จารใจรัก 38.2

Now you are reading จารใจรัก Chapter 38.2 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 38-2 ความจริงกระจ่าง

 

 

 

“พวกเจ้าอย่าทิ้งข้าไว้แบบนี้สิ ข้าก็จะกลับด้วย ข้ายิ่งไม่สมควรอยู่ที่นี่” หลี่มู่ชิงพูดพลางก็เดินตามออกจากตำหนักไป

 

 

           ฉินอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึม ทว่าไม่ได้ขัดขวางหลี่มู่ชิง

 

 

           “เดี๋ยวก่อนคุณชายหลี่ พระชายาน้อย…” หานซู่เห็นว่าฉินเจิง เซี่ยฟางหวา และหลี่มู่ชิงกลับไปทันทีที่บอก เขาเดินทางมาพร้อมหลี่มู่ชิงและเซี่ยฟางหวาจึงตะโกนขึ้นอย่างไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร จากนั้นก็ค่อยหันมามองฉินอวี้

 

 

           “หากใต้เท้าหานจะไปอีกคนก็ไปได้” สีหน้าฉินอวี้ย่ำแย่มาก มองมาที่หานซู่

 

 

           หานซู่สะดุ้งโหยงจนตัวสั่น รีบกล่าวขึ้นว่า “กระหม่อมมาพร้อมพระชายาน้อยและคุณชายหลี่ก็เพราะคดีฆาตกรรมหมอหลวงซุน ยามนี้…ย่อมกลับไปไม่ได้”

 

 

           “ใต้เท้าหาน ท่านบอกว่าหมอหลวงซุนถูกสังหารหรือ เกิดอะไรขึ้น ท่านอธิบายมาให้ละเอียด” สีหน้าฉินอวี้ปลอดโปร่งขึ้นบ้าง ก่อนหย่อนตัวนั่งลง

 

 

           หานซู่ได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าตอบ รีบเล่าเรื่องหมอหลวงซุนถูกสังหาร รวมถึงเขา หลี่มู่ชิง และเซี่ยฟางหวาถูกลอบสังหารเพื่อขัดขวางระหว่างเดินทางมาที่นี่ให้ฉินอวี้ฟังอย่างละเอียด

 

 

           “ท่านบอกว่าหมอหลวงซุนถูกสังหาร แต่คนขับรถฆ่าตัวตาย” ฉินอวี้ฟังจบก็ขมวดคิ้ว

 

 

           “เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ พระชายาน้อยกับคุณชายหลี่จากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาต่างบอกเช่นนี้ นอกจากนี้ข้าได้ให้องครักษ์สองนายมาตรวจสอบอีกแรง พวกเขาก็บอกแบบเดียวกัน” หานซู่พยักหน้ายืนยัน

 

 

           “หมายความว่าคนขับรถนายนั้นมีปัญหา” ฉินอวี้กล่าว

 

 

           “ตอนนี้นี่เป็นเบาะแสสำคัญ จำต้องหาเบาะแสเพิ่มเพื่อตรวจสอบให้กระจ่าง” หานซู่ผงกศีรษะ

 

 

           ฉินอวี้ไตร่ตรองพักหนึ่งก่อนเอ่ยถาม “พวกท่านเจอกลไกศิลายักษ์ลอบสังหารกับฝูงหมาป่าล้อมโจมตีด้วย จับตัวคนทำได้หรือยัง”

 

 

           หานซู่ส่ายหน้า “ยังจับตัวมิได้พ่ะย่ะค่ะ” หยุดชั่วครู่แล้วกระซิบเพิ่ม “แต่พระชายาน้อยส่งองครักษ์ของตัวเองไปสืบหาแล้ว บอกว่าในระยะห้าสิบลี้ ต่อให้ค้นหาทุกกระเบียดนิ้วก็ต้องหาเบาะแสให้จงได้”

 

 

           “อวี้จั๋ว…” ฉินอวี้เงียบลงก่อนถามขึ้นอีก “ตอนนั้นท่านเห็นกับตาจริงหรือว่าอวี้จั๋วใช้วิชาคุมหมาป่า”

 

 

           “เห็นเองกับตาพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท กระหม่อมอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่ไม่เคยพบเรื่องน่ากลัวเช่นนี้มาก่อน หมาป่าหลายร้อยตัว หากไม่ได้อวี้จั๋ว พวกเราคงถูกขย้ำเป็นอาหารให้ฝูงหมาป่าแล้ว” หานซู่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก็หวาดหวาในใจ

 

 

           “ท่านลองอธิบายมา ตอนนั้นเขาใช้วิชาคุมหมาป่าอย่างไร” ฉินอวี้ถามอีก

 

 

           “องค์รัชทายาท เรื่องนี้…กระหม่อมมิอาจอธิบายได้ ตอนนั้นตกใจเกินไป” หานซู่ชะงักก่อนรีบเอ่ยขึ้น

 

 

           ฉินอวี้มองเขา พบว่าเขามีท่าทางราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจริงๆ จึงยิ้มออกมาแล้วยกมือปัด “ไม่เป็นไร”

 

 

           หานซู่ผ่อนลมหายใจออกมา

 

 

           “วันนี้ค่ำแล้ว เสนาบดีฝ่ายซ้ายกับท่านโหวจะพักที่นี่หรือว่า…” ฉินอวี้มองไปยังเสนาบดีฝ่ายซ้ายกับหย่งคังโหว

 

 

           “ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว ทั้งยังมีฝนตกหนักตลอดทั้งวัน ทางภูเขาคงยากจะสัญจรผ่าน กระหม่อมคิดว่าจะพักที่นี่คืนหนึ่ง รัชทายาทเองก็พักที่นี่สักคืนเถิด” เสนาบดีฝ่ายซ้ายมองข้างนอกแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

           “กระหม่อมว่าจะกลับจวนดีกว่า มิฉะนั้นฮูหยินคงเป็นห่วง…” หย่งคังโหวรีบกล่าวต่อ

 

 

           “ท่านโหว ท่านไม่รักชีวิตแล้วหรือ! หากจะกลับ เหตุใดเมื่อครู่ถึงไม่กลับไปพร้อมท่านอ๋องน้อยกับพระชายาน้อย และคุณชายหลี่เล่า จะได้มีคนคอยคุ้มกัน หากกลับไปตอนนี้…” หานซู่หวาดกลัว “ถ้าต้องเดินทางคนเดียว ข้าน้อยคงไม่กล้า”

 

 

           “รัชทายาท…ไม่เสด็จกลับหรือ” หย่งคังโหวมองไปยังฉินอวี้

 

 

           “วันนี้ไม่กลับแล้ว ศพหลูอี้ถูกวางพิษสลายศพจนไม่เหลือหลักฐานยืนยัน เรื่องนี้ต้องตรวจสอบให้ละเอียด ช่วงนี้ในเมืองไม่มีเรื่องใด ข้าจะพักที่นี่คืนหนึ่งแล้วกัน” ฉินอวี้ครุ่นคิดก่อนยกมือปัด

 

 

           “รัชทายาททรงอยู่ที่นี่ด้วยจะได้บำรุงขวัญทหาร” มีหัวหน้าทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “หลูอี้ถูกวิชาหนอนพิษจง ทั้งยังถูกวางพิษสลายศพอีก เรื่องนี้เขย่าขวัญผู้คนไม่น้อย หากเผยแพร่ออกไปจะต้องสร้างความหวาดกลัวในกองทัพเป็นแน่”

 

 

           “เช่นนั้นข้าก็…” หย่งคังโหวลังเลอยู่นานสองนาน ที่สุดก็กัดฟันกล่าว “ข้าก็พักที่นี่ด้วยคืนหนึ่งแล้วกัน”

 

 

           “พักที่นี่ให้หมดเถอะ! คุมขังหลี่อวิ๋นไว้ให้ดี พรุ่งนี้เช้าค่อยตรวจสอบ” ฉินอวี้พยักหน้า

 

 

           “พ่ะย่ะค่ะ!” มีคนรีบผงกศีรษะ

 

 

           “หนอนสีแดงที่ออกมาจากร่างกายหลูอี้ถูกพระชายาน้อยนำกลับไปแล้วใช่หรือไม่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายโพล่งถามขึ้น

 

 

           ทุกคนขนลุกขนพองขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงหนอนตัวนั้น มีคนเอ่ยขึ้น “น่าจะเป็นเช่นนั้น ตอนนั้นหนอนถูกครอบด้วยจานและถ้วยในมือพระชายาน้อย เมื่อท่านอ๋องน้อยพานางออกไป คล้ายว่านางจะถือออกไปด้วย”

 

 

           “นั่นเป็นหนอนคำสาป ถ้านางไม่นำกลับไป พวกเราตรงนี้มีใครแตะต้องมันได้บ้าง” ฉินอวี้กวาดตามอง

 

 

           ทุกคนต่างถอยหลังด้วยความกลัว หนอนน่ากลัวถึงเพียงนั้นใครจะกล้าแตะต้องเล่า

 

 

           ฉินอวี้หันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนักชั้นใน สั่งงานอู๋กงกงที่เพิ่งกลับมาจากการจัดแจงที่พักให้ผู้อาวุโสจากตระกูลหลูแห่งฟ่านหยาง “จัดการเรียบร้อยแล้วสินะ”

 

 

           อู๋เฉวียนพยักหน้า ก่อนรีบตามเขาไป

 

 

           มีคนรับจัดการที่พักให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย หย่งคังโหว และหานซู่

 

 

           ฝนข้างนอกตกหนักมาตลอดทั้งวันและครึ่งคืนโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง และมีแนวโน้มว่าจะตกต่อไป

 

 

           ฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาเดินกางร่ม อวี้จั๋วถือโคมไฟออกมาจากประตูค่ายใหญ่เขาตะวันตก ก่อนขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ข้างหน้าประตู

 

 

           ทั้งคู่เพิ่งนั่งลง หลี่มู่ชิงก็กระโดดตามเข้ามาในรถด้วย พร้อมเอ่ยบอกฉินเจิง “ขามาข้าต้องตากฝนอยู่ข้างนอกตลอด ไม่กล้าเข้ามาขอเบียดหลบฝนข้างใน ตอนนี้มีเจ้าอยู่ด้วย ข้าก็ไม่ต้องหลบเลี่ยงแล้ว”

 

 

           “ขอบใจมาก” ฉินเจิงเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

           หลี่มู่ชิงมองไปข้างนอกแวบหนึ่งพลางพึมพำขึ้น “ฟ้ามืดแล้ว วันนี้ทั้งวันไม่เห็นแม้แต่ดวงอาทิตย์ อีกอย่างดวงอาทิตย์ก็ขึ้นทางทิศตะวันตกไม่ได้ด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าขอบคุณข้า”

 

 

           “ไม่อยากฟังก็ลงรถไป” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ

 

 

           “แน่นอนว่าอยากฟัง” หลี่มู่ชิงยิ้ม สะบัดแขนเสื้อพลางจ้องมองจานกับถ้วยในมือเซี่ยฟางหวา “เจ้านำสิ่งนี้กลับมาด้วย หนอนตัวนี้จะเก็บรักษาอย่างไร เมื่อครู่ยังเห็นไม่ชัด ขอข้าดูอีกรอบ”

 

 

           “เจ้าไม่กลัวว่ามันจะชอนไชเข้าไปในตัวเจ้าหรือ” เซี่ยฟางหวาเลิกคิ้ว

 

 

           “ข้ารู้สึกว่าหนอนตัวนี้น่าประหลาด” หลี่มู่ชิงส่ายหน้า

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา แย้มยิ้มออกมาแล้วเลื่อนถ้วยที่ครอบอยู่ออก

 

 

           “เกิดอะไรขึ้น ตายแล้วหรือ” หลี่มู่ชิงมองแล้วก็ชะงักไป

 

 

           “มันไม่ได้ตาย แต่ไม่มีหนอนอยู่ตั้งแต่แรก” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           หลี่มู่ชิงแปลกใจ มองนางด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง

 

 

           “ผู้ถูกวิชาหนอนพิษจง หลังหนอนพิษจงกัดกินหัวใจก็จะสลายตัวแล้วตายไปเอง หลูอี้ตายมาหนึ่งวันและครึ่งวันแล้ว ถึงแม้ในตัวเขามีหนอน แต่มันก็ตายไปตั้งนานแล้ว มีหรือจะถูกข้าดึงออกมาได้อีก ข้าแค่ใช้วิธีบดบังสายตาเท่านั้น หนอนที่พวกเจ้าเห็น ความจริงแล้วเป็นเพียงเลือดที่ข้าใช้เข็มทิ่มข้อมือตัวเอง พอแข็งตัวก็กลายเป็นหนอนสีแดง” เซี่ยฟางหวามองหยดเลือดบนจาน เลือดแห้งไปแล้ว นางหัวเราะเยาะขึ้นก่อนโยนจานทิ้งไว้ในรถ จากนั้นก็อธิบายให้ฟัง

 

 

           “แม้แต่สายตาข้าเจ้ายังตบตาได้ ทำได้อย่างไร ข้าเห็นเองกับตาว่าหนอนตัวนี้ปีนขึ้นมา ทั้งไต่ตามด้ายขึ้นไปยังมือของใต้เท้าหานแล้วถูกเจ้าเก็บกลับมา” หลี่มู่ชิงแปลกใจยิ่งกว่าเดิม มองฉินเจิงแวบหนึ่ง พบว่าฉินเจิงนั่งนิ่งราวกับไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ

 

 

           “ข้าเคยเรียนวิทยายุทธ์กำลังภายในแขนงหนึ่ง เรียกว่าเคล็ดวิชาแช่แข็ง เมื่อใช้กำลังภายในนี้จะทำให้หยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้ ตอนนั้นข้าแค่ฉวยโอกาสระหว่างที่ทุกคนกำลังแปลกใจ ตื่นตระหนก และไม่มีใครทันสังเกตเห็น ข้าจึงนำเลือดหยดนั้นแปรสภาพเป็นรูปร่างหนอน และควบคุมให้มันไต่ขึ้นไปยังมือของใต้เท้าหาน” เซี่ยฟางหวายิ้ม “วิชานี้ง่ายมาก ถ้าเจ้าอยากดูอีกรอบ ข้าแสดงให้เจ้าดูตอนนี้เลยยังได้”

 

 

           หลี่มู่ชิงพูดไม่ออก มองเซี่ยฟางหวาโดยไม่เอ่ยคำใด

 

 

           “เจ้าแค่นึกไม่ถึงว่าข้าจะปลอมหลักฐานขึ้น ดังนั้นแม้รู้สึกแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน” เซี่ยฟางหวาหัวเราะ

 

 

           “ใช่แล้ว” หลี่มู่ชิงยิ้มเจื่อน “แม้แต่ข้ายังตบตาได้ ถึงไม่ใช่ความจริงก็ต้องเป็นความจริง” พูดจบเขาก็สงสัย “เหตุใดต้องสร้างหลักฐานปลอมด้วย”

 

 

           “หากไม่สร้างหลักฐานปลอม เกรงว่าจะเป็นคดียากพิสูจน์จริงๆ จะปล่อยให้ผู้อยู่เบื้องหลังวางแผนร้ายทำเสร็จหรือ” เซี่ยฟางหวาตอบ “เหตุใดฉินเจิงถึงยืนกรานจะให้ผ่าศพ นั่นเพราะรู้ว่าหลูอี้ถูกหนอนกัดกินหัวใจ มีแต่ต้องผ่าศพเท่านั้นถึงจะทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงได้ ทว่าตระกูลหลูแห่งฟ่านหยางไม่อนุญาตให้ผ่าศพและขัดขวางทุกวิถีทาง อีกอย่างเขาก็ถูกวางพิษสลายศพด้วย หากไม่พิสูจน์ความจริงภายในหกชั่วยาม ทันทีที่ศพเขาถูกแยกชิ้นส่วนแล้วสลายไป เช่นนั้นจะกลายเป็นศพที่พิสูจน์ไม่ได้จริงๆ ดังนั้นในเมื่อผู้ตายถูกวิชาหนอนพิษจง ข้าจึงสร้างหลักฐานปลอมขึ้น เมื่อทุกคนเห็นเองกับตาว่ามีหนอนไต่ขึ้นมา ถึงไม่เชื่อก็ต้องยอมเชื่อ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด