ชายาเคียงหทัย 256-2 แผนขององค์หญิงฉางเล่อ

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 256-2 แผนขององค์หญิงฉางเล่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่นาน องค์หญิงฉางเล่อก็ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ไม่ได้พบหน้ากันสองเดือน องค์หญิงน้อยที่เคยอ่อนหวานและสง่างาม ดูผ่ายผอมลงไปไม่น้อย โดยรวมแล้วก็ดูจะเติบโตขึ้นอีกมาก มีเพียงดวงตาที่เคยเป็นประกาย ยามนี้กลับดูหม่นแสงด้วยความเศร้าหมองขึ้นหลายส่วน

“คารวะชายาติ้งอ๋อง” องค์หญิงฉางเล่อยอบตัวลงทำความเคารพ

เยี่ยหลีก้าวเข้าไปจับนางไว้ มองสำรวจนางขึ้นลงพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงดูจะผ่ายผอมลงไปไม่น้อย บ่าวไพร่ดูแลไม่เรียบร้อยหรือ”

องค์หญิงฉางเล่อรีบส่ายหน้า “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว คนในตำหนักติ้งอ๋องดีกับอู๋โยวมาก”

เมื่อติดตามคณะของเฟิ่งจือเหยากลับมาถึงเมืองหลี องค์หญิงฉางเล่อก็ได้ละทิ้งพระนามขององค์หญิงเดิม มาให้ชื่อเล่นที่ฮองเฮาตั้งให้ ดังนั้นนอกจากเฟิ่งจือเหยา จั๋วจิ้ง กับคนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามไปหนานจ้าวแล้ว คนอื่นๆ ในตำหนักติ้งอ๋องต่างพากันเรียกนางว่าคุณหนูอู๋โยว แม้ต่แซ่ม่อก็มิได้เอ่ยถึงอีก

เยี่ยหลีมององค์หญิงฉางเล่อที่ดูโตขึ้นมากในชั่วเวลาไม่นาน ในใจเยี่ยหลีก็แต่ถอนใจด้วยความจนใจ จับจูงองค์หญิงฉางเล่อให้นั่งลงพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้ถูกรังแกก็ดีแล้ว หากมีเรื่องอันใดที่บ่าวไพร่จัดการไม่เรียบร้อยก็รีบมาบอกข้า หรือจะบอกหัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือพวกจั๋วจิ้งก็ได้เช่นกัน อย่าปล่อยให้ตนเองลำบากได้ รู้หรือไม่”

ดวงตาองค์หญิงฉางเล่อแดงรื้นขึ้นทันที เอ่ยกับเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งว่า “ทุกคนดีกับข้ามากแล้ว จะมีอันใดลำบากกัน ที่วันนี้ข้ามาก็เพื่อมาบอกลาพระชายา ข้าคิดจะ…ข้าคิดจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก”

เยี่ยหลีอึ้งไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพราะเหตุใดกัน”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนดีกับข้ามาก แต่ถึงอย่างไรอู๋โยวก็เป็นคนนอก ตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ต่างไปจากที่อื่น ย้ายออกไปก็มีอิสระมากขึ้น”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “อย่างกับว่าในตำหนักนี้ข้ากับท่านอาติ้งอ๋องของเจ้าจำกัดเสรีภาพอันใดเจ้ากระนั้นแหละ”

“มิได้…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น…” องค์หญิงฉางเล่อดูร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย ประหนึ่งไม่รู้จะอธิบายให้เยี่ยหลีเข้าใจได้อย่างไรดี

อันที่จริงมิใช่ว่าเยี่ยหลีไม่เข้าใจความหมายของนาง ต่อให้นางกับม่อซิวเหยาไว้เนื้อเชื่อใจองค์หญิงฉางเล่อเพียงใด แต่นางก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของม่อจิ่งฉี ยามอยู่ในตำหนักคงมีบ้างที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความระมัดระวัง อีกทั้ง ถึงแม้ในเมืองหลีจะมีคนรู้จักองค์หญิงฉางเล่ออยู่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รู้จักนาง หากข่าวที่ว่าองค์หญิงฉางเล่ออาศัยอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องแพร่ออกไป ต่อไปไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องที่เป็นจุดเปลี่ยนขึ้นอีก เพียงแต่เมื่อเห็นเด็กสาวที่อายุเพิ่งสิบสามสิบสี่ปีต้องมาขบคิดกับปัญหามากมายเช่นนี้ เยี่ยหลีก็อดรู้สึกปวดใจขึ้นมาไม่ได้

ดูเหมือนองค์หญิงฉางเล่อจะเข้าใจความคิดของเยี่ยหลี นางจึงคลี่ริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มที่สดใส จับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยว่า “ชายาติ้งอ๋อง ข้ารู้ว่าที่ท่านทำเพราะหวังดีกับข้า แต่ว่าข้าโตแล้ว เมื่อมิได้อยู่กับเสด็จแม่กับพวกท่านตาแล้ว อย่างไรข้าก็ควรทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ ถึงจะทำให้พวกท่านวางใจมิใช่หรือ ข้าก็มิใช่ว่าจะไม่มีอันใดติดตัวเลย เสด็จแม่ให้เงินทองข้ามามากพอที่ข้าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต ก่อนพวกเขาจะไป ก็ได้ทิ้งคนที่ไว้ใจได้ของตระกูลฮว่าสองคน ไว้คอยดูแลข้า อีกอย่าง ข้าก็อยู่ในซีเป่ยนี้ อย่างไรชายาติ้งอ๋องก็คงไม่ปล่อยให้คนมารังแกข้าอยู่แล้ว จริงหรือไม่”

เยี่ยหลีระบายยิ้ม ยื่นมือไปลูบผมเด็กสาวเบาๆ “เจ้าโตแล้วจริงๆ เสียด้วย แต่เจ้าเป็นเด็กสาวตัวคนเดียว ต่อไปคิดจะทำอย่างไร”

องค์หญิงฉางเล่อเอียงคอใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกับเยี่ยหลีอย่างแน่วแน่ว่า

“ข้าคิดอยากศึกษาวิชาแพทย์ ข้ารู้ว่าในซีเป่ยมิได้มีข้อจำกัดกับสตรีที่เข้มงวดเช่นเดียวกับต้าฉู่ ไว้รอข้าศึกษาวิชาจนเก่งกาจแล้ว ไม่แน่ว่าต่อไปข้าอาจเปิดโรงหมอสักโรง ไว้คอยตรวจโรคให้ผู้คนก็ได้”

เยี่ยหลีมองนางยิ้มๆ เลิกคิ้วถามว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไปเรียนกับผู้ใด จะคารวะขอเป็นศิษย์อย่างไร ท่านหมอในยามนี้ น้อยนักที่จะรับสตรีมาเป็นศิษย์ วิชาแพทย์เหล่านี้ก็มิใช่ศาสตร์ที่เจ้าจะอ่านหนังสือเพียงไม่กี่เล่มแล้วจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าปลอมตัวเป็นบุรุษเข้าไปเป็นศิษย์ที่โรงหมอก็ได้ หรือไม่ก็…ข้าใช้เงินจ้างท่านหมอเก่งๆ มาสอนข้า เสด็จแม่บอกว่า ขอเพียงมีใจอยากเรียน อย่างไรก็จะหาทางเรียนรู้เอาจนได้ อีกอย่าง ข้าก็ใช่ว่าจะทำอันใดไม่เป็นเลย ข้าท่องตำราสมุนไพรได้และรู้จักตัวยาจำนวนมาก อย่างไรก็เก่งกว่าคนที่ไม่เป็นอันใดเลยกระมัง คงมีอาจารย์รับข้าเป็นศิษย์ได้ง่ายขึ้น”

เมื่อเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของแม่นางน้อยแล้ว เยี่ยหลีก็ยิ้มกว้างพลางเอ่ยเสียงเบากับนางว่า “เห็นแก่ที่เจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าจะบอกความลับให้เจ้าอย่างหนึ่ง”

องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตาปริบๆ มองนางด้วยความใคร่รู้

เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “ในตำหนักติ้งอ๋องมีท่านหมอเทวดาอยู่สองท่าน”

“อ๋า? ท่านหมอเทวดาเสิ่นที่รักษาท่านอาติ้งอ๋องจนหายดีน่ะหรือ แต่นี่ก็ตั้งนานแล้วแต่กลับไม่เคยเห็นเขาเลยนี่” องค์หญิงฉางเล่อตาเป็นประกายทันที แต่ยังคงเอ่ยด้วยความสงสัย

เยี่ยหลียิ้ม “ท่านเสิ่นกับท่านหลินอยู่ว่างๆ ที่ตำหนักแล้วเกิดเบื่อ จึงย้ายออกไปอนู่ในเมืองและเปิดโรงหมอขึ้นโรงหนึ่ง หากเจ้าทำให้พวกเขายอมชี้แนะเจ้าได้ ย่อมไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเรียนวิชาแพทย์ไม่สำเร็จ”

ถึงแม้องค์หญิงฉางเล่อจะไม่รู้ว่าท่านหมอหลินคือผู้ใด แต่ชื่อเสียงของเสิ่นหยางกลับเป็นที่รู้กันไปทั่วใต้หล้า เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ก็ตัดสินใจได้ทันที พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านมาก ชายาติ้งอ๋อง ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร”

เยี่ยหลียิ้มพร้อมเลิกคิ้ว “ท่านเสิ่นกับท่านหมอหลินอาจไม่รับเจ้าเป็นศิษย์”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าจะต้องทำให้ท่านเสิ่นยอมรับข้าเป็นศิษย์ให้ได้!”

เยี่ยหลีมิได้เกลี้ยกล่อมอันใดนางอีก ถอนหายใจพลางตบเบาๆ ลงบนหลังมือขององค์หญิงฉางเล่อ “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอันใดให้มากอีก ไว้ข้าให้คนไปเลือกบ้านในละแวกตำหนักติ้งอ๋องให้เจ้าก็แล้วกัน เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ปฏิเสธอีกเชียว ในเมืองหลี หากมีคนคุ้นเคยของตำหนักติ้งอ๋องคอยจัดการให้ อย่างไรก็สะดวกสบายกว่า”

องค์หญิงฉางเล่อมิได้เอ่ยปฏิเสธอีก ดวงตาใสแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณชายาติ้งอ๋องมากแล้ว”

ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วองค์หญิงฉางเล่อถึงได้ลุกขึ้นขอตัวกลับ เมื่อส่งองค์หญิงฉางเล่อไปแล้ว เยี่ยหลีก็นิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เรียกจั๋วจิ้งเข้ามาถามความว่า “หลายวันนี้คุณชายเฟิ่งซานปฏิบัติต่อองค์หญิงฉางเล่อด้วยดีหรือไม่”

จั๋วจิ้งอึ้งไปเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พระชายาเอ่ยถาม แต่ก็ยังคงตอบไปตามจริงว่า “มิได้มีอันใดดีไม่ดีกระมังพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงฉางเล่อพักอยู่ที่เรือนแขก ก็มิได้พบหน้าคุณชายเฟิ่งซานบ่อยนัก”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…ระหว่างทางกลับมาเล่า?”

จั๋วจิ้งตอบว่า “ระหว่างทางกลับมา…ดูเหมือนคุณชายเฟิ่งซานจะไม่ค่อยยอมเข้าใกล้องค์หญิงฉางเล่อมากนัก ข้าน้อยจำได้ว่ามีอยู่คราหนึ่งที่เดินทางพลาดเมืองไป เลยต้องพักแรมในพื้นที่ห่างไกลนอกตัวเมือง หลินหานขอให้คุณชายเฟิ่งซานนำอาหารไปส่งให้องค์หญิงฉางเล่อ แต่สุดท้ายคุณชายเฟิ่งซานกลับโยนของเหล่านั้นมาให้ข้าน้อย แต่ว่า คุณชายเฟิ่งซานก็มิได้เสียมารยาทอันใดกับองค์หญิงฉางเล่อนะพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ไว้หากเฟิ่งซานพอมีเวลา ช่วยให้เขามาพบข้าหน่อยก็แล้วกัน”

“ข้าน้อยเฟิ่งซาน ขอเข้าพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เฟิ่งจือเหยาก็มาปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกห้องหนังสือของเยี่ยหลี

“เข้ามาสิ”

เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนั้น เฟิ่งจือเหยาก็ก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ พลางยิ้มเอ่ยว่า “พระชายาเพิ่งกลับมาได้ไม่ทันไร ก็เรียกข้าน้อยมาพบเสียแล้ว ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก พระชายามีอันใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีคร้านที่จะสนใจใบหน้ายิ้มแย้มขี้เล่นของเขา นางวางม้วนรายงานในมือลง หยิบถ้วยชาขึ้นจิบทีหนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์หญิงฉางเล่ออยากย้ายออกจากตำหนักอ๋อง”

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ก็ได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยต่อเสียก่อนว่า “ข้ารับปากนางไปแล้ว”

เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่ใคร่เห็นด้วยว่า “เพราะเหตุใดกันหรือ พระชายา องค์หญิงฉางเล่อยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ย้ายออกไปอยู่ตัวคนเดียว จะใช้ชีวิตอย่างไร”

เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เด็กน้อย? องค์หญิงฉางเล่ออายุตั้งสิบสี่ปีแล้ว ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีต้นกำเนิดเดียวกับเชื้อพระวงศ์ต้าฉู่ แต่หากว่ากันตามสายเลือดก็กลายเป็นเพียงญาติห่างๆ กันมานานแล้ว จะญาติก็มิใช่จะคนรู้จักก็ไม่เชิง นางเป็นสตรีเพียงคนเดียว จะอาศัยอยู่ในตำหนักอ๋องได้อย่างไร”

เฟิ่งจือเหยามองเยี่ยหลีนิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในเหตุผลของนาง

เยี่ยหลีก็หาได้ใส่ใจไม่ ยิ้มพลางเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เอาเถิด อันที่จริงข้ารู้สึกว่าคุณชายเฟิ่งซานดูเหมือนมีบางอย่างไม่พอใจองค์หญิงฉางเล่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์หญิงฉางเล่อที่เป็นเพียงสตรีที่ไม่มีความสำคัญอันใด แต่คุณชายเฟิ่งซานที่เป็นถึงคนที่ท่านอ๋องไว้วางใจ ข้าย่อมต้องคิดถึงจิตใจของท่านก่อน”

สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาดูไม่ใคร่จะดีนัก “ข้าไม่พอใจองค์หญิงฉางเล่อตั้งแต่เมื่อใดกัน…”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยหลีที่มองเขาอยู่ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เฟิ่งจือเหยาก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นลูบจมูกอย่างพูดไม่ออก “เช่นนั้นพระชายาก็ไม่จำเป็นต้องให้นางย้ายออกไปหรอก ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็ก”

“ข้าพูดไปแล้ว เป็นตัวนางเองที่ต้องการจะย้ายออกไป เด็กสาวที่ต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคนผู้อื่น ในใจอย่างไรก็ยากที่จะไม่อ่อนไหว ตลอดทางที่เดินทางกลับมา เจ้าดูจะมีท่าทีแปลกๆ กับนางมาตลอด เจ้าจะโทษที่นางรู้สึกอึดอัดยามที่ต้องอยู่ในตำหนักอ๋องได้หรือ เจ้าก็รู้ว่านางยังเป็นเด็ก เมื่อเป็นเช่นนี้ ความโกรธแค้นของผู้ใหญ่ก็มิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับนาง มิได้เพียงแต่เจ้า เกรงว่าคนในตำหนักที่รู้ถึงฐานะของนาง ก็คงรู้สึกมีเรื่องติดค้างในใจกับนางเช่นกันกระมัง”

ถึงแม้จะไม่ถึงกับเสียมารยาท แต่จิตใจของสตรีนั้นละเอียดอ่อนประหนึ่งเส้นผม จะรับรู้ไม่ได้ถึงท่าทีทีผู้อื่นมีต่อนางได้อย่างไร ก็ไม่แปลกใจที่นางกลับมาได้เพียงสองวัน องค์หญิงฉางเล่อก็จะมาลานางเสียแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้จะโทษผู้อื่นก็คงไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้บิดาของนางเป็นม่อจิ่งฉีกันเล่า การพาลพาโลไปลงกับผู้อื่นนั้นมิใช่เรื่องดี แต่คนที่ทำได้จะมีอยู่สักกี่คนกัน

“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก พระชายาให้นางอยู่ที่นี่ต่อเถิด” เฟิ่งจือเหยาเอ่ย

เยี่ยหลีส่ายหน้า “องค์หญิงฉางเล่อวางแผนว่าจะไปคารวะฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาแพทย์แล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกก็คงสะดวกกว่า ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อให้เจ้าช่วยหาที่พักที่เหมาะสมให้กับนางหน่อย แล้วก็คอยช่วยเหลือยามนางไปพักอาศัยอยู่ด้านนอกด้วย ในตำหนักติ้งอ๋องมีคนอยู่มาก และมีเรื่องราวสารพัดให้คอยจัดการ ต่อให้พวกเราสั่งการลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ลำบาก”

เฟิ่งจือเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าที่เยี่ยหลีเอ่ยมาก็มีเหตุผล จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว พระชายาโปรดวางใจ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ชายาเคียงหทัย 256-2 แผนขององค์หญิงฉางเล่อ

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 256-2 แผนขององค์หญิงฉางเล่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่นาน องค์หญิงฉางเล่อก็ก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ไม่ได้พบหน้ากันสองเดือน องค์หญิงน้อยที่เคยอ่อนหวานและสง่างาม ดูผ่ายผอมลงไปไม่น้อย โดยรวมแล้วก็ดูจะเติบโตขึ้นอีกมาก มีเพียงดวงตาที่เคยเป็นประกาย ยามนี้กลับดูหม่นแสงด้วยความเศร้าหมองขึ้นหลายส่วน

“คารวะชายาติ้งอ๋อง” องค์หญิงฉางเล่อยอบตัวลงทำความเคารพ

เยี่ยหลีก้าวเข้าไปจับนางไว้ มองสำรวจนางขึ้นลงพลางเอ่ยว่า “องค์หญิงดูจะผ่ายผอมลงไปไม่น้อย บ่าวไพร่ดูแลไม่เรียบร้อยหรือ”

องค์หญิงฉางเล่อรีบส่ายหน้า “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว คนในตำหนักติ้งอ๋องดีกับอู๋โยวมาก”

เมื่อติดตามคณะของเฟิ่งจือเหยากลับมาถึงเมืองหลี องค์หญิงฉางเล่อก็ได้ละทิ้งพระนามขององค์หญิงเดิม มาให้ชื่อเล่นที่ฮองเฮาตั้งให้ ดังนั้นนอกจากเฟิ่งจือเหยา จั๋วจิ้ง กับคนกลุ่มหนึ่งที่ติดตามไปหนานจ้าวแล้ว คนอื่นๆ ในตำหนักติ้งอ๋องต่างพากันเรียกนางว่าคุณหนูอู๋โยว แม้ต่แซ่ม่อก็มิได้เอ่ยถึงอีก

เยี่ยหลีมององค์หญิงฉางเล่อที่ดูโตขึ้นมากในชั่วเวลาไม่นาน ในใจเยี่ยหลีก็แต่ถอนใจด้วยความจนใจ จับจูงองค์หญิงฉางเล่อให้นั่งลงพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้ถูกรังแกก็ดีแล้ว หากมีเรื่องอันใดที่บ่าวไพร่จัดการไม่เรียบร้อยก็รีบมาบอกข้า หรือจะบอกหัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือพวกจั๋วจิ้งก็ได้เช่นกัน อย่าปล่อยให้ตนเองลำบากได้ รู้หรือไม่”

ดวงตาองค์หญิงฉางเล่อแดงรื้นขึ้นทันที เอ่ยกับเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งว่า “ทุกคนดีกับข้ามากแล้ว จะมีอันใดลำบากกัน ที่วันนี้ข้ามาก็เพื่อมาบอกลาพระชายา ข้าคิดจะ…ข้าคิดจะย้ายออกไปอยู่ข้างนอก”

เยี่ยหลีอึ้งไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพราะเหตุใดกัน”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนดีกับข้ามาก แต่ถึงอย่างไรอู๋โยวก็เป็นคนนอก ตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ต่างไปจากที่อื่น ย้ายออกไปก็มีอิสระมากขึ้น”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “อย่างกับว่าในตำหนักนี้ข้ากับท่านอาติ้งอ๋องของเจ้าจำกัดเสรีภาพอันใดเจ้ากระนั้นแหละ”

“มิได้…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น…” องค์หญิงฉางเล่อดูร้อนรนขึ้นมาเล็กน้อย ประหนึ่งไม่รู้จะอธิบายให้เยี่ยหลีเข้าใจได้อย่างไรดี

อันที่จริงมิใช่ว่าเยี่ยหลีไม่เข้าใจความหมายของนาง ต่อให้นางกับม่อซิวเหยาไว้เนื้อเชื่อใจองค์หญิงฉางเล่อเพียงใด แต่นางก็เป็นบุตรสาวแท้ๆ ของม่อจิ่งฉี ยามอยู่ในตำหนักคงมีบ้างที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความระมัดระวัง อีกทั้ง ถึงแม้ในเมืองหลีจะมีคนรู้จักองค์หญิงฉางเล่ออยู่ไม่มากนัก แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รู้จักนาง หากข่าวที่ว่าองค์หญิงฉางเล่ออาศัยอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องแพร่ออกไป ต่อไปไม่แน่ว่าจะเกิดเรื่องที่เป็นจุดเปลี่ยนขึ้นอีก เพียงแต่เมื่อเห็นเด็กสาวที่อายุเพิ่งสิบสามสิบสี่ปีต้องมาขบคิดกับปัญหามากมายเช่นนี้ เยี่ยหลีก็อดรู้สึกปวดใจขึ้นมาไม่ได้

ดูเหมือนองค์หญิงฉางเล่อจะเข้าใจความคิดของเยี่ยหลี นางจึงคลี่ริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มที่สดใส จับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยว่า “ชายาติ้งอ๋อง ข้ารู้ว่าที่ท่านทำเพราะหวังดีกับข้า แต่ว่าข้าโตแล้ว เมื่อมิได้อยู่กับเสด็จแม่กับพวกท่านตาแล้ว อย่างไรข้าก็ควรทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่ ถึงจะทำให้พวกท่านวางใจมิใช่หรือ ข้าก็มิใช่ว่าจะไม่มีอันใดติดตัวเลย เสด็จแม่ให้เงินทองข้ามามากพอที่ข้าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต ก่อนพวกเขาจะไป ก็ได้ทิ้งคนที่ไว้ใจได้ของตระกูลฮว่าสองคน ไว้คอยดูแลข้า อีกอย่าง ข้าก็อยู่ในซีเป่ยนี้ อย่างไรชายาติ้งอ๋องก็คงไม่ปล่อยให้คนมารังแกข้าอยู่แล้ว จริงหรือไม่”

เยี่ยหลีระบายยิ้ม ยื่นมือไปลูบผมเด็กสาวเบาๆ “เจ้าโตแล้วจริงๆ เสียด้วย แต่เจ้าเป็นเด็กสาวตัวคนเดียว ต่อไปคิดจะทำอย่างไร”

องค์หญิงฉางเล่อเอียงคอใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกับเยี่ยหลีอย่างแน่วแน่ว่า

“ข้าคิดอยากศึกษาวิชาแพทย์ ข้ารู้ว่าในซีเป่ยมิได้มีข้อจำกัดกับสตรีที่เข้มงวดเช่นเดียวกับต้าฉู่ ไว้รอข้าศึกษาวิชาจนเก่งกาจแล้ว ไม่แน่ว่าต่อไปข้าอาจเปิดโรงหมอสักโรง ไว้คอยตรวจโรคให้ผู้คนก็ได้”

เยี่ยหลีมองนางยิ้มๆ เลิกคิ้วถามว่า “เช่นนั้นเจ้าจะไปเรียนกับผู้ใด จะคารวะขอเป็นศิษย์อย่างไร ท่านหมอในยามนี้ น้อยนักที่จะรับสตรีมาเป็นศิษย์ วิชาแพทย์เหล่านี้ก็มิใช่ศาสตร์ที่เจ้าจะอ่านหนังสือเพียงไม่กี่เล่มแล้วจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าปลอมตัวเป็นบุรุษเข้าไปเป็นศิษย์ที่โรงหมอก็ได้ หรือไม่ก็…ข้าใช้เงินจ้างท่านหมอเก่งๆ มาสอนข้า เสด็จแม่บอกว่า ขอเพียงมีใจอยากเรียน อย่างไรก็จะหาทางเรียนรู้เอาจนได้ อีกอย่าง ข้าก็ใช่ว่าจะทำอันใดไม่เป็นเลย ข้าท่องตำราสมุนไพรได้และรู้จักตัวยาจำนวนมาก อย่างไรก็เก่งกว่าคนที่ไม่เป็นอันใดเลยกระมัง คงมีอาจารย์รับข้าเป็นศิษย์ได้ง่ายขึ้น”

เมื่อเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของแม่นางน้อยแล้ว เยี่ยหลีก็ยิ้มกว้างพลางเอ่ยเสียงเบากับนางว่า “เห็นแก่ที่เจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าจะบอกความลับให้เจ้าอย่างหนึ่ง”

องค์หญิงฉางเล่อกะพริบตาปริบๆ มองนางด้วยความใคร่รู้

เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “ในตำหนักติ้งอ๋องมีท่านหมอเทวดาอยู่สองท่าน”

“อ๋า? ท่านหมอเทวดาเสิ่นที่รักษาท่านอาติ้งอ๋องจนหายดีน่ะหรือ แต่นี่ก็ตั้งนานแล้วแต่กลับไม่เคยเห็นเขาเลยนี่” องค์หญิงฉางเล่อตาเป็นประกายทันที แต่ยังคงเอ่ยด้วยความสงสัย

เยี่ยหลียิ้ม “ท่านเสิ่นกับท่านหลินอยู่ว่างๆ ที่ตำหนักแล้วเกิดเบื่อ จึงย้ายออกไปอนู่ในเมืองและเปิดโรงหมอขึ้นโรงหนึ่ง หากเจ้าทำให้พวกเขายอมชี้แนะเจ้าได้ ย่อมไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเรียนวิชาแพทย์ไม่สำเร็จ”

ถึงแม้องค์หญิงฉางเล่อจะไม่รู้ว่าท่านหมอหลินคือผู้ใด แต่ชื่อเสียงของเสิ่นหยางกลับเป็นที่รู้กันไปทั่วใต้หล้า เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ก็ตัดสินใจได้ทันที พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านมาก ชายาติ้งอ๋อง ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร”

เยี่ยหลียิ้มพร้อมเลิกคิ้ว “ท่านเสิ่นกับท่านหมอหลินอาจไม่รับเจ้าเป็นศิษย์”

องค์หญิงฉางเล่อเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ข้าจะต้องทำให้ท่านเสิ่นยอมรับข้าเป็นศิษย์ให้ได้!”

เยี่ยหลีมิได้เกลี้ยกล่อมอันใดนางอีก ถอนหายใจพลางตบเบาๆ ลงบนหลังมือขององค์หญิงฉางเล่อ “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอันใดให้มากอีก ไว้ข้าให้คนไปเลือกบ้านในละแวกตำหนักติ้งอ๋องให้เจ้าก็แล้วกัน เรื่องนี้เจ้าอย่าได้ปฏิเสธอีกเชียว ในเมืองหลี หากมีคนคุ้นเคยของตำหนักติ้งอ๋องคอยจัดการให้ อย่างไรก็สะดวกสบายกว่า”

องค์หญิงฉางเล่อมิได้เอ่ยปฏิเสธอีก ดวงตาใสแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงแย้มยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณชายาติ้งอ๋องมากแล้ว”

ทั้งสองพูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง แล้วองค์หญิงฉางเล่อถึงได้ลุกขึ้นขอตัวกลับ เมื่อส่งองค์หญิงฉางเล่อไปแล้ว เยี่ยหลีก็นิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เรียกจั๋วจิ้งเข้ามาถามความว่า “หลายวันนี้คุณชายเฟิ่งซานปฏิบัติต่อองค์หญิงฉางเล่อด้วยดีหรือไม่”

จั๋วจิ้งอึ้งไปเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่พระชายาเอ่ยถาม แต่ก็ยังคงตอบไปตามจริงว่า “มิได้มีอันใดดีไม่ดีกระมังพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงฉางเล่อพักอยู่ที่เรือนแขก ก็มิได้พบหน้าคุณชายเฟิ่งซานบ่อยนัก”

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย นิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…ระหว่างทางกลับมาเล่า?”

จั๋วจิ้งตอบว่า “ระหว่างทางกลับมา…ดูเหมือนคุณชายเฟิ่งซานจะไม่ค่อยยอมเข้าใกล้องค์หญิงฉางเล่อมากนัก ข้าน้อยจำได้ว่ามีอยู่คราหนึ่งที่เดินทางพลาดเมืองไป เลยต้องพักแรมในพื้นที่ห่างไกลนอกตัวเมือง หลินหานขอให้คุณชายเฟิ่งซานนำอาหารไปส่งให้องค์หญิงฉางเล่อ แต่สุดท้ายคุณชายเฟิ่งซานกลับโยนของเหล่านั้นมาให้ข้าน้อย แต่ว่า คุณชายเฟิ่งซานก็มิได้เสียมารยาทอันใดกับองค์หญิงฉางเล่อนะพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว ไว้หากเฟิ่งซานพอมีเวลา ช่วยให้เขามาพบข้าหน่อยก็แล้วกัน”

“ข้าน้อยเฟิ่งซาน ขอเข้าพบพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เฟิ่งจือเหยาก็มาปรากฏกายขึ้นที่ด้านนอกห้องหนังสือของเยี่ยหลี

“เข้ามาสิ”

เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนั้น เฟิ่งจือเหยาก็ก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ พลางยิ้มเอ่ยว่า “พระชายาเพิ่งกลับมาได้ไม่ทันไร ก็เรียกข้าน้อยมาพบเสียแล้ว ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก พระชายามีอันใดจะสั่งการหรือพ่ะย่ะค่ะ”

เยี่ยหลีคร้านที่จะสนใจใบหน้ายิ้มแย้มขี้เล่นของเขา นางวางม้วนรายงานในมือลง หยิบถ้วยชาขึ้นจิบทีหนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยเรียบๆ ว่า “องค์หญิงฉางเล่ออยากย้ายออกจากตำหนักอ๋อง”

เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด ก็ได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยต่อเสียก่อนว่า “ข้ารับปากนางไปแล้ว”

เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างไม่ใคร่เห็นด้วยว่า “เพราะเหตุใดกันหรือ พระชายา องค์หญิงฉางเล่อยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย ย้ายออกไปอยู่ตัวคนเดียว จะใช้ชีวิตอย่างไร”

เยี่ยหลียิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เด็กน้อย? องค์หญิงฉางเล่ออายุตั้งสิบสี่ปีแล้ว ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะมีต้นกำเนิดเดียวกับเชื้อพระวงศ์ต้าฉู่ แต่หากว่ากันตามสายเลือดก็กลายเป็นเพียงญาติห่างๆ กันมานานแล้ว จะญาติก็มิใช่จะคนรู้จักก็ไม่เชิง นางเป็นสตรีเพียงคนเดียว จะอาศัยอยู่ในตำหนักอ๋องได้อย่างไร”

เฟิ่งจือเหยามองเยี่ยหลีนิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อในเหตุผลของนาง

เยี่ยหลีก็หาได้ใส่ใจไม่ ยิ้มพลางเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เอาเถิด อันที่จริงข้ารู้สึกว่าคุณชายเฟิ่งซานดูเหมือนมีบางอย่างไม่พอใจองค์หญิงฉางเล่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์หญิงฉางเล่อที่เป็นเพียงสตรีที่ไม่มีความสำคัญอันใด แต่คุณชายเฟิ่งซานที่เป็นถึงคนที่ท่านอ๋องไว้วางใจ ข้าย่อมต้องคิดถึงจิตใจของท่านก่อน”

สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาดูไม่ใคร่จะดีนัก “ข้าไม่พอใจองค์หญิงฉางเล่อตั้งแต่เมื่อใดกัน…”

เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยหลีที่มองเขาอยู่ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เฟิ่งจือเหยาก็ทำได้เพียงยกมือขึ้นลูบจมูกอย่างพูดไม่ออก “เช่นนั้นพระชายาก็ไม่จำเป็นต้องให้นางย้ายออกไปหรอก ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็ก”

“ข้าพูดไปแล้ว เป็นตัวนางเองที่ต้องการจะย้ายออกไป เด็กสาวที่ต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคนผู้อื่น ในใจอย่างไรก็ยากที่จะไม่อ่อนไหว ตลอดทางที่เดินทางกลับมา เจ้าดูจะมีท่าทีแปลกๆ กับนางมาตลอด เจ้าจะโทษที่นางรู้สึกอึดอัดยามที่ต้องอยู่ในตำหนักอ๋องได้หรือ เจ้าก็รู้ว่านางยังเป็นเด็ก เมื่อเป็นเช่นนี้ ความโกรธแค้นของผู้ใหญ่ก็มิได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับนาง มิได้เพียงแต่เจ้า เกรงว่าคนในตำหนักที่รู้ถึงฐานะของนาง ก็คงรู้สึกมีเรื่องติดค้างในใจกับนางเช่นกันกระมัง”

ถึงแม้จะไม่ถึงกับเสียมารยาท แต่จิตใจของสตรีนั้นละเอียดอ่อนประหนึ่งเส้นผม จะรับรู้ไม่ได้ถึงท่าทีทีผู้อื่นมีต่อนางได้อย่างไร ก็ไม่แปลกใจที่นางกลับมาได้เพียงสองวัน องค์หญิงฉางเล่อก็จะมาลานางเสียแล้ว เพียงแต่เรื่องนี้จะโทษผู้อื่นก็คงไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้บิดาของนางเป็นม่อจิ่งฉีกันเล่า การพาลพาโลไปลงกับผู้อื่นนั้นมิใช่เรื่องดี แต่คนที่ทำได้จะมีอยู่สักกี่คนกัน

“ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ข้าทำไม่ถูก พระชายาให้นางอยู่ที่นี่ต่อเถิด” เฟิ่งจือเหยาเอ่ย

เยี่ยหลีส่ายหน้า “องค์หญิงฉางเล่อวางแผนว่าจะไปคารวะฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาแพทย์แล้ว ออกไปอยู่ข้างนอกก็คงสะดวกกว่า ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อให้เจ้าช่วยหาที่พักที่เหมาะสมให้กับนางหน่อย แล้วก็คอยช่วยเหลือยามนางไปพักอาศัยอยู่ด้านนอกด้วย ในตำหนักติ้งอ๋องมีคนอยู่มาก และมีเรื่องราวสารพัดให้คอยจัดการ ต่อให้พวกเราสั่งการลงไป ก็ไม่แน่ว่าจะไม่ลำบาก”

เฟิ่งจือเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าที่เยี่ยหลีเอ่ยมาก็มีเหตุผล จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว พระชายาโปรดวางใจ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+