สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน 805 สาวใช้ตัวแสบ 709

Now you are reading สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน Chapter 805 สาวใช้ตัวแสบ 709 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 805 สาวใช้ตัวแสบ 709

“ผมส่งคุณไปทำงานนะ” เย่เชินหลินพูด

“ไม่เป็นไรหรอก หลิน คุณอยู่บ้านดูแลลูกเถอะ”

“คุณไม่ได้ยินที่แม่บ้านพูดเหรอ? ลูกคงจะหลับไปอีกสักพัก ไปเถอะน่า” เย่เชินหลินยังคงยืนยันคำพูด เซี่ยชีหรั่นก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก

วันนี้เย่เชินหลินมอบหมายให้พ่อบ้านช่วยดูแลงานบ้านเป็นพิเศษ ระหว่างทางเซี่ยชีหรั่นพิงอยู่ที่ตักของเขา

เมื่อถึงบริษัท เย่เชินหลินวางจูบเบา ๆ ที่แก้มเธอแล้วให้เธอลงจากรถไป

เซี่ยชีหรั่นรู้สึกสบายใจขึ้นมากเมื่อได้ฟังแม่บ้านพูดในตอนเช้า ถ้าเด็กยอมกินนมผงแล้วส้งหลิงหลิงได้ออกไปจากที่นี่ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

เย่เชินหลินมองเซี่ยชีหรั่นค่อย ๆ เดินเข้าไปในตึกบริษัท ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เป็นสายที่โทรจากวิลล่าของเขา

เขาจึงรีบรับสาย แล้วได้ยินเสียงกระวนกระวายของแม่บ้านดังขึ้น “คุณเย่คะ คุณชายน้อยร้องไห้ไม่หยุดเลย ไม่มีใครกล่อมเขาได้ ตอนนี้เขาเป็นลมไปแล้วค่ะ!”

เย่เชินหลินรู้สึกใจหายทันที เขาบีบกำปั้นไว้แน่น ๆ

ยังดีที่เขามีประสบการณ์การรับแรงกดดันได้ดี เขาจึงสงบสติอารมณ์ได้ในไม่กี่วินาทีแล้วพูดต่อ “เรียกหมอห่าวมา! เขาอาจจะปฐมพยาบาลให้ได้ ผมจะรีบกลับไป อย่าเพิ่งวางสายนะ ผมต้องการฟังสถานการณ์ที่นั่น”

“ค่ะ คุณเย่ หนูเรียกคุณหมอห่าวเรียบร้อยแล้ว แกคงใกล้ถึงแล้วค่ะ”

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงของหมอห่าวมาถึง หมอห่าวจึงใช้วิธีการฝังเข็มเพื่อช่วยเจ้าตัวเล็กเย่เจิ้งเหิงตื่นจากสลบได้

หลังจากเด็กตื่นขึ้นมาก็ร้องไห้ไม่หยุดอีกครั้ง หมอห่าวพยายามใช้ทุกวิธีแต่ก็ทำให้เด็กสงบลงไม่ได้

เขารับโทรศัพท์จากพ่อบ้านมาแล้วคุยกับเย่เชินหลิน “คุณชายเย่ครับ ผมทำได้แค่นี้จริง ๆ ให้คุณส้งมาอุ้มเด็กได้ไหม ถ้าปล่อยให้ร้องต่อไปแบบนี้คงควบคุมไม่อยู่แน่เลยครับ”

สีหน้าของเย่เชินหลินยังคงนิ่งสงบอยู่ เขาจับกำปั้นแน่น ๆ แล้วพูดต่อ “ให้เธอมาไม่ได้ คุณช่วยบอกกับพ่อบ้านหน่อยว่าผมต้องการให้เขาเรียกรถพยาบาลมารับลูกผมทันที”

“คุณเย่ครับ ตอนนี้อาการของเด็กอันตรายมากนะครับ ถ้าจะให้หย่านมก็รอให้ส่งถึงโรงพยาบาลก่อนค่อยว่ากันได้ไหม?” หมอห่าวขอร้องเขาผ่านทางโทรศัพท์

เย่เชินหลินรู้ว่าหมอห่าวไม่กล้าพูดอะไรร้ายแรงเกินความเป็นจริง เขาจึงชกไปที่เบาะที่นั่งด้วยความแรง จากนั้นก็กัดฟันพูดต่อ “ ส่งเขาไปที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุด แล้วให้ส้งหลิงหลิงตามไปด้วย! คุณก็ช่วยไปกับเขาด้วยนะครับ”

จากนั้นเย่เชินหลินก็สั่งให้คนขับรถรีบขับไปทางวิลล่า เขาต้องการพบเด็กโดยเร็วที่สุด

รถของเย่เชินหลินได้ไปพบกับรถของแม่บ้านระหว่างทาง เขาจึงรีบลงจากรถแล้วขึ้นไปในรถของแม่บ้าน จากนั้นก็เห็นลูกชายที่กำลังร้องไห้อยู่และตัวของส้งหลิงหลิงก็ยังร้องไห้ไม่หยุดเช่นกัน

“เชินหลิน ลูกเป็นแบบนี้ได้ไง? ทำไมลูกร้องไห้ไม่หยุดเลย ฉันพยายามป้อนนมให้ลูกแล้ว แต่เขาไม่ยอมกินสักที เราควรทำไงดี เมื่อกี้ก็เป็นลมไปอีกรอบแล้ว”

“เดี๋ยวไปถึงโรงพยาบาลก็รู้ คุณใจเย็นหน่อย อย่าให้อารมณ์ของคุณรบกวนลูก!” เย่เชินหลินพูดอย่างเย็นชาและส้งหลิงหลิงก็ตอบอย่างรีบร้อน “ค่ะ ๆ ๆ ฉันจะใจเย็น ฉันจะใจเย็น”

“ออกรถ!” เย่เชินหลินออกคำสั่ง คนขับจึงรีบสตาร์ทรถ ตอนนี้เด็กยังร้องไห้อยู่และทุกคนในรถก็รู้สึกกังวลมาก

“ขับช้าจริง ๆ หลบไป ผมมาขับเอง!” เย่เชินหลินพูดอย่างหงุดหงิด เขาให้คนขับรถเปลี่ยนไปนั่งรถคันอื่นแล้วเขาขึ้นมาขับเอง

ความกังวลของเขา ส้งหลิงหลิงมองด้วยตาแต่สุขด้วยใจ

เย่เชินหลิน คุณจะหยิ่งไปถึงไหน ในที่สุดคุณก็เป็นได้แค่พ่อธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อลูกเกิดปัญหาจริง ๆ คุณก็ทนรับมันไม่ไหวหรอก คุณก็รู้ดีอยู่แล้วยังกล้ามากดดันฉันอีก ตอนนี้ต่อให้คุณกังวลแทบตายฉันก็ได้แต่สมน้ำหน้าคุณเท่านั้น

แต่เด็กคนนี้ก็ทำให้คนต้องตกใจจริง ๆ ส้งหลิงหลิงเองก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เกรงว่าปัญหาของลูกจะร้ายแรงกว่าที่เธอคิดไว้

ก่อนไปถึงโรงพยาบาล เด็กก็เป็นลมอีกครั้ง แต่หมอห่าวช่วยไว้ได้อีกครั้งเหมือนกัน

หลังจากถึงโรงพยาบาลเด็กก็ถูกส่งเข้าไปแผนกโรคหัวใจ สามคำนี้ทำให้ส้งหลิงหลิงต้องตกใจมาก ไม่เพียงแต่เธอคนเดียวที่รู้สึกตกใจ ยังมีพ่อบ้านและหมอห่าวก็ตกใจเหมือนกัน

“คุณหมอห่าวและพ่อบ้าน พวกคุณรอที่นี่ก่อนนะ ส้งหลิงหลิงอุ้มลูกมากับผม”

ครั้งนี้ ความโชคดีที่ส้งหลิงหลิงรู้สึกก็ได้เปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลอย่างร้ายแรง

ส้งหลิงหลิงอุ้มลูกเข้าไปให้หมอ เย่เชินหลินพูดต่อ “ลูกผมร้องไห้จนเป็นลมไป คุณหมอช่วยตรวจดูให้หน่อยนะครับ”

“คุณเย่ ลูกของคุณมี……” หมอพูดยังไม่ทันจบ เย่เชินหลินก็หันมองไปที่ส้งหลิงหลิงแล้วพูดกับเธออย่างเย็นชา “คุณออกไปรอข้างนอกก่อน”

ส้งหลิงหลิงอยากรู้อาการสาเหตุที่แท้จริงของลูก แต่เห็นเด็กอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วเธอก็ได้แต่เชื่อฟัง

หลังจากที่ประตูปิดลง หมอก็ทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นให้เด็ก แล้วพูดกับเย่เชินหลินว่า “ทางเราคงต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าโรคหัวใจของเขาได้กำเริบหรือไม่”

เด็กยังคงดิ้นรนร้องไห้และยังไม่ยอมสงบ เย่เชินหลินจึงพูดกับหมออย่างเคร่งเครียด “คุณหมอช่วยดูหน่อยครับ พอจะมีวิธีทำให้เด็กสงบลงไหม”

“คงต้องให้ลองใช้ยาระงับประสาทในปริมาณน้อยก่อน”

หมอจึงสั่งพยาบาลให้ฉีดยาระงับประสาทกับเด็กในปริมาณน้อยที่สุดทันที

ทุกคนทราบดีว่ายานี้จะมีผลข้างเคียง แต่เย่เชินหลินรู้ดีว่าหากไม่ใช้ยาตัวนี้ อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะรักษาชีวิตของเด็กไว้ได้

หลังจากฉีดยาเสร็จ เด็กก็ค่อย ๆ สงบลงแล้วนอนหลับไป และหลังจากผลตรวจออกมา หมอก็ได้วินิจฉัยว่า “อาการของเด็กตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับตอนแรกเกิดเลยครับ แต่ดีขึ้นหน่อย คุณช่วยบอกผมหน่อยว่าเด็กทำไมถึงอารมณ์แปรปรวนขนาดนี้เหรอครับ?”

“สองวันนี้ผมให้ลูกหย่านมแม่ครับ” เย่เชินหลินพูด

“ทำไมต้องให้หย่านมแม่ด้วยล่ะ? หรือว่าน้ำนมของแม่มีไม่พอเหรอครับ? คุณก็มีที่ปรึกษาน้ำนมแม่ไม่ใช่เหรอ? คุณเย่ครับ อาการของเด็กตอนนี้ให้กินนมแม่จะดีที่สุดนะครับ ผมไม่ได้หมายถึงแค่สารอาหารของเด็กที่จะได้รับนะ ผมรวมไปถึงสภาพจิตใจของเด็กด้วย หัวใจของเด็กค่อนข้างอ่อนแอ ยังทนรับความเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ครับ ถ้าอารมณ์ไม่ดีเมื่อไหร่ สภาพอารมณ์ของเขาก็จะแปรปรวนหนักขึ้นเช่นกัน ผมแนะนำว่าควรให้เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับแม่มากขึ้น ส่วนคุณก็ต้องใช้เวลากับเด็กด้วยเช่นกันนะครับ อย่าคิดว่าเด็กยังเล็ก ตัวเล็กแค่นี้ก็มีความรู้สึกเหมือนกันนะครับ เขาสามารถสัมผัสความรักของผู้ใหญ่ที่มีต่อเขาได้ เพราะความรักคือพลังที่จะช่วยเขาได้นะครับ”

คำพูดของหมอทำให้เย่เชินหลินรู้สึกผิดอย่างรุนแรง เพราะเขาคนเดียวที่ทำให้เด็กต้องกลายเป็นแบบนี้

เขารู้สึกโทษตัวเองมาก เมื่อมองไปที่เด็กที่กำลังนอนหลับอยู่ ก็เห็นว่าเด็กนอนอย่างไม่เป็นธรรมชาติเหมือนปกติเลย มองก็รู้ว่าเขาถูกบังคับให้นอนโดยการใช้ยา

เขารู้สึกเจ็บใจแทนลูกมาก และตอนนี้เขาตัดสินใจจะวางทุกอย่างลงก่อน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือชีวิตของลูก

“ขอบคุณครับคุณหมอ ผมทราบแล้วครับ หมอช่วยดูหน่อยว่าลูกผมต้องนอนดูอาการที่โรงพยาบาลไหม?”

“ไม่ต้อง ก็ยังเป็นคำเดิมครับ รอดูอาการก็เท่านั้น ได้ข่าวว่าบ้านคุณมีหมอประจำอยู่ใช่ไหม ผมจะสั่งยาระงับอารมณ์ให้คุณ แต่จำไว้ว่าใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายเท่านั้นนะครับ”

เย่เชินหลินพยักหน้า เขาไปรับยาด้วยตนเองแล้วเก็บมันใส่ถุงไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นยาที่แพทย์สั่งให้ว่าคือยาอะไร

“เชินหลิน เกิดอะไรขึ้นกับลูก? ลูกไม่ได้เป็นโรคหัวใจใช่ไหม?” ส้งหลิงหลิงดึงแขนเสื้อของเย่เชินหลินไว้แล้วถามอย่างกังวล

เย่เชินหลินมองเธอด้วยความเย็นชาแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “พูดไปเรื่อย!”

“ไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมต้องเข้ามาตรวจที่แผนกนี้ด้วยล่ะ?”

“แล้วคุณว่าล่ะ? เด็กหายใจไม่ออกแล้วเป็นลม ไม่มาตรวจแผนกนี้แล้วจะให้ไปตรวจแผนกไหน?”

ส้งหลิงหลิงถอนหายใจยาว ๆ แล้วพูดต่อ “ไม่ใช่ก็ดีแล้วล่ะ คุณคิดว่าฉันอยากให้ลูกป่วยหนักขนาดนี้เหรอ? ฉันก็เป็นแม่แท้ ๆ ของเขานะ เชินหลิน ฉันขอร้องคุณแล้วล่ะ ขอฉันได้ให้นมลูกต่อเถอะนะ ฉันรู้ว่าฉันทำผิดไปแล้ว ต่อไปฉันจะไม่คิดร้ายอะไรอีก ฉันจะไม่ทำอะไรไม่ดีอีกนะ ฉันไหว้แล้วล่ะ”

เย่เชินหลินมองหน้าส้งหลิงหลิงอย่างไม่แยแส แม้เขาจะเกลียดเธอมากแต่ก็ปล่อยให้ลูกไม่พึ่งเธอไม่ได้

“คุณจำไว้ดี ๆ นะส้งหลิงหลิง ถ้าคุณยังคิดทำอะไรที่ไม่ควรทำอีก ผมจะลงมือกับคนในครอบครัวคุณ น้องชายคุณ น้องสาวคุณ ลูกหลานตระกูลส้งของคุณ……” เย่เชินหลินกัดฟันพูด

ถ้าเย่เชินหลินโกรธขึ้นมาจริง ๆ ส้งหลิงหลิงก็จำเป็นต้องกลัวเขาเหมือนกัน

โดยเฉพาะ ณ เวลานี้ ที่เธอได้ยินข่าวร้ายว่า……ลูกของเธอมีโรคหัวใจ เธอก็ยิ่งกลัวไปใหญ่

เธอมั่นใจว่าเธอได้ยินบทสนทนาของพวกเขา แม้ว่าเย่เชินหลินจะปฏิเสธก็ตาม แต่คนฉลาดอย่างเธอจะไม่รู้ทันได้ไง

โดยส่วนใหญ่แล้วเธอก็เข้าใจเย่เชินหลินเหมือนกัน และเธอก็รู้สาเหตุที่เขาไม่ยอมบอกความจริงกับเธอ ความจริงนั้นก็คือเขากลัวเธอจะใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือของเธออีก

แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นแม่แท้ ๆ ของเด็ก แวบแรกที่ได้ยินเธอไม่ได้คิดว่าจะใช้เป็นเครื่องมือแต่อย่างใด ในใจลึก ๆ ของเธอก็เป็นห่วงเด็กเหมือนกัน

ประการแรกคือเธอต้องอุ้มท้องถึงสิบเดือนกว่าจะคลอดลูกออกมา แน่นอนว่าเธอต้องมีความรักของแม่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว ประการที่สองก็คือเธอกลัวว่าถ้ารักษาเด็กไว้ไม่ได้เธอก็จะไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขาแล้วเหมือนกัน\

“เชินหลิน ฉันรู้ว่ายังไงลูกก็ต้องมีปัญหาอะไรบางอย่างเหมือนกัน ฉันไม่เคยคิดว่าลูกจะมีปัญหา ไม่งั้นฉันคงไม่มีกะจิตกะใจไปทำเรื่องแบบนั้นหรอก คุณเชื่อฉันนะ ฉันจะรักลูกด้วยใจจริง ฉันจะดูแลลูก ฉันจะไม่กล้าทำอะไรอีก”

เย่เชินหลินขมวดคิ้วอย่างเคร่งขรึมแล้วพูดกับเธอ “วันหลังพยายามใช้เวลากับลูก เล่นกับลูกเยอะ ๆ ให้เขารู้ว่ามีคุณอยู่ด้วย เข้าใจไหม?”

ส้งหลิงหลิงรีบพยักหน้าตอบ

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่นะ”

เย่เชินหลินไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาพาส้งหลิงหลิงเข้าไปในห้องผู้ป่วยแล้วให้เธออุ้มลูกขึ้นมา

ก่อนหน้านี้เขาได้บอกกับหมอตามลำพังแล้วว่าห้ามเปิดเผยอาการของเด็กให้ใครรู้นอกจากตัวเขาและผู้ช่วยหลิน

แพทย์ที่รับผิดชอบก็รู้เบื้องหลังของเย่เชินหลินดี เขาจึงต้องรับปากอย่างเป็นธรรมชาติและคงไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับใครได้หรอก

ระหว่างทางกลับบ้าน ส้งหลิงหลิงอุ้มลูกไว้ตลอดทาง ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเหมือนได้คืนในสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว

อย่างน้อยเธอไม่กล้ามั่นใจว่าจะเป็นฝ่ายชนะได้ในอนาคตและเธอจะไม่ทำอะไรผลีผลามอีก ต่อให้เธออยากเอาชนะเซี่ยชีหรั่นอย่างไรแต่เธอก็จะไม่ใช้ลูกเป็นเครื่องมืออีก

ความล้มเหลวครั้งนี้ทำให้เธอรู้ว่าเซี่ยชีหรั่นนั้นสำคัญต่อเย่เชินหลินอย่างไร ดังนั้นเธอต้องใจเย็นกว่านี้และต้องหาเวลาที่เหมาะสมที่สุด

เย่เชินหลินเงียบและสีหน้าเย็นชาตลอดทาง หลังจากที่กลับไปถึงวิลล่าเขาก็เรียกพ่อบ้านมา แล้วเอายาที่หมอสั่งให้เขาและมอบหมายให้เขาไปแจ้งหมอที่วิลล่าว่าให้ใช้ยาตัวนี้กับเด็กในยามจำเป็นเท่านั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด