จารใจรัก 64-1 โรคระบาดในหลินอัน

Now you are reading จารใจรัก Chapter 64-1 โรคระบาดในหลินอัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

          ฮองเฮาเสด็จมาหานางด้วยพระองค์เองเพราะเหตุใด

 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินมาที่หน้ากระจกทรงกลีบกระจับ หยิบตลับแต่งหน้าออกมา ทาแป้งแต่งแต้มลงบนใบหน้าแผ่วเบา

 

 

           ซื่อฮว่ายืนมองเซี่ยฟางหวาจากข้างหลังด้วยความไม่เข้าใจ

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง พระชายาอิงชินอ๋องก็มาถึงหน้าประตูพร้อมกับฮองเฮา ฮองเฮามีฝีเท้าเร่งรีบราวกับร้อนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง

 

 

           “ฮองเฮา ทรงรีบมาพบหวาเอ๋อร์ด้วยเหตุใดกันแน่ หวาเอ๋อร์ยังไม่แข็งแรงดี เพิ่งฟื้นขึ้นมาหลังหมดสติไป สภาพร่างกายยังอ่อนแอนัก” เสียงของพระชายาอิงชินอ๋องดังขึ้น

 

 

           “พี่สะใภ้ ข้ามีเรื่องด่วนแน่นอน รอพบพระชายาน้อยแล้วค่อยอธิบายให้ทั้งท่านและนางฟังทีเดียว ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจเลย” ฮองเฮาทรงเข้ามาในห้องพลางตรัสพลาง

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องแม้เกิดความข้องใจ ทว่าก็ได้แต่เงียบลง

 

 

           เซี่ยฟางหวาวางตลับแป้งแล้วลุกขึ้นยืน มองซื่อฮว่าที่ยืนอยู่ข้างหลังด้วยท่าทางอ่อนแอยิ่ง

 

 

           ซื่อฮว่าเบิกตากว้าง นางที่ยืนอยู่ข้างหลังคุณหนูเห็นเพียงนางทาแป้งบางๆ ชั้นหนึ่งบนใบหน้าพักหนึ่งเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าในเวลาเพียงชั่วพริบตากลับทำให้ตนเองมีใบหน้าซีดขาวย่ำแย่อย่างยิ่งได้ หากมิได้เห็นเองกับตา นางคงเชื่อไปแล้วว่าคุณหนูป่วยหนัก นางรีบเข้ามาประคองแล้วเอ่ยเสียงเบา “คุณหนู”

 

 

           “พยุงข้าออกไป” เซี่ยฟางหวาทิ้งน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่งพิงกายซื่อฮว่าแล้วกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรง

 

 

           ซื่อฮว่าพยักหน้า พยุงเซี่ยฟางหวาเดินออกไปอย่างระวัง

 

 

           ทั้งสองมาถึงหน้าประตูก็ประจวบเหมาะที่ฮองเฮาและพระชายาอิงชินอ๋องมาถึงหน้าประตูด้วยพอดี

 

 

           ทันทีที่ม่านถูกแหวกออก ฮองเฮาก็ทรงเห็นเซี่ยฟางหวาออกมาต้อนรับโดยมีสาวใช้คอยพยุงทุกย่างก้าว ใบหน้าซีดขาวจนเหมือนผีอย่างไรอย่างนั้น หากไม่ใช่ว่านางรูปโฉมงดงามอยู่เป็นทุนเดิม คงสร้างความตกใจแก่ผู้พบเห็นได้แม้เป็นช่วงกลางวันแสกๆ นางผงะตกใจ “พระชายาน้อย?”

 

 

           “อาหญิง” เซี่ยฟางหวาทำความเคารพอย่างอ่อนแรง

 

 

           “นี่เจ้า…” ฮองเฮาทรงมองนาง

 

 

           เซี่ยฟางหวายกมุมปากเล็กน้อย “ข้าแค่รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่านั้น มิได้เป็นปัญหาใหญ่” จากนั้นนางก็บอกให้ซื่อฮว่าหลีกทางออกจากประตู “เชิญอาหญิงกับท่านแม่เข้ามาข้างในก่อนเถิด”

 

 

           ฮองเฮาหันไปมองพระชายาอิงชินอ๋อง

 

 

           “เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าหวาเอ๋อร์เพิ่งฟื้นหลังหมดสติไป ร่างกายจึงยังไม่แข็งแรงดี เข้าข้างในก่อนแล้วค่อยคุยกันเถิด” พระชายาอิงชินอ๋องเองก็ชะงักเล็กน้อยเช่นกัน ทว่าเพียงพริบตาก็เข้าใจสถานการณ์ นางถอนหายใจกล่าว

 

 

           ฮองเฮาได้แต่เข้าไปในห้อง

 

 

           ทั้งสามนั่งลงในห้องรับรอง พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรินน้ำชาต้อนรับ

 

 

           “ร่างกายข้าไม่พร้อมจึงมิได้ออกไปรับเสด็จ เสียมารยาทต่อเสด็จอาแล้ว ขออาหญิงอย่าทรงตำหนิเลย” เซี่ยฟางหวาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากไอสองสามครั้ง กล่าวด้วยความอ่อนแอยิ่ง

 

 

           “คนกันเอง ไม่ต้องมากพิธีหรอก อีกอย่างเจ้าก็ป่วยอยู่ ยังมัวคำนึงเรื่องพิธีการมากไปทำไมกัน” ฮองเฮาทรงพินิจมองเซี่ยฟางหวาถี่ถ้วน พบว่าสีหน้านางย่ำแย่มาก อ่อนแอถึงเพียงนี้ คล้ายกับเพิ่งฟื้นหลังหมดสติไปจริงๆ นางถอนหายใจออกมา “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”

 

 

           “ก่อนหน้านี้เสด็จอาทรงส่งคนมาเรียกข้าเข้าเฝ้า ข้าเพิ่งตื่นมานั้นอ่อนเพลียอย่างมากจึงไปเข้าเฝ้าไม่ไหว ไม่คิดเลยว่าอาหญิงจะเสด็จมาหาไวเช่นนี้ มีเรื่องด่วนใดหรือไม่ มิทราบว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงได้ดูร้อนรนเช่นนี้” เซี่ยฟางหวามองนาง

 

 

           “ฮองเฮา หรือว่าหวาเอ๋อร์กระทำสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องสื่อความหมายว่าทรงมาเพื่อตำหนิหรือไม่

 

 

           ฮองเฮาทรงปกครองวังหลังมายาวนานย่อมเข้าใจความหมายของพระชายาอิงชินอ๋องดี หากเป็นการตำหนิ นางย่อมไม่ไว้หน้าอยู่แล้ว ทว่านางส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่สะใภ้เข้าใจผิดแล้ว พระชายาน้อยต้องวิ่งเต้นบากบั่นเรื่องคดีความที่เกิดขึ้นต่อเนื่องทั้งในและนอกเมืองหลวง สร้างความเหนื่อยล้าต่อตัวเองย่อมควรได้รับคำชมเชยมากกว่า ไหนเลยจะยังหาเรื่องมาตำหนิได้ วันนี้ฝ่าบาททรงเรียกนางด้วยเรื่องอื่น สุขภาพของฝ่าบาทเองก็ไม่ค่อยดีนัก ด้วยความร้อนพระทัยทว่าเสด็จออกจากวังหลวงไม่ได้ ข้าจึงจำต้องมาเอง”

 

 

           “โอ้” พระชายาอิงชินอ๋องสงสัย “เรื่องใดหรือ”

 

 

           “ก่อนหน้านี้ไม่นานฝ่าบาททรงได้รับรายงานด่วน หลังหลินอันประสบอุทกภัยใหญ่คล้ายกับเกิดโรคห่าระบาดขึ้น” ฮองเฮาตรัสเสียงเบา “รัชทายาทกลัวว่าจะสร้างความตื่นตระหนกต่อราษฎร ก่อให้เกิดการจลาจล ตอนนี้จึงออกคำสั่งปิดเมืองหลินอันชั่วคราว ยังไม่ได้ส่งข่าวกลับมาที่เมืองหลวง”

 

 

           “อะไรนะ” เซี่ยฟางหวามองฮองเฮาด้วยความตกใจ

 

 

           “เจ้าคงทราบว่าฝ่าบาททรงส่งสายสอดแนมไว้ข้างกายรัชทายาท แม้รัชทายาทยังไม่ส่งสาส์นกราบทูลเร่งด่วนกลับมา แต่ทันทีที่เกิดเรื่องก็ทราบข่าวแล้ว เดิมฝ่าบาททรงตั้งใจว่าหลังรัชทายาทกลับเมืองแล้วจะมอบภาระหน้าที่สำคัญให้เขา สละบัลลังก์ให้เขาขึ้นราชาภิเษกแทน ฝากความหวังทั้งหมดไว้กับรัชทายาท ข้าซึ่งมีฐานะเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดรัชทายาท ยามนี้ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชายเหลือเกิน หมอหลวงซุนถูกสังหารเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่มีหมอหลวงฝีมือดีในเมืองอีกแล้ว เกรงว่าอนาคตจะควบคุมโรคระบาดไม่อยู่ หลังฝ่าบาททรงไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้วก็ส่งคนมาเชิญเจ้า ทว่าเจ้าไม่ได้เข้าวังหลวง ข้าจึงได้แต่ต้องมาด้วยตัวเอง” ฮองเฮาพยักพระพักตร์ให้นาง ตรัสด้วยความกลัดกลุ้ม

 

 

           เซี่ยฟางหวานึกขึ้นได้ว่าเซี่ยม่อหานเองก็อยู่ที่เมืองหลินอัน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที

 

 

           “ฮองเฮา นี่เป็นเรื่องจริงหรือ หลินอันประสบอุทกภัยร้ายแรงเรื่องนี้ข้าได้ข่าวมาบ้าง แต่ยังไม่ได้ยินว่าเกิดโรคห่าระบาดที่หลินอัน” พระชายาอิงชินอ๋องรีบเอ่ยขึ้น

 

 

           “ข่าวว่าคล้ายเกิดโรคห่าระบาด ครั้งนี้ฝนตกหนักมาก หลายพื้นที่ทั่วหนานฉินเกิดน้ำท่วม มีหลินอันที่เดียวที่ประสบภัยหนักที่สุด ไม่ใช่แค่ท่วมที่นาเท่านั้น บ้านเรือนยังพังถล่ม มวลน้ำคร่าชีวิตคนไปมากน้อย

 

 

อวี้เอ๋อร์เดินทางไปขุดลอกคูคลอง แม้รีบไปแล้วช่วยเหลือได้ทันกาล แต่ก็ยังมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นอีก” ฮองเฮาตรัสด้วยพระเนตรแดงก่ำ “พี่สะใภ้ ฝ่าบาทยังทรงมีโอรสอีกมากมาย แต่ข้ามีแค่อวี้เอ๋อร์คนเดียว แม้เขาเฉลียวฉลาด แต่กลับไม่เคยมีประสบการณ์รับมือกับโรคระบาดเช่นนี้ หากเป็นอันใดขึ้นมา ข้าผู้เป็นมารดาจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเซี่ยฟางหวา

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่ส่งเสียงใด

 

 

           “ข้าได้ยินว่าท่านโหวเซี่ยก็ติดอยู่ที่หลินอันด้วยไม่ใช่หรือ” ฮองเฮาตรัสอีก

 

 

           “นั่นไม่ใช่ว่าเหลียนเอ๋อร์ก็อยู่หลินอันด้วยหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ได้ข่าวมาว่าท่านพี่ติดอยู่ที่หลินอันจริง แต่ข้ายังไม่ได้รับข่าวว่าเกิดโรคระบาดที่หลินอัน” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “อาหญิงทรงอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ก่อนพี่ชายข้าออกเดินทาง รัชทายาททรงมอบชูฉือให้ท่านพี่แล้ว ในเมื่อท่านพี่อยู่หลินอัน แสดงว่าชูฉือก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย คุณชายชูฉือมีวิชาแพทย์ดีเยี่ยม ก่อนหน้านี้ขุนนางจวนใหญ่เกิดล้มป่วยฉับพลันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีวิชาแพทย์ดีเยี่ยมเพียงใด

 

 

รัชทายาทยังไม่ส่งสาส์นกราบทูลเร่งด่วนขอความช่วยมายังเมืองหลวง แสดงว่าสถานการณ์ในหลินอันยังไม่ร้ายแรงถึงเพียงนั้น ตอนนี้น่าจะยังอยู่ในการควบคุม”

 

 

           “ข้ากังวลว่าอวี้เอ๋อร์จะฝืนดันทุรัง เด็กคนนี้แม้มีไหวพริบดีเยี่ยม แต่ก็หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีมาก” ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็สบายพระทัยขึ้นเล็กน้อย

 

 

           “ฝ่าบาททรงให้เจ้ามาหาหวาเอ๋อร์เองหรือ หมายความว่าอยากให้หวาเอ๋อร์ไปหลินอัน เพราะนางมีวิชาแพทย์” พระชายาอิงชินอ๋องไตร่ตรองพักหนึ่งก็ถามขึ้น

 

 

           “หลังฝ่าบาททรงทราบข่าว คิดว่าเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอวี้เอ๋อร์ อีกอย่างหลินอันก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนัก แค่แปดร้อยลี้เท่านั้นเอง หากเกิดโรคห่าระบาดขึ้นจริงก็ไม่อาจแพร่กระจายไปได้ เพื่อไม่ให้ข่าวลือเล็ดลอดออกไป ทำให้ราษฎรในหนานฉินเกิดความตื่นตระหนก” ฮองเฮาตรัสด้วยใจจริง “ฝ่าบาททรงเรียกข้าไปพบเพื่อให้ข้ามาหาพระชายาน้อย ถึงอย่างไรวิชาแพทย์ของนางก็เป็นที่ประจักษ์ อีกอย่างท่านโหวเซี่ยก็ติดอยู่ที่หลินอัน ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยของรัชทายาทเท่านั้น ยังมีความปลอดภัยของท่านโหวเซี่ยด้วย พระชายาน้อยย่อมไม่นิ่งดูดายแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นเหลียนเอ๋อร์ก็อยู่ที่หลินอันด้วย”

 

 

           “เจ้าก็เห็นแล้วว่าหวาเอ๋อร์อยู่ในสภาพนี้ ไหนเลยจะออกจากเมืองหลวงได้ หากนางออกไปทั้งแบบนี้ ข้าก็ยิ่งเป็นห่วงมากขึ้น หลินอันมีคนอยู่มากถึงเพียงนั้นแล้ว ไฉนถึงให้นางไปอีก โรคห่าระบาดไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจออกมา

 

 

           “พี่สะใภ้ ชูฉือมีวิชาแพทย์จริงๆ หรือเป็นเพียงแค่เปลือกนอกนั้นไม่อาจวัดกันได้ด้วยความสำเร็จเพียงครั้งเดียว หากหลินอันเกิดโรคห่าระบาดขึ้นจริง เราจะนิ่งดูดายไม่ได้” ขอบตาฮองเฮาร้อนชื้น “ข้าไม่มีทางอื่นแล้ว ได้แต่มาหาท่าน”

 

 

           “ฮองเฮาอย่าเพิ่งร้อนใจ อวี้เอ๋อร์แม้หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรี แต่ไม่ใช่คนไม่รู้จักขอบเขต เขาเป็น

 

 

รัชทายาทที่ฝ่าบาททรงอบรมเลี้ยงดูมา เป็นผู้สืบทอดบ้านเมืองในอนาคต ย่อมทราบหนักเบาดี ในเมื่อเขายังไม่ส่งข่าวมาที่เมืองหลวง แสดงว่าเหตุการณ์ยังไม่ร้ายแรง หลินอันยังอยู่ในการควบคุม หากควบคุมไม่ได้แล้ว เขาจะต้องขอความช่วยเหลือเป็นแน่” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ตอนนี้รอดูสถานการณ์ก่อนเถิด”

 

 

           “แม้กล่าวเช่นนี้ แต่เราต่างมีฐานะเป็นพ่อแม่ หรือว่าพี่สะใภ้ไม่เป็นห่วงเหลียนเอ๋อร์หรือ ถึงนางไม่ได้เติบโตข้างกายท่าน แต่ท่านก็เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดนาง” ฮองเฮาค่อนข้างร้อนพระทัย

 

 

           “ฮองเฮา เหลียนเอ๋อร์เป็นลูกข้า ไม่ว่าเมื่อใดก็ยังเป็นลูกสาวข้าเสมอ ข้าย่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง แต่ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ถึงกับควบคุมไม่ได้ เจ้ามีฐานะเป็นพระมารดาของแผ่นดิน ไม่ควรตีตนไปก่อนไข้” พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

           ฮองเฮานิ่งชะงักไป

 

 

           “อีกอย่างเจ้ากับฝ่าบาททรงทราบหรือยังว่าเขาไร้นามแม้ถูกทำลายลงแล้ว แต่สามปรมาจารย์ภูเขาลับยังมีชีวิตอยู่ สามวันก่อนปรมาจารย์ฉือเฟิ่งอาศัยสายลับราชสำนักปล่อยข่าวปลอมว่าโหวเหยผู้เฒ่าแห่งจวนจงหย่งโหวป่วยหนัก หลอกเจิงเอ๋อร์กับหวาเอ๋อร์กลับมา ทว่ากลับซุ่มวางค่ายกลลอบทำร้ายระหว่างทางกลับเมือง และเมื่อสองวันก่อนหน้านั้น เจิงเอ๋อร์เดินทางไปช่วยหวาเอ๋อร์ที่อารามลี่อวิ๋นกลางดึกก็ถูกลอบสังหารด้วยเช่นกัน” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าวขึ้นอีก

 

 

           “มีเรื่องแบบนี้ด้วยรึ” ฮองเฮาตกพระทัย

 

 

           “ดังนั้นตอนนี้ยังเชื่อข่าวจากสายลับได้หรือไม่ จำต้องใช้วิจารณญาณ” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า

 

 

           “สายลับราชสำนักขึ้นตรงต่อราชสำนักตลอดมา นี่…กี่ปีมาแล้ว พวกเขาพึ่งพาอาศัยและไว้ใจได้ จะเป็นไปได้อย่างไร” ฮองเฮามีพระพักตร์เปลี่ยนไป

 

 

           “เพราะที่ผ่านมาเราพึ่งพาอาศัยมากเกินควร อาจทำให้กลายเป็นคนปลิ้นปล้อน” พระชายาอิงชินอ๋องถอนหายใจ “เจ้าลองคิดดูสิ ในช่วงเวลาไม่กี่วันก็เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องทั้งในและนอกเมืองหลวงมากมาย ใต้หล้ามีใครบางที่มีความสามารถสร้างสถานการณ์ภายใต้สายตาพวกเราได้ หลายปีที่ผ่านมา หนานฉินกับเป่ยฉีมีฐานะเท่าเทียมกันหากแต่ตั้งป้อมประจันหน้ากัน เป่ยฉีมีเจตนาแทรกแซง แต่ก็ไม่อาจแทรกแซงได้มากถึงเพียงนี้ ยามนี้หากไม่ใช่สายลับราชสำนักก่อกวน ย่อมไม่วุ่นวายถึงเพียงนี้โดยเด็ดขาด”

 

 

           “เช่นนั้นแล้ว…นี่ควรทำเช่นไรดี” พระพักตร์ฮองเฮาค่อยๆ ซีดลง

 

 

           “เวลานี้ยิ่งควรวางตัวสงบนิ่ง อย่าตีตนไปก่อนไข้” พระชายาอิงชินอ๋องตอบ “เจ้าอยู่ในวังหลวงมาหลายปีแล้ว วันนี้พี่สะใภ้ขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี เจ้าอยู่ในวังอย่างสงบเถอะ อย่าเข้ามาผสมโรงในเรื่องพวกนี้เลย ฉินอวี้โตแล้ว สามารถจัดการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองได้ อุตส่าห์ไปถึงม่อเป่ยและรอดกลับมาได้ หากเขาต้องสืบทอดบัลลังก์ในอนาคตก็ยิ่งต้องฝึกฝนหาประสบการณ์ เจ้าอยู่ในวังอย่างสงบสุข เขาที่อยู่ข้างนอกถึงจะแก้ไขปัญหาได้อย่างสบายใจ”

 

 

           พระพักตร์ร้อนใจของฮองเฮาค่อยๆ สงบลง เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนตรัสด้วยความละอายใจ “ต่อหน้าพี่ สะใภ้ข้ามักละอายใจตัวเองเสมอมา” หยุดชั่วครู่แล้วลดเสียงต่ำลง “มิน่าที่ผ่านมาฝ่าบาทจึงนึกถึงท่านตลอดเวลา”

 

 

           “เหลวไหล” พระชายาอิงชินอ๋องตำหนิ

 

 

           “ข้าเทียบท่านไม่ได้เลย ที่ผ่านมาแม้คนอื่นไม่กล้าพูด แต่ข้าก็รู้ตัวเองดี อดีตไทเฮาทรงมีสายพระเนตรเฉียบแหลม เพื่อตัดเยื่อใยที่มีต่อบัลลังก์ของท่านอ๋อง แม้ไม่อาจมอบราชบัลลังก์ให้เขาได้กลับมอบภรรยาที่ดีให้แก่เขา มีท่านคอยคุมฝ่าบาท ทำให้ท่านอ๋องไร้ซึ่งความกังวล ท่านอ๋องช่างมีวาสนาดีกว่าฝ่าบาทนัก” ฮองเฮาทรงมองนางพร้อมตรัสเสียงเรียบ

 

 

           “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป นับวันยิ่งพูดจาไม่น่าฟัง ถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้ยังกล้ากล่าวออกมาได้”

 

 

พระชายาอิงชินอ๋องตีหน้านิ่ง “พูดจาเช่นนี้ต่อหน้าลูกๆ ถึงเจ้าไม่อาย แต่ข้าอาย เอาล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องใดแล้ว เจ้ารีบกลับวังหลวงเถิด”

 

 

           ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็มองไปเซี่ยฟางหวา

 

 

           เซี่ยฟางหวาเท้าแขน นั่งตรงนั้นด้วยสภาพอ่อนแอยิ่ง สีหน้าย่ำแย่ลงทุกที

 

 

           “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ขอตัวกลับวังหลวงก่อน ส่วนเรื่องหลินอัน ตอนนี้เรารอข่าวคราวก่อนก็แล้วกัน พระชายาน้อยมีวิชาแพทย์ รีบรักษาตัวเถอะ หากหลินอันเกิดโรคห่าระบาดขึ้นจริง ในเมืองหลวงไม่มีหมอฝีมือดีคนอื่น เกรงว่าต้องให้เจ้าไปแล้ว” ฮองเฮาทรงมองนางแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจออกมา

 

 

           “อาหญิงตรัสถูกแล้ว ข้าจะรีบรักษาตัวให้หายดี” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า

 

 

           ฮองเฮาทรงมองไปยังพระชายาอิงชินอ๋อง พระชายาลุกขึ้นยืน “ข้าไปส่งฮองเฮาออกจากจวน”

 

 

           ฮองเฮาพยักพระพักตร์ ทั้งสองออกจากเรือนลั่วเหมยตามกันไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด