จารใจรัก 73-1 แกะรอยตามมา

Now you are reading จารใจรัก Chapter 73-1 แกะรอยตามมา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

  เซี่ยฟางหวายับยั้งความรู้สึกนึกคิดในสมองไม่ให้คิดไปมากกว่านี้ ก่อนค่อยๆ จมดิ่งเข้าสู่ฌาน

 

 

           ไม่นานบริเวณพื้นที่ที่นางนั่งก็มีกลุ่มหมอกสีดำค่อยๆ รวมตัวกันชั้นหนึ่ง หมอกสีดำนั้นดูจางบางเบาอย่างมาก หากไม่สังเกตให้ละเอียดก็แทบมองไม่เห็น เทียบกับหมอกหนาทึบที่ใช้สังหารฉางเฟิงแล้วบางเบากว่าตั้งไม่รู้เท่าไร

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อรายล้อมเซี่ยฟางหวา ไม่กล้ารบกวนนาง

 

 

           กระทั่งฟ้าค่อยๆ มืดลง เสียงสัตว์ป่าดังแว่วขึ้นจากป่าเขาโดยรอบ

 

 

           “เราแปดคนตั้งค่ายกลตรงนี้กันดีกว่า หากมีใครมารบกวนคุณหนู ค่ายกลยังพอสกัดได้บ้าง ถึงอย่างไรคุณหนูก็สังหารฉางเฟิงผู้นั้นแล้ว ยามนี้แม้ห่างจากที่เกิดเหตุค่อนข้างไกล แต่มิรับประกันว่ายังมีใครตามมาอีกหรือไม่” ซื่อฮว่ากวักมือเรียกอีกเจ็ดคนที่เหลือเข้ามาแล้วเอ่ยเสียงทุ้ม

 

 

           ทั้งเจ็ดคิดว่ามีเหตุผลจึงพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

           ทั้งแปดล้อมวงปรึกษาเรื่องค่ายกล เมื่อตัดสินใจได้แล้วจึงล้อมรอบเซี่ยฟางหวาเพื่อเริ่มตั้งค่ายกล

 

 

           หนึ่งชั่วยามถัดมา เมื่อทั้งแปดตั้งค่ายกลเสร็จแล้วก็กระโดดเข้ามาข้างในด้วยกัน แต่ละคนยืนตามตำแหน่งทิศทั้งแปดคือทิศตะวันออก ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศใต้ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

 

 

           เซี่ยฟางหวาจมดิ่งอยู่ในเคล็ดวิชาลับแล้ว ไม่รับรู้การเคลื่อนไหวใดๆ ของทั้งแปด หมอกสีดำรอบกายก็ค่อยๆ รวมตัวกันฝึกเคล็ดวิชาลับตามนาง จากหมอกสีอ่อนเบาบางกลายเป็นหมอกสีเข้มหนาทึบ

 

 

           กระทั่งถึงช่วงค่ำ หมอกรอบกายเซี่ยฟางหวาก็ปกคลุมตัวนางจนมิด แม้พวกซื่อฮว่าแปดคนอยู่ไม่ไกลจากนาง ทว่าก็เริ่มมองนางไม่เห็นแล้ว

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อยิ่งแปลกใจมากขึ้น คิดในใจว่าเคล็ดวิชาเผ่าภูตผีช่างลึกลับและมหัศจรรย์สมคำร่ำลือ มิน่ามนุษย์บนโลกถึงได้ปกปิดเผ่าภูตผีเป็นความลับ

 

 

           ยามจื่อ*[1] เสียงกีบเท้าม้าพลันดังขึ้นจากนอกค่ายกล

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อตื่นตัวทันที เฝ้าระวังโดยพร้อมเพรียงกัน

 

 

           ไม่นานกีบเท้าม้าก็เข้ามาใกล้จนเหลือระยะห่างไม่ไกลนัก มีคนเอ่ยขึ้น “คุณชาย ร่องรอยหายไปตรงนี้”

 

 

           มีคนตอบรับ

 

 

           พวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อฟังเสียงออกว่าผู้ที่เพิ่งตอบรับเมื่อครู่คือหลี่มู่ชิง จึงพากันแสดงความแปลกใจ ลอบคิดว่าคุณหนูปฏิเสธคุณชายหลี่มิให้เขาตามมาแล้ว หรือว่าเขาไม่ฟังสิ่งที่คุณหนูบอก รั้นจะตามมาให้ได้?

 

 

           แม้จำได้ว่าเป็นหลี่มู่ชิง แต่มีค่ายกลกำบังอยู่ ทั้งแปดกลั้นหายใจตั้งสมาธิ ไม่มีใครกล้าออกไป และยิ่งไม่ส่งเสียงใดตอบโต้

 

 

           “น่าแปลก ร่องรอยมาถึงตรงนี้แล้วหายไป ป่าเขารกร้างเช่นนี้หน้าไม่มีหมู่บ้านหลังไม่มีร้านค้า**[2] แล้วพวกนางมาทำอันใดที่นี่” คนที่เอ่ยขึ้นเมื่อครู่กล่าวด้วยความสงสัย “คุณชาย ท่านคาดการณ์ผิดหรือไม่ขอรับ”

 

 

           หลี่มู่ชิงส่ายหน้าก่อนออกคำสั่ง “ส่งคบไฟมาให้ข้า”

 

 

           คนผู้นั้นส่งคบไฟให้เขา

 

 

           หลี่มู่ชิงพลิกกายลงจากม้า ถือคบไฟเดินขึ้นมาหลายก้าว สายตาจับจ้องบริเวณที่พวกซื่อฮว่าตั้งค่ายกลในฉับพลัน ตรงนั้นเป็นป่าลึกพร้อมด้วยหมอกลงจัด เขาเม้มปาก เดินขึ้นมาหยุดนอกค่ายกลแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอบอุ่น “ฟางหวา เจ้าอยู่ในค่ายกลหรือไม่”

 

 

           เซี่ยฟางหวาจมดิ่งอยู่ในเคล็ดวิชาลับ ย่อมไม่ได้ยินเสียงเขา

 

 

           “ซื่อฮว่า เจ้าอยู่หรือไม่” หลี่มู่ชิงกล่าวอีก

 

 

           ซื่อฮว่าไม่ขานตอบ

 

 

           “ซื่อม่อเล่า มีใครอยู่หรือไม่” หลี่มู่ชิงถามอีก

 

 

           ทว่ายังไร้เสียงตอบรับอยู่ดี

 

 

           “คุณชาย ในเมื่อไม่มีใครขานตอบก็ทำลายค่ายกลดูเถิด” มีคนเดินมาหาหลี่มู่ชิง เอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้นอยากลองวิชา “หากท่านคร้านจะลงมือ ให้ข้าน้อยลองดูเถอะ ค่ายกลนี้ดูแล้วประณีตยิ่ง เมื่อครู่ข้าน้อยมิทันสังเกต”

 

 

           “อย่าก่อเรื่อง” หลี่มู่ชิงยกมือห้าม

 

 

           “ไม่แน่ว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน ท่านตะโกนเรียกสองสามครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีใครขานตอบ” คนผู้นั้นกล่าว

 

 

           “การตั้งค่ายกลนี้คลับคล้ายคลับคลาเหมือนของพี่จื่อกุย ดังนั้นข้าเดาว่า ค่ายกลนี้ไม่ใช่ฟางหวาเป็นคนตั้ง แต่การตั้งค่ายกลของพี่จื่อกุยนั้นค่อนข้างต้องใช้ความประณีตมาก ดังนั้นจึงเดาว่าผู้ที่ตั้งค่ายกลนี้คือสาวใช้ที่พี่จื่อกุยอบรมสั่งสอนมาให้รับใช้ฟางหวา คงเป็นสาวใช้ประจำตัวทั้งแปดของฟางหวาถึงจะตั้งค่ายกลแปดทิศนี้ได้ ดังนั้นฟางหวาต้องอยู่ตรงนี้แน่นอน” หลี่มู่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอบอุ่น

 

 

           ทั้งแปดในค่ายกลมองหน้ากัน ไม่มีใครเอ่ยขึ้นมา

 

 

           “ข้าคิดว่าฟางหวาต้องเป็นอะไรแน่นอน จึงหยุดพักตรงนี้เพื่อรักษาบาดแผล มู่ชิงมิได้มีเจตนาร้าย หากแม่นางคนใดได้ยิน โปรดขานตอบด้วย” หลี่มู่ชิงกล่าวขึ้นอีก

 

 

           ยังไม่มีผู้ใดขานตอบกลับมา

 

 

           “ในเมื่อไม่มีใครขานตอบ คิดว่าสถานการณ์คงค่อนข้างร้ายแรง อภัยให้ข้าด้วยที่เป็นกังวล ขอทำลายค่ายกลเข้าไปแทน” หลี่มู่ชิงส่งคบไฟให้คนข้างกาย เตรียมจะทำลายค่ายกล

 

 

           พวกซื่อฮว่าเห็นว่าในเมื่อเขามองออกว่าเป็นค่ายกลที่เซี่ยม่อหานสอนให้แก่พวกนาง ค่ายกลนี้ย่อมต้านเขาไม่อยู่ ทั้งหมดมองหน้ากัน ซื่อฮว่ากับซื่อม่อออกจากตำแหน่งพร้อมกัน กระโดดออกมานอกค่ายกล ก่อนประสานมือคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน “คุณชายหลี่”

 

 

           “กะแล้วว่าต้องเป็นพวกเจ้า” หลี่มู่ชิงแย้มยิ้มบาง

 

 

           “คุณชายหลี่โปรดอย่าถือสา คุณหนูของเราได้รับบาดเจ็บภายในจริง ตอนนี้กำลังถ่ายพลังฟื้นฟูลมปราณอยู่ มิอาจรบกวนได้ เมื่อครู่พวกบ่าวไม่กล้ารีบออกมา” ซื่อฮว่ากล่าวด้วยความเคารพ

 

 

           “นางบาดเจ็บภายในร้ายแรงหรือไม่” หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “มีใครรักษานางให้นางอยู่บ้าง ต้องใช้พลังภายในของข้าช่วยนางหรือไม่”

 

 

           “คุณหนูถ่ายพลังฟื้นฟูลมปราณให้ตัวเอง บอกว่าเราช่วยมิได้ พลังภายในของนางพิเศษ มีแต่ตัวเองที่จะรักษาตัวเองได้ เกรงว่าท่านเองก็ช่วยมิได้เช่นกัน” ซื่อฮว่าส่ายหน้า

 

 

           “นางเจ็บหนักเลยหรือ” หลี่มู่ชิงรีบถาม

 

 

           “สถานการณ์วันนี้เลวร้ายมาก เพิ่งมาพักตรงนี้เมื่อครู่นี้เอง ต้องดูพรุ่งนี้ว่าคุณหนูฟื้นฟูพลังกลับมาได้เจ็ดแปดส่วนหรือไม่” ซื่อฮว่าตอบ “มิฉะนั้นคงยังรีบเดินทางเลยมิได้”

 

 

           หลี่มู่ชิงพยักหน้า มองค่ายกลตรงหน้าแวบหนึ่ง หมอกทึบลอยวนเป็นเกลียวจนมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น เขาเอ่ยถาม “ข้าแกะรอยตามมา เห็นร่องรอยบางอย่างตรงป่าทึบข้างหลังห่างสิบลี้ จึงเดาว่าพวกเจ้าคงไปได้ไม่ไกลนัก ด้วยเหตุนี้จึงแกะรอยตามมาหา ตอนพวกเจ้าอยู่ตรงนั้นเจอกับอันตรายใด นึกไม่ถึงเลยว่าฟางหวาจะเจ็บหนักเช่นนี้”

 

 

           ซื่อฮว่าลังเลครู่หนึ่ง คิดในใจว่าคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาท่านนี้ต่อดีคุณหนูเสมอมา คุณหนูเองก็ไว้วางใจเขามากด้วยเช่นกัน น่าจะเชื่อถือได้ จึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “เราพบกับปรมาจารย์ฉางเฟิง หนึ่งในสามปรมาจารย์เขาไร้นาม”

 

 

           “เป็นเขาไปได้อย่างไร” หลี่มู่ชิงสีหน้าเปลี่ยนไป

 

 

           “ตอนนั้นคุณหนูให้พวกเรารออยู่ข้างนอก เรามิได้เห็นเหตุการณ์ตอนนั้นกับตาตัวเอง กระทั่งคุณหนูเรียกเราไปหา พบว่าคุณหนูก็ติดอยู่ในตาข่ายจักจั่นทอง มีมนุษย์เลือดนอนอยู่บนพื้น เป็นปรมาจารย์ฉางเฟิงที่คุณหนูสังหารไป” ซื่อฮว่าตอบ “ตอนนั้นคุณหนูได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบไม่เหลือพลังเลย”

 

 

           “มิน่าถึงเจ็บหนักเช่นนี้ เดินทางต่อไม่ได้ ต้องหาที่พักเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ที่แท้ก็พบกับปรมาจารย์เขาไร้นามที่ยังไม่ตายนี่เอง หากไม่ได้เสียเวลากับเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าเองก็คงยังตามพวกเจ้าไม่ทัน” หลี่มู่ชิงมีสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

           “ไฉนคุณชายหลี่ถึงมิย้อนกลับเมือง คุณหนูให้คนส่งจดหมายบอกท่านแล้วมิใช่หรือ ขอให้ท่านกลับเมืองไป” ซื่อฮว่าข้องใจ

 

 

           “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นางออกมาเพียงลำพังข้าก็ไม่ค่อยสบายใจนัก พี่ฉินเจิงออกจากเมืองไม่ได้ ข้าจึงออกมาแทนเขา แม้คุณหนูของเจ้ากลัวว่าจะพัวพันมาถึงข้า แต่ข้าไม่ใช่คนที่จะกลัวเรื่องพวกนั้น ที่แกะรอยตามมาก็เพราะหนึ่งกลัวว่าเกิดเรื่องกับนาง สองอยากดูว่าพอจะช่วยนางแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้หรือไม่ สามข้าอยากทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนางกับพี่ฉินเจิงกันแน่” หลี่มู่ชิงยิ้ม

 

 

           “เราเองก็มิทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นระหว่างคุณหนูกับท่านอ๋องน้อย เดิมยังดีๆ กันอยู่แท้ๆ ทว่าจู่ๆ ก็ทะเลาะกัน คุณหนูพรวดพราดออกจากจวน ฟังว่าตอนเราออกมา ท่านอ๋องน้อยสลบไปด้วย” ซื่อฮว่าได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า

 

 

           หลี่มู่ชิงเห็นว่าซื่อฮว่าไม่คล้ายโกหกจึงพยักหน้ารับ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รอให้คุณหนูของเจ้าฟื้นฟูลมปราณเสร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะ” พูดจบก็ออกคำสั่งกับคนข้างหลัง “ทุกคนคงเหนื่อยแล้ว หาที่พักผ่อนตรงนี้ก่อนแล้วกัน”

 

 

           คนผู้นั้นยกมือส่งสัญญาณ ผู้คุ้มกันพร้อมใจกันลงจากม้า ต่างเลือกหาที่พักผ่อน

 

 

           ซื่อฮว่ากับซื่อม่อทราบว่าในเมื่อหลี่มู่ชิงตามมาเช่นนี้แล้วย่อมไม่ยอมกลับจึงไม่พูดมากความ ทำความเคารพแล้วกลับเข้าไปในค่ายกล

 

 

           ภายในค่ายกล เซี่ยฟางหวายังคงอยู่ท่ามกลางหมอกทึบล้อมกาย ไม่รู้เรื่องราวใดทั้งสิ้น

 

 

           หลี่มู่ชิงมุ่งหน้าเดินทางมาตั้งแต่ภูเขาเก้าวงแหวนทั้งวันทั้งคืนจนเหนื่อยแล้วเช่นกัน จึงหาที่พักผ่อนด้วย

 

 

 

 

[1] *ยามจื่อ คือ ช่วงเวลา 23:00 น. – 01.00 น.

 

 

[2] **หน้าไม่มีหมู่บ้านหลังไม่มีร้านค้า อุปมาว่า อยู่ห่างไกลความเจริญ ไม่มีที่ให้หยุดแวะพัก

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด