จารใจรัก 62 แดงชาดจากลั่วเหมย

Now you are reading จารใจรัก Chapter 62 แดงชาดจากลั่วเหมย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

          เซี่ยฟางหวาตวัดตามองฉินเจิง พบว่าสีหน้าเขาเรียบนิ่งจนสังเกตอารมณ์ใดไม่ออก

 

 

           ฝ่าบาทจะทรงสละบัลลังก์?

 

 

           อดีตกาลแม้มีฮ่องเต้เฝ้ารอให้รัชทายาทดูแลบริหารอำนาจได้ก่อนแล้วค่อยสละบัลลังก์ ทว่าหลายราชวงศ์ที่ผ่านมาก็พบได้น้อยมาก ยามนี้นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาททรงมีเจตนาจะสละบัลลังก์ล่วงหน้าแล้ว เพราะเหตุใดกัน เป็นเพราะพระองค์ทรงชราแล้วจึงควบคุมสายลับราชสำนักไม่อยู่ หรือทรงคิดว่าตนเหลือเวลาอีกไม่มาก จึงอยากมอบให้ฉินอวี้ล่วงหน้าแล้วมองดูบ้านเมืองภายใต้การปกครองของเขา

 

 

           แต่ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด นี่ก็คุ้มค่าพอให้ผู้คนหลายฝ่ายคาดการณ์วิเคราะห์

 

 

           “เจ้าพูดอะไร” อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยกใหญ่ จากที่เคยนั่งอยู่ก็ผุดลุกขึ้นยืน มองหน้าฉินเจิง

 

 

           “เสด็จอาตรัสว่าพอฉินอวี้กลับจากขุดลอกคูคลองแล้ว พระองค์ตั้งใจว่าจะสละบัลลังก์” ฉินเจิงมองอิงชินอ๋องแล้วบอกซ้ำ

 

 

           อิงชินอ๋องมองเขาอย่างไม่เชื่อ

 

 

           “ฝ่าบาททรงตรัสเช่นนี้จริงหรือ” พระชายาอิงชินอ๋องก็แปลกใจเช่นกัน ถามด้วยความข้องใจ

 

 

           “ข้าจะโกหกได้หรือ พระองค์ทรงบอกเช่นนี้จริง” ฉินเจิงแค่นหัวเราะ

 

 

           “เพราะเหตุใด” อิงชินอ๋องถามต่อ

 

 

           “ท่านพ่อ ท่านใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ รู้สึกว่าตัวเองแก่แล้วบ้างหรือไม่ สังขารไม่อำนวยต่อเรื่องบางอย่างแล้ว” ฉินเจิงมองอิงชินอ๋องอย่างสบายอารมณ์

 

 

           อิงชินอ๋องชะงักไป ครู่ต่อมาก็พยักหน้ารับอย่างหมดเรี่ยวแรง

 

 

           “เสด็จอาก็คงคิดเช่นนี้เหมือนกัน” ฉินเจิงบอก “พระองค์ทรงนั่งอยู่บนบัลลังก์นี้ สังขารก็ไม่อำนวยแล้วเช่นกัน”

 

 

           อิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงเชื่องช้า

 

 

           “ฝ่าบาททรงสละบัลลังก์เป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่อาศัยแค่วาจาของฝ่าบาทแต่เพียงผู้เดียว แต่ต้องฟังคำทัดทานจากขุนนางทั้งหมดในราชสำนักด้วยเช่นกัน บอกจะสละบัลลังก์ ครั้นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่กระทำได้โดยทันที” พระชายามองอิงชินอ๋องแล้วถอนหายใจออกมา

 

 

           ฉินเจิงไม่พูดจา

 

 

           “เจ้าเพิ่งฟื้นมา พูดเอาไว้แล้วแท้ๆ ว่าไม่ควรกังวลมากเกินเหตุ แต่ยังดึงเจ้ามาคุยเรื่องนี้อีก รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องผินหน้ามองไปยังเซี่ยฟางหวา เอ่ยขึ้นด้วยความนุ่มนวล

 

 

           “ข้าไม่เหนื่อย” เซี่ยฟางหวาบอก

 

 

           “สีหน้าเจิงเอ๋อร์ไม่ค่อยดีนัก ตอนเจ้าหมดสติไป เขาต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นแน่ พวกเจ้ากลับไปพักเถอะ” พระชายาอิงชินอ๋องยกมือไล่ “สุภาษิตกล่าวว่า เมื่อรถวิ่งมาถึงหน้าภูเขาย่อมมีทางไปต่อ*[1] ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนพัวพันมาจนถึงตอนนี้ หรือเพราะเรื่องฐานะของเจ้า หรือเพราะเรื่องฐานะอื่นก็ตาม ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใส่ใจแล้ว ฟื้นฟูร่างกายสำคัญกว่ามาก”

 

 

           เซี่ยฟางหวามองไปยังฉินเจิง พบว่าสีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก นางจึงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน

 

 

           ฉินเจิงหาได้เห็นต่างไม่ คว้ามือจูงเซี่ยฟางหวาออกจากเรือนหลักโดยไม่รอช้า

 

 

           ทั้งคู่ออกจากเรือนหลัก กระทั่งไม่เห็นเงาแล้ว พระชายาถึงกล่าวกับอิงชินอ๋อง “หากฝ่าบาททรงควบคุมสายลับราชสำนักไม่ได้แล้วจริงๆ เช่นนั้นสายลับราชสำนักคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ คิดแย่งชิงบ้านเมืองหนานฉินอย่างนั้นหรือ”

 

 

           “ปีนั้นสมัยอดีตฮ่องเต้กับเสด็จแม่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ เสด็จแม่เคยเสนอความเห็นเป็นการส่วนตัวกับอดีตฮ่องเต้ว่าควรปิดผนึกภูเขาลับทั้งสามลูกเสีย แต่ภูเขาลับที่เจริญรุ่งเรืองมาพร้อมกับบ้านเมืองหนานฉินจวบจนทุกวันนี้นั้นจะปิดผนึกลงง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ภูเขาลับกับสายลับราชสำนักได้รับการขนานนามว่าเป็นปราการบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของราชสำนักหนานฉิน ไหนเลยจะกำจัดได้ง่ายดายปานนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเป่ยฉีซึ่งมีอำนาจพอๆ กันกับหนานฉินที่คอยจ้องเขมือบอยู่ตลอดเวลา หากหนานฉินสูญเสียปราการนี้ไป เช่นนั้นเป่ยฉีก็จะเข้ารุกราน หนานฉินก็จะมีภัย” อิงชินอ๋องมีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

           “แต่ตอนนี้เล่า เขาไร้นามถูกทำลายลง สามปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ และคงไม่ฟังพระบัญชาจากฝ่าบาทอีกแล้ว ตอนนี้บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาที่สร้างความโกลาหลวุ่นวายทั้งภายในและภายนอกเมืองหลวง” พระชายาอิงชินอ๋องกล่าว “ถ้าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ควบคุมไว้ไม่ได้ล่ะก็ ผลลัพธ์เกรงว่าไม่น่าจินตนาการ”

 

 

           “พวกเขาน่าจะพุ่งเป้ามาที่หวาเอ๋อร์” อิงชินอ๋องบอก “ตอนนี้คอยสังเกตการณ์ไปก่อน รอรัชทายาทกลับมาเถอะ”

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้าแล้วถอนหายใจออกมา

 

 

           เมื่อฉินเจิงกับเซี่ยฟางหวาออกจากเรือนหลัก ตลอดทางไม่มีใครเอ่ยคำใดขึ้นมาเลย เอาแต่กุมมือกันกลับเรือนลั่วเหมย

 

 

           ทั้งคู่เพิ่งมาถึงหน้าทางเข้าเรือนลั่วเหมย ไป๋ชิงกับจื่อเย่เดิมกำลังคลอเคลียกันบนชิงช้าซึ่งผูกไว้กับกิ่งไม้ เมื่อพวกมันเห็นทั้งคู่กลับมาก็รีบวิ่งเข้ามาหา ตัวหนึ่งกระตุกชายเสื้อคลุมของฉินเจิง ตัวหนึ่งกระตุกชายกระโปรงของเซี่ยฟางหวาพร้อมส่งเสียงร้องระงม

 

 

           เซี่ยฟางหวาย่อตัวลง ยกมือลูบไป๋ชิง

 

 

           ฉินเจิงก็ย่อตัวลงเช่นกัน ยกมือลูบจื่อเย่

 

 

           จิ้งจอกขาวกับเตียวม่วงถูศีรษะเข้ากับฝ่ามือของทั้งคู่ไม่หยุด ปากส่งเสียงร้องคล้ายกับเด็กที่ถูกทอดทิ้งไปเป็นเวลานานแล้วร่ำไห้ต่อทั้งคู่

 

 

           “หากเรามีลูกแล้วทิ้งเขาไว้ในบ้าน พอพวกเรากลับมา เขาคงเป็นเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ น้อยใจอย่างยิ่ง อ้อนวอนไม่ให้เราทิ้งเขาไว้อีก” เซี่ยฟางหวามองดูเจ้าตัวเล็กทั้งสองก็โพล่งขึ้น

 

 

           ฉินเจิงได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองเซี่ยฟางหวา

 

 

           “เจ้าว่าใช่หรือไม่” เซี่ยฟางหวาก็ผินหน้ามองเขาเช่นกัน ถามย้ำเสียงเบา

 

 

           “อาจจะใช่” ฉินเจิงพยักหน้า

 

 

           “ฉินเจิง เรามามีลูกกันเถอะ ดีหรือไม่” เซี่ยฟางหวายิ้มบาง

 

 

           ฉินเจิงมองลึกในนัยน์ตานาง ภายในนั้นราวกับมีทะเลสาบมรกตซ่อนอยู่ ผิวน้ำข้างในสงบนิ่ง เขายกมือลูบศีรษะนาง “เจ้าดูแลร่างกายให้แข็งแรงก่อนเถอะ”

 

 

           “ร่างกายข้าไม่ได้แย่ขนาดนั้น มีลูกได้จริงๆ” เซี่ยฟางหวากัดปาก เอื้อมมือดึงแขนเสื้อเขา

 

 

           ฉินเจิงไม่พูดจา

 

 

           “ยาของเจ้า ไม่ต้องกินแล้วได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาดึงแขนเสื้อเขาแรงขึ้น

 

 

           ฉินเจิงขมวดคิ้ว

 

 

           “ข้ารู้ว่าเจ้ากินยาห้ามบุตร เพราะกลัวว่าจะทำร้ายสุขภาพข้าจึงให้เหยียนเฉินเขียนใบสั่งยาให้ใช่หรือไม่ ตอนแรกข้ายังไม่รู้ แต่วันนั้นที่ตรวจชีพจรให้เจ้าก็สังเกตพบ วิชาแพทย์ของเหยียนเฉินแม้ล้ำหน้ากว่าข้า แต่ก็ไม่เกินหนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น หากข้าตรวจให้ถี่ถ้วนย่อมสังเกตพบ” เซี่ยฟางหวามองเขา

 

 

           ฉินเจิงเม้มปาก

 

 

           “ฉินเจิง ข้าอยากมีลูกของเรา เป็นเด็กตัวน้อยๆ ที่หน้าตาคล้ายเจ้า นิสัยคล้ายเจ้า ไม่ว่าส่วนใดก็ล้วนคล้ายเจ้าทั้งหมด” เซี่ยฟางหวาขยับเข้าหา

 

 

           “แล้วเจ้าเล่า” ฉินเจิงมองนาง

 

 

           “ข้าไม่มีข้อดีอะไร ไม่เหมือนข้าก็ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           ฉินเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา ดึงตัวนางเข้ามาหาแล้วมองนาง “เจ้าไม่มีข้อดีอะไร กลับทำให้ข้าต้องการเพียงเจ้า หากเจ้ามีข้อดี ข้ามีหรือจะไม่ถูกเจ้าทรมานยิ่งกว่านี้”

 

 

           “ได้หรือไม่” เซี่ยฟางหวาเขย่าข้อมือเขา

 

 

           “ไม่ได้” ฉินเจิงส่ายหน้า

 

 

           “เพราะเหตุใด เจ้าไม่อยากมีลูกของเราหรือ” เซี่ยฟางหวาถลึงตามอง

 

 

           ฉินเจิงไม่ตอบ กลับดึงนางเดินเข้าไปในห้อง

 

 

           เซี่ยฟางหวาถูกเขาลากเดินไป แม้จะเอ่ยถามต่ออีกสองครั้ง แต่ก็พบว่าเขาไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถาม นางจึงสะบัดมือเขาออกด้วยความโมโห “ข้าบอกไปแล้ว ข้า…”

 

 

           “ถึงแม้ร่างกายเจ้ารับไหวก็ไม่ได้” ฉินเจิงหันกลับมา แววตานิ่งขรึม “เจ้าบอกว่า ชาตินี้จะต้องอยู่กับข้าไปจนแก่เฒ่า เช่นนั้นก็ฟังข้าเถอะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา อย่าเพิ่งรีบร้อนเลย”

 

 

           เซี่ยฟางหวาเม้มปาก ไม่ส่งเสียงใด

 

 

           ฉินเจิงเอื้อมมือมาจูงมือนาง

 

 

           เซี่ยฟางหวาสะบัดออกด้วยความโมโห

 

 

           ฉินเจิงเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ก็หัวเราะ ยกมือชี้ตัวเอง “ข้าเฝ้าเจ้าจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตอนนี้เจ้าเพิ่งฟื้นมาย่อมมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง แต่ดูข้าสิ ดูได้ที่ไหนกัน”

 

 

           เซี่ยฟางหวาเห็นว่าใบหน้าเขาดูอ่อนเพลีย ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดโมโห ปล่อยให้เขาจูงมือเข้าไปในห้อง

 

 

           ภายในห้องยังเหมือนตอนก่อนที่ทั้งคู่ออกไป สะอาดเรียบร้อยอย่างยิ่ง

 

 

           ฉินเจิงมองไปยังเตียงแล้วเอ่ยถาม “ฟ้ายังสว่างอยู่ เจ้าจะมานอนกับข้าสักพักหรือว่า…”

 

 

           “ข้านอนด้วย” เซี่ยฟางหวารีบตอบ

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้า ถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกแล้วจูงนางไปนอนบนเตียง

 

 

           ม่านบนเตียงหล่นลง ฉินเจิงหลับตานอน ไม่นานก็ผ่อนลมหายใจสม่ำเสมอออกมา

 

 

           เซี่ยฟางหวานอนข้างกาย ช้อนตามองเขา กะแล้วว่าคงอ่อนเพลียอย่างยิ่ง ผ่านไปเพียงครู่เดียวก็ผล็อยหลับไปแล้ว นางนิ่งมองเขาโดยไม่ละสายตาออกมาแม้แต่ครู่เดียว

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ยกมือหยิกข้อมืออีกข้างของตัวเองอย่างแรง ความเจ็บแล่นปราดจนนางส่งเสียงร้องแผ่วเบา

 

 

           “เป็นอะไร” ฉินเจิงตกใจตื่น รีบเอ่ยถามทันที

 

 

           “ไม่มีอะไร เจ้านอนต่อเถอะ” เซี่ยฟางหวารีบส่ายหน้า หดมือซ่อนในแขนเสื้อ

 

 

           ฉินเจิงมองนางด้วยความสงสัย

 

 

           เซี่ยฟางหวาส่ายหน้ายืนยันแล้วเอ่ยเสียงเบา “ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้านอนต่อเถอะ” พูดจบ เห็นว่าเขาไม่ยอมนอนต่อจึงลุกมายืนข้างหน้าเตียง “ข้าไม่ง่วง ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า ข้าจะไปเขียนใบสั่งยาให้ใหม่ แล้วต้มยามาให้เจ้า”

 

 

           “มีคนทำงานมากพอแล้ว ไหนเลยต้องให้เจ้าต้มเองด้วย” ฉินเจิงหัวเราะ

 

 

           “เจ้าก็บอกเองว่าฟ้ายังสว่างอยู่ ข้านอนไม่หลับ แต่เจ้าเหนื่อยล้ามาก เพื่อไม่เป็นการรบกวนเจ้า ออกไปต้มยาก็ดีกว่าไม่ใช่หรือ ถือเป็นการฆ่าเวลา” เซี่ยฟางหวาลูบตัวเขา “เจ้ารีบนอนเถอะ พอเจ้าหลับแล้วข้าค่อยออกไป”

 

 

           ฉินเจิงพยักหน้าเป็นการตกลง ก่อนหลับตาลงใหม่

 

 

           ไม่นานเขาก็ผล็อยหลับไปอีกครั้ง

 

 

           เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินออกมาแผ่วเบา

 

 

           ซื่อฮว่าเห็นเซี่ยฟางหวาเดินออกมาก็ก้าวมาหา เอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนู ท่านไม่พักผ่อนหรือ”

 

 

           “เขาเหนื่อยจึงพักผ่อนอยู่ ข้าเพิ่งตื่นมา ไม่ได้เหนื่อยอะไร” เซี่ยฟางหวาตอบ “ข้าได้ยินว่าตอนอยู่จวน

 

 

จงหย่งโหว อู๋เหลียงเป็นคนเขียนใบสั่งยาให้ข้า เอามาให้ข้าดูหน่อย”

 

 

           ซื่อฮว่าพยักหน้าแล้วส่งใบสั่งยาให้นาง

 

 

           เซี่ยฟางหวาอ่านดูครู่หนึ่งก็แก้ตัวยาบางชนิด ก่อนส่งคืนให้นาง “ต้มยาตามนี้แทน”

 

 

           ซื่อฮว่าขานรับ

 

 

           “ใบสั่งยาของฉินเจิงเล่า” เซี่ยฟางหวาถามอีก

 

 

           “อยู่ที่บ่าวเช่นกันเจ้าค่ะ แม้ท่านหมดสติไป แต่สองวันนี้บ่าวก็ทำตามคำสั่งของท่าน กำชับให้ท่านอ๋องน้อยดื่มยาสม่ำเสมอ” ซื่อฮว่ารีบนำออกมา

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ถือใบสั่งยาแล้วแก้ตัวยาบางชนิด “ต้มตามนี้ ต้องดื่มอีกเจ็ดวัน”

 

 

           ซื่อฮว่าผงกศีรษะ

 

 

           “ไปกันเถอะ ข้าจะไปห้องครัวเล็กกับเจ้าด้วย” เซี่ยฟางหวาหันหลังเดินไปยังห้องครัวเล็ก

 

 

           ซื่อฮว่าเรียกซื่อม่อมากำชับให้นางนำยาไปเปลี่ยน จากนั้นตัวเองก็ตามเซี่ยฟางหวาไปยังห้องครัวเล็ก

 

 

           ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาทำอาหาร หลินชีจึงไม่อยู่ที่ห้องครัวเล็ก ข้างในไม่มีผู้ใด

 

 

           เซี่ยฟางหวาย่อตัวลงก่อไฟในเตา ซื่อฮว่าล้างหม้อต้มยาให้สะอาด ไม่นานซื่อม่อก็นำยากลับมา เมื่อจุดไฟได้แล้ว เซี่ยฟางหวาก็นั่งตรงหน้าเตา หยิบพัดมาพัดขณะรอต้มยา

 

 

           “ความจริงบ่าวทำเองก็ได้ คุณหนูควรไปพักผ่อน” ซื่อฮว่ากล่าวเสียงเบา

 

 

           “ข้าอยู่ในห้องก็รบกวนเขา ออกมาหาอะไรทำดีกว่า” เซี่ยฟางหวามองหม้อต้มยาที่เกิดฟองเดือด พลันหยุดพัดไปชั่วขณะ “ซื่อม่อไปเฝ้าประตู ซื่อฮว่าเอาของที่ไปนำมาจากเมืองผิงหยางออกมาให้ข้าดู”

 

 

           ซื่อม่อรีบไปเฝ้าหน้าประตูตามคำสั่ง

 

 

           ซื่อฮว่าหยิบของสิ่งหนึ่งที่ถูกห่อด้วยผ้าออกมาจากอกเสื้อส่งให้เซี่ยฟางหวา ก่อนกระซิบขึ้นว่า “สิ่งนี้หาเจอจากที่อยู่ที่อวี้จั๋วได้ให้ไว้”

 

 

           เซี่ยฟางหวาคลี่ห่อผ้าออก ข้างในเป็นผ้าไหมหลายทบพับซ้อนกัน นางค่อยๆ เปิดผ้าไหมออก ตัวอักษรที่ถูกบันทึกเอาไว้ข้างในปรากฏแก่สายตา

 

 

           นางอ่านดูครู่หนึ่งก็มือสั่น ผ้าไหมตกลงบนพื้น ร่างกายสั่นระริก

 

 

           “คุณหนู” ซื่อม่อมองด้วยความกังวล

 

 

           เซี่ยฟางหวานั่งเหม่อ มองผ้าไหมบนพื้นอย่างสติล่องลอย

 

 

           “ท่านเป็นอะไรไปหรือ บันทึกหมาป่านี้มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา นางรู้สึกได้ว่าตั้งแต่เห็นอวี้จั๋วใช้วิชาคุมหมาป่ากับตาตัวเองวันนั้น คุณหนูก็มักใจลอยบ่อยครั้ง

 

 

           เซี่ยฟางหวาไม่ตอบ สายตาคล้ายจับจ้องบนผ้าไหมเนิ่นนานไม่ละสายตา

 

 

           ซื่อฮว่าไม่เข้าใจ มองเซี่ยฟางหวาด้วยความเป็นห่วง ทว่าไม่กล้ารบกวนนาง

 

 

           ผ่านไปเนิ่นนาน เซี่ยฟางหวาก็ค่อยๆ โน้มตัวลงเก็บผ้าไหมบนพื้นขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา ใช้ปลายนิ้วสัมผัสผ้าไหมแผ่วเบา บนนั้นมีคราบเลือดสีแดงด่างเป็นจุด ดูคล้ายกับดอกเหมยที่ถูกบรรจงวาดลงไป นางนิ่งมองพักหนึ่งแล้วเอ่ยบอกซื่อฮว่า “ไปตามอวี้จั๋วมา”

 

 

           “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม” ซื่อฮว่าถามเสียงเบา

 

 

           “ไม่เป็นไร” เซี่ยฟางหวาส่ายหน้า

 

 

           ซื่อฮว่าเดินออกไป

 

 

           ไม่นานอวี้จั๋วก็เดินเข้ามา เขามองเซี่ยฟางหวาด้วยรอยยิ้มกริ่ม “พี่สะใภ้ ท่านเรียกข้าหรือ”

 

 

           “เจ้ามานี่สิ ข้าอยากถามเจ้าว่า ตอนฉินเจิงให้ผ้าไหมชิ้นนี้กับเจ้าก็เป็นเช่นนี้แล้วหรือ” เซี่ยฟางหวามองตอบด้วยแววตาอ่อนโยน แย้มยิ้มเป็นปกติ กวักมือเรียกเขามาหา

 

 

           อวี้จั๋วมองด้วยความสงสัยครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นเช่นนี้”

 

 

           “ข้าหมายถึงข้างบน ไฉนถึงคล้ายกับ…เปื้อนเลือด” เซี่ยฟางหวาถาม

 

 

           อวี้จั๋วเก้าศีรษะ “ข้าเองก็ไม่ทราบ ตอนท่านพี่ให้มาก็เป็นเช่นนี้แล้ว” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวต่อ “เป็นเลือดหรือ ข้านึกว่าตั้งใจวาดเป็นดอกเหมยในเรือนลั่วเหมยเสียอีก”

 

 

           “เจ้าลองทบทวนดู ตอนนั้นเขาได้พูดอะไรบ้างหรือไม่” เซี่ยฟางหวาเงียบพักหนึ่งแล้วโคลงผ้าไหมในมือ

 

 

           อวี้จั๋วนึกทบทวนก่อนเกาศีรษะอย่างรุนแรงอีกครั้ง สุดท้ายแล้วก็ส่ายหน้า “เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ข้าจำไม่ได้แล้ว” พูดจบก็สงสัย “พี่สะใภ้ มีอะไรหรือ หากท่านอยากทราบก็ถามท่านพี่โดยตรงก็ได้แล้วนี่ เขาต้องบอกท่านแน่”

 

 

           “ใช่แล้ว เขาต้องบอกข้า” เซี่ยฟางหวาพลันยิ้มออกมาแล้วกล่าวต่อ “ข้าอยากเรียนวิชาคุมหมาป่า ในเมื่อเจ้าบรรลุสิ่งนี้แล้ว ยกให้ข้าเป็นเช่นไร ข้าจะยกตำราฝึกกระบี่ให้เจ้าเป็นการแลกเปลี่ยน”

 

 

           “ตำราฝึกกระบี่อะไร” อวี้จั๋วรีบถาม

 

 

           “ถ้าเรียนตำราฝึกกระบี่เล่มนี้จนบรรลุ สองปีให้หลัง เฟยเยี่ยนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า” เซี่ยฟางหวาตอบ

 

 

           “แลก” อวี้จั๋วดีใจยกใหญ่

 

 

           “ไปนำตำราฝึกกระบี่ยอดเยี่ยมที่เก็บไว้ในสินเดิมของข้ามาให้อวี้จั๋ว” เซี่ยฟางหวาหันกลับมาบอกซื่อฮว่า

 

 

           “เจ้าค่ะ” ซื่อฮว่ารีบออกไป

 

 

           ไม่นานซื่อฮว่าก็นำตำราฝึกกระบี่กลับมาส่งให้อวี้จั๋ว เขาถือกลับออกไปด้วยความดีใจ

 

 

           เซี่ยฟางหวาถือผ้าไหมชิ้นนั้นแล้วมองอีกพักหนึ่ง ก่อนเก็บมันเข้าอกเสื้อเชื่องช้า แล้วหันกลับมาถามซื่อฮว่า “เจ้าเคยไปบนยอดหน้าผาปี้เทียนหลังวัดฝ่าฝอซื่อหรือไม่”

 

 

           ซื่อฮว่าส่ายหน้าตอบ “คุณหนู ท่านมีเรื่องใดจะสั่งงานหรือไม่”

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบลงพักหนึ่งพลางเม้มปาก เดิมอยากสั่งงานบางอย่าง ทว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เปลี่ยนคำพูด “ส่งคนไปสืบดูว่าท่านตาออกจากหนานฉินสักพักแล้ว ตอนนี้ไปถึงที่ใดแล้ว อีกอย่างส่งข่าวบอก

 

 

ชิงเกอด้วยว่าให้เขารีบเตรียมการ คืนนี้จะส่งท่านปู่ ท่านลุง และพี่หลินซีออกจากเมือง”

 

 

           “คืนนี้?” ซื่อฮว่ามึนงง

 

 

           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ สายตาหยุดลงบนเตาไฟ “แล้วก็ส่งจดหมายไปหาเหยียนเฉินด้วย ขอให้ผู้เฒ่าเทียนตี้จากหอเทียนจีเก๋อมาที่เมืองหลวง บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญต้องให้พวกเขาช่วย”

 

 

           ซื่อฮว่าพินิจมองเซี่ยฟางหวา พบว่านางมีใบหน้าสงบนิ่งจึงรีบพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ”

 

 

 

 

*เมื่อรถวิ่งมาถึงหน้าภูเขาย่อมมีทางไปต่อ หมายถึง เหตุการณ์ใดก็ตามเมื่อถึงที่สุดแล้วย่อมมีทางออกเสมอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด