัสกับนาง “รินน้ำให้เราอีกหนึ่งแก้ว”

 

 

เซี่ยฟางหวาหันกลับไปมองพระองค์

 

 

ฮ่องเต้ก็ทรงมองนาง

 

 

ผ่านไปพักหนึ่งเซี่ยฟางหวาก็หันหลังนำแก้วน้ำไปวางบนโต๊ะ มิได้รินน้ำมาให้พระองค์เพิ่มอีกแก้ว หากแต่กล่าวเสียงเรียบ “หากฝ่าบาททรงอยากมีพระชนม์อยู่ถึงยามอู่พรุ่งนี้ ก็อย่าดื่มอีกเลย”

 

 

“แค่ดื่มน้ำอีกสักแก้วจะเร่งเอาชีวิตเราไปได้เลยเชียวหรือ” ฮ่องเต้ทรงมองนาง

 

 

“ได้” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

ฮ่องเต้หรี่พระเนตรลง “รัชทายาทส่งจดหมายลับให้เรา หากเราไม่ยอมให้เขาสมรสกับเจ้า เขาก็ยอมที่จะไม่เป็นรัชทายาทอีกแล้ว เจ้าทราบหรือไม่”

 

 

“ทราบ” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

“แล้วเจ้าคิดเห็นเช่นไร เจ้าจะออกเรือนกับรัชทายาทจริงหรือ” ฮ่องเต้ทรงจ้องนางเขม็ง

 

 

“หม่อมฉันรับปากรัชทายาทไปแล้ว” เซี่ยฟางหวาตอบเสียงเรียบ

 

 

“เหตุใดเจ้าถึงรับปากรัชทายาท” ฮ่องเต้ตรัสถามอีก

 

 

เซี่ยฟางหวาหันหลังมองไปยังนอกหน้าต่าง รัตติกาลเข้มสนิท หมอกลงหนาจัด ท้องฟ้าราวกับถูกหินสีดำขนาดใหญ่กดทับเอาไว้ หนักเสียจนชวนให้รู้สึกหายใจลำบาก นางมองพักหนึ่งก่อนตอบเสียงเรียบ “ย่อมมีเหตุผล”

 

 

“ย่อมมีเหตุผล” ฮ่องเต้ทรงพระสรวล แต่เนื่องด้วยเร่งรีบเกินไปจึงทรงกระกาสะขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

ครั้งนี้เซี่ยฟางหวามองไปนอกหน้าต่าง มิได้หันกลับไปมองพระองค์

 

 

ฮ่องเต้ทรงสำลักพระโลหิตออกมา ทำให้ขอบแท่นบรรทมและบนพื้นเลอะคราบเลือดเป็นวง พระองค์ใช้ชายฉลองพระองค์สีทองอร่ามเช็ดมุมพระโอษฐ์ บนชายแขนเสื้อเลอะคราบเลือดในทันที พระองค์ทรงกลับไปพิงบนแท่นบรรทมอีกครั้งด้วยความอ่อนแรง คล้ายตรัสกับเซี่ยฟางหวาและคล้ายตรัสกับตัวพระองค์เอง “ตลอดชีวิตเรามุ่งแต่แสวงหาลาภยศ ท้ายที่สุดกลับไร้ความทะเยอทะยาน ไม่ประสบความสำเร็จสักเรื่อง หากทราบเร็วกว่านี้ สมัยที่อดีตฮ่องเต้กับไทเฮาทรงเลือกเรา เราจะไม่รับบ้านเมืองนี้ไว้แน่นอน แต่จะตามท่านแม่ไป บางทีอาจดียิ่งกว่า”

 

 

เซี่ยฟางหวานิ่งฟัง กับเหตุการณ์ในปีนั้นนางทราบมาไม่น้อย

 

 

“เรากับเซี่ยอิงมีนิสัยเข้ากันได้ดี ต่างฝ่ายต่างเห็นเป็นพี่น้อง ตอนนั้นเราเป็นเพียงแค่ลูกชายของนางสนองพระโอษฐ์คนหนึ่ง ในบรรดาโอรสมากมายของอดีตฮ่องเต้ย่อมมีฐานะต่ำต้อยที่สุด เขาเป็นทายาทจวนจงหย่งโหวของตระกูลเซี่ย เทียบกับเราซึ่งเป็นลูกชายในราชวงศ์แล้ว เขาต่างหากที่เป็นลูกรักของสวรรค์โดยแท้จริง สิ่งเดียวที่เราเทียบกับเขาได้คือความสามารถ” ฮ่องเต้ตรัสอีก

 

 

เซี่ยฟางหวาได้ยินพระองค์ตรัสถึงบิดาของตน จึงหันกายกลับมาเชื่องช้า

 

 

“พวกเราถูกใจบุตรีตระกูลชุยเหมือนกัน คนหนึ่งคือตระกูลชุยแห่งชิงเหอ คนหนึ่งคือตระกูลชุยแห่งปั๋วหลิง สองฝ่ายต่างมีความรู้สึกตรงกัน ทว่าชะตาชีวิตของเราเทียบเขามิได้ เรามิได้สมรสกับสตรีผู้เป็นที่รัก ทำได้เพียงมองนางออกเรือนกับผู้อื่น และคนผู้นั้นเป็นพี่ชายคนโตของเรา” ฮ่องเต้ตรัสอีก “ส่วนเขาก็สมปรารถนา ได้สมรสกับสตรีผู้เป็นที่รัก เราไหนเลยจะยอมได้”

 

 

เซี่ยฟางหวาฟังถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าเยือกเย็น เอ่ยว่า “ดังนั้นพระองค์จึงสร้างสถานการณ์ สังหารบิดาหม่อมฉัน”

 

 

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์และทั้งส่ายพระเศียร “ทุกคนในหนานฉิน กระทั่งทุกคนในใต้หล้าล้วนคิดว่าเซี่ยอิงกับภรรยาถูกข้าสังหาร เดิมทีเราอยากกำจัดตระกูลเซี่ยอยู่แล้ว ที่ผ่านมาจึงมิเคยแก้ตัว”

 

 

เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว

 

 

“ตอนนั้นเราอยากกำจัดตระกูลเซี่ย ดังนั้นจึงออกคำสั่งให้เซี่ยอิงไปปลดอาวุธผู้ก่อกบฏ ทว่าระหว่างที่ควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ เราใจไม่แข็งพอ สั่งคนส่งจดหมายลับไปหาเขา บอกให้เขารีบถอนกำลังกลับเมืองมาโดยด่วน แต่เขาบอกว่าหากถอนกำลังออกมา แผ่นดินหนานฉินก็จะมีภัย สาบานว่าถึงตายก็ไม่ยอมกลับ สุดท้ายแล้วก็สิ้นชีพลง” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

ระหว่างที่เซี่ยฟางหวากำลังฟัง ในดวงตาก็มีม่านหมอกรวมตัวกัน ทว่าน้ำเสียงกลับเยือกเย็น “หม่อมฉันจะเชื่อได้อย่างไรว่าพระองค์มิได้โกหก”

 

 

“เจ้าก็บอกแล้ว ถ้อยคำของคนใกล้ตายมักกลั่นออกมาจากใจ” ฮ่องเต้ตรัส “เรามีเหตุผลใดต้องโกหกเจ้าด้วย” ตรัสจบ พระองค์ก็ทรงเคาะแท่นบรรทม ชี้ลงไปยังข้างใต้ “ในนี้มีช่องลับ มีจดหมายที่บิดาเจ้าเขียนด้วยตนเองอยู่”

 

 

เซี่ยฟางหวาได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินมาสองก้าว เมื่อมาถึงหน้าแท่นบรรทมก็เปิดช่องลับตามที่ฮ่องเต้ทรงชี้ตำแหน่ง กระดาษจดหมายค่อนไปทางเหลืองหล่นลงมาจากข้างใน นางมองแวบหนึ่ง เปิดจดหมายออก ตัวอักษรข้างในมองปราดเดียวก็ยืนยันได้ทันที

 

 

ถ้อยคำเรียบง่าย ตัวหนังสือหวัด บ่งบอกว่าเขียนขึ้นตอนกำลังรีบ

 

 

แต่มั่นใจว่าเป็นลายมือของบิดาตนแน่นอน ในห้องหนังสือจวนจงหย่งโหว ตอนยังเด็กนางมักคัดลอกลายมือของบิดาเป็นประจำ

 

 

น้ำตาคลอหน่วยในทันที

 

 

“เรามิได้โกหกเจ้าเห็นไหม…” ฮ่องเต้ตรัสพลางก็ทรงพระกาสะขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ก่อนพับเก็บจดหมายให้ดี “จดหมายฉบับนี้ในเมื่อเป็นจดหมายที่บิดาหม่อมฉันเขียนฉบับสุดท้าย…”

 

 

“ยกให้เจ้า” ฮ่องเต้ตรัสแทรก

 

 

เซี่ยฟางหวาเก็บจดหมายในอกเสื้ออย่างระวัง มองฮ่องเต้แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อตายเพื่อหนานฉิน ก่อนตายขอให้พระองค์ปล่อยตระกูลเซี่ยไป ทว่าพระองค์ก็มิได้ปล่อยตระกูลเซี่ย”

 

 

“หากไม่มีจดหมายฉบับนี้ ไม่มีการสละชีพเพื่อหนานฉินของเขา เจ้าคิดว่าเจ้ากับพี่ชายเจ้าจะเติบโตมาได้อย่างปลอดภัยหรือ” ฮ่องเต้ทรงมองนาง “หลายปีก่อนเจ้ากับพี่ชายเจ้ายังเด็ก เรือนใหญ่ลอบลงมือกับจวนจงหย่งโหวทั้งต่อหน้าและลับหลัง โหวเหยียผู้เฒ่าเหนื่อยจะรับมือด้วยแล้ว หากเราฉวยโอกาสนั้นลงมืออย่างเด็ดขาด ตระกูลเซี่ยคงไม่เหลืออยู่ตั้งนานแล้ว และเห็นแก่การตายของบิดาเจ้ากับจดหมายฉบับนี้ของเขา เราจึงรอต่อไปอีกหลายปี นับว่าตอบแทนบุญคุณพี่เซี่ยอิงแล้วเช่นกัน”

 

 

เซี่ยฟางหวาไม่เอ่ยคำใดอีก

 

 

“เอาเถอะ ไหนๆ เราก็ใกล้ตายแล้ว พูดเรื่องพวกนี้แล้วยังมีความหมายใด ชีวิตนี้ของเรานับว่าล้มเหลว พี่น้องไร้เยื่อใย สามีภรรยาไร้เยื่อใย พ่อลูก…” ฮ่องเต้ทรงปิดเปลือกตาลง “ในใจรัชทายาท เราสำคัญมิเท่าเจ้า”

 

 

เซี่ยฟางหวาหันกายกลับ เดินออกไปข้างนอก

 

 

ฮ่องเต้ทรงลืมตาขึ้น พบว่านางเดินออกไปแล้วก็มิได้ตรัสห้าม

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด