จารใจรัก 96 ขอทัพเมืองเสวี่ยเฉิง

Now you are reading จารใจรัก Chapter 96 ขอทัพเมืองเสวี่ยเฉิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

         ฉินอวี้เห็นเหยียนเฉินก็ประสานมือคำนับ 

 

 

           เหยียนเฉินประสานมือคำนับตอบ 

 

 

           ฉินอวี้รอเหยียนเฉินนั่งลง มองหน้าเขาพลางถามขึ้น “ในเมื่อพระมาตุลาก็ทราบข่าวความเคลื่อนไหวระดมกำลังในพรมแดนเป่ยฉีแล้ว มิทราบว่ามีความคิดเห็นเช่นไร” 

 

 

           “แม้ข้ามีฐานะเป็นพระมาตุลาแห่งเป่ยฉี แต่มิใช่ตัวแทนตระกูลอวี้ มิใช่ตัวแทนราชสำนักเป่ยฉี และมิใช่ตัวแทนองค์ชายฉีเหยียนชิง” เหยียนเฉินมองฉินอวี้กลับ ตอบเสียงเรียบ  

 

 

           “โอ้” ฉินอวี้มองเขา “เจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าจะไม่สอดคำกับเรื่องนี้” 

 

 

           “ข้าทราบว่าเมื่อได้รับข่าวว่ากองทัพเป่ยฉีมีการเคลื่อนไหว รัชทายาทกับท่านโหวคงอยากพบข้าเป็นแน่ ข้าจึงมาเองโดยมิต้องไปเชิญ ข้ามาเพื่อบอกรัชทายาทว่าระหว่างนี้ข้าไม่มีแผนจะกลับเป่ยฉีแล้ว”  

 

 

เหยียนเฉินผงกศีรษะ  

 

 

           “ความหมายเจ้าคือยังอยู่ที่หนานฉิน” ฉินอวี้มองเขา 

 

 

           “ก่อนหน้านี้ข้ามีแผนจะกลับเป่ยฉี ดังนั้นจึงเดินทางไปม่อเป่ยพร้อมท่านโหวเซี่ย ไม่อยากถูกขังอยู่ที่เมืองหลินอันแล้ว ตอนนี้ที่ร่างกายฟางหวาทรุดหนักเช่นนี้ เป็นเพราะแผนการที่ข้าล่อผู้อยู่เบื้องหลังไปยังช่องแคบนั่น หลังท่านโหวได้ข่าวความเคลื่อนไหวของทัพเป่ยฉีย่อมต้องไปม่อเป่ยแน่นอน ข้าถือโอกาสไม่ติดตามไปด้วยแล้ว อยู่ที่นี่ดูแลฟางหวาแทน” เหยียนเฉินผงกศีรษะ 

 

 

           “ฟางหวาแม้มีวิชาแพทย์ยอดเยี่ยม แต่มิอาจรักษาตัวเองได้ พี่เหยียนเฉินอยู่ดูแลนางก็ดีเหมือนกัน”  

 

 

ฉินอวี้กล่าว 

 

 

           “นางไม่เห็นสุขภาพตนเองเป็นเรื่องสำคัญ เจ้าอยู่ด้วยก็ดีมาก” เซี่ยม่อหานเองก็พยักหน้าเห็นด้วย  

 

 

           “กล่าวเช่นนี้ เรื่องฉีเหยียนชิงระดมกำลังในพรมแดน เจ้าก็จะไม่ก้าวก่ายหรือ” เซี่ยอวิ๋นจี้ถามเหยียนเฉิน 

 

 

           “ข้าไม่อยู่เป่ยฉีหลายปี อำนาจครึ่งหนึ่งของตระกูลอวี้แม้อยู่ในกำมือข้า แต่ก็มิได้รวมถึงกองทัพด้วย ไม่ได้มีอำนาจยับยั้งกองทัพเป่ยฉีระดมกำลังออกรบมากนัก ถึงอยากยุ่งก็ทำมิได้” เหยียนเฉินพยักหน้า  

 

 

           “ข้ายิ่งไม่อยากยุ่งด้วย เพียงช่วยพี่ชายถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น” เซี่ยอวิ๋นจี้ผายมือ กล่าวกับฉินอวี้ “พวกเจ้าเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์เหมือนกัน รัชทายาทตัดสินใจเองเถอะ” 

 

 

           “หากข้าไปม่อเป่ยด้วยตัวเองย่อมไม่กลัวฉีเหยียนชิง เพียงแต่จื่อกุยต้องไปรับช่วงต่อค่ายทหารม่อเป่ย หลายวันนี้เดิมทีทำงานหนักจนเหนื่อยล้า มิหนำซ้ำร่างกายเจ้าไม่แข็งแรงดี เกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหว” ฉินอวี้มองเซี่ยม่อหาน 

 

 

           “ก่อนเดินทางรัชทายาทได้มอบชูฉือให้ติดตามข้า เช่นนั้นให้เขาติดตามข้าต่อไปก็พอแล้ว ร่างกายข้ารับไหว รัชทายาทโปรดวางใจเถอะ” เซี่ยม่อหานกล่าว “องค์ชายฉีระดมกำลัง ข้าเองก็มิได้กลัวเขาเช่นกัน” 

 

 

           “ขอข้าคิดหน่อย หนานฉินมีทหารสามแสนนายตั้งมั่นที่ม่อเปย เป่ยฉีเองก็มีทหารสามแสนนายตั้งมั่นที่ม่อเป่ยเช่นกัน ทัพเป่ยฉีมีการเคลื่อนไหว เช่นนั้นส่วนที่เรายังไม่ได้รับรายงาน กองทัพส่วนอื่นที่อยู่ใกล้กับเป่ยฉีก็มีการเคลื่อนไหวด้วยหรือไม่” ฉินอวี้ไตร่ตรองพักหนึ่ง เม้มปากเอ่ยขึ้น “ข้าไปอยู่ม่อเป่ยครึ่งปี ได้มาแค่อำนาจการทหารสามแสนนายในม่อเป่ย แต่ส่วนอื่นในหนานฉินนั้น…” 

 

 

           เขาพูดถึงตรงนี้ก็ราวกับคิดบางอย่างได้ ทันใดนั้นก็หยุดชะงักลง 

 

 

           “มีอันใดหรือ เราเองก็โยกย้ายทหารในส่วนอื่นได้ด้วยหรือไม่” เซี่ยม่อหานถาม 

 

 

           “ระบบทหารในหนานฉินกับเป่ยฉีแตกต่างกัน เป่ยฉีแค่ขยับเพียงฝ่ายเดียวก็เคลื่อนไหวได้แปดฝ่าย ภายในรัศมีสองร้อยลี้ ผู้บัญชาการพรมแดนมีอำนาจระดมกำลังโยกย้ายตำแหน่งเข้ากองทัพได้เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายยากแก้ไข แต่ผู้บัญชาการที่พรมแดนหนานฉินไม่มีอำนาจนี้” ฉินอวี้ถอนหายใจ 

 

 

           เซี่ยม่อหานกระจ่างแจ้ง ถอนหายใจตามเช่นกัน 

 

 

           “หากนำตระกูลอวี้ในเป่ยฉีกับฮ่องเต้เป่ยฉีมาเทียบกับตระกูลเซี่ยในหนานฉินและราชสำนักหนานฉิน ความคิดของฮ่องเต้เป่ยฉีคืออยากควบคุมตระกูลอวี้ แต่มิได้อยากกำจัด หลายปีนี้ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิขุนนางและครอบครัวฝ่ายภรรยามีการยืดหยุ่นอย่างเหมาะสม แต่หนานฉินนั้นไม่เหมือนกัน เสด็จพ่อทรงระวังป้องกันตระกูลเซี่ยมาตลอดชีวิต ควบคุมกดดันทุกวิถีทาง และมีความคิดอยากกำจัดทิ้ง เพื่อควบคุมอำนาจการทหารในม่อเป่ยและอำนาจนายพล จึงมีการแบ่งเขตการปกครองโจว จวิ้น และเซี่ยนเพื่อบริหารปกครองกันเอง ไม่รับคำสั่งทางการทหารจากม่อเป่ย แม้ข้าส่งจดหมายให้เสด็จพ่อแล้วพระองค์ทรงมีพระราชโองการให้เพื่อนบ้านเข้าช่วยเหลือ แต่ก็เกรงว่าจะไม่ทันกาล ถึงทันก็แยกกันปกครองนานเกินไปแล้ว มิได้เป็นหนึ่งเดียวกันอีก” ฉินอวี้เอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา  

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะ “มิน่าฉีเหยียนชิงถึงคว้าโอกาสนี้ระดมกำลัง ที่แท้นอกจากความวุ่นวายในหนานฉินทำให้มีโอกาสลงมือได้แล้ว ยังมีระบบทหารแบบนี้ในพรมแดนม่อเป่ยควบคุมอยู่” พูดจบ เขาก็มองไปยังเซี่ยม่อหาน “ข้าขอแนะนำ เจ้าขอลาออกจากราชการกับรัชทายาทเสียตอนนี้ดีกว่า ดูจากสถานการณ์แล้ว ถึงเจ้าไปก็ต้านฉีเหยียนชิงไม่ได้ เท่าที่ข้าทราบมา ในรัศมีเป่ยฉีสองร้อยลี้ หากรวมกำลังเข้าด้วยกันก็จะมีทหารอย่างน้อยสองแสนนาย รวมเป่ยฉีเข้าไปด้วยเป็นห้าแสนนาย ยังไม่รวมแผนการนอกเหนือจากนี้ของฉีเหยียนชิงอีก” 

 

 

           “อวิ๋นจี้ อย่าพูดจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ ตระกูลเซี่ยได้ปฐมจักรพรรดิฉินเชื้อเชิญเข้ามามีบทบาทในสังคม ต้องจงรักภักดีเป็นการตอบแทนบ้านเมือง ขอเพียงราชวงศ์ใช้ประโยชน์จากตระกูลเซี่ยได้ ตระกูลเซี่ยย่อมมิอาจปฏิเสธ หากบ้านเมืองวุ่นวาย ที่ใดจะเรียกว่าบ้านได้อีก” เซี่ยม่อหานมองเซี่ยอวิ๋นจี้แล้วส่ายหน้า  

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้เบะปาก มองไปยังฉินอวี้ “เมื่อครู่เจ้าคิดอันใดขึ้นได้ หาวิธีการได้แล้วหรือ ในเมื่อระบบทหารในหนานฉินมีช่องโหว่เช่นนี้ เจ้ามีฐานะเป็นรัชทายาท เหตุใดถึงไม่อุดช่องโหว่นั้น” 

 

 

           “ข้าเป็นรัชทายาท มิใช่ฮ่องเต้” ฉินอวี้ขมวดคิ้วตอบ 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้แค่นหัวเราะ 

 

 

           “หากจะแก้ไขวิกฤตในม่อเป่ยได้ มีวิธีหนึ่งที่ได้ผลยิ่งหากแต่ทำยาก” ฉินอวี้มองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยต่อ  

 

 

           “วิธีใด” เซี่ยม่อหานรีบถาม 

 

 

           “ขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงนำกองกำลังแสนนายมาช่วย” ฉินอวี้ตอบ 

 

 

           “เมืองเสวี่ยเฉิง” เซี่ยม่อหานแปลกใจ 

 

 

           “มิผิด เป็นเมืองเสวี่ยเฉิง เมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างหนานฉินกับเป่ยฉี อยู่ภายใต้พรมแดนติดต่อระหว่างสองดินแดน แต่สองดินแดนไม่สนใจเรื่องอาณาเขต หนานฉินกับเป่ยฉีตั้งป้อมประจันหน้ากันมาเกือบสามร้อยปีแล้ว ทว่ากึ่งกลางดันเกิดเมืองเสวี่ยเฉิงขึ้น” ฉินอวี้กล่าว “เมืองเสวี่ยเฉิงสร้างกองกำลังแสนนายขึ้น หากขอยืมกองทัพจากที่นั่น ฉีเหยียนชิงต้องไม่กล้าระดมกำลังในเป่ยฉีอีกเป็นแน่” 

 

 

           “เจ้าพูดได้น่าฟังนัก แต่ทหารเมืองเสวี่ยเฉิงหยิบยืมได้ง่ายถึงเพียงนั้นหรือ แค่เจ้าเอ่ยปากก็ขอยืมกองทัพได้แล้วรึ ผู้คนใต้หล้าต่างปิดปากเงียบเมื่อเอ่ยถึงเมืองเสวี่ยเฉิง คนที่นั่นมิใช่คน แต่เป็นคนเสียสติ เจ้าเมืองเองก็เป็นคนเสียสติเช่นกัน ผู้คนที่อาศัยในเมืองถ้ามิใช่คนชั่วช้าสามานย์ก็เป็นโจรสลัด มีแต่คนเลวเต็มไปหมด” เซี่ยอวิ๋นจี้กลอกตา  

 

 

           “ข้าก็มิได้บอกว่าง่าย” ฉินอวี้กล่าว “ข้าแค่บอกว่าเป็นวิธีการที่ได้ผล แต่ยากกระทำได้” 

 

 

           “หากจะขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงช่วยเหลือได้สำเร็จนั้นยากมาก หนานฉินกับเป่ยฉีปกครองราชสำนักมานานถึงเพียงนี้แล้ว พรมแดนเกิดการปะทะขัดแย้งเป็นบางครั้ง แต่ทั้งสองดินแดนก็ไม่กล้าทำอันใดเมืองเสวี่ยเฉิงง่ายๆ ทหารแสนนายในเมืองเสวี่ยเฉิงสามารถต่อต้านทหารสามแสนนายได้ หนึ่งเมืองต้านเขตชายแดนของหนึ่งดินแดนได้ หิมะโปรยตลอดปี ตกลงมาดั่งทองคำ” เซี่ยม่อหานกล่าว “ถึงแม้ยากลำบาก แต่ไม่มีทางเลือกแล้ว ต้องเชิญมาให้ได้” 

 

 

           ฉินอวี้ไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           “รัชทายาท เช่นนี้เถิด ข้ารีบออกเดินทางไปม่อเป่ย หลังไปถึงม่อเป่ยและปลอบขวัญทหารให้มั่นคงได้แล้ว จะรีบไปขอกองทัพช่วยเหลือที่เมืองเสวี่ยเฉิงด้วยตัวเอง” เซี่ยม่อหานประสานมือกล่าว 

 

 

           “ฟังว่าเจ้าเมืองแม้เป็นคนไม่ปกติ ออกไพ่โดยขัดกับหลักความถูกต้อง แต่เทิดทูนตระกูลเซี่ยมาโดยตลอด เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะเขียนจดหมายส่วนตัวฉบับหนึ่งให้จื่ยกุยนำติดตัวไปด้วย หากมีเจ้าไปด้วยตัวเอง ผนวกกับมีจดหมายลายมือของข้า หากโน้มน้าวใจเจ้าเมืองได้ก็ดียิ่ง แต่หากไม่เป็นผลก็พอถ่วงเวลาได้สองวัน ข้าจะรีบส่งจดหมายลับให้เสด็จพ่อว่าพรมแดนขอความช่วยเหลือเร่งด่วน ขอให้พระองค์มีพระราชโองการแก้ไขระบบทหาร ขณะเดียวกันก็จะโยกย้ายทหารจากในราชสำนักไปสมทบกับเจ้าที่ม่อเป่ย เพียงแต่ในระหว่างที่กองกำลังสนับสนุนยังไปไม่ถึง ได้แต่ต้องลำบากเจ้าแล้ว” ฉินอวี้ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น  

 

 

           “ขอเพียงปกป้องบ้านเมืองได้ ถึงลำบากหน่อยก็ไม่ปฏิเสธ” เซี่ยม่อหานผงกศีรษะ “ข้าได้ยินว่าเจ้าเมืองกับรัชทายาทเคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งที่ม่อเป่ย เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน” 

 

 

           “หวังก็แต่เจ้าเมืองจะยอมออกทัพเพราะเห็นแก่การพบหน้ากันครั้งหนึ่ง” ฉินอวี้กล่าว 

 

 

           “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ข้ากลับไปเก็บสัมภาระก่อน ออกเดินทางคืนนี้” เซี่ยม่อหานลุกขึ้นยืน  

 

 

           ฉินอวี้ผงกศีรษะ 

 

 

           เซี่ยม่อหานออกไปจากห้อง 

 

 

           เซี่ยอวิ๋นจี้หาวหวอด “ข้ากลับไปนอนต่อแล้ว” พูดจบก็ลุกตามหลังเซี่ยม่อหานออกไป 

 

 

           ภายในห้องเหลือเพียงเหยียนเฉินกับฉินอวี้ 

 

 

           “หอเทียนจีเก๋อที่พระมาตุลาสร้างขึ้นคล้ายว่าไปมาหาสู่กับเมืองเสวี่ยเฉิงบ่อยครั้งในช่วงนี้ เจ้าดำเนินการลับๆ ตลอดเวลา คงมีไมตรีกับเจ้าเมืองเสวี่ยเฉิงบ้างกระมัง มิทราบว่าเจ้าคิดว่าม่อหานเดินทางไปขอร้องครั้งนี้ เมืองเสวี่ยเฉิงจะยอมออกทัพช่วยเหลือหรือไม่” ฉินอวี้มองไปยังเหยียนเฉิน  

 

 

           “ในอดีตเจ้าเมืองเสวี่ยเฉิงให้ความเคารพตระกูลเซี่ยมากนั้นย่อมมีสาเหตุ สมัยนั้นเมืองเสวี่ยเฉิงประสบภัยพิบัติจากหนอนแมลงชนิดหนึ่งที่เกิดจากหิมะ หนอนหิมะชนิดนั้นกินธัญพืชเป็นอาหารโดยเฉพาะ หลังเจ้าเมืองทราบก็นำคนไปช่วยกันจับหนอน ละลายหิมะในเมืองเสวี่ยเฉิงทั้งหมด หลังถอนรากถอนโคลนหนอนหิมะได้แล้วถึงพบว่าเมืองเสวี่ยเฉิงขาดแคลนธัญพืช ตอนนั้นยังไม่มีการแบ่งจวนแหล่งธัญพืชและจวนโรงเก็บเกลือ ตระกูลเซี่ยรวมกันเป็นหนึ่ง เกลือและธัญพืชใต้หล้าเกิดจากตระกูลเซี่ย ดังนั้นเจ้าเมืองจึงเดินทางไปพบตระกูลเซี่ยด้วยตัวเอง เพื่อขอให้ผู้นำตระกูลเซี่ยช่วยเหลือ ท่านผู้นำมอบธัญพืชหนึ่งล้านตันให้เมืองเสวี่ยเฉิง เมืองเสวี่ยเฉิงจึงผ่านพ้นวิกฤตการณ์นั้นมาได้” เหยียนเฉินกล่าว “ท่านโหวเซี่ยไปขอให้เจ้าเมืองเสวี่ยเฉิง 

 

 

ออกทัพเอง เนื่องจากเขาเป็นทายาทจวนจงหย่งโหวแห่งตระกูลเซี่ย มีความสัมพันธ์นี้อยู่ น่าจะมีโอกาสสำเร็จห้าส่วน” 

 

 

           “ข้าก็เห็นว่าจวนจงหย่งโหวแห่งตระกูลเซี่ยกับเมืองเสวี่ยเฉิงมีความเป็นมาเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นจึงขอให้พี่จื่อกุยเดินทางไปเอง แต่ข้าก็ยังไม่สบายใจนัก ถึงอย่างไรก็มีอุปสรรคตรงความขัดแย้งระหว่างสองดินแดน เมืองเสวี่ยเฉิงไม่เคยมีส่วนร่วมในกฎการบริหารกองทัพระหว่างสองดินแดนเลย ไม่น่าจะโน้มน้าวใจได้ง่ายขนาดนั้น” ฉินอวี้พยักหน้า  

 

 

           “ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความมุมานะของคน บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์ลิขิต” เหยียนเฉินยิ้ม 

 

 

           “ข้าคิดว่าพระมาตุลาเกิดมาในตระกูลอวี้ ฉีเหยียนชิงนับว่าเป็นหลานชายแท้ๆ ของพระมาตุลา ข้านึกว่าพระมาตุลาจะเข้าข้างตระกูลอวี้เสียอีก” ฉินอวี้มองเหยียนเฉิน  

 

 

           “ข้าเกิดมาในตระกูลอวี้ก็จริง ฉีเหยียนชิงเป็นหลานชายข้าก็มิผิด แต่หลายปีมานี้ในใจข้ามีเพียงหอเทียนจีเก๋อเท่านั้นที่เป็นบ้าน” เหยียนเฉินลุกขึ้น “ใต้หล้าสงบสุขเกินไปมาสามร้อยปี บางคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมานานแล้ว ถ้าคิดระดมกำลังก่อสงคราม ผู้ที่จะประสบความทุกข์ยากมีแต่ประชาชน” พูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไป 

 

 

           ฉินอวี้มองส่งเหยียนเฉินออกไปจากห้องจนลับตา เขานั่งบนเก้าอี้เพียงลำพัง เม้มปากเล็กน้อย ใบหน้านิ่งขรึม 

 

 

           หลังเซี่ยม่อหานกลับมาที่ห้องก็สั่งงานทิงเหยียนเก็บข้าวของ ส่วนตนเองไปหาเซี่ยฟางหวาที่ห้อง 

 

 

           “ท่านโหว ไฉนถึงมาหาดึกดื่นป่านนี้ มีเรื่องใดหรือเจ้าคะ คุณหนูยังไม่ฟื้นเลย” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อเห็นเซี่ยม่อหานมาก็รีบทำความเคารพ  

 

 

           “ทัพเป่ยฉีมีการระดมกำลัง ข้าต้องรีบเดินทางไปม่อเป่ยจึงมาหานางก่อน” เซี่ยม่อหานกล่าว 

 

 

           “แล้วร่างกายท่าน…” พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตกใจ  

 

 

           “ไม่มีปัญหา” เซี่ยม่อหานพูดพลางก็เดินเข้าไปข้างใน 

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรีบจุดตะเกียง 

 

 

           เซี่ยฟางหวายังคงนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดบ้างแล้ว แต่ยังคงหลับลึก 

 

 

           “ดูจากตอนนี้ พรุ่งนี้นางคงยังไม่ฟื้น” เซี่ยม่อหานยืนถอนหายใจหน้าเตียง  

 

 

           “เมื่อพลบค่ำคุณชายเหยียนเฉินมาดูอาการ บอกว่าคุณหนูน่าจะฟื้นเย็นพรุ่งนี้เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ามองเขา “ท่านโหว ท่านจะรีบเดินทางไปทั้งแบบนี้เลยหรือ คุณหนูยังมิได้พบท่านเลย” 

 

 

           “ข้าเห็นนางปลอดภัยก็สบายใจแล้ว เหยียนเฉินไม่ไปม่อเป่ยกับข้าด้วยแต่จะอยู่ที่นี่ มีเขาอยู่ดูแลนาง ข้าก็เบาใจขึ้นมาก” เซี่ยม่อหานกล่าว 

 

 

           “แล้วท่านเล่า ร่างกายท่านก็ต้องพักฟื้นเช่นกัน” ซื่อฮว่ารีบกล่าว 

 

 

           “ชูฉือจะไปม่อเป่ยกับข้าด้วย” เซี่ยม่อหานตอบ 

 

 

           ผิ่นจู๋ได้ยินเช่นนั้นก็แค่นหัวเราะในลำคอแผ่วเบา “ชูฉือนอกจากไม่ชอบคุณหนูของเราแล้วยังมีประโยชน์ใดอีก หากไม่มีคุณชายเหยียนเฉิน วิกฤตการณ์ในเมืองหลินอันคงยังไม่คลี่คลายเลย แม้แต่เทียบยาเขายังทำมิได้” 

 

 

           “วิชาแพทย์ของชูฉือเทียบเหยียนเฉินไม่ได้ก็จริง แต่เรื่องสมุนไพรก็ไม่ได้ด้อย อีกอย่างเขายังมีฐานะและความสามารถอื่น นำสิ่งต่างกันมาเทียบกันไม่ได้หรอก มีเขาไปกับข้าด้วย ร่างกายข้าไม่เป็นปัญหาแน่นอน” เซี่ยม่อหานมองผิ่นจู๋แวบหนึ่ง  

 

 

           ผิ่นจู๋ได้ยินเช่นนั้นก็เงียบลง 

 

 

           “พอนางฟื้นแล้วพวกเจ้าช่วยบอกนางแทนข้าด้วย ห้ามนางทำตามอำเภอใจอีก ต้องพักรักษาตัวให้หายดี” เซี่ยม่อหานพูดจบ ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นอีก “และบอกนางไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าดูแลตัวเองได้ หากนางทำให้ร่างกายทรุดลงอีก ข้ากับท่านปู่จะยิ่งเป็นห่วงนาง” 

 

 

           “เจ้าค่ะ” พวกซื่อฮว่าผงกศีรษะรับคำ 

 

 

           เซี่ยม่อหานอยู่ต่ออีกพักหนึ่ง ก่อนออกมาจากเรือนของเซี่ยฟางหวา 

 

 

           ทิงเหยียนเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เซี่ยม่อหานตรวจสอบผู้คุ้มกันที่นำมาจากจวนจงหย่งโหวอีกครั้ง ก่อนเดินทางออกจากเมืองกลางดึก 

 

 

           ฉินอวี้มาส่งเซี่ยม่อหานออกเดินทางด้วยตัวเอง ก่อนจากได้บอกเขาว่า “พี่จื่อกุย ยังมีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้คุยกับเจ้า ตอนนี้ขอพูดเพียงคร่าวๆ แล้วกัน” 

 

 

           “รัชทายาทเชิญพูดมา” เซี่ยม่อหานรีบกล่าว 

 

 

           “ฟางหวาตอบตกลงกับข้าแล้ว เมื่อข้าถอนหมั้นกับจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ข้าจะไปสู่ขอนางด้วยพิธีการของชายารัชทายาท” ฉินอวี้มองเขาแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

           เซี่ยม่อหานตกใจ มองฉินอวี้อย่างไม่อยากเชื่อ 

 

 

           “เจ้าฟังไม่ผิด ข้ามิได้โกหก มีเรื่องนี้จริง ดังนั้นเจ้าไปค่ายทหารม่อเป่ยครั้งนี้โปรดทำใจให้สบาย ขอให้เมืองเสวี่ยเฉิงออกทัพได้ก็ดีมาก แต่หากไม่เป็นผล ข้าจะคิดหาวิธีการถอนกำลังของฉีเหยียนชิงออกไปให้ได้ ไม่ยอมให้ทหารเป่ยฉีย่างกรายเข้ามาในค่ายทหารม่อเป่ยเป็นอันขาด เจ้าไปครั้งนี้ขอให้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ไม่จำเป็นต้องถือเคร่งหรือพะว้าพะวงเรื่องระบอบปกครองและกฎวินัย” ฉินอวี้พยักหน้ายืนยันกับเขา  

 

 

           เซี่ยม่อหานตกตะลึงไปพักหนึ่ง อ้าปากค้าง ทว่าเอ่ยคำใดไม่ออก 

 

 

           “นี่เป็นป้ายคำสั่งของข้า เห็นป้ายก็เหมือนได้พบข้า หากมีทหารคนใดไม่ฟังคำสั่งเจ้าก็จัดการได้เต็มที่” ฉินอวี้ยื่นป้ายคำสั่งให้เซี่ยม่อหาน 

 

 

           เซี่ยม่อหานอยากกล่าวบางอย่าง ทว่าเห็นสีหน้าของฉินอวี้แล้วก็เงียบเสียงลง พยักหน้าเชื่องช้าแล้วรับป้ายคำสั่งมา “ในเมื่อนางตอบตกลงแล้วข้าก็ไม่สอดปากอีก ที่ผ่านมานางมีความคิดเป็นของตัวเอง หวังว่า 

 

 

รัชทายาทจะดูแลนางให้ดี” 

 

 

           “แน่นอน” ฉินอวี้ผงกศีรษะ 

 

 

           เซี่ยม่อหานประสานมือลา ไม่พูดมากความก็พลิกกายขึ้นม้า 

 

 

           ฉินอวี้เรียกชูฉือมากำชับ “ดูแลสุขภาพจื่อกุยให้ดี ไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ใดต้องคุ้มครองเขาให้ปลอดภัยก่อน” หยุดชั่วครู่แล้วเอ่ยเสริม “เรื่องที่รับปากเจ้าไว้ข้ายังจำได้ เจ้าวางใจเถอะ” 

 

 

           “รัชทายาทเองก็วางใจได้เช่นกัน” ชูฉือผงกศีรษะก่อนพลิกกายขึ้นม้าด้วย 

 

 

           ฉินอวี้โบกมือลา เซี่ยม่อหานกับชูฉือนำคนเดินทางออกจากเมืองหลินอัน 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด