ชายาเคียงหทัย 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กลางดึกภายในห้องขังที่มืดสลัว เฟิ่งจือเหยาที่เดิมนั่งขัดสมาธิหายใจเป็นจังหวะอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ผินหน้าไปมองเฟิ่งหวายถิงที่นอนหลับสนิทห่มเสื้อคลุมอยู่บนเตียง ใบหน้าฉายแววกังวล

“จั๋วจิ้ง?” สายตาเขาหันมองไปทางปากประตูคุก ก่อนเฟิ่งจือเหยาจะลองเอ่ยถามขึ้น

ที่หน้าประตูคุกมีเสียงหัวเราะต่ำๆ ดังขึ้น พร้อมฉินเฟิงที่มาปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูคุก ยิ้มเย้าด้วยสีหน้าสบายๆ “มิใช่จั๋วจิ้ง แต่จั๋วจิ้งมีข้อความฝากข้ามาถึงท่าน”

“ว่าอย่างไร” เฟิ่งจือเหยาลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาจำได้ว่าฉินเฟิงมิได้มาที่เมืองหลวงพร้อมกับพวกเขา

ฉินเฟิงค่อยๆ ก้าวเข้ามาในคุกด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “จั๋วจิ้งบอกว่า…ท่านอ๋องโกรธมาก ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พูดไปก็เป็นเรื่องบังเอิญ แค่เพียงมาถึงเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าคุณชายเฟิ่งซานถูกสตรีนางหนึ่งจับตัวไป นี่ข้าก็รีบมาเยี่ยมอย่างไร ถึงอย่างไรหากเทียบกับการที่จั๋วจิ้งมา พวกเราก็ยังมีมิตรภาพฉันเพื่อนร่วมงานกันมากกว่าอยู่หลานส่วนมิใช่หรือ”

“ครานี้เป็นอุบัติเหตุ” เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องโกรธมาก เฟิ่งจือเหยาก็ถึงกับหดคอขึ้นมาด้วยความเคยชิน จากนั้นถึงได้ฝืนเอ่ยด้วยท่าทีสงบ

ครานี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสตรีนางนั้นจะมาโผล่ที่ต้าหลี่ซื่อในเวลานั้น หลิ่วกุ้ยเฟยที่ประหวัดถึงแต่ท่านอ๋องนางนั้น มิใช่ม่อจิ่งหลี หากเขากล้าหนี หลิ่วกุ้ยเฟยคงกล้าสังหารเฟิ่งหวายถิงเข้าให้จริงๆ ถึงแม้เขาจะโกรธที่เฟิ่งหวายถิงไม่เคยแยแสตน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอยากให้เขาตาย

ฉินเฟิงเอียงคอเอ่ยยิ้มๆ กับคนที่อยู่ในห้องขังว่า “ท่านลุง ข้าน้อยฉินเฟิง ถือว่าเป็นสหายกับเฟิ่งซาน ท่านลุงสบายดีหรือไม่”

เฟิ่งหวายถิงที่อยู่ในห้องขังข้างๆ ตื่นตั้งแต่พวกเขาพูดคุยกันประโยคแรกแล้ว ในสถานที่เช่นห้องขังนี้ มิใช่ที่ที่จะอำนายให้คนหลับลึกได้เลยจริงๆ

เฟิ่งหวายถิงอึ้งไป พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าสบายดี ขอบคุณคุณชายฉิน”

ฉินเฟิงโบกมือเอ่ยว่า “ครานี้ล้วนเป็นเพราะความผลีผลามของเฟิ่งซาน กลับไป ท่านอ๋องของพวกเราจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีแน่นอน ท่านลุง พวกเราไปกันเถิด”

เฟิ่งหวายถิงมีแววสับสน ที่มุมปากมีแววฝืดเฝื่อนเพิ่มเข้ามา บุตรชายของตนกระทำการโดยผลีผลามแต่กลับต้องให้ผู้อื่นมาสั่งสอน พร้อมเอ่ยขอโทษผู้เป็นบิดาอย่างเขาแทนเขา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกว่า บางทีกับบุตรชายคนนี้ ตนคงกระทำผิดไปแล้วจริงๆ

ฉินเฟิงเดินเข้ามา พร้อมหยิบกริชที่เป็นประกายวาววับขึ้นฟันฉับลงไปทีหนึ่ง โซ่ตรงประตูห้องขังที่หนาใหญ่ขนาดเท่าข้อมือกับแม่กุญแจขนาดมโหฬารก็หักออกทันที

ฉินเฟิงยื่นมือไปผลักประตูห้องขังออกไป ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตูห้องขัง อมยิ้มเอ่ยกับเฟิ่งหวายถิงว่า “ท่านลุง เชิญเถิด”

เมื่อเห็นเฟิ่งหวายถิงยังดูมีท่าทีลังเล ฉินเฟิงจึงยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงไม่ต้องกังวล คนอื่นๆ ในตระกูลเฟิ่ง ถึงแม้จะอยู่ในมือของหลีอ๋อง แต่หลีอ๋องไม่มีทางทำร้ายพวกเขาหรอก”

แค่เพียงทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งคงหมดสิ้นแล้ว น่าเสียดายที่เมื่อปีที่แล้วท่านอ๋องตกเงินมาได้ก้อนใหญ่ จึงดูมิได้ขาดเงิน อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่ง คงรู้สึกกระดากอายหากจะเอ่ยปาก มิเช่นนั้นพวกเขาคงพอขอแบ่งมาได้บ้าง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงถึงได้เดินออกมา เอ่ยกับฉินเฟิงว่า “ในมือติ้งอ๋องมีเสือกับมังกรซ่อนอยู่จริงๆ”

ฉินเฟิงยิ้มเรียบๆ ขยับกริชในมือเล่นพลางเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ให้ท่านลุงเห็นขันแล้ว ท่านลุงเชิญ คนของพวกเรารอรับอยู่ที่ด้านนอก”

เฟิ่งหวายถิงเอ่ยขอบคุณ เหลือบมองเฟิ่งจือเหยาทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ฉินเฟิงหันไปยิ้มให้เฟิ่งจือเหยาอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินตามออกไป

เฟิ่งจือเหยาที่ยังอยู่ในคุก ชะงักงันไปทันที “ฉินเฟิง! ข้ายังไม่ได้ออกไปเลยนะ”

ฉินเฟิงมองฟ้าอย่างใสซื่อ “อันใดนะ คำสั่งที่ข้าได้รับคือ ให้มาช่วยนายท่านเฟิ่งที่ถูกคนของตำหนักติ้งอ๋องทำให้ต้องเดือดร้อนออกไปนี่ ยังมีผู้ใดอีกหรือ ไม่ได้ข่าวเลยนี่”

“เจ้า!” เฟิ่งจือเหยากัดฟันหรอก

ฉินเฟิงหัวอย่างอย่างออกรส “เฟิ่งซาน เจ้าติดคุกต่อไปอย่างว่าง่ายเถิด ไม่แน่ว่ายามที่เจ้าออกมา ท่านอ๋องจะหายโกรธแล้วก็เป็นได้ อีกอย่างอย่าบอกข้านะว่าเจ้าแก้โซ่เล็กๆ เช่นนี้ไม่ได้ ใช่สิ อีกอย่าง…ท่านอ๋องมีคำสั่งว่า ในเมื่อเจ้าชอบเข้าคุกถึงเพียงนั้น ก็อยู่ในนั้นต่ออีกสักสองวันก็แล้วกัน วางใจเถิด สตรีนางนั้น เพื่อท่านอ๋องแล้ว คงไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

“เจ้ารอข้าก่อนเถิด!” เฟิ่งจือเหยาถลึงตาจ้องใครบางคนที่เดินสะบัดหน้าออกไป ถึงแม้รู้ว่าที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ มิใช่เพียงเพราะต้องการลงโทษเขาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าเยาะหยันได้ใจของฉินเฟิง ก็อดก่นดาด้วยความเจ็บใจไม่ได้ “ข้าขอสาปแช่งให้ความรักของเจ้าเต็มไปด้วยอุปสรรค!”

ฉินเฟิงที่เพิ่งเดินออกจากคุกมืดๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า อากาศยามเดือนสามยังมีความหนาวเย็นอยู่บ้างจริงๆ

ฉินเฟิงพาตัวเฟิ่งหวายถิงออกไป ระหว่างทางแทบไม่เจอผู้ใดเข้ามาขวางเลย เมื่อได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักติ้งอ๋องมีความสามารถเก่งกาจและห้าวหาญเช่นนี้ ก็ทำให้เฟิ่งหวายถิงเกิดความหวั่นไหวและใคร่ครวญอย่างหนัก

เมื่อกลับไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง ฟ้าเริ่มสางแล้ว เฟิ่งหวายถิงเมื่อได้รับการแนะนำไปรอบหนึ่งและได้กินอาหารเช้าแล้ว ก็ถูกพาไปพบม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีมิได้อยู่ที่ห้องหนังสือ แต่ไปอยู่ในสวนดอกไม้ขนาดเล็กที่เงียบสงบ ลึกเข้าไปในตำหนักติ้งอ๋อง

ยามที่เฟิ่งหวายถิงถูกคนพาตัวไปนั้น ม่อซิวเหยากำลังฝึกเพลงดาบอยู่ ตรงโต๊ะม้าหินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เยี่ยหลีกับฮองเฮากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ห่างจากโต๊ะนั้นไปไม่ไกล ยังมีเด็กสองคนนั่งยองๆ เอาหัวชนกันอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยกันใดกัน

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า สาดลงมาภายในลาน กลิ่นดอกหลันอ่อนๆ ลอยมาเตะจมูก ก็ให้รู้สึกผ่อนคลายและสุขสงบขึ้นมาทันที

“นายท่านเฟิ่ง? เชิญมานั่งทางนี้เถิด” เยี่ยหลีเห็นเฟิ่งหวายถิงเป็นคนแรก จึงเบี่ยงตัวหันมาส่งยิ้มให้

เฟิ่งหวายถิงก้าวเข้าไปประสานมือเอ่ยว่า “คารวะชายาติ้งอ๋อง ถวายบังคม…ฮองเฮา ฮองเฮา…”

ในชั่วขณะนั้นเอง ที่ดูเหมือนฮองเฮาจะรับรู้ได้ถึงแววต่อว่าที่เฟิ่งหวายถิงมีต่อตนอย่างชัดเจน จึงเพียงยิ้มเรียบๆ มิได้เอ่ยอันใด

ยามนี้นางก็เป็นเพียงแขก ย่อมไม่อาจทำอันใดเกินหน้าเจ้าบ้านได้

เยี่ยหลีได้แต่ลอบถอนใจด้วยความจนใจ สิ่งที่ฮองเฮายังสัมผัสได้ มีหรือนางจะไม่สามารถสัมผัสได้

ม่อซิวเหยาให้นางมาพบเฟิ่งหวายถิงด้วย ไม่รู้ว่าต่อไปเฟิ่งจือเหยาจะโทษพวกเขาหรือไม่ เพียงแต่เยี่ยหลีเข้าใจสิ่งที่ม่อซิวเหยาคิด หากต่อไปฮองเฮาได้ใช้ชีวิตอยู่กับเฟิ่งจือเหยาจริง เช่นนั้นเฟิ่งหวายถิงก็เป็นด่านที่พวกเขาจะต้องผ่านไปให้ได้ หากเฟิ่งจือเหยาไม่สนใจเฟิ่งหวายถิงหรือเฟิ่งหวายถิงไม่สนใจเฟิ่งจือเหยาจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็คงไม่มีอันใด แต่ท่าทีที่เฟิ่งจือเหยาแสดงออก ชัดเจนว่ามิใช่เช่นนั้น ส่วนที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกต่อต้านฮองเฮานั้น เหตุผลย่อมเป็นเพราะเฟิ่งจือเหยา

“นายท่านเฟิ่ง เชิญนั่งเถิด เฟิ่งซานทำอันใดผลีผลาม ทำให้ตระกูลเฟิ่งต้องเดือดร้อนไปด้วย ขอนายท่านเฟิ่งอย่าได้ถือโทษ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงก็ยิ้มขื่น “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ข้ารู้สึกผิดนัก”

หากมิใช่เพราะเขาเพิกเฉยต่อบุตรชายคนนี้มาตลอด ละเลยที่จะอบรมสั่งสอน บางทีเฟิ่งจือเหยาอาจไม่เห็นฮองเฮาสำคัญจนถึงขั้นผลีผลามบุกเข้าวังไปลักพาตัวออกมา

เรื่องที่ฮองเฮาคอยดูแลเฟิ่งจือเหยาในสมัยนั้น เขาเองก็รู้ ดังนั้นถึงแม้เรื่องจะเป็นเช่นนี้ เขาก็มิอาจกล่าวโทษฮองเฮาได้

เขาเหลือบมองเด็กชายในชุดขาวที่พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของชายาติ้งอ๋องด้วยความเขินอาย กับเด็กชายในชุดดำอีกคนหนึ่งที่เดินมาดขรึมเข้ามา ก่อนปีนขึ้นไปนั่งอย่างสง่าผ่าเผยบนเก้าอี้ นัยน์ตาเฟิ่งหวายถิงมีประกายแห่งความเสียใจ หาก…เป็นบุตรของจือเหยา ไม่แน่ว่าอาจจะโตกว่าเด็กสองคนนี้แล้วก็เป็นได้กระมัง

อีกด้านหนึ่ง ม่อซิวเหยาก็ชักดาบเก็บก่อนโยนดาบกลับเข้าฝักที่แขวนอยู่บนต้นไม้เช่นเดิม แล้วเดินเข้ามาสมทบ

เยี่ยหลียื่นผ้าเช็ดหน้าของตนส่งไปให้ ม่อซิวเหยารับมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่แทบจะไม่มีพลางนั่งลงข้างกายของเยี่ยหลี

“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งหวายถิงคิดจะลุกยืนขึ้น แต่ม่อซิวเหยาโบกมือเป็นสัญญาบอกให้เขานั่งลง

“ไม่ต้องมากพิธี ครานี่ล้วนเป็นเพราะเฟิ่งซานที่กระทำการไม่รอบคอบ นายท่านเฟิ่งคงไม่ได้ลำบากอันใดกระมัง” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้น

เฟิ่งหวายถิงรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นคนที่สามแล้วที่เอ่ยกับเขาในทำนองนี้ นี่แสดงให้เห็นว่า คนของตำหนักติ้งอ๋อง เห็นเฟิ่งจือเหยาเป็นคนในครอบครัวของตนจริงๆ มิใช่เป็นเพียงลูกน้องที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นการถากถางผู้เป็นบิดาอย่างเขามากที่สุด เพียงแต่ในยามนี้เฟิ่งหวายถิงไม่มีแก่ใจจะมาคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องนี้ เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านอ๋อง จือเหยาเขา…”

เขารู้ว่า เฟิ่งจือเหยาไม่ได้ออกจากคุกมาพร้อมเขา ถึงแม้ฉินเฟิ่งจะบอกเขาว่า เฟิ่งจือเหยามีภารกิจอื่นต้องไปจัดการก็เถิด

ม่อซิวเหยาปัดผมขาวที่ถูกลมอ่อนๆ พัดมาปรก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “นายท่านเฟิ่งโปรดวางใจ เฟิ่งซานจะกลับมาภายในวันนี้แน่นอน เพียงแต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเขา ได้รับบทเรียนเสียบ้างก็เป็นเรื่องดี ต่อไปจะได้ไม่หัวร้อนอีก”

เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งหวายถิงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจ แต่เขาก็ทำอันใดไม่ได้ อย่างน้อยเขาเชื่อว่า ติ้งอ๋องไม่มีทางปล่อยให้เฟิ่งจือเหยามีภัยถึงชีวิตอย่างแน่นอน

เขาหันไปประสานมือเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ข้าน้อยขอบพระคุณท่านอ๋องมากที่ช่วยเหลือ ต่อไปหากมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ข้าน้อยลงมือ ท่านอ๋องสามารถสั่งการมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นายท่านเฟิ่งไม่ต้องเกรงใจ แค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่…”

“?” เฟิ่งหวายถิงรอม่อซิวเหยาเอ่ยต่ออย่างสงบ

“ทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งเกรงว่าคง…เท่าที่ข้ารู้ บุตรชายทั้งสองของท่านได้เข้าเป็นพรรคพวกกับหลีอ๋องแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าจะกลับมา ข้าได้รับข่าวว่า คนของตระกูลเฟิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว ส่วนสิ่งที่ต้องแลกมาคือ…ทรัพย์สมบัติจำนวนเจ็ดส่วนของตระกูลเฟิ่ง” ม่อซิวเหยายกถ้วยชาขึ้นจิบ พลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ชายาเคียงหทัย 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กลางดึกภายในห้องขังที่มืดสลัว เฟิ่งจือเหยาที่เดิมนั่งขัดสมาธิหายใจเป็นจังหวะอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ผินหน้าไปมองเฟิ่งหวายถิงที่นอนหลับสนิทห่มเสื้อคลุมอยู่บนเตียง ใบหน้าฉายแววกังวล

“จั๋วจิ้ง?” สายตาเขาหันมองไปทางปากประตูคุก ก่อนเฟิ่งจือเหยาจะลองเอ่ยถามขึ้น

ที่หน้าประตูคุกมีเสียงหัวเราะต่ำๆ ดังขึ้น พร้อมฉินเฟิงที่มาปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูคุก ยิ้มเย้าด้วยสีหน้าสบายๆ “มิใช่จั๋วจิ้ง แต่จั๋วจิ้งมีข้อความฝากข้ามาถึงท่าน”

“ว่าอย่างไร” เฟิ่งจือเหยาลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาจำได้ว่าฉินเฟิงมิได้มาที่เมืองหลวงพร้อมกับพวกเขา

ฉินเฟิงค่อยๆ ก้าวเข้ามาในคุกด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “จั๋วจิ้งบอกว่า…ท่านอ๋องโกรธมาก ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พูดไปก็เป็นเรื่องบังเอิญ แค่เพียงมาถึงเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าคุณชายเฟิ่งซานถูกสตรีนางหนึ่งจับตัวไป นี่ข้าก็รีบมาเยี่ยมอย่างไร ถึงอย่างไรหากเทียบกับการที่จั๋วจิ้งมา พวกเราก็ยังมีมิตรภาพฉันเพื่อนร่วมงานกันมากกว่าอยู่หลานส่วนมิใช่หรือ”

“ครานี้เป็นอุบัติเหตุ” เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องโกรธมาก เฟิ่งจือเหยาก็ถึงกับหดคอขึ้นมาด้วยความเคยชิน จากนั้นถึงได้ฝืนเอ่ยด้วยท่าทีสงบ

ครานี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสตรีนางนั้นจะมาโผล่ที่ต้าหลี่ซื่อในเวลานั้น หลิ่วกุ้ยเฟยที่ประหวัดถึงแต่ท่านอ๋องนางนั้น มิใช่ม่อจิ่งหลี หากเขากล้าหนี หลิ่วกุ้ยเฟยคงกล้าสังหารเฟิ่งหวายถิงเข้าให้จริงๆ ถึงแม้เขาจะโกรธที่เฟิ่งหวายถิงไม่เคยแยแสตน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอยากให้เขาตาย

ฉินเฟิงเอียงคอเอ่ยยิ้มๆ กับคนที่อยู่ในห้องขังว่า “ท่านลุง ข้าน้อยฉินเฟิง ถือว่าเป็นสหายกับเฟิ่งซาน ท่านลุงสบายดีหรือไม่”

เฟิ่งหวายถิงที่อยู่ในห้องขังข้างๆ ตื่นตั้งแต่พวกเขาพูดคุยกันประโยคแรกแล้ว ในสถานที่เช่นห้องขังนี้ มิใช่ที่ที่จะอำนายให้คนหลับลึกได้เลยจริงๆ

เฟิ่งหวายถิงอึ้งไป พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าสบายดี ขอบคุณคุณชายฉิน”

ฉินเฟิงโบกมือเอ่ยว่า “ครานี้ล้วนเป็นเพราะความผลีผลามของเฟิ่งซาน กลับไป ท่านอ๋องของพวกเราจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีแน่นอน ท่านลุง พวกเราไปกันเถิด”

เฟิ่งหวายถิงมีแววสับสน ที่มุมปากมีแววฝืดเฝื่อนเพิ่มเข้ามา บุตรชายของตนกระทำการโดยผลีผลามแต่กลับต้องให้ผู้อื่นมาสั่งสอน พร้อมเอ่ยขอโทษผู้เป็นบิดาอย่างเขาแทนเขา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกว่า บางทีกับบุตรชายคนนี้ ตนคงกระทำผิดไปแล้วจริงๆ

ฉินเฟิงเดินเข้ามา พร้อมหยิบกริชที่เป็นประกายวาววับขึ้นฟันฉับลงไปทีหนึ่ง โซ่ตรงประตูห้องขังที่หนาใหญ่ขนาดเท่าข้อมือกับแม่กุญแจขนาดมโหฬารก็หักออกทันที

ฉินเฟิงยื่นมือไปผลักประตูห้องขังออกไป ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตูห้องขัง อมยิ้มเอ่ยกับเฟิ่งหวายถิงว่า “ท่านลุง เชิญเถิด”

เมื่อเห็นเฟิ่งหวายถิงยังดูมีท่าทีลังเล ฉินเฟิงจึงยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงไม่ต้องกังวล คนอื่นๆ ในตระกูลเฟิ่ง ถึงแม้จะอยู่ในมือของหลีอ๋อง แต่หลีอ๋องไม่มีทางทำร้ายพวกเขาหรอก”

แค่เพียงทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งคงหมดสิ้นแล้ว น่าเสียดายที่เมื่อปีที่แล้วท่านอ๋องตกเงินมาได้ก้อนใหญ่ จึงดูมิได้ขาดเงิน อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่ง คงรู้สึกกระดากอายหากจะเอ่ยปาก มิเช่นนั้นพวกเขาคงพอขอแบ่งมาได้บ้าง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงถึงได้เดินออกมา เอ่ยกับฉินเฟิงว่า “ในมือติ้งอ๋องมีเสือกับมังกรซ่อนอยู่จริงๆ”

ฉินเฟิงยิ้มเรียบๆ ขยับกริชในมือเล่นพลางเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ให้ท่านลุงเห็นขันแล้ว ท่านลุงเชิญ คนของพวกเรารอรับอยู่ที่ด้านนอก”

เฟิ่งหวายถิงเอ่ยขอบคุณ เหลือบมองเฟิ่งจือเหยาทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ฉินเฟิงหันไปยิ้มให้เฟิ่งจือเหยาอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินตามออกไป

เฟิ่งจือเหยาที่ยังอยู่ในคุก ชะงักงันไปทันที “ฉินเฟิง! ข้ายังไม่ได้ออกไปเลยนะ”

ฉินเฟิงมองฟ้าอย่างใสซื่อ “อันใดนะ คำสั่งที่ข้าได้รับคือ ให้มาช่วยนายท่านเฟิ่งที่ถูกคนของตำหนักติ้งอ๋องทำให้ต้องเดือดร้อนออกไปนี่ ยังมีผู้ใดอีกหรือ ไม่ได้ข่าวเลยนี่”

“เจ้า!” เฟิ่งจือเหยากัดฟันหรอก

ฉินเฟิงหัวอย่างอย่างออกรส “เฟิ่งซาน เจ้าติดคุกต่อไปอย่างว่าง่ายเถิด ไม่แน่ว่ายามที่เจ้าออกมา ท่านอ๋องจะหายโกรธแล้วก็เป็นได้ อีกอย่างอย่าบอกข้านะว่าเจ้าแก้โซ่เล็กๆ เช่นนี้ไม่ได้ ใช่สิ อีกอย่าง…ท่านอ๋องมีคำสั่งว่า ในเมื่อเจ้าชอบเข้าคุกถึงเพียงนั้น ก็อยู่ในนั้นต่ออีกสักสองวันก็แล้วกัน วางใจเถิด สตรีนางนั้น เพื่อท่านอ๋องแล้ว คงไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

“เจ้ารอข้าก่อนเถิด!” เฟิ่งจือเหยาถลึงตาจ้องใครบางคนที่เดินสะบัดหน้าออกไป ถึงแม้รู้ว่าที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ มิใช่เพียงเพราะต้องการลงโทษเขาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าเยาะหยันได้ใจของฉินเฟิง ก็อดก่นดาด้วยความเจ็บใจไม่ได้ “ข้าขอสาปแช่งให้ความรักของเจ้าเต็มไปด้วยอุปสรรค!”

ฉินเฟิงที่เพิ่งเดินออกจากคุกมืดๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า อากาศยามเดือนสามยังมีความหนาวเย็นอยู่บ้างจริงๆ

ฉินเฟิงพาตัวเฟิ่งหวายถิงออกไป ระหว่างทางแทบไม่เจอผู้ใดเข้ามาขวางเลย เมื่อได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักติ้งอ๋องมีความสามารถเก่งกาจและห้าวหาญเช่นนี้ ก็ทำให้เฟิ่งหวายถิงเกิดความหวั่นไหวและใคร่ครวญอย่างหนัก

เมื่อกลับไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง ฟ้าเริ่มสางแล้ว เฟิ่งหวายถิงเมื่อได้รับการแนะนำไปรอบหนึ่งและได้กินอาหารเช้าแล้ว ก็ถูกพาไปพบม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีมิได้อยู่ที่ห้องหนังสือ แต่ไปอยู่ในสวนดอกไม้ขนาดเล็กที่เงียบสงบ ลึกเข้าไปในตำหนักติ้งอ๋อง

ยามที่เฟิ่งหวายถิงถูกคนพาตัวไปนั้น ม่อซิวเหยากำลังฝึกเพลงดาบอยู่ ตรงโต๊ะม้าหินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เยี่ยหลีกับฮองเฮากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ห่างจากโต๊ะนั้นไปไม่ไกล ยังมีเด็กสองคนนั่งยองๆ เอาหัวชนกันอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยกันใดกัน

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า สาดลงมาภายในลาน กลิ่นดอกหลันอ่อนๆ ลอยมาเตะจมูก ก็ให้รู้สึกผ่อนคลายและสุขสงบขึ้นมาทันที

“นายท่านเฟิ่ง? เชิญมานั่งทางนี้เถิด” เยี่ยหลีเห็นเฟิ่งหวายถิงเป็นคนแรก จึงเบี่ยงตัวหันมาส่งยิ้มให้

เฟิ่งหวายถิงก้าวเข้าไปประสานมือเอ่ยว่า “คารวะชายาติ้งอ๋อง ถวายบังคม…ฮองเฮา ฮองเฮา…”

ในชั่วขณะนั้นเอง ที่ดูเหมือนฮองเฮาจะรับรู้ได้ถึงแววต่อว่าที่เฟิ่งหวายถิงมีต่อตนอย่างชัดเจน จึงเพียงยิ้มเรียบๆ มิได้เอ่ยอันใด

ยามนี้นางก็เป็นเพียงแขก ย่อมไม่อาจทำอันใดเกินหน้าเจ้าบ้านได้

เยี่ยหลีได้แต่ลอบถอนใจด้วยความจนใจ สิ่งที่ฮองเฮายังสัมผัสได้ มีหรือนางจะไม่สามารถสัมผัสได้

ม่อซิวเหยาให้นางมาพบเฟิ่งหวายถิงด้วย ไม่รู้ว่าต่อไปเฟิ่งจือเหยาจะโทษพวกเขาหรือไม่ เพียงแต่เยี่ยหลีเข้าใจสิ่งที่ม่อซิวเหยาคิด หากต่อไปฮองเฮาได้ใช้ชีวิตอยู่กับเฟิ่งจือเหยาจริง เช่นนั้นเฟิ่งหวายถิงก็เป็นด่านที่พวกเขาจะต้องผ่านไปให้ได้ หากเฟิ่งจือเหยาไม่สนใจเฟิ่งหวายถิงหรือเฟิ่งหวายถิงไม่สนใจเฟิ่งจือเหยาจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็คงไม่มีอันใด แต่ท่าทีที่เฟิ่งจือเหยาแสดงออก ชัดเจนว่ามิใช่เช่นนั้น ส่วนที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกต่อต้านฮองเฮานั้น เหตุผลย่อมเป็นเพราะเฟิ่งจือเหยา

“นายท่านเฟิ่ง เชิญนั่งเถิด เฟิ่งซานทำอันใดผลีผลาม ทำให้ตระกูลเฟิ่งต้องเดือดร้อนไปด้วย ขอนายท่านเฟิ่งอย่าได้ถือโทษ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงก็ยิ้มขื่น “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ข้ารู้สึกผิดนัก”

หากมิใช่เพราะเขาเพิกเฉยต่อบุตรชายคนนี้มาตลอด ละเลยที่จะอบรมสั่งสอน บางทีเฟิ่งจือเหยาอาจไม่เห็นฮองเฮาสำคัญจนถึงขั้นผลีผลามบุกเข้าวังไปลักพาตัวออกมา

เรื่องที่ฮองเฮาคอยดูแลเฟิ่งจือเหยาในสมัยนั้น เขาเองก็รู้ ดังนั้นถึงแม้เรื่องจะเป็นเช่นนี้ เขาก็มิอาจกล่าวโทษฮองเฮาได้

เขาเหลือบมองเด็กชายในชุดขาวที่พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของชายาติ้งอ๋องด้วยความเขินอาย กับเด็กชายในชุดดำอีกคนหนึ่งที่เดินมาดขรึมเข้ามา ก่อนปีนขึ้นไปนั่งอย่างสง่าผ่าเผยบนเก้าอี้ นัยน์ตาเฟิ่งหวายถิงมีประกายแห่งความเสียใจ หาก…เป็นบุตรของจือเหยา ไม่แน่ว่าอาจจะโตกว่าเด็กสองคนนี้แล้วก็เป็นได้กระมัง

อีกด้านหนึ่ง ม่อซิวเหยาก็ชักดาบเก็บก่อนโยนดาบกลับเข้าฝักที่แขวนอยู่บนต้นไม้เช่นเดิม แล้วเดินเข้ามาสมทบ

เยี่ยหลียื่นผ้าเช็ดหน้าของตนส่งไปให้ ม่อซิวเหยารับมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่แทบจะไม่มีพลางนั่งลงข้างกายของเยี่ยหลี

“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งหวายถิงคิดจะลุกยืนขึ้น แต่ม่อซิวเหยาโบกมือเป็นสัญญาบอกให้เขานั่งลง

“ไม่ต้องมากพิธี ครานี่ล้วนเป็นเพราะเฟิ่งซานที่กระทำการไม่รอบคอบ นายท่านเฟิ่งคงไม่ได้ลำบากอันใดกระมัง” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้น

เฟิ่งหวายถิงรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นคนที่สามแล้วที่เอ่ยกับเขาในทำนองนี้ นี่แสดงให้เห็นว่า คนของตำหนักติ้งอ๋อง เห็นเฟิ่งจือเหยาเป็นคนในครอบครัวของตนจริงๆ มิใช่เป็นเพียงลูกน้องที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นการถากถางผู้เป็นบิดาอย่างเขามากที่สุด เพียงแต่ในยามนี้เฟิ่งหวายถิงไม่มีแก่ใจจะมาคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องนี้ เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านอ๋อง จือเหยาเขา…”

เขารู้ว่า เฟิ่งจือเหยาไม่ได้ออกจากคุกมาพร้อมเขา ถึงแม้ฉินเฟิ่งจะบอกเขาว่า เฟิ่งจือเหยามีภารกิจอื่นต้องไปจัดการก็เถิด

ม่อซิวเหยาปัดผมขาวที่ถูกลมอ่อนๆ พัดมาปรก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “นายท่านเฟิ่งโปรดวางใจ เฟิ่งซานจะกลับมาภายในวันนี้แน่นอน เพียงแต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเขา ได้รับบทเรียนเสียบ้างก็เป็นเรื่องดี ต่อไปจะได้ไม่หัวร้อนอีก”

เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งหวายถิงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจ แต่เขาก็ทำอันใดไม่ได้ อย่างน้อยเขาเชื่อว่า ติ้งอ๋องไม่มีทางปล่อยให้เฟิ่งจือเหยามีภัยถึงชีวิตอย่างแน่นอน

เขาหันไปประสานมือเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ข้าน้อยขอบพระคุณท่านอ๋องมากที่ช่วยเหลือ ต่อไปหากมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ข้าน้อยลงมือ ท่านอ๋องสามารถสั่งการมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นายท่านเฟิ่งไม่ต้องเกรงใจ แค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่…”

“?” เฟิ่งหวายถิงรอม่อซิวเหยาเอ่ยต่ออย่างสงบ

“ทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งเกรงว่าคง…เท่าที่ข้ารู้ บุตรชายทั้งสองของท่านได้เข้าเป็นพรรคพวกกับหลีอ๋องแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าจะกลับมา ข้าได้รับข่าวว่า คนของตระกูลเฟิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว ส่วนสิ่งที่ต้องแลกมาคือ…ทรัพย์สมบัติจำนวนเจ็ดส่วนของตระกูลเฟิ่ง” ม่อซิวเหยายกถ้วยชาขึ้นจิบ พลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ชายาเคียงหทัย 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กลางดึกภายในห้องขังที่มืดสลัว เฟิ่งจือเหยาที่เดิมนั่งขัดสมาธิหายใจเป็นจังหวะอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ผินหน้าไปมองเฟิ่งหวายถิงที่นอนหลับสนิทห่มเสื้อคลุมอยู่บนเตียง ใบหน้าฉายแววกังวล

“จั๋วจิ้ง?” สายตาเขาหันมองไปทางปากประตูคุก ก่อนเฟิ่งจือเหยาจะลองเอ่ยถามขึ้น

ที่หน้าประตูคุกมีเสียงหัวเราะต่ำๆ ดังขึ้น พร้อมฉินเฟิงที่มาปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูคุก ยิ้มเย้าด้วยสีหน้าสบายๆ “มิใช่จั๋วจิ้ง แต่จั๋วจิ้งมีข้อความฝากข้ามาถึงท่าน”

“ว่าอย่างไร” เฟิ่งจือเหยาลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาจำได้ว่าฉินเฟิงมิได้มาที่เมืองหลวงพร้อมกับพวกเขา

ฉินเฟิงค่อยๆ ก้าวเข้ามาในคุกด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “จั๋วจิ้งบอกว่า…ท่านอ๋องโกรธมาก ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พูดไปก็เป็นเรื่องบังเอิญ แค่เพียงมาถึงเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าคุณชายเฟิ่งซานถูกสตรีนางหนึ่งจับตัวไป นี่ข้าก็รีบมาเยี่ยมอย่างไร ถึงอย่างไรหากเทียบกับการที่จั๋วจิ้งมา พวกเราก็ยังมีมิตรภาพฉันเพื่อนร่วมงานกันมากกว่าอยู่หลานส่วนมิใช่หรือ”

“ครานี้เป็นอุบัติเหตุ” เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องโกรธมาก เฟิ่งจือเหยาก็ถึงกับหดคอขึ้นมาด้วยความเคยชิน จากนั้นถึงได้ฝืนเอ่ยด้วยท่าทีสงบ

ครานี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสตรีนางนั้นจะมาโผล่ที่ต้าหลี่ซื่อในเวลานั้น หลิ่วกุ้ยเฟยที่ประหวัดถึงแต่ท่านอ๋องนางนั้น มิใช่ม่อจิ่งหลี หากเขากล้าหนี หลิ่วกุ้ยเฟยคงกล้าสังหารเฟิ่งหวายถิงเข้าให้จริงๆ ถึงแม้เขาจะโกรธที่เฟิ่งหวายถิงไม่เคยแยแสตน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอยากให้เขาตาย

ฉินเฟิงเอียงคอเอ่ยยิ้มๆ กับคนที่อยู่ในห้องขังว่า “ท่านลุง ข้าน้อยฉินเฟิง ถือว่าเป็นสหายกับเฟิ่งซาน ท่านลุงสบายดีหรือไม่”

เฟิ่งหวายถิงที่อยู่ในห้องขังข้างๆ ตื่นตั้งแต่พวกเขาพูดคุยกันประโยคแรกแล้ว ในสถานที่เช่นห้องขังนี้ มิใช่ที่ที่จะอำนายให้คนหลับลึกได้เลยจริงๆ

เฟิ่งหวายถิงอึ้งไป พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าสบายดี ขอบคุณคุณชายฉิน”

ฉินเฟิงโบกมือเอ่ยว่า “ครานี้ล้วนเป็นเพราะความผลีผลามของเฟิ่งซาน กลับไป ท่านอ๋องของพวกเราจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีแน่นอน ท่านลุง พวกเราไปกันเถิด”

เฟิ่งหวายถิงมีแววสับสน ที่มุมปากมีแววฝืดเฝื่อนเพิ่มเข้ามา บุตรชายของตนกระทำการโดยผลีผลามแต่กลับต้องให้ผู้อื่นมาสั่งสอน พร้อมเอ่ยขอโทษผู้เป็นบิดาอย่างเขาแทนเขา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกว่า บางทีกับบุตรชายคนนี้ ตนคงกระทำผิดไปแล้วจริงๆ

ฉินเฟิงเดินเข้ามา พร้อมหยิบกริชที่เป็นประกายวาววับขึ้นฟันฉับลงไปทีหนึ่ง โซ่ตรงประตูห้องขังที่หนาใหญ่ขนาดเท่าข้อมือกับแม่กุญแจขนาดมโหฬารก็หักออกทันที

ฉินเฟิงยื่นมือไปผลักประตูห้องขังออกไป ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตูห้องขัง อมยิ้มเอ่ยกับเฟิ่งหวายถิงว่า “ท่านลุง เชิญเถิด”

เมื่อเห็นเฟิ่งหวายถิงยังดูมีท่าทีลังเล ฉินเฟิงจึงยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงไม่ต้องกังวล คนอื่นๆ ในตระกูลเฟิ่ง ถึงแม้จะอยู่ในมือของหลีอ๋อง แต่หลีอ๋องไม่มีทางทำร้ายพวกเขาหรอก”

แค่เพียงทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งคงหมดสิ้นแล้ว น่าเสียดายที่เมื่อปีที่แล้วท่านอ๋องตกเงินมาได้ก้อนใหญ่ จึงดูมิได้ขาดเงิน อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่ง คงรู้สึกกระดากอายหากจะเอ่ยปาก มิเช่นนั้นพวกเขาคงพอขอแบ่งมาได้บ้าง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงถึงได้เดินออกมา เอ่ยกับฉินเฟิงว่า “ในมือติ้งอ๋องมีเสือกับมังกรซ่อนอยู่จริงๆ”

ฉินเฟิงยิ้มเรียบๆ ขยับกริชในมือเล่นพลางเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ให้ท่านลุงเห็นขันแล้ว ท่านลุงเชิญ คนของพวกเรารอรับอยู่ที่ด้านนอก”

เฟิ่งหวายถิงเอ่ยขอบคุณ เหลือบมองเฟิ่งจือเหยาทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ฉินเฟิงหันไปยิ้มให้เฟิ่งจือเหยาอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินตามออกไป

เฟิ่งจือเหยาที่ยังอยู่ในคุก ชะงักงันไปทันที “ฉินเฟิง! ข้ายังไม่ได้ออกไปเลยนะ”

ฉินเฟิงมองฟ้าอย่างใสซื่อ “อันใดนะ คำสั่งที่ข้าได้รับคือ ให้มาช่วยนายท่านเฟิ่งที่ถูกคนของตำหนักติ้งอ๋องทำให้ต้องเดือดร้อนออกไปนี่ ยังมีผู้ใดอีกหรือ ไม่ได้ข่าวเลยนี่”

“เจ้า!” เฟิ่งจือเหยากัดฟันหรอก

ฉินเฟิงหัวอย่างอย่างออกรส “เฟิ่งซาน เจ้าติดคุกต่อไปอย่างว่าง่ายเถิด ไม่แน่ว่ายามที่เจ้าออกมา ท่านอ๋องจะหายโกรธแล้วก็เป็นได้ อีกอย่างอย่าบอกข้านะว่าเจ้าแก้โซ่เล็กๆ เช่นนี้ไม่ได้ ใช่สิ อีกอย่าง…ท่านอ๋องมีคำสั่งว่า ในเมื่อเจ้าชอบเข้าคุกถึงเพียงนั้น ก็อยู่ในนั้นต่ออีกสักสองวันก็แล้วกัน วางใจเถิด สตรีนางนั้น เพื่อท่านอ๋องแล้ว คงไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

“เจ้ารอข้าก่อนเถิด!” เฟิ่งจือเหยาถลึงตาจ้องใครบางคนที่เดินสะบัดหน้าออกไป ถึงแม้รู้ว่าที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ มิใช่เพียงเพราะต้องการลงโทษเขาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าเยาะหยันได้ใจของฉินเฟิง ก็อดก่นดาด้วยความเจ็บใจไม่ได้ “ข้าขอสาปแช่งให้ความรักของเจ้าเต็มไปด้วยอุปสรรค!”

ฉินเฟิงที่เพิ่งเดินออกจากคุกมืดๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า อากาศยามเดือนสามยังมีความหนาวเย็นอยู่บ้างจริงๆ

ฉินเฟิงพาตัวเฟิ่งหวายถิงออกไป ระหว่างทางแทบไม่เจอผู้ใดเข้ามาขวางเลย เมื่อได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักติ้งอ๋องมีความสามารถเก่งกาจและห้าวหาญเช่นนี้ ก็ทำให้เฟิ่งหวายถิงเกิดความหวั่นไหวและใคร่ครวญอย่างหนัก

เมื่อกลับไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง ฟ้าเริ่มสางแล้ว เฟิ่งหวายถิงเมื่อได้รับการแนะนำไปรอบหนึ่งและได้กินอาหารเช้าแล้ว ก็ถูกพาไปพบม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีมิได้อยู่ที่ห้องหนังสือ แต่ไปอยู่ในสวนดอกไม้ขนาดเล็กที่เงียบสงบ ลึกเข้าไปในตำหนักติ้งอ๋อง

ยามที่เฟิ่งหวายถิงถูกคนพาตัวไปนั้น ม่อซิวเหยากำลังฝึกเพลงดาบอยู่ ตรงโต๊ะม้าหินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เยี่ยหลีกับฮองเฮากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ห่างจากโต๊ะนั้นไปไม่ไกล ยังมีเด็กสองคนนั่งยองๆ เอาหัวชนกันอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยกันใดกัน

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า สาดลงมาภายในลาน กลิ่นดอกหลันอ่อนๆ ลอยมาเตะจมูก ก็ให้รู้สึกผ่อนคลายและสุขสงบขึ้นมาทันที

“นายท่านเฟิ่ง? เชิญมานั่งทางนี้เถิด” เยี่ยหลีเห็นเฟิ่งหวายถิงเป็นคนแรก จึงเบี่ยงตัวหันมาส่งยิ้มให้

เฟิ่งหวายถิงก้าวเข้าไปประสานมือเอ่ยว่า “คารวะชายาติ้งอ๋อง ถวายบังคม…ฮองเฮา ฮองเฮา…”

ในชั่วขณะนั้นเอง ที่ดูเหมือนฮองเฮาจะรับรู้ได้ถึงแววต่อว่าที่เฟิ่งหวายถิงมีต่อตนอย่างชัดเจน จึงเพียงยิ้มเรียบๆ มิได้เอ่ยอันใด

ยามนี้นางก็เป็นเพียงแขก ย่อมไม่อาจทำอันใดเกินหน้าเจ้าบ้านได้

เยี่ยหลีได้แต่ลอบถอนใจด้วยความจนใจ สิ่งที่ฮองเฮายังสัมผัสได้ มีหรือนางจะไม่สามารถสัมผัสได้

ม่อซิวเหยาให้นางมาพบเฟิ่งหวายถิงด้วย ไม่รู้ว่าต่อไปเฟิ่งจือเหยาจะโทษพวกเขาหรือไม่ เพียงแต่เยี่ยหลีเข้าใจสิ่งที่ม่อซิวเหยาคิด หากต่อไปฮองเฮาได้ใช้ชีวิตอยู่กับเฟิ่งจือเหยาจริง เช่นนั้นเฟิ่งหวายถิงก็เป็นด่านที่พวกเขาจะต้องผ่านไปให้ได้ หากเฟิ่งจือเหยาไม่สนใจเฟิ่งหวายถิงหรือเฟิ่งหวายถิงไม่สนใจเฟิ่งจือเหยาจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็คงไม่มีอันใด แต่ท่าทีที่เฟิ่งจือเหยาแสดงออก ชัดเจนว่ามิใช่เช่นนั้น ส่วนที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกต่อต้านฮองเฮานั้น เหตุผลย่อมเป็นเพราะเฟิ่งจือเหยา

“นายท่านเฟิ่ง เชิญนั่งเถิด เฟิ่งซานทำอันใดผลีผลาม ทำให้ตระกูลเฟิ่งต้องเดือดร้อนไปด้วย ขอนายท่านเฟิ่งอย่าได้ถือโทษ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงก็ยิ้มขื่น “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ข้ารู้สึกผิดนัก”

หากมิใช่เพราะเขาเพิกเฉยต่อบุตรชายคนนี้มาตลอด ละเลยที่จะอบรมสั่งสอน บางทีเฟิ่งจือเหยาอาจไม่เห็นฮองเฮาสำคัญจนถึงขั้นผลีผลามบุกเข้าวังไปลักพาตัวออกมา

เรื่องที่ฮองเฮาคอยดูแลเฟิ่งจือเหยาในสมัยนั้น เขาเองก็รู้ ดังนั้นถึงแม้เรื่องจะเป็นเช่นนี้ เขาก็มิอาจกล่าวโทษฮองเฮาได้

เขาเหลือบมองเด็กชายในชุดขาวที่พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของชายาติ้งอ๋องด้วยความเขินอาย กับเด็กชายในชุดดำอีกคนหนึ่งที่เดินมาดขรึมเข้ามา ก่อนปีนขึ้นไปนั่งอย่างสง่าผ่าเผยบนเก้าอี้ นัยน์ตาเฟิ่งหวายถิงมีประกายแห่งความเสียใจ หาก…เป็นบุตรของจือเหยา ไม่แน่ว่าอาจจะโตกว่าเด็กสองคนนี้แล้วก็เป็นได้กระมัง

อีกด้านหนึ่ง ม่อซิวเหยาก็ชักดาบเก็บก่อนโยนดาบกลับเข้าฝักที่แขวนอยู่บนต้นไม้เช่นเดิม แล้วเดินเข้ามาสมทบ

เยี่ยหลียื่นผ้าเช็ดหน้าของตนส่งไปให้ ม่อซิวเหยารับมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่แทบจะไม่มีพลางนั่งลงข้างกายของเยี่ยหลี

“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งหวายถิงคิดจะลุกยืนขึ้น แต่ม่อซิวเหยาโบกมือเป็นสัญญาบอกให้เขานั่งลง

“ไม่ต้องมากพิธี ครานี่ล้วนเป็นเพราะเฟิ่งซานที่กระทำการไม่รอบคอบ นายท่านเฟิ่งคงไม่ได้ลำบากอันใดกระมัง” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้น

เฟิ่งหวายถิงรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นคนที่สามแล้วที่เอ่ยกับเขาในทำนองนี้ นี่แสดงให้เห็นว่า คนของตำหนักติ้งอ๋อง เห็นเฟิ่งจือเหยาเป็นคนในครอบครัวของตนจริงๆ มิใช่เป็นเพียงลูกน้องที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นการถากถางผู้เป็นบิดาอย่างเขามากที่สุด เพียงแต่ในยามนี้เฟิ่งหวายถิงไม่มีแก่ใจจะมาคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องนี้ เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านอ๋อง จือเหยาเขา…”

เขารู้ว่า เฟิ่งจือเหยาไม่ได้ออกจากคุกมาพร้อมเขา ถึงแม้ฉินเฟิ่งจะบอกเขาว่า เฟิ่งจือเหยามีภารกิจอื่นต้องไปจัดการก็เถิด

ม่อซิวเหยาปัดผมขาวที่ถูกลมอ่อนๆ พัดมาปรก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “นายท่านเฟิ่งโปรดวางใจ เฟิ่งซานจะกลับมาภายในวันนี้แน่นอน เพียงแต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเขา ได้รับบทเรียนเสียบ้างก็เป็นเรื่องดี ต่อไปจะได้ไม่หัวร้อนอีก”

เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งหวายถิงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจ แต่เขาก็ทำอันใดไม่ได้ อย่างน้อยเขาเชื่อว่า ติ้งอ๋องไม่มีทางปล่อยให้เฟิ่งจือเหยามีภัยถึงชีวิตอย่างแน่นอน

เขาหันไปประสานมือเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ข้าน้อยขอบพระคุณท่านอ๋องมากที่ช่วยเหลือ ต่อไปหากมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ข้าน้อยลงมือ ท่านอ๋องสามารถสั่งการมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นายท่านเฟิ่งไม่ต้องเกรงใจ แค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่…”

“?” เฟิ่งหวายถิงรอม่อซิวเหยาเอ่ยต่ออย่างสงบ

“ทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งเกรงว่าคง…เท่าที่ข้ารู้ บุตรชายทั้งสองของท่านได้เข้าเป็นพรรคพวกกับหลีอ๋องแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าจะกลับมา ข้าได้รับข่าวว่า คนของตระกูลเฟิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว ส่วนสิ่งที่ต้องแลกมาคือ…ทรัพย์สมบัติจำนวนเจ็ดส่วนของตระกูลเฟิ่ง” ม่อซิวเหยายกถ้วยชาขึ้นจิบ พลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ชายาเคียงหทัย 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม

Now you are reading ชายาเคียงหทัย Chapter 285-2 เลี้ยงบุตรสาวให้กลายเป็นกรรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

กลางดึกภายในห้องขังที่มืดสลัว เฟิ่งจือเหยาที่เดิมนั่งขัดสมาธิหายใจเป็นจังหวะอยู่บนเตียง ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ผินหน้าไปมองเฟิ่งหวายถิงที่นอนหลับสนิทห่มเสื้อคลุมอยู่บนเตียง ใบหน้าฉายแววกังวล

“จั๋วจิ้ง?” สายตาเขาหันมองไปทางปากประตูคุก ก่อนเฟิ่งจือเหยาจะลองเอ่ยถามขึ้น

ที่หน้าประตูคุกมีเสียงหัวเราะต่ำๆ ดังขึ้น พร้อมฉินเฟิงที่มาปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูคุก ยิ้มเย้าด้วยสีหน้าสบายๆ “มิใช่จั๋วจิ้ง แต่จั๋วจิ้งมีข้อความฝากข้ามาถึงท่าน”

“ว่าอย่างไร” เฟิ่งจือเหยาลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เขาจำได้ว่าฉินเฟิงมิได้มาที่เมืองหลวงพร้อมกับพวกเขา

ฉินเฟิงค่อยๆ ก้าวเข้ามาในคุกด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “จั๋วจิ้งบอกว่า…ท่านอ๋องโกรธมาก ส่วนเรื่องที่ว่าข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พูดไปก็เป็นเรื่องบังเอิญ แค่เพียงมาถึงเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าคุณชายเฟิ่งซานถูกสตรีนางหนึ่งจับตัวไป นี่ข้าก็รีบมาเยี่ยมอย่างไร ถึงอย่างไรหากเทียบกับการที่จั๋วจิ้งมา พวกเราก็ยังมีมิตรภาพฉันเพื่อนร่วมงานกันมากกว่าอยู่หลานส่วนมิใช่หรือ”

“ครานี้เป็นอุบัติเหตุ” เมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องโกรธมาก เฟิ่งจือเหยาก็ถึงกับหดคอขึ้นมาด้วยความเคยชิน จากนั้นถึงได้ฝืนเอ่ยด้วยท่าทีสงบ

ครานี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าสตรีนางนั้นจะมาโผล่ที่ต้าหลี่ซื่อในเวลานั้น หลิ่วกุ้ยเฟยที่ประหวัดถึงแต่ท่านอ๋องนางนั้น มิใช่ม่อจิ่งหลี หากเขากล้าหนี หลิ่วกุ้ยเฟยคงกล้าสังหารเฟิ่งหวายถิงเข้าให้จริงๆ ถึงแม้เขาจะโกรธที่เฟิ่งหวายถิงไม่เคยแยแสตน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นอยากให้เขาตาย

ฉินเฟิงเอียงคอเอ่ยยิ้มๆ กับคนที่อยู่ในห้องขังว่า “ท่านลุง ข้าน้อยฉินเฟิง ถือว่าเป็นสหายกับเฟิ่งซาน ท่านลุงสบายดีหรือไม่”

เฟิ่งหวายถิงที่อยู่ในห้องขังข้างๆ ตื่นตั้งแต่พวกเขาพูดคุยกันประโยคแรกแล้ว ในสถานที่เช่นห้องขังนี้ มิใช่ที่ที่จะอำนายให้คนหลับลึกได้เลยจริงๆ

เฟิ่งหวายถิงอึ้งไป พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าสบายดี ขอบคุณคุณชายฉิน”

ฉินเฟิงโบกมือเอ่ยว่า “ครานี้ล้วนเป็นเพราะความผลีผลามของเฟิ่งซาน กลับไป ท่านอ๋องของพวกเราจะต้องสั่งสอนเขาให้ดีแน่นอน ท่านลุง พวกเราไปกันเถิด”

เฟิ่งหวายถิงมีแววสับสน ที่มุมปากมีแววฝืดเฝื่อนเพิ่มเข้ามา บุตรชายของตนกระทำการโดยผลีผลามแต่กลับต้องให้ผู้อื่นมาสั่งสอน พร้อมเอ่ยขอโทษผู้เป็นบิดาอย่างเขาแทนเขา นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกว่า บางทีกับบุตรชายคนนี้ ตนคงกระทำผิดไปแล้วจริงๆ

ฉินเฟิงเดินเข้ามา พร้อมหยิบกริชที่เป็นประกายวาววับขึ้นฟันฉับลงไปทีหนึ่ง โซ่ตรงประตูห้องขังที่หนาใหญ่ขนาดเท่าข้อมือกับแม่กุญแจขนาดมโหฬารก็หักออกทันที

ฉินเฟิงยื่นมือไปผลักประตูห้องขังออกไป ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ตรงปากประตูห้องขัง อมยิ้มเอ่ยกับเฟิ่งหวายถิงว่า “ท่านลุง เชิญเถิด”

เมื่อเห็นเฟิ่งหวายถิงยังดูมีท่าทีลังเล ฉินเฟิงจึงยิ้มเอ่ยว่า “ท่านลุงไม่ต้องกังวล คนอื่นๆ ในตระกูลเฟิ่ง ถึงแม้จะอยู่ในมือของหลีอ๋อง แต่หลีอ๋องไม่มีทางทำร้ายพวกเขาหรอก”

แค่เพียงทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งคงหมดสิ้นแล้ว น่าเสียดายที่เมื่อปีที่แล้วท่านอ๋องตกเงินมาได้ก้อนใหญ่ จึงดูมิได้ขาดเงิน อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่ง คงรู้สึกกระดากอายหากจะเอ่ยปาก มิเช่นนั้นพวกเขาคงพอขอแบ่งมาได้บ้าง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงถึงได้เดินออกมา เอ่ยกับฉินเฟิงว่า “ในมือติ้งอ๋องมีเสือกับมังกรซ่อนอยู่จริงๆ”

ฉินเฟิงยิ้มเรียบๆ ขยับกริชในมือเล่นพลางเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ให้ท่านลุงเห็นขันแล้ว ท่านลุงเชิญ คนของพวกเรารอรับอยู่ที่ด้านนอก”

เฟิ่งหวายถิงเอ่ยขอบคุณ เหลือบมองเฟิ่งจือเหยาทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ฉินเฟิงหันไปยิ้มให้เฟิ่งจือเหยาอย่างนึกสนุก ก่อนจะเดินตามออกไป

เฟิ่งจือเหยาที่ยังอยู่ในคุก ชะงักงันไปทันที “ฉินเฟิง! ข้ายังไม่ได้ออกไปเลยนะ”

ฉินเฟิงมองฟ้าอย่างใสซื่อ “อันใดนะ คำสั่งที่ข้าได้รับคือ ให้มาช่วยนายท่านเฟิ่งที่ถูกคนของตำหนักติ้งอ๋องทำให้ต้องเดือดร้อนออกไปนี่ ยังมีผู้ใดอีกหรือ ไม่ได้ข่าวเลยนี่”

“เจ้า!” เฟิ่งจือเหยากัดฟันหรอก

ฉินเฟิงหัวอย่างอย่างออกรส “เฟิ่งซาน เจ้าติดคุกต่อไปอย่างว่าง่ายเถิด ไม่แน่ว่ายามที่เจ้าออกมา ท่านอ๋องจะหายโกรธแล้วก็เป็นได้ อีกอย่างอย่าบอกข้านะว่าเจ้าแก้โซ่เล็กๆ เช่นนี้ไม่ได้ ใช่สิ อีกอย่าง…ท่านอ๋องมีคำสั่งว่า ในเมื่อเจ้าชอบเข้าคุกถึงเพียงนั้น ก็อยู่ในนั้นต่ออีกสักสองวันก็แล้วกัน วางใจเถิด สตรีนางนั้น เพื่อท่านอ๋องแล้ว คงไม่ฆ่าเจ้าหรอก”

“เจ้ารอข้าก่อนเถิด!” เฟิ่งจือเหยาถลึงตาจ้องใครบางคนที่เดินสะบัดหน้าออกไป ถึงแม้รู้ว่าที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ มิใช่เพียงเพราะต้องการลงโทษเขาเพียงเท่านั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าเยาะหยันได้ใจของฉินเฟิง ก็อดก่นดาด้วยความเจ็บใจไม่ได้ “ข้าขอสาปแช่งให้ความรักของเจ้าเต็มไปด้วยอุปสรรค!”

ฉินเฟิงที่เพิ่งเดินออกจากคุกมืดๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า อากาศยามเดือนสามยังมีความหนาวเย็นอยู่บ้างจริงๆ

ฉินเฟิงพาตัวเฟิ่งหวายถิงออกไป ระหว่างทางแทบไม่เจอผู้ใดเข้ามาขวางเลย เมื่อได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตำหนักติ้งอ๋องมีความสามารถเก่งกาจและห้าวหาญเช่นนี้ ก็ทำให้เฟิ่งหวายถิงเกิดความหวั่นไหวและใคร่ครวญอย่างหนัก

เมื่อกลับไปถึงตำหนักติ้งอ๋อง ฟ้าเริ่มสางแล้ว เฟิ่งหวายถิงเมื่อได้รับการแนะนำไปรอบหนึ่งและได้กินอาหารเช้าแล้ว ก็ถูกพาไปพบม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี

ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีมิได้อยู่ที่ห้องหนังสือ แต่ไปอยู่ในสวนดอกไม้ขนาดเล็กที่เงียบสงบ ลึกเข้าไปในตำหนักติ้งอ๋อง

ยามที่เฟิ่งหวายถิงถูกคนพาตัวไปนั้น ม่อซิวเหยากำลังฝึกเพลงดาบอยู่ ตรงโต๊ะม้าหินที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เยี่ยหลีกับฮองเฮากำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ ห่างจากโต๊ะนั้นไปไม่ไกล ยังมีเด็กสองคนนั่งยองๆ เอาหัวชนกันอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังพูดคุยกันใดกัน

แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า สาดลงมาภายในลาน กลิ่นดอกหลันอ่อนๆ ลอยมาเตะจมูก ก็ให้รู้สึกผ่อนคลายและสุขสงบขึ้นมาทันที

“นายท่านเฟิ่ง? เชิญมานั่งทางนี้เถิด” เยี่ยหลีเห็นเฟิ่งหวายถิงเป็นคนแรก จึงเบี่ยงตัวหันมาส่งยิ้มให้

เฟิ่งหวายถิงก้าวเข้าไปประสานมือเอ่ยว่า “คารวะชายาติ้งอ๋อง ถวายบังคม…ฮองเฮา ฮองเฮา…”

ในชั่วขณะนั้นเอง ที่ดูเหมือนฮองเฮาจะรับรู้ได้ถึงแววต่อว่าที่เฟิ่งหวายถิงมีต่อตนอย่างชัดเจน จึงเพียงยิ้มเรียบๆ มิได้เอ่ยอันใด

ยามนี้นางก็เป็นเพียงแขก ย่อมไม่อาจทำอันใดเกินหน้าเจ้าบ้านได้

เยี่ยหลีได้แต่ลอบถอนใจด้วยความจนใจ สิ่งที่ฮองเฮายังสัมผัสได้ มีหรือนางจะไม่สามารถสัมผัสได้

ม่อซิวเหยาให้นางมาพบเฟิ่งหวายถิงด้วย ไม่รู้ว่าต่อไปเฟิ่งจือเหยาจะโทษพวกเขาหรือไม่ เพียงแต่เยี่ยหลีเข้าใจสิ่งที่ม่อซิวเหยาคิด หากต่อไปฮองเฮาได้ใช้ชีวิตอยู่กับเฟิ่งจือเหยาจริง เช่นนั้นเฟิ่งหวายถิงก็เป็นด่านที่พวกเขาจะต้องผ่านไปให้ได้ หากเฟิ่งจือเหยาไม่สนใจเฟิ่งหวายถิงหรือเฟิ่งหวายถิงไม่สนใจเฟิ่งจือเหยาจริงๆ แล้ว เช่นนั้นก็คงไม่มีอันใด แต่ท่าทีที่เฟิ่งจือเหยาแสดงออก ชัดเจนว่ามิใช่เช่นนั้น ส่วนที่เฟิ่งหวายถิงรู้สึกต่อต้านฮองเฮานั้น เหตุผลย่อมเป็นเพราะเฟิ่งจือเหยา

“นายท่านเฟิ่ง เชิญนั่งเถิด เฟิ่งซานทำอันใดผลีผลาม ทำให้ตระกูลเฟิ่งต้องเดือดร้อนไปด้วย ขอนายท่านเฟิ่งอย่าได้ถือโทษ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งหวายถิงก็ยิ้มขื่น “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ข้ารู้สึกผิดนัก”

หากมิใช่เพราะเขาเพิกเฉยต่อบุตรชายคนนี้มาตลอด ละเลยที่จะอบรมสั่งสอน บางทีเฟิ่งจือเหยาอาจไม่เห็นฮองเฮาสำคัญจนถึงขั้นผลีผลามบุกเข้าวังไปลักพาตัวออกมา

เรื่องที่ฮองเฮาคอยดูแลเฟิ่งจือเหยาในสมัยนั้น เขาเองก็รู้ ดังนั้นถึงแม้เรื่องจะเป็นเช่นนี้ เขาก็มิอาจกล่าวโทษฮองเฮาได้

เขาเหลือบมองเด็กชายในชุดขาวที่พุ่งเข้าใส่อ้อมแขนของชายาติ้งอ๋องด้วยความเขินอาย กับเด็กชายในชุดดำอีกคนหนึ่งที่เดินมาดขรึมเข้ามา ก่อนปีนขึ้นไปนั่งอย่างสง่าผ่าเผยบนเก้าอี้ นัยน์ตาเฟิ่งหวายถิงมีประกายแห่งความเสียใจ หาก…เป็นบุตรของจือเหยา ไม่แน่ว่าอาจจะโตกว่าเด็กสองคนนี้แล้วก็เป็นได้กระมัง

อีกด้านหนึ่ง ม่อซิวเหยาก็ชักดาบเก็บก่อนโยนดาบกลับเข้าฝักที่แขวนอยู่บนต้นไม้เช่นเดิม แล้วเดินเข้ามาสมทบ

เยี่ยหลียื่นผ้าเช็ดหน้าของตนส่งไปให้ ม่อซิวเหยารับมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากที่แทบจะไม่มีพลางนั่งลงข้างกายของเยี่ยหลี

“ท่านอ๋อง…” เฟิ่งหวายถิงคิดจะลุกยืนขึ้น แต่ม่อซิวเหยาโบกมือเป็นสัญญาบอกให้เขานั่งลง

“ไม่ต้องมากพิธี ครานี่ล้วนเป็นเพราะเฟิ่งซานที่กระทำการไม่รอบคอบ นายท่านเฟิ่งคงไม่ได้ลำบากอันใดกระมัง” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้น

เฟิ่งหวายถิงรู้สึกปวดใจขึ้นมาเล็กน้อย นี่เป็นคนที่สามแล้วที่เอ่ยกับเขาในทำนองนี้ นี่แสดงให้เห็นว่า คนของตำหนักติ้งอ๋อง เห็นเฟิ่งจือเหยาเป็นคนในครอบครัวของตนจริงๆ มิใช่เป็นเพียงลูกน้องที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นการถากถางผู้เป็นบิดาอย่างเขามากที่สุด เพียงแต่ในยามนี้เฟิ่งหวายถิงไม่มีแก่ใจจะมาคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องนี้ เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลว่า “ท่านอ๋อง จือเหยาเขา…”

เขารู้ว่า เฟิ่งจือเหยาไม่ได้ออกจากคุกมาพร้อมเขา ถึงแม้ฉินเฟิ่งจะบอกเขาว่า เฟิ่งจือเหยามีภารกิจอื่นต้องไปจัดการก็เถิด

ม่อซิวเหยาปัดผมขาวที่ถูกลมอ่อนๆ พัดมาปรก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “นายท่านเฟิ่งโปรดวางใจ เฟิ่งซานจะกลับมาภายในวันนี้แน่นอน เพียงแต่ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเขา ได้รับบทเรียนเสียบ้างก็เป็นเรื่องดี ต่อไปจะได้ไม่หัวร้อนอีก”

เมื่อได้ยินม่อซิวเหยาเอ่ยเช่นนี้ เฟิ่งหวายถิงก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจ แต่เขาก็ทำอันใดไม่ได้ อย่างน้อยเขาเชื่อว่า ติ้งอ๋องไม่มีทางปล่อยให้เฟิ่งจือเหยามีภัยถึงชีวิตอย่างแน่นอน

เขาหันไปประสานมือเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ข้าน้อยขอบพระคุณท่านอ๋องมากที่ช่วยเหลือ ต่อไปหากมีเรื่องอันใดที่ต้องการให้ข้าน้อยลงมือ ท่านอ๋องสามารถสั่งการมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “นายท่านเฟิ่งไม่ต้องเกรงใจ แค่เพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพียงแต่…”

“?” เฟิ่งหวายถิงรอม่อซิวเหยาเอ่ยต่ออย่างสงบ

“ทรัพย์สมบัติของตระกูลเฟิ่งเกรงว่าคง…เท่าที่ข้ารู้ บุตรชายทั้งสองของท่านได้เข้าเป็นพรรคพวกกับหลีอ๋องแล้ว ก่อนที่พวกเจ้าจะกลับมา ข้าได้รับข่าวว่า คนของตระกูลเฟิ่งได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว ส่วนสิ่งที่ต้องแลกมาคือ…ทรัพย์สมบัติจำนวนเจ็ดส่วนของตระกูลเฟิ่ง” ม่อซิวเหยายกถ้วยชาขึ้นจิบ พลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีสงบนิ่ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+