ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่207 ผมจะไม่แข่งกับคุณ

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter ตอนที่207 ผมจะไม่แข่งกับคุณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่207 ผมจะไม่แข่งกับคุณ

มุมปากของฉีเล่ยคลี่ยิ้มฉีกกว้าง จากนั้นก็คลอบแก้วต่ออีกประมาณ5-6นาที สีหน้าของฮาเมอร์ที่ดูสุดแสนจะทรมานก่อนหน้าได้จางหายไปโดยสมบูรณ์ ใบหูกางใบหน้าสีแดงก่ำเมื่อครู่จางคลายหายไปทันที ร่างกายของเขาที่บวมหนาก่อนหน้ากลับสู่สภาวะปกติดังเดิม

ฉีเล่ยค่อยๆถอนแก้วไวน์ที่ครอบอยู่ทั่วร่างกายท่อนบนของฮาเมอร์ออกทีละใบอย่างระมัดระวัง

หลังจากทำการรักษาฉุกเฉินเมื่อครู่ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมองไปทางฉีเล่ยดูแปลกไปกว่าเดิม

เหล่าสมาชิกจากคณะชาวต่างชาติไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ชายหนุ่มชาวจีนคนนี้จะสามารถรักษาฮาเมอร์ให้หายได้ภายในชั่วพริบตา

ในสภาวะฉุกเฉินเช่นนี้นับเป็นนาทีวิกฤตต่อชีวิตอย่างแท้จริง แต่ทว่า…กลับไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องกินยาแม้สักเม็ดเดียว เพียงแค่ใช้แก้วไวน์จำนวนหนึ่งกับไฟแช็ค ก็สามารถรักษาคนไข้ให้พ้นขีดอันตรายได้ นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ…

ด็อกเตอร์ทอมสันร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าที่ทั้งประหลาดใจและตกใจในคราวเดียว

“พระเจ้า…พระเจ้า…คุณฉี นี่มันมหัศจรรย์มากจริงๆ @$3ˆ…”

ต่อให้เขาจะสามารถใช้ภาษาจีนได้ดีมากเพียงใด แต่ต่อหน้าภาพฉากอันน่าอัศจรรย์แบบนี้ ด็อกเตอร์ทอมสันถึงกับเรียบเรียงไวยากรณ์จีนถูกๆผิดๆเช่นกัน

ฮาเมอร์ที่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาดูท่าทางเขินอายอย่างมาก และเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างออกมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่น่าเสียดายที่ฉีเล่ยไม่เข้าใจ

ด็อกเตอร์ทอมสันเดินตรงไปโอบไหล่ฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“เมื่อกี้ฮาเมอร์พูดว่า ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ตัดสินใจเดิมพันกับคุณก่อนหน้านี้”

ฉีเล่ยหันมองไปทางฮาเมอร์พร้อมกับตอบไปว่า

“ผมไม่ใช่คนที่ชอบท้าเดิมพันกับคนอื่นไปทั่ว เพียงแต่ผมทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นกล้าพูดจาดูถูกในสิ่งที่ผมเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจ”

ด็อกเตอร์ทอมสันแปลคำพูดของฉีเล่ยเป็นภาษาอังกฤษให้ฮาเมอร์ฟังอีกที หลังจากที่อีกฝ่ายได้ยินก็รีบลุกขึ้นนั่งก้มหน้าก้มตา ก่อนจะพูดอะไรสักอย่างเป็นภาษาอังกฤษต่อหน้าต่อตาทุกคน

ด็อกเตอร์ทอมสันหันไปมองฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้กลับเป็นตัวเขาเองที่ไร้มารยาท เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ศาสตร์แพทย์แผนจีนจะมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ และจากนี้ต่อไป เขาจะหันไปศึกษาศาสตร์แพทย์แผนจีนอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาอาจจะไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ แต่จะพยายามและบอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของแพทย์แผนจีนให้ทุกคนได้ล่วงรู้ เท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ทั้งนี้ยังขอให้คุณช่วยยกเลิกเดิมพันก่อนหน้านี้ออกไปจะได้ไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“ผมเป็นคนพูดแล้วไม่คืนคำครับ”

ด็อกเตอร์ทอมสันมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ในฐานะล่ามเขาจำเป็นต้องแปลไปตามที่ฉีเล่ยพูด

“โอเค”

ชายหนุ่มคนนี้เกิดในประเทศจีนจริงๆใช่ไหม? ไหนบอกว่าชาวจีนจะให้ความเคารพนับถือคนที่อาวุโสกว่ายังไงล่ะ? แต่ทำไมกิริยาท่าทางของฉีเล่ยจึงไม่เหมือนที่เขาเคยได้ยินมาซะเลย?

ตรงกันข้าม บุคลิกท่าทางของฉีเล่ยกลับเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่มั่นคง เขาไม่ต่างจากปูก้ามยักษ์ที่พร้อมจะพุ่งชนทุกอุปสรรคที่ขวางหน้า

“ฉีเล่ย…”

แม้ว่าหลินหมิงจางจะไม่ทราบว่า ฉีเล่ยกับฮาเมอร์ไปเดิมพันอะไรกันเอาไว้ แต่อย่างไรเสียเขาก็จำเป็นต้องเอ่ยเตือนฉีเล่ย เพื่อรักษาหน้าของแขกที่มาเยี่ยมเยียนเป็นอันดับแรก

ซีหลู่เฉินถึงกับหัวเราะเยาะเย้ยภายในใจ พลางพูดกับตัวเองว่า

‘ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้จนอีกฝ่ายอุตส่าห์หาทางลงได้แล้ว แต่กลับเลือกที่จะดื้อรั้นอยู่อีก? โง่! โง่จริงๆ!’

ฉีเล่ยกล่าวย้ำอีกครั้ง

“ผมไม่ใช่คนจำพวกที่พูดแล้วคืนคำงั้นหรอ”

ฮาเมอร์ได้ฟังคำแปลของด็อกเตอร์ทอมสันเข้า ก็ถึงกับต้องพึมพำออกมาเป็นภาษาอังกฤษ

ในสถานการณ์เช่นนี้ฉีเล่ยรู้สึกคิดถึงเหอจือขึ้นมาจับใจ ถ้ามีเธออยู่ที่นี่ด้วย เธอคงจะเธอช่วยแปลคำถามคำตอบได้รวดเร็วกว่านี้แน่ๆ

แต่ทันใดนั้นหลี่ถงซีที่อยู่ข้างหลังก็กระซิบผ่านรูหูของฉีเล่ยขึ้นว่า

“เขาบอกว่า เขาเข้าใจทัศนคติของคุณดี แล้วเขาก็ต้องขอโทษอีกครั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ทำเรื่องที่ไร้มารยาทกับคุณไป และเขาก็ขอยอมแพ้พร้อมยินดีจ่ายเงินชดเชยให้ตามที่ได้เดิมพันไว้”

ฉีเล่ยปรายหางตามองอีกฝ่าย และพบว่าแววตาของหญิงสาวยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้น การที่เธอเธอสมัครใจเป็นล่ามแปลให้กับเขาโดยไม่ต้องร้องขอแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าอาการของเธอคงจะเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว

ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ดูท่าเธอจะปิดผนึกความรู้สึกและอารมณ์ภายในใจยังไม่สมบูรณ์ดี และนี่ยังมีโอกาสที่จะรักษาเธอให้หายได้

ฉีเล่ยหันไปจับจ้องใบหน้าสวยงามของหลี่ถงซี พร้อมกับแสยะยิ้มตอบกลับไปว่า

“งั้นฝากบอกเขาด้วยว่า สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ตัวเงิน แต่เมื่อกี้นี้คุณพูดอะไรเอาไว้ก็อย่าลืมซะล่ะ ในฐานะลูกผู้ชายคุณก็ควรทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้”

“ส่วนเรื่องเงินสองล้านนั่นผมได้ต้องการ และเรื่องลาออกจากการเป็นแพทย์อะไรนั่นก็ลืมไปเถอะ สุดท้ายนี้ก็ฝากบอกเขาด้วยว่า จะยังไงก็ตาม ผมจะทำให้การแพทย์แผนจีนกลายเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลกให้จงได้! และภายในสามปีผมจะทำให้คนอเมริกันได้รู้จักการแพทย์แผนจีน แต่ถ้าทำไม่ได้ ผมจะให้เงินกับเขาเป็นจำนวนสองล้านตามที่ได้เคยเดิมพันไว้ และผมจะเลิกอาชีพนี้อย่างถาวร! นี่ไม่ใช่การเดิมพันระหว่างผมกับเขา แต่เป็นเดิมพันกับตัวผมเองโดยมีเขาเป็นพยานเท่านั้น!”

สีหน้าของฮาเมอร์ดูซาบซึ้งอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น และได้พูดอะไรบางอย่างกับฉีเล่ยอีกครั้ง

แน่นอนว่าฉีเล่ยไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ทุกคนโดยรอบต่างพากันตาเบิกโพลงเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากปากของฮาเมอร์ ก่อนจะหันขวับไปมองฉีเล่ยต่อ

ฉีเล่ยเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัย

“เขาพูดว่าอะไร?”

คราวนี่หลี่ถงซีไม่ได้แปลให้ทันที เพราะกระทั่งเธอเองยังถึงกับชะงักค้างด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากแปลให้ฉีเล่ยฟังว่า

“เขาบอกว่า คนจีนที่เขารู้สึกชื่นชมจากหัวใจมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น คนแรกคือรองรัฐมนตรีโจวและอีกคนก็คือคุณ คุณสามารถพิชิตใจผมให้ยอมสยบได้อย่างราบคาบ”

ดูเหมือนว่าตอนนี้ฮาเมอร์จะเชื่อมั่นในทักษะการแพทย์ของฉีเล่ยโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ

ฉีเล่ยหันไปถามกับหลี่ถงซีสั้นๆว่า

“ขอบคุณ…ภาษาอังกฤษต้องพูดว่าอะไร?”

ต่อให้ฉีเล่ยจะเป็นถึงทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ แต่เขาเองก็ไม่สามารถทนรับคำชื่นชมที่ยกย่องให้เกียรติขนาดนี้ โดยไม่ได้แสดงความขอบคุณกลับไปได้

“ขะ-ขอบ..พระ…คุณ…ก๊าบ…”

ฮาเมอร์เองก็พยายามที่จะขอบคุณฉีเล่ยเป็นภาษาจีนด้วยเช่นกัน

“โอ้? ผมเองก็กำลังจะขอบคุณคุณเหมือนกัน!”

ฉีเล่ยเดินเข้าไปจับมือกับฮาเมอร์ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณทันทีเช่นกัน

“แต๊งกิ้ว!”

เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของฮาเมอร์กลับมาเป็นปกติดีแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก

หลินหมิงจางจับจ้องฉีเล่ยด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชื่นชม

เนื่องจากไม่มีอะไรแล้ว หลังจากงานเลี้ยงจบลง ฉีเล่ยจึงได้เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านสกุลหลี่

แต่ทันใดนั้น จู่ๆจางรุ่ยก็วิ่งไล่ตามเขามาอย่างรวดเร็ว

“ฉีเล่ย!”

ฉีเล่ยหันขวับกลับไปมองพลางเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

ชายคนนี้เคยท้าทายเขาอยู่หน้าห้องพักอาจารย์เมื่อครั้งก่อน แต่คราวนี้จู่ๆ ก็ร้องตะโกนเรียกมาแต่ไกล ฉีเล่ยจึงไม่รู้ว่าตนเองควรมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับไปแบบไหนเช่นกัน

จางรุ่ยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายต่ำเกินไปจริงๆ นายเก่งมาก”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบไปอย่างไม่แยแสว่า

“ครับ เรื่องนั้นผมรู้ดี”

ถึงฉันจะพูภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถโน้มน้าวชาวต่างชาติให้มาศรัทธาแพทย์แผนจีนได้โดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษสักคำ ก็นับว่ายอดเยี่ยมไม่น้อยทีเดียว

จางรุ่ยไม่ทนต่อความเย่อหยิ่งจองหองของฉีเล่ยเช่นกัน และตอบไปด้วยน้ำเสียงค่อนข้างห้วงเช่นกัน

“แต่ถึงแบบนั้น…เกมของเราก็ยังไม่จบ!”

ฉีเล่ยแสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสาพร้อมเอ่ยถามกลับไปว่า

“เกมอะไรเหรอครับ?

“ก็เกมประชันความเป็นใหญ่ระหว่างการแพทย์ตะวันตกและการแพทย์ตะวันออกไงล่ะ! ฉันมั่นใจอย่างมากว่าจะต้องเอาชนะนายได้!”

ฉีเล่ยเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย พร้อมกับโน้มหน้าแนบเข้ากับข้างหูของจางรุ่ย ก่อนจะกระซิบเสียงเบาว่า

“ทำไมผมต้องแข่งกับคุณ?”

“จะได้รู้กันไปเลยยังไงล่ะว่าใครเก่งกว่าใคร! ใครกันที่เป็นอาจารย์ที่เก่งที่สุดในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง!”

ฉีเล่ยดึงใบหน้ากลับออกมา และถอยห่างอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มพร้อมพูดเย้ยหยันไปว่า

“ผมเป็นถึงผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ ทั้งยังมีเป่ยฉวนเทียน, หลัวซิ่วและปรมาจารย์แพทย์แผนจีนคนอื่นๆหนุนหลังอยู่ แถมใบหน้าของผมยังถูกตีพิมพ์อยู่ในนิตยาสารอีกมากมายหลายฉบับ ผมมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ทำไมผมยัง…จะต้องไปแข่งกับคุณให้เสียเวลาอีกล่ะ?”

“ถ้าผมแพ้คุณ ชื่อเสียงของคุณจะกลายเป็นที่โด่งดังไปทั่วปักกิ่ง แต่ถ้าคุณแพ้ คุณกลับไม่ได้สูญเสียอะไร เพราะคุณไม่ได้เป็นที่รู้จักของใครๆเขาอยู่แล้วจริงไหม? แต่ผมนี่สิที่มีแต่เสียกับเสีย ชนะก็เสมอตัว แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา ผมก็เสียหน้าแย่สิ จริงไหมล่ะครับ? แล้วทำไมผมต้องลดตัวลงมารับคำท้าของคนอย่างคุณด้วย? ช่วยบอกเหตุผลมาหน่อยจะได้ไหมล่ะครับ?”

จางรุ่ยจ้องตาฉีเล่ยเขม็ง เขาโกรธจัดจนจุกอกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“แก…นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร!?”

“แล้วคุณล่ะครับ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงได้หน้าด้านมาท้าผมแบบนี้?”

ฉีเล่ยยิ้มน้อยๆพร้อมกับพูดต่อทันที

“ในฐานะที่ผมเป็นคนมีชื่อเสียง ผมจำเป็นต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาครับ อีกอย่าง ระหว่างผมกับคุณพวกเราต่างก็ไม่เคยมีเรื่องขุ่นเคืองหรือขัดแย้งกันมาก่อน แล้วทำไมพวกเราต้องแข่งกันด้วย?”

“นายยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า! แข่งเพื่ออะไรงั้นเหรอ? เพื่อศักดิ์ศรียังไงล่ะ!”

ฉีเล่ยเหลือบมองอีกฝ่ายที่ตอบโต้กลับมา พลางส่ายหัวด้วยความขบขัน

“คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าครับ? ผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย แล้วศักดิ์ศรีมันก็กินไม่ได้ด้วย ไปแข่งกับคนอื่นเถอะครับ โชคดี!”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็ยกมือขึ้นโบกลา ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่207 ผมจะไม่แข่งกับคุณ

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter ตอนที่207 ผมจะไม่แข่งกับคุณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่207 ผมจะไม่แข่งกับคุณ

มุมปากของฉีเล่ยคลี่ยิ้มฉีกกว้าง จากนั้นก็คลอบแก้วต่ออีกประมาณ5-6นาที สีหน้าของฮาเมอร์ที่ดูสุดแสนจะทรมานก่อนหน้าได้จางหายไปโดยสมบูรณ์ ใบหูกางใบหน้าสีแดงก่ำเมื่อครู่จางคลายหายไปทันที ร่างกายของเขาที่บวมหนาก่อนหน้ากลับสู่สภาวะปกติดังเดิม

ฉีเล่ยค่อยๆถอนแก้วไวน์ที่ครอบอยู่ทั่วร่างกายท่อนบนของฮาเมอร์ออกทีละใบอย่างระมัดระวัง

หลังจากทำการรักษาฉุกเฉินเมื่อครู่ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมองไปทางฉีเล่ยดูแปลกไปกว่าเดิม

เหล่าสมาชิกจากคณะชาวต่างชาติไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ชายหนุ่มชาวจีนคนนี้จะสามารถรักษาฮาเมอร์ให้หายได้ภายในชั่วพริบตา

ในสภาวะฉุกเฉินเช่นนี้นับเป็นนาทีวิกฤตต่อชีวิตอย่างแท้จริง แต่ทว่า…กลับไม่ต้องใช้เข็ม ไม่ต้องกินยาแม้สักเม็ดเดียว เพียงแค่ใช้แก้วไวน์จำนวนหนึ่งกับไฟแช็ค ก็สามารถรักษาคนไข้ให้พ้นขีดอันตรายได้ นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ…

ด็อกเตอร์ทอมสันร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าที่ทั้งประหลาดใจและตกใจในคราวเดียว

“พระเจ้า…พระเจ้า…คุณฉี นี่มันมหัศจรรย์มากจริงๆ @$3ˆ…”

ต่อให้เขาจะสามารถใช้ภาษาจีนได้ดีมากเพียงใด แต่ต่อหน้าภาพฉากอันน่าอัศจรรย์แบบนี้ ด็อกเตอร์ทอมสันถึงกับเรียบเรียงไวยากรณ์จีนถูกๆผิดๆเช่นกัน

ฮาเมอร์ที่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาดูท่าทางเขินอายอย่างมาก และเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างออกมาเป็นภาษาอังกฤษ แต่น่าเสียดายที่ฉีเล่ยไม่เข้าใจ

ด็อกเตอร์ทอมสันเดินตรงไปโอบไหล่ฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“เมื่อกี้ฮาเมอร์พูดว่า ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ตัดสินใจเดิมพันกับคุณก่อนหน้านี้”

ฉีเล่ยหันมองไปทางฮาเมอร์พร้อมกับตอบไปว่า

“ผมไม่ใช่คนที่ชอบท้าเดิมพันกับคนอื่นไปทั่ว เพียงแต่ผมทนไม่ได้ที่เห็นคนอื่นกล้าพูดจาดูถูกในสิ่งที่ผมเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจ”

ด็อกเตอร์ทอมสันแปลคำพูดของฉีเล่ยเป็นภาษาอังกฤษให้ฮาเมอร์ฟังอีกที หลังจากที่อีกฝ่ายได้ยินก็รีบลุกขึ้นนั่งก้มหน้าก้มตา ก่อนจะพูดอะไรสักอย่างเป็นภาษาอังกฤษต่อหน้าต่อตาทุกคน

ด็อกเตอร์ทอมสันหันไปมองฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เขาบอกว่า ก่อนหน้านี้กลับเป็นตัวเขาเองที่ไร้มารยาท เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ศาสตร์แพทย์แผนจีนจะมหัศจรรย์ถึงขนาดนี้ และจากนี้ต่อไป เขาจะหันไปศึกษาศาสตร์แพทย์แผนจีนอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาอาจจะไม่สามารถเข้าใจทั้งหมดได้ แต่จะพยายามและบอกเล่าถึงความมหัศจรรย์ของแพทย์แผนจีนให้ทุกคนได้ล่วงรู้ เท่าที่เขาจะสามารถทำได้ ทั้งนี้ยังขอให้คุณช่วยยกเลิกเดิมพันก่อนหน้านี้ออกไปจะได้ไหม?”

ฉีเล่ยกล่าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“ผมเป็นคนพูดแล้วไม่คืนคำครับ”

ด็อกเตอร์ทอมสันมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ในฐานะล่ามเขาจำเป็นต้องแปลไปตามที่ฉีเล่ยพูด

“โอเค”

ชายหนุ่มคนนี้เกิดในประเทศจีนจริงๆใช่ไหม? ไหนบอกว่าชาวจีนจะให้ความเคารพนับถือคนที่อาวุโสกว่ายังไงล่ะ? แต่ทำไมกิริยาท่าทางของฉีเล่ยจึงไม่เหมือนที่เขาเคยได้ยินมาซะเลย?

ตรงกันข้าม บุคลิกท่าทางของฉีเล่ยกลับเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่มั่นคง เขาไม่ต่างจากปูก้ามยักษ์ที่พร้อมจะพุ่งชนทุกอุปสรรคที่ขวางหน้า

“ฉีเล่ย…”

แม้ว่าหลินหมิงจางจะไม่ทราบว่า ฉีเล่ยกับฮาเมอร์ไปเดิมพันอะไรกันเอาไว้ แต่อย่างไรเสียเขาก็จำเป็นต้องเอ่ยเตือนฉีเล่ย เพื่อรักษาหน้าของแขกที่มาเยี่ยมเยียนเป็นอันดับแรก

ซีหลู่เฉินถึงกับหัวเราะเยาะเย้ยภายในใจ พลางพูดกับตัวเองว่า

‘ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ เรื่องมาถึงขนาดนี้จนอีกฝ่ายอุตส่าห์หาทางลงได้แล้ว แต่กลับเลือกที่จะดื้อรั้นอยู่อีก? โง่! โง่จริงๆ!’

ฉีเล่ยกล่าวย้ำอีกครั้ง

“ผมไม่ใช่คนจำพวกที่พูดแล้วคืนคำงั้นหรอ”

ฮาเมอร์ได้ฟังคำแปลของด็อกเตอร์ทอมสันเข้า ก็ถึงกับต้องพึมพำออกมาเป็นภาษาอังกฤษ

ในสถานการณ์เช่นนี้ฉีเล่ยรู้สึกคิดถึงเหอจือขึ้นมาจับใจ ถ้ามีเธออยู่ที่นี่ด้วย เธอคงจะเธอช่วยแปลคำถามคำตอบได้รวดเร็วกว่านี้แน่ๆ

แต่ทันใดนั้นหลี่ถงซีที่อยู่ข้างหลังก็กระซิบผ่านรูหูของฉีเล่ยขึ้นว่า

“เขาบอกว่า เขาเข้าใจทัศนคติของคุณดี แล้วเขาก็ต้องขอโทษอีกครั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ทำเรื่องที่ไร้มารยาทกับคุณไป และเขาก็ขอยอมแพ้พร้อมยินดีจ่ายเงินชดเชยให้ตามที่ได้เดิมพันไว้”

ฉีเล่ยปรายหางตามองอีกฝ่าย และพบว่าแววตาของหญิงสาวยังคงไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆเช่นเคย แต่ถึงอย่างนั้น การที่เธอเธอสมัครใจเป็นล่ามแปลให้กับเขาโดยไม่ต้องร้องขอแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าอาการของเธอคงจะเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว

ฉีเล่ยได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ดูท่าเธอจะปิดผนึกความรู้สึกและอารมณ์ภายในใจยังไม่สมบูรณ์ดี และนี่ยังมีโอกาสที่จะรักษาเธอให้หายได้

ฉีเล่ยหันไปจับจ้องใบหน้าสวยงามของหลี่ถงซี พร้อมกับแสยะยิ้มตอบกลับไปว่า

“งั้นฝากบอกเขาด้วยว่า สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ตัวเงิน แต่เมื่อกี้นี้คุณพูดอะไรเอาไว้ก็อย่าลืมซะล่ะ ในฐานะลูกผู้ชายคุณก็ควรทำตามที่ได้ลั่นวาจาไว้”

“ส่วนเรื่องเงินสองล้านนั่นผมได้ต้องการ และเรื่องลาออกจากการเป็นแพทย์อะไรนั่นก็ลืมไปเถอะ สุดท้ายนี้ก็ฝากบอกเขาด้วยว่า จะยังไงก็ตาม ผมจะทำให้การแพทย์แผนจีนกลายเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลกให้จงได้! และภายในสามปีผมจะทำให้คนอเมริกันได้รู้จักการแพทย์แผนจีน แต่ถ้าทำไม่ได้ ผมจะให้เงินกับเขาเป็นจำนวนสองล้านตามที่ได้เคยเดิมพันไว้ และผมจะเลิกอาชีพนี้อย่างถาวร! นี่ไม่ใช่การเดิมพันระหว่างผมกับเขา แต่เป็นเดิมพันกับตัวผมเองโดยมีเขาเป็นพยานเท่านั้น!”

สีหน้าของฮาเมอร์ดูซาบซึ้งอย่างมากเมื่อได้ยินแบบนั้น และได้พูดอะไรบางอย่างกับฉีเล่ยอีกครั้ง

แน่นอนว่าฉีเล่ยไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ แต่ทุกคนโดยรอบต่างพากันตาเบิกโพลงเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกจากปากของฮาเมอร์ ก่อนจะหันขวับไปมองฉีเล่ยต่อ

ฉีเล่ยเลิกคิ้วเอ่ยถามขึ้นทันทีด้วยความสงสัย

“เขาพูดว่าอะไร?”

คราวนี่หลี่ถงซีไม่ได้แปลให้ทันที เพราะกระทั่งเธอเองยังถึงกับชะงักค้างด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากแปลให้ฉีเล่ยฟังว่า

“เขาบอกว่า คนจีนที่เขารู้สึกชื่นชมจากหัวใจมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น คนแรกคือรองรัฐมนตรีโจวและอีกคนก็คือคุณ คุณสามารถพิชิตใจผมให้ยอมสยบได้อย่างราบคาบ”

ดูเหมือนว่าตอนนี้ฮาเมอร์จะเชื่อมั่นในทักษะการแพทย์ของฉีเล่ยโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ

ฉีเล่ยหันไปถามกับหลี่ถงซีสั้นๆว่า

“ขอบคุณ…ภาษาอังกฤษต้องพูดว่าอะไร?”

ต่อให้ฉีเล่ยจะเป็นถึงทายาทผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ แต่เขาเองก็ไม่สามารถทนรับคำชื่นชมที่ยกย่องให้เกียรติขนาดนี้ โดยไม่ได้แสดงความขอบคุณกลับไปได้

“ขะ-ขอบ..พระ…คุณ…ก๊าบ…”

ฮาเมอร์เองก็พยายามที่จะขอบคุณฉีเล่ยเป็นภาษาจีนด้วยเช่นกัน

“โอ้? ผมเองก็กำลังจะขอบคุณคุณเหมือนกัน!”

ฉีเล่ยเดินเข้าไปจับมือกับฮาเมอร์ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณทันทีเช่นกัน

“แต๊งกิ้ว!”

เมื่อเห็นว่าสภาพร่างกายของฮาเมอร์กลับมาเป็นปกติดีแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก

หลินหมิงจางจับจ้องฉีเล่ยด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกชื่นชม

เนื่องจากไม่มีอะไรแล้ว หลังจากงานเลี้ยงจบลง ฉีเล่ยจึงได้เตรียมตัวเดินทางกลับบ้านสกุลหลี่

แต่ทันใดนั้น จู่ๆจางรุ่ยก็วิ่งไล่ตามเขามาอย่างรวดเร็ว

“ฉีเล่ย!”

ฉีเล่ยหันขวับกลับไปมองพลางเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า

“มีอะไรรึเปล่าครับ?”

ชายคนนี้เคยท้าทายเขาอยู่หน้าห้องพักอาจารย์เมื่อครั้งก่อน แต่คราวนี้จู่ๆ ก็ร้องตะโกนเรียกมาแต่ไกล ฉีเล่ยจึงไม่รู้ว่าตนเองควรมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับไปแบบไหนเช่นกัน

จางรุ่ยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินนายต่ำเกินไปจริงๆ นายเก่งมาก”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบไปอย่างไม่แยแสว่า

“ครับ เรื่องนั้นผมรู้ดี”

ถึงฉันจะพูภาษาอังกฤษไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถโน้มน้าวชาวต่างชาติให้มาศรัทธาแพทย์แผนจีนได้โดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษสักคำ ก็นับว่ายอดเยี่ยมไม่น้อยทีเดียว

จางรุ่ยไม่ทนต่อความเย่อหยิ่งจองหองของฉีเล่ยเช่นกัน และตอบไปด้วยน้ำเสียงค่อนข้างห้วงเช่นกัน

“แต่ถึงแบบนั้น…เกมของเราก็ยังไม่จบ!”

ฉีเล่ยแสร้งปั้นหน้าไร้เดียงสาพร้อมเอ่ยถามกลับไปว่า

“เกมอะไรเหรอครับ?

“ก็เกมประชันความเป็นใหญ่ระหว่างการแพทย์ตะวันตกและการแพทย์ตะวันออกไงล่ะ! ฉันมั่นใจอย่างมากว่าจะต้องเอาชนะนายได้!”

ฉีเล่ยเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย พร้อมกับโน้มหน้าแนบเข้ากับข้างหูของจางรุ่ย ก่อนจะกระซิบเสียงเบาว่า

“ทำไมผมต้องแข่งกับคุณ?”

“จะได้รู้กันไปเลยยังไงล่ะว่าใครเก่งกว่าใคร! ใครกันที่เป็นอาจารย์ที่เก่งที่สุดในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง!”

ฉีเล่ยดึงใบหน้ากลับออกมา และถอยห่างอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มพร้อมพูดเย้ยหยันไปว่า

“ผมเป็นถึงผู้สืบทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ ทั้งยังมีเป่ยฉวนเทียน, หลัวซิ่วและปรมาจารย์แพทย์แผนจีนคนอื่นๆหนุนหลังอยู่ แถมใบหน้าของผมยังถูกตีพิมพ์อยู่ในนิตยาสารอีกมากมายหลายฉบับ ผมมีชื่อเสียงอยู่แล้ว ทำไมผมยัง…จะต้องไปแข่งกับคุณให้เสียเวลาอีกล่ะ?”

“ถ้าผมแพ้คุณ ชื่อเสียงของคุณจะกลายเป็นที่โด่งดังไปทั่วปักกิ่ง แต่ถ้าคุณแพ้ คุณกลับไม่ได้สูญเสียอะไร เพราะคุณไม่ได้เป็นที่รู้จักของใครๆเขาอยู่แล้วจริงไหม? แต่ผมนี่สิที่มีแต่เสียกับเสีย ชนะก็เสมอตัว แต่ถ้าแพ้ขึ้นมา ผมก็เสียหน้าแย่สิ จริงไหมล่ะครับ? แล้วทำไมผมต้องลดตัวลงมารับคำท้าของคนอย่างคุณด้วย? ช่วยบอกเหตุผลมาหน่อยจะได้ไหมล่ะครับ?”

จางรุ่ยจ้องตาฉีเล่ยเขม็ง เขาโกรธจัดจนจุกอกพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“แก…นี่แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร!?”

“แล้วคุณล่ะครับ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงได้หน้าด้านมาท้าผมแบบนี้?”

ฉีเล่ยยิ้มน้อยๆพร้อมกับพูดต่อทันที

“ในฐานะที่ผมเป็นคนมีชื่อเสียง ผมจำเป็นต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาครับ อีกอย่าง ระหว่างผมกับคุณพวกเราต่างก็ไม่เคยมีเรื่องขุ่นเคืองหรือขัดแย้งกันมาก่อน แล้วทำไมพวกเราต้องแข่งกันด้วย?”

“นายยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า! แข่งเพื่ออะไรงั้นเหรอ? เพื่อศักดิ์ศรียังไงล่ะ!”

ฉีเล่ยเหลือบมองอีกฝ่ายที่ตอบโต้กลับมา พลางส่ายหัวด้วยความขบขัน

“คุณเข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่าครับ? ผมไม่ใช่ลูกผู้ชาย แล้วศักดิ์ศรีมันก็กินไม่ได้ด้วย ไปแข่งกับคนอื่นเถอะครับ โชคดี!”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็ยกมือขึ้นโบกลา ก่อนจะหันหลังเดินจากไปทันที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+