จารใจรัก 34-1 เปิดใจคุยกลางดึก

Now you are reading จารใจรัก Chapter 34-1 เปิดใจคุยกลางดึก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

     สิ้นเสียง ฉินเจิงก็เริ่มจู่โจมรุกล้ำดินแดนเซี่ยฟางหวา  

 

 

           เซี่ยฟางหวาอดทนมิกล้าส่งเสียง กลับถูกเขาก่อกวนจนควบคุมตัวเองมิได้ แม้ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น แต่ก็มิอาจห้ามเสียงครางแผ่วเบาที่เล็ดลอดออกมาเพราะถูกเขารังแกได้  

 

 

           โชคดีที่ตอนนี้ดึกแล้ว บนถนนไม่มีใครผ่านมาทั้งนั้น  

 

 

           และโชคดีที่ล้อรถบดเบียดกับพื้นถนน กีบเท้าม้าเยื้องย่างไปทีละก้าว จึงกลบเสียงและการเคลื่อนไหวอันเล็กน้อยได้  

 

 

           โลกภายนอกสงบเงียบถึงที่สุด แต่ภายในรถม้าร้อนระอุอย่างยิ่ง  

 

 

           ม่านรถม้าผืนหนากั้นไว้ ด้านในรถม้ายามวิกาลแขวนไข่มุกราตรีขนาดเล็กเอาไว้เม็ดหนึ่ง สร้างแสงสว่างเพียงเล็กน้อยจนมิอาจส่องทะลุม่านผืนหนาได้ เพียงแค่ส่องสะท้อนในรถม้าอันเล็กแคบ แสงอันริบหรี่นั้นมากพอแค่ให้เห็นใบหน้าสะสวยซึ่งขึ้นสีแดงจัดของเซี่ยฟางหวาชัดเจน ผิวกายนุ่มลื่นดุจน้ำแข็งผสมหยก  

 

 

           อาภรณ์ทั้งหมดร่วงกอง โฉมสะคราญในรถม้าดั่งกลิ่นหอมหวนอันบริสุทธิ์  

 

 

           ฉินเจิงหายใจหนักหน่วง ควบคุมจิตใจตนเองไม่ไหวอีกต่อไป หาได้สนใจนางที่ไม่เห็นด้วยกับการทำเรื่องไม่ถูกกาลเทศะในรถม้าบนท้องถนนเช่นนี้ไม่ หากแต่บ้าคลั่งขึ้นมา  

 

 

           เซี่ยฟางหวาทำอันได้มิได้และไร้เรี่ยวแรง ถูกเขาพาดำดิ่งสู่คลื่นอารมณ์อันร้อนระอุอย่างทั้งอายทั้งโกรธ สมองส่งเสียงโครมครามลั่น ชั่วเวลานั้นผิวกายก็ขึ้นสีแดงจัดลุกลามไปทั่วร่าง  

 

 

            สีชาดเด่นชัดท่ามกลางสีแดงเช่นนี้ สตรีอ่อนช้อยที่พริ้งเพริศท่ามกลางชาดเหล่านั้น บุรุษใดในใต้หล้าเห็นแล้วยังเอ่ยถึงความอดทนได้อีกหรือ  

 

 

           มนุษย์หายากที่จะได้กระทำอย่างไม่ถูกกาลเทศะเช่นนี้  

 

 

           คนขับแม้จากไปตั้งนานแล้ว แต่ม้ากลับฉลาดอย่างยิ่ง มันมิได้กลับจวนอิงชินอ๋อง หากแต่เดินเตร่เลียบถนนในเมืองหลวงหนานฉินอย่างเชื่องช้า  

 

 

           กระทั่งม้าเดินเลียบถนนเส้นหลักในเมืองหลวงหนานฉินได้สามรอบ คลื่นอารมณ์อันร้อนระอุภายในรถม้าถึงหยุดลง  

 

 

           ด้านในรถม้าคนหนึ่งลมวสันต์สมปรารถนา ในที่สุดก็อิ่มหนำสำราญ ส่วนอีกคนง่วงงุนด้วยความเหนื่อยล้า แม้แต่เรี่ยวแรงจะยกมือยังหาไม่  

 

 

           คนเคาะตีบอกยามเห็นรถม้าป้ายทะเบียนท่านอ๋องน้อยแห่งจวนอิงชินอ๋อง เป็นดังที่ฉินเจิงเคยพูดไว้ ล้วนถอยห่างออกไปให้ไกล ทว่าหลังจากหลบไปๆ มาๆ สามครั้งก็เกิดความสงสัย ดึกป่านนี้แล้ว รถม้าของท่านอ๋องน้อยที่ไร้คนบังคับ เหตุใดถึงแล่นวนไปมาบนถนนในเมือง แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้รถม้าเพื่อสอบถาม  

 

 

           หลังจากฉินเจิงพึงพอใจแล้ว ก็ยื่นมือไปเกี่ยวปอยผมสีดำสนิทข้างขมับของเซี่ยฟางหวาช่อหนึ่งอย่างอ่อนโยน ม้วนเล่นในมือพลางจ้องมองนาง  

 

 

           ใบหน้าสะสวยดั่งบุปผาอันแฝงด้วยกามารมณ์อยู่ใต้กายเขา ถูกพิรุณวสันต์ชโลม ดุจดอกโบตั๋นแลดอกซานฉา* [1] ผลิบานสร้างทิวทัศน์งดงามอย่างเชื่องช้า  

 

 

           รู้อยู่เต็มอกว่านางเหนื่อยมากแล้วและทนรับไม่ไหวอีกต่อไป ทว่าเขายังไม่อยากให้พิรุณวสันต์หยุดลง เรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า  

 

 

           ยามถูกเขากลั่นแกล้งอย่างโหดร้าย นางถลึงตามองเขาด้วยความขุ่นเคือง ดวงตาฉ่ำน้ำคู่นั้นยิ่งสวยงามน่าประจบเอาใจเสียเหลือเกิน  

 

 

           ไม่เคยรู้มาก่อนว่า สตรีผู้เยือกเย็นแบบนี้ จะมีวันที่ส่งเสียงนุ่มนวลชวนหยุดลมหายใจและใบหน้าที่เขินอายวสันต์คิมหันต์เช่นวันนี้   

 

 

           นี่เป็นความซาบซึ้งและความสะเทือนใจแบบหนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน  

 

 

           วันนี้เขาไม่เสียแรงที่ทำเรื่องไร้กาลเทศะแล้ว มีแต่กำไรล้วนๆ  

 

 

           แต่พรุ่งนี้นางคงได้เรี่ยวแรงกลับมา และต้องโกรธจนไม่สนใจเขาเป็นแน่  

 

 

           เขามองพลางก็หัวเราะขึ้นมาแผ่วเบา เดิมทีน้ำเสียงนั้นชุ่มชื้นกังวาน แต่เมื่อกำลังอารมณ์ดีมีความสุขแบบนี้ เสียงหัวเราะนั้นกลับทุ้มต่ำแปลกไป ใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งเฉื่อยชาทว่าชวนหลงใหล สะท้อนแสงจันทร์กระจ่างออกมาแวบหนึ่ง หากสตรีใดเห็นเข้า เกรงว่าคงเต็มใจที่ชะล้างบุปผาวสันต์แสงจันทร์สารท ล่มภูผาแลสายธารเพื่อเขา  

 

 

           เซี่ยฟางหวาปิดเปลือกตาสะลึมสะลือหลับไป มิใช่แค่แรงจะยกมือเท่านั้นที่หาไม่ แต่เรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดจาก็หาไม่แล้วเช่นกัน ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเขา สมองคิดเพียงอย่างเดียวว่า ถ้าพรุ่งนี้เห็นนางสนใจเขาคงเป็นเรื่องแปลก  

 

 

           ฉินเจิงมองจนหนำใจแล้ว ก็บังคับรถกลับจวนอิงชินอ๋องอย่างพอใจ  

 

 

           ภายในจวนอิงชินอ๋อง นอกจากเรือนลั่วเหมย ทุกแห่งล้วนตับตะเกียงแล้ว เงียบสงัดอย่างยิ่ง  

 

 

           ฉินเจิงแต่งกายให้เซี่ยฟางหวา ใช้ผ้าห่มผืนบางบนรถม้าห่อตัวนางไว้ ก่อนอุ้มนางที่ผล็อยหลับไปอย่างหมดเรี่ยวแรงลงจากรถม้า  

 

 

           กลับมาถึงเรือนลั่วเหมย หลายคนยังเฝ้าประตูรอทั้งคู่กลับมา  

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อก้าวเข้าหาทันที “ท่านอ๋องน้อย คุณหนูนาง…”  

 

 

           “แค่เหนื่อย จึงเผลอหลับไป” ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาข้ามธรณีประตูเข้าไปในห้อง ขณะเดียวกันก็สั่งงานว่า “ยกน้ำอุ่นเข้ามาอ่างหนึ่ง”  

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อรับคำสั่งก็ออกไปทันที  

 

 

           ไม่นานก็ยกอ่างน้ำอุ่นเข้ามาภายในห้อง  

 

 

           ฉินเจิงอุ้มเซี่ยฟางหวาวางลงในอ่างน้ำ ชำระกายจนสะอาดให้นางรอบหนึ่ง ก่อนอุ้มนางขึ้นจากอ่างแล้วเดินกลับมาที่เตียง  

 

 

           ม่านผืนใหญ่ปิดลง เซี่ยฟางหวาพลิกตัวครึ่งหนึ่ง หลับไปอย่างสนิท  

 

 

           ฉินเจิงเห็นว่านางไม่ขยับเข้ามาขดตัวนอนในอ้อมแขนของตนเหมือนก่อนนอนทุกครั้ง วันนี้แม้หลับไปแล้ว แต่ร่างกายก็ยังผูกใจโกรธตนไปด้วย ไม่เข้าหาอ้อมกอดเขาเหมือนทุกครั้ง เขาจึงขยับเข้าหาแทน พลิกตัวนางกลับมา จัดท่าทางให้นางได้นอนหลับในอ้อมอกตนอย่างสบายๆ ก่อนหลับตาลงอย่างพึงพอใจ  

 

 

           สตรีที่อย่างไรก็รักไม่เพียงพอ เนื้อคู่ที่เขาช่วงชิงจากสวรรค์มาถึงสองชาติ  

 

 

           หากได้รักและปกป้องกันเช่นนี้ไปตลอดชาติจริงๆ ต่อให้ชาติหน้าเขาต้องเกิดมาเป็นวัวหรือม้าก็เต็มใจ  

 

 

           ไม่นานเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราตามไป  

 

 

           รัตติกาลอันเงียบสงบ สายลมสงบนิ่ง ลมราตรีไร้สุ้มเสียง เมืองหลวงหนานฉินตกอยู่ในความเงียบสงัดอย่างถึงที่สุด  

 

 

           นอกประตูเรือนของหลี่หรูปี้ในจวนเสนาบดีฝ่ายขวา เจิ้งเซี่ยวฉุนยังคงคุกเข่าหลังตรงเพื่อสู่ขอดังเดิม เปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างลึกซึ้ง ครั้นเจิ้งเฉิงมาถ่ายทอดคำพูดของหลี่มู่ชิง เขาเพียงพยักหน้ารับ มิได้ลุกขึ้น คุกเข่าต่อไปหนึ่งวันเต็ม  

 

 

           ภายในเรือนอีกหลังหนึ่งที่จวนอิงชินอ๋อง เจิ้งเซี่ยวหยางหลับตื่นหนึ่ง เป็นยามสามเกิง** [2] แล้ว  

 

 

           เขากระหายน้ำ ลุกลงจากเตียงมากรอกน้ำดื่มกาหนึ่ง เมื่อไม่ง่วงอีกต่อไปแล้วจึงเปิดหน้าต่าง จวนอิงชินอ๋องทั้งหลังเงียบสงบอย่างยิ่ง  

 

 

           ลมราตรีพัดเข้ามาเมื่อเขาเปิดหน้าต่าง เขาที่หลับเต็มอิ่มแล้วสดชื่นขึ้นเป็นกอง  

 

 

           เขายืนริมหน้าต่างพักหนึ่ง หมุนตัวไปแต่งกายให้เรียบร้อย ก่อนออกมาจากห้อง  

 

 

           เขาเพิ่งก้าวออกจากประตูห้อง สี่ซุ่นทำตามคำสั่งของพระชายาอิงชินอ๋อง คนเฝ้ายามวิกาลที่ถูกจัดมาดูแลแขกลุกพรวดจากเตียงทันที ถามเจิ้งเซี่ยวหยางด้วยความสะลึมสะลือ “คุณชายรอง ท่านจะไปไหนหรือ พระชายาสั่งไว้แล้ว ท่านเป็นแขกคนสำคัญ หากต้องการสิ่งใด สั่งข้าน้อยก็พอแล้ว”  

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางหันไปมองแวบหนึ่ง เกาศีรษะงงๆ “ปลุกเจ้าตื่นแล้ว ข้าหิว ครัวอยู่ที่ไหน”  

 

 

           “ข้าน้อยจะไปดูที่ครัวให้ว่ามีอะไรให้ท่านทานบ้าง” เด็กรับใช้ตอบ  

 

 

           “เจ้าบอกข้ามาก็พอ ข้าไปเองได้ เจ้ากลับไปนอนเถอะ” เจิ้งเซี่ยวหยางโบกมือไล่อย่างใจดี  

 

 

           เด็กรับใช้ส่ายหน้า ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง “จะให้ท่านไปห้องครัวเองได้อย่างไร พระชายาสั่งไว้แล้ว มีสิ่งใดขอแค่สั่งบ่าวมาก็พอ ท่านหิวแล้ว ควรเป็นบ่าวที่ไปหาอาหารมาให้ท่าน”  

 

 

           “พระชายาดูแลแขกได้ยอดเยี่ยมนัก” เจิ้งเซี่ยวหยางได้ยินเช่นนั้นก็กวักมือเรียกอีกฝ่าย “เช่นนั้นเราสองคนไปด้วยกัน เจ้านำทาง”  

 

 

           เด็กรับใช้พยักหน้า รีบคลุมเสื้อทันที ก่อนนำทางเจิ้งเซี่ยวหยางไปยังครัวใหญ่  

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]  *ดอกซานฉา คือ ดอกคาเมลเลีย  

 

 

[2]   **ยามสามเกิง  ช่วงเวลา 23:00 น. = 01:00 น.  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด