ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 30 ข่าวลือไม่จริง

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 30 ข่าวลือไม่จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ตอนที่ 30 ข่าวลือไม่จริง

 

ทุกคนต่างก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ต่างคนต่างก็รู้สึกราวกับว่า หินก้อนใหญ่ที่แบกไว้ในอกกว่าครึ่งเดือนนั้น ได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

มันได้ผล! วิธีการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนได้ผล!

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลิวเฟิงเจิ้นต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวยครั้งนี้ เรียกได้ว่า ไม่เคยได้มีโอกาสนอนหลับสนิทเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

หลี่ฮั่วเฉินเดินเข้าไปใกล้เตียงของผู้ป่วยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เฝ้าสังเกตดูอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด ก่อนจะสรุปให้ทุกคนฟังว่า

 

“อาการของคนไข้ดูเหมือนจะดีขึ้นจริงๆ ไข้ที่สูงก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะค่อยๆลดลงแล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วล่ะ ปล่อยให้คนไข้นอนพักผ่อนจะดีกว่า!”

 

จากนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องผู้ป่วย ต่างก็พากันเดินออกไปเพราะเกรงว่า เสียงพูดคุยของตนเอง จะไปรบกวนการนอนหลับอย่างมีความสุขของหลิวเฟิงเจิ้น

 

ฉีเล่ยเองก็กําลังจะก้าวเดินออกจากห้องผู้ป่วยด้วยเช่นกัน แต่หลี่ฮั่วเฉินกลับหันไปบอกกับเขาว่า

 

“ฉีเลย เธออยู่ดูแลคนไข้อยู่ในห้องเถอะนะ! หากมีอะไรเกิดขึ้น เธอจะได้สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที!”

 

ไต่คุนที่นิ่งเงียบมาตลอดการรักษา เมื่อได้เห็นภรรยาสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยเช่นกัน หลังจากที่หลี่ฮั่วเฉินพูดกับฉีเลยแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆเช่นกัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“คุณหมอฉีชื่อเต็มๆคือฉีเลยสินะ? ขอบคุณมากที่มาในวันนี้! ฉันขอฝากภรรยาด้วย!”

 

แพทย์คนอื่นๆ ที่ได้เห็นท่านผู้ว่าไต่คุนเอ่ยขอบคุณฉีเลยเช่นนั้น ก็ได้แต่พากันคิดในใจว่า หมอหนุ่มคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ ที่สามารถทําให้ท่านผู้ว่าพออกพอใจได้ อนาคตในวงการแพทย์ของเขา คงต้องเฉิดฉายอย่างมากแน่!

 

คําพูดประโยคที่ว่า “ขอบคุณที่มาในวันนี้ ความจริงแล้วไต่คุนไม่จําเป็นต้องพูดออกมาก็ได้ แต่เขาก็จงใจประโยคนี้เพื่อสื่อสารให้ฉีเลยได้รู้ว่า เขารู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่แพทย์ฝึกหัดของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่เป็นหมอที่ต่งซีหยุนแนะนํามา

 

ส่วนเหตุผลที่ไต่คุนไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าทุกคนนั้น ฉีเล่ยใคร่ครวญดูครู่หนึ่ง จึงพอเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร? เขาจึงเพียงแค่ยิมให้ไต่คุนเล็กน้อย และตอบกลับไปว่า

 

“ท่านผู้ว่าอย่าได้กังวลใจไปเลยครับ ผมจะรอจนกว่าคุณนายหลิวจะหายดี แล้วค่อยกลับ!”

 

คิ้วทั้งสองข้างของไต่คุนเลิกขึ้นสูงทันที หลังจากได้ยินคําพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย “รอให้หายดีแล้วค่อยกลับปั้นเหรอ?”

 

“กลับไปไหนกัน? นี่เขาไม่อยากทํางานที่โรงพยาบาลนี้หรอกเหรอ?”

 

เมื่อครั้งที่ต่งซีหยุนเล่าเรื่องของเล่ยให้เขาฟังนั้น ต่งซีหยุนได้บอกกับเขาเช่นกันว่า ฉีเลยไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ ในเมื่อมีโอกาสที่จะได้ทํางานในโรงพยาบาล เหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ต้องการ?

 

แต่ไต่คุนก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เพียงแค่ยกมือขึ้นตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆอีกครั้ง แต่ภายในใจนั้นกลับแอบคิดว่า เขาควรจะต้องหาทางจัดการให้ชายหนุ่มคนนี้ เข้าเป็นแพทย์ในระบบอย่างจริงๆจังๆ

 

แพทย์ทุกคนยกเว้นฉีเล่ย เมื่อกลับออกจากห้องผู้ป่วยไปแล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปที่ห้องทํางานของตนเอง และเวลานี้ทุกคนต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทํางาน พร้อมกับยกมือขวาขึ้นกุมเอวของตนเองไว้ในหัวสมองก็เฝ้าครุ่นคิดว่า มีสิ่งใดซ่อนอยู่ที่เอวข้างขวาของท่านหมอหลี่กันแน่?

 

แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นใด ก็ไม่มีใครคิดออกเลยแม้แต่คนเดียว!

 

ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรหลังจากที่ฉีเล่ยพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าท่าทางของหลี่ฮั่วเฉินจึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนั้น? มิหนําซ้ำยังเอ่ยชมฉีเล่ยต่อหน้าท่านผู้ว่าหลิวอีกด้วย!

 

ส่วนทางด้านจางฝูนั้น ไม่มีกระจิตกระใจจะมาคิดเรื่องอะไรเหล่านี้ นั่นเพราะเมื่อครู่ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นของคนไข้สําคัญ จ้าวโจวเฉินก็ได้ไล่เขาออกจากการเป็นหัวหน้าแผนกโรคทางเดินอาหารต่อหน้าทุกคน และสั่งให้เขาไปประจําอยู่ที่แผนกฉุกเฉินแทน

 

คําพูดของผู้อํานวยการโรงพยาบาล ย่อมไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ อย่างแน่นอน!

 

แพทย์ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สภาพภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนั้นเป็นเช่นใด? นอกจากจะต้องเจอเคสหนักตลอดทั้งปี แล้วยังต้องเจอแต่เคสเร่งด่วน หากไม่สามารถประเมิน หรือรักษาได้อย่างทันท่วงที ย่อมต้องเกิดปัญหากับคนไข้ได้อย่างง่ายดาย..

 

จางฝูต้องดิ้นรนอยู่นานหลายปี กว่าที่จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกเช่นนี้ แต่แล้ว วันนี้เขากลับต้องรู้สึกไม่ต่างจากการถูกถีบตกสวรรค์ ลงไปอยู่ในขุนนรกทันที!

 

เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานแล้ว จางฝูจึงได้ขึ้นไปหาเลยที่ห้องคนไข้พิเศษ และหลังจากพูดคุยสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางฝูก็ได้ร่ำลาชายหนุ่ม ก่อนจะขับรถกลับบ้านไป

 

เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางฝูก็ถึงกับกินอะไรไม่ลง แม้ว่าภรรยาของเขาจะทําอาหารเต็มโต๊ะ แต่นายแพทย์วัยกลางคนผู้นี้กลับไม่สามารถกลืนข้าวลงคอได้แม้แต่คําเดียว และเมื่อภรรยาเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จางฝูก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเดินกลับเข้าห้องนอนไป

 

จางฝูไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสามารถมานั่งอธิบาย และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟังได้!

 

เป็นเพราะกว่าจะข่มตาหลับได้เมื่อคืนนี้ ทําให้จางฝูตื่นสายกว่าเดิมเล็กน้อย และเกรงว่าจะไปทํางานสาย เขาจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนใจที่จะกินอาหารเช้า

 

แต่เมื่อขับรถผ่านประตูโรงพยาบาลไป หัวใจของจางฝูก็ถึงกับตกลงไปที่ตาตุ่ม เพราะเวลานี้ จ้าวโจวเฉินกําลังยืนอยู่หน้าอาคารผู้ป่วยนอก

 

“นี่ผู้อํานวยการมายืนรอจัดการกับฉันอยู่หรือเปล่า?”

 

หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว จางฝูก็รีบเดินเข้าไปทักทายจ้าวโจวเฉินทันที และได้แต่แอบคิดในใจว่า หากเขาถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาคงจะต้องโทรไปหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน ซึ่งเวลานี้เป็นรองผู้อํานวยการอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เพื่อขอให้เพื่อนหาตําแหน่งในโรงพยาบาลลงให้

 

“ผู้อํานวยการจ้าว วันนี้ผมตื่นสายไปหน่อยครับ!”

 

จางฝู นายแพทย์ในวัยสามสิบ แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าจ้าวโจวเฉิน กลับได้แต่ยืนกุมมือก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม ราวกับเด็กนักเรียนที่ยืนอยู่ต่อหน้าคุณครู

 

แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ไม่เพียงจ้าวโจวเฉินจะไม่โมโห เขายังหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

“คุณหมอจาง หลายวันนี้คุณก็เฝ้าดูแลอาการป่วยของคุณนายหลิวตลอดทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้พัก นอนตื่นสายบ้างจะเป็นอะไรไปล่ะ? ไว้รอให้คุณนายหลิวหายดีเมื่อไหร่ ผมจะให้คุณลาพักร้อน จะได้มีโอกาสพักผ่อนให้เต็มที่ ประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ก็จะได้ดีขึ้นด้วย”

 

จางฝูได้แต่งนงง และไม่สามารถทําความเข้าใจได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! ผู้อํานวยการจ้าวแอบถือมีดไว้ข้างหลังหรือเปล่า?

 

แต่ถึงอย่างนั้น จางฝูก็ได้ตอบไปว่า “วันหลังผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ และจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครับ?”

 

แต่จ้าวโจวเฉินกลับแย้งขึ้นว่า “ดูคุณสิคุณหมอจาง! กระทั่งเสือที่ล่าเหยื่อ มันยังต้องแอบงีบ นี่คุณเป็นคนนะ ยังไงก็ต้องการการพักผ่อน! ต่อไป ฉันคงต้องย้ำกับหมอคนอื่นๆ ให้ดูคุณเป็นตัวอย่างแล้วล่ะ!”

 

หลังจากพูดจบ จ้าวโจวเฉินก็ถือวิสาสะเข้าไปจับแขนจางฝูอย่างสนิทสนม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ! คุณตามผมเข้าไปดูอาการของคุณนายหลิวด้วยกันเลย!”

 

จางฝูได้แต่แอบยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาบนหน้าผาก ในขณะเดียวกันก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวังตัว

 

“อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอครับท่านผู้อํานวยการ?”

 

“มหัศจรรย์! มหัศจรรย์มากจริงๆ!”

 

จ้าวโจวเฉินร้องอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะพูดต่อในทันที “อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นจากเดิมกว่าครึ่ง ครั้งนี้คุณผลงานได้เยี่ยมมากจริงๆ วันหน้าวันหลัง คุณจะต้องหาหมอฝึกหัดๆเก่งๆ อย่างฉีเล่ยมาทํางานในองค์กรของเราให้มากๆ จากนี้ต่อไป ผมจะให้คุณขึ้นไปอยู่ในทีมบริหารของโรงพยาบาลด้วย!”

 

จ้าวโจวเฉินนั้นไม่รู้ที่มาที่ไปแท้จริงของฉีเล่ย เขาคิดว่าฉีเล่ยเป็นแพทย์ฝึกหัดที่จางฝูพาเข้ามา

 

ฉีเลยฟังคําพูดของจ้าวโจวเหวินแล้วถึงกับตกใจจนแทบหงายหลัง เพราะดูเหมือนนอกจากเขาจะไม่ถูกปลดจากตําแหน่งหัวหน้าแผนกแล้ว เขายังได้เข้าร่วมเป็นทีมบริหารของทางโรงพยาบาลอีกด้วย!

 

ตลอดเช้าที่ผ่านมา ทั้งหมอและพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าอาคารผู้ป่วยนอกนั้น ต่างก็เห็นจ้าวโจวเฉินออกมายืนชะเง้อมอง คล้ายกับว่ากําลังรอคอยแขกคนสําคัญอยู่ ทุกคนต่างก็คิดว่า น่าจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดคนหนึ่ง

 

แต่กลับกลายเป็นว่า เขามายืนรอหัวหน้าจาง!

 

“น่าแปลก! ไหนคนในโรงพยาบาลต่างก็ลือกันว่า เมื่อวานนี้ผู้อํานวยการโกรธหัวหน้าจางมาก ถึงกับปลดเขาออกจากตําแหน่งหัวหน้าแผนก และไล่ให้ไปประจําที่แผนกฉุกเฉิน”

 

“หรือว่า นี่จะเป็นข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงนะ?”

 

ตอนที่ 31 ข่าวลือไม่จริง

 

ทุกคนต่างก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ต่างคนต่างก็รู้สึกราวกับว่า หินก้อนใหญ่ที่แบกไว้ในอกกว่าครึ่งเดือนนั้น ได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

มันได้ผล! วิธีการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนได้ผล!

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลิวเฟิงเจิ้นต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวยครั้งนี้ เรียกได้ว่า ไม่เคยได้มีโอกาสนอนหลับสนิทเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

หลี่ฮั่วเฉินเดินเข้าไปใกล้เตียงของผู้ป่วยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เฝ้าสังเกตดูอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด ก่อนจะสรุปให้ทุกคนฟังว่า

 

“อาการของคนไข้ดูเหมือนจะดีขึ้นจริงๆ ไข้ที่สูงก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะค่อยๆลดลงแล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วล่ะ ปล่อยให้คนไข้นอนพักผ่อนจะดีกว่า!”

 

จากนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องผู้ป่วย ต่างก็พากันเดินออกไปเพราะเกรงว่า เสียงพูดคุยของตนเอง จะไปรบกวนการนอนหลับอย่างมีความสุขของหลิวเฟิงเจิ้น

 

ฉีเล่ยเองก็กําลังจะก้าวเดินออกจากห้องผู้ป่วยด้วยเช่นกัน แต่หลี่ฮั่วเฉินกลับหันไปบอกกับเขาว่า

 

“ฉีเลย เธออยู่ดูแลคนไข้อยู่ในห้องเถอะนะ! หากมีอะไรเกิดขึ้น เธอจะได้สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที!”

 

ไต่คุนที่นิ่งเงียบมาตลอดการรักษา เมื่อได้เห็นภรรยาสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยเช่นกัน หลังจากที่หลี่ฮั่วเฉินพูดกับฉีเลยแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆเช่นกัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“คุณหมอฉีชื่อเต็มๆคือฉีเลยสินะ? ขอบคุณมากที่มาในวันนี้! ฉันขอฝากภรรยาด้วย!”

 

แพทย์คนอื่นๆ ที่ได้เห็นท่านผู้ว่าไต่คุนเอ่ยขอบคุณฉีเลยเช่นนั้น ก็ได้แต่พากันคิดในใจว่า หมอหนุ่มคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ ที่สามารถทําให้ท่านผู้ว่าพออกพอใจได้ อนาคตในวงการแพทย์ของเขา คงต้องเฉิดฉายอย่างมากแน่!

 

คําพูดประโยคที่ว่า “ขอบคุณที่มาในวันนี้ ความจริงแล้วไต่คุนไม่จําเป็นต้องพูดออกมาก็ได้ แต่เขาก็จงใจประโยคนี้เพื่อสื่อสารให้ฉีเลยได้รู้ว่า เขารู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่แพทย์ฝึกหัดของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่เป็นหมอที่ต่งซีหยุนแนะนํามา

 

ส่วนเหตุผลที่ไต่คุนไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าทุกคนนั้น ฉีเล่ยใคร่ครวญดูครู่หนึ่ง จึงพอเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร? เขาจึงเพียงแค่ยิมให้ไต่คุนเล็กน้อย และตอบกลับไปว่า

 

“ท่านผู้ว่าอย่าได้กังวลใจไปเลยครับ ผมจะรอจนกว่าคุณนายหลิวจะหายดี แล้วค่อยกลับ!”

 

คิ้วทั้งสองข้างของไต่คุนเลิกขึ้นสูงทันที หลังจากได้ยินคําพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย “รอให้หายดีแล้วค่อยกลับปั้นเหรอ?”

 

“กลับไปไหนกัน? นี่เขาไม่อยากทํางานที่โรงพยาบาลนี้หรอกเหรอ?”

 

เมื่อครั้งที่ต่งซีหยุนเล่าเรื่องของเล่ยให้เขาฟังนั้น ต่งซีหยุนได้บอกกับเขาเช่นกันว่า ฉีเลยไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ ในเมื่อมีโอกาสที่จะได้ทํางานในโรงพยาบาล เหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ต้องการ?

 

แต่ไต่คุนก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เพียงแค่ยกมือขึ้นตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆอีกครั้ง แต่ภายในใจนั้นกลับแอบคิดว่า เขาควรจะต้องหาทางจัดการให้ชายหนุ่มคนนี้ เข้าเป็นแพทย์ในระบบอย่างจริงๆจังๆ

 

แพทย์ทุกคนยกเว้นฉีเล่ย เมื่อกลับออกจากห้องผู้ป่วยไปแล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปที่ห้องทํางานของตนเอง และเวลานี้ทุกคนต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทํางาน พร้อมกับยกมือขวาขึ้นกุมเอวของตนเองไว้ในหัวสมองก็เฝ้าครุ่นคิดว่า มีสิ่งใดซ่อนอยู่ที่เอวข้างขวาของท่านหมอหลี่กันแน่?

 

แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นใด ก็ไม่มีใครคิดออกเลยแม้แต่คนเดียว!

 

ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรหลังจากที่ฉีเล่ยพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าท่าทางของหลี่ฮั่วเฉินจึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนั้น? มิหนําซ้ำยังเอ่ยชมฉีเล่ยต่อหน้าท่านผู้ว่าหลิวอีกด้วย!

 

ส่วนทางด้านจางฝูนั้น ไม่มีกระจิตกระใจจะมาคิดเรื่องอะไรเหล่านี้ นั่นเพราะเมื่อครู่ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นของคนไข้สําคัญ จ้าวโจวเฉินก็ได้ไล่เขาออกจากการเป็นหัวหน้าแผนกโรคทางเดินอาหารต่อหน้าทุกคน และสั่งให้เขาไปประจําอยู่ที่แผนกฉุกเฉินแทน

 

คําพูดของผู้อํานวยการโรงพยาบาล ย่อมไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ อย่างแน่นอน!

 

แพทย์ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สภาพภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนั้นเป็นเช่นใด? นอกจากจะต้องเจอเคสหนักตลอดทั้งปี แล้วยังต้องเจอแต่เคสเร่งด่วน หากไม่สามารถประเมิน หรือรักษาได้อย่างทันท่วงที ย่อมต้องเกิดปัญหากับคนไข้ได้อย่างง่ายดาย..

 

จางฝูต้องดิ้นรนอยู่นานหลายปี กว่าที่จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกเช่นนี้ แต่แล้ว วันนี้เขากลับต้องรู้สึกไม่ต่างจากการถูกถีบตกสวรรค์ ลงไปอยู่ในขุนนรกทันที!

 

เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานแล้ว จางฝูจึงได้ขึ้นไปหาเลยที่ห้องคนไข้พิเศษ และหลังจากพูดคุยสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางฝูก็ได้ร่ำลาชายหนุ่ม ก่อนจะขับรถกลับบ้านไป

 

เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางฝูก็ถึงกับกินอะไรไม่ลง แม้ว่าภรรยาของเขาจะทําอาหารเต็มโต๊ะ แต่นายแพทย์วัยกลางคนผู้นี้กลับไม่สามารถกลืนข้าวลงคอได้แม้แต่คําเดียว และเมื่อภรรยาเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จางฝูก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเดินกลับเข้าห้องนอนไป

 

จางฝูไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสามารถมานั่งอธิบาย และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟังได้!

 

เป็นเพราะกว่าจะข่มตาหลับได้เมื่อคืนนี้ ทําให้จางฝูตื่นสายกว่าเดิมเล็กน้อย และเกรงว่าจะไปทํางานสาย เขาจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนใจที่จะกินอาหารเช้า

 

แต่เมื่อขับรถผ่านประตูโรงพยาบาลไป หัวใจของจางฝูก็ถึงกับตกลงไปที่ตาตุ่ม เพราะเวลานี้ จ้าวโจวเฉินกําลังยืนอยู่หน้าอาคารผู้ป่วยนอก

 

“นี่ผู้อํานวยการมายืนรอจัดการกับฉันอยู่หรือเปล่า?”

 

หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว จางฝูก็รีบเดินเข้าไปทักทายจ้าวโจวเฉินทันที และได้แต่แอบคิดในใจว่า หากเขาถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาคงจะต้องโทรไปหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน ซึ่งเวลานี้เป็นรองผู้อํานวยการอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เพื่อขอให้เพื่อนหาตําแหน่งในโรงพยาบาลลงให้

 

“ผู้อํานวยการจ้าว วันนี้ผมตื่นสายไปหน่อยครับ!”

 

จางฝู นายแพทย์ในวัยสามสิบ แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าจ้าวโจวเฉิน กลับได้แต่ยืนกุมมือก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม ราวกับเด็กนักเรียนที่ยืนอยู่ต่อหน้าคุณครู

 

แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ไม่เพียงจ้าวโจวเฉินจะไม่โมโห เขายังหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

“คุณหมอจาง หลายวันนี้คุณก็เฝ้าดูแลอาการป่วยของคุณนายหลิวตลอดทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้พัก นอนตื่นสายบ้างจะเป็นอะไรไปล่ะ? ไว้รอให้คุณนายหลิวหายดีเมื่อไหร่ ผมจะให้คุณลาพักร้อน จะได้มีโอกาสพักผ่อนให้เต็มที่ ประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ก็จะได้ดีขึ้นด้วย”

 

จางฝูได้แต่งนงง และไม่สามารถทําความเข้าใจได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! ผู้อํานวยการจ้าวแอบถือมีดไว้ข้างหลังหรือเปล่า?

 

แต่ถึงอย่างนั้น จางฝูก็ได้ตอบไปว่า “วันหลังผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ และจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครับ?”

 

แต่จ้าวโจวเฉินกลับแย้งขึ้นว่า “ดูคุณสิคุณหมอจาง! กระทั่งเสือที่ล่าเหยื่อ มันยังต้องแอบงีบ นี่คุณเป็นคนนะ ยังไงก็ต้องการการพักผ่อน! ต่อไป ฉันคงต้องย้ำกับหมอคนอื่นๆ ให้ดูคุณเป็นตัวอย่างแล้วล่ะ!”

 

หลังจากพูดจบ จ้าวโจวเฉินก็ถือวิสาสะเข้าไปจับแขนจางฝูอย่างสนิทสนม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ! คุณตามผมเข้าไปดูอาการของคุณนายหลิวด้วยกันเลย!”

 

จางฝูได้แต่แอบยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาบนหน้าผาก ในขณะเดียวกันก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวังตัว

 

“อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอครับท่านผู้อํานวยการ?”

 

“มหัศจรรย์! มหัศจรรย์มากจริงๆ!”

 

จ้าวโจวเฉินร้องอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะพูดต่อในทันที “อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นจากเดิมกว่าครึ่ง ครั้งนี้คุณผลงานได้เยี่ยมมากจริงๆ วันหน้าวันหลัง คุณจะต้องหาหมอฝึกหัดๆเก่งๆ อย่างฉีเล่ยมาทํางานในองค์กรของเราให้มากๆ จากนี้ต่อไป ผมจะให้คุณขึ้นไปอยู่ในทีมบริหารของโรงพยาบาลด้วย!”

 

จ้าวโจวเฉินนั้นไม่รู้ที่มาที่ไปแท้จริงของฉีเล่ย เขาคิดว่าฉีเล่ยเป็นแพทย์ฝึกหัดที่จางฝูพาเข้ามา

 

ฉีเลยฟังคําพูดของจ้าวโจวเหวินแล้วถึงกับตกใจจนแทบหงายหลัง เพราะดูเหมือนนอกจากเขาจะไม่ถูกปลดจากตําแหน่งหัวหน้าแผนกแล้ว เขายังได้เข้าร่วมเป็นทีมบริหารของทางโรงพยาบาลอีกด้วย!

 

ตลอดเช้าที่ผ่านมา ทั้งหมอและพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าอาคารผู้ป่วยนอกนั้น ต่างก็เห็นจ้าวโจวเฉินออกมายืนชะเง้อมอง คล้ายกับว่ากําลังรอคอยแขกคนสําคัญอยู่ ทุกคนต่างก็คิดว่า น่าจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดคนหนึ่ง

 

แต่กลับกลายเป็นว่า เขามายืนรอหัวหน้าจาง!

 

“น่าแปลก! ไหนคนในโรงพยาบาลต่างก็ลือกันว่า เมื่อวานนี้ผู้อํานวยการโกรธหัวหน้าจางมาก ถึงกับปลดเขาออกจากตําแหน่งหัวหน้าแผนก และไล่ให้ไปประจําที่แผนกฉุกเฉิน”

 

“หรือว่า นี่จะเป็นข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงนะ?”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 30 ข่าวลือไม่จริง

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 30 ข่าวลือไม่จริง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

ตอนที่ 30 ข่าวลือไม่จริง

 

ทุกคนต่างก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ต่างคนต่างก็รู้สึกราวกับว่า หินก้อนใหญ่ที่แบกไว้ในอกกว่าครึ่งเดือนนั้น ได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

มันได้ผล! วิธีการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนได้ผล!

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลิวเฟิงเจิ้นต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวยครั้งนี้ เรียกได้ว่า ไม่เคยได้มีโอกาสนอนหลับสนิทเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

หลี่ฮั่วเฉินเดินเข้าไปใกล้เตียงของผู้ป่วยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เฝ้าสังเกตดูอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด ก่อนจะสรุปให้ทุกคนฟังว่า

 

“อาการของคนไข้ดูเหมือนจะดีขึ้นจริงๆ ไข้ที่สูงก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะค่อยๆลดลงแล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วล่ะ ปล่อยให้คนไข้นอนพักผ่อนจะดีกว่า!”

 

จากนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องผู้ป่วย ต่างก็พากันเดินออกไปเพราะเกรงว่า เสียงพูดคุยของตนเอง จะไปรบกวนการนอนหลับอย่างมีความสุขของหลิวเฟิงเจิ้น

 

ฉีเล่ยเองก็กําลังจะก้าวเดินออกจากห้องผู้ป่วยด้วยเช่นกัน แต่หลี่ฮั่วเฉินกลับหันไปบอกกับเขาว่า

 

“ฉีเลย เธออยู่ดูแลคนไข้อยู่ในห้องเถอะนะ! หากมีอะไรเกิดขึ้น เธอจะได้สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที!”

 

ไต่คุนที่นิ่งเงียบมาตลอดการรักษา เมื่อได้เห็นภรรยาสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยเช่นกัน หลังจากที่หลี่ฮั่วเฉินพูดกับฉีเลยแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆเช่นกัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“คุณหมอฉีชื่อเต็มๆคือฉีเลยสินะ? ขอบคุณมากที่มาในวันนี้! ฉันขอฝากภรรยาด้วย!”

 

แพทย์คนอื่นๆ ที่ได้เห็นท่านผู้ว่าไต่คุนเอ่ยขอบคุณฉีเลยเช่นนั้น ก็ได้แต่พากันคิดในใจว่า หมอหนุ่มคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ ที่สามารถทําให้ท่านผู้ว่าพออกพอใจได้ อนาคตในวงการแพทย์ของเขา คงต้องเฉิดฉายอย่างมากแน่!

 

คําพูดประโยคที่ว่า “ขอบคุณที่มาในวันนี้ ความจริงแล้วไต่คุนไม่จําเป็นต้องพูดออกมาก็ได้ แต่เขาก็จงใจประโยคนี้เพื่อสื่อสารให้ฉีเลยได้รู้ว่า เขารู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่แพทย์ฝึกหัดของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่เป็นหมอที่ต่งซีหยุนแนะนํามา

 

ส่วนเหตุผลที่ไต่คุนไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าทุกคนนั้น ฉีเล่ยใคร่ครวญดูครู่หนึ่ง จึงพอเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร? เขาจึงเพียงแค่ยิมให้ไต่คุนเล็กน้อย และตอบกลับไปว่า

 

“ท่านผู้ว่าอย่าได้กังวลใจไปเลยครับ ผมจะรอจนกว่าคุณนายหลิวจะหายดี แล้วค่อยกลับ!”

 

คิ้วทั้งสองข้างของไต่คุนเลิกขึ้นสูงทันที หลังจากได้ยินคําพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย “รอให้หายดีแล้วค่อยกลับปั้นเหรอ?”

 

“กลับไปไหนกัน? นี่เขาไม่อยากทํางานที่โรงพยาบาลนี้หรอกเหรอ?”

 

เมื่อครั้งที่ต่งซีหยุนเล่าเรื่องของเล่ยให้เขาฟังนั้น ต่งซีหยุนได้บอกกับเขาเช่นกันว่า ฉีเลยไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ ในเมื่อมีโอกาสที่จะได้ทํางานในโรงพยาบาล เหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ต้องการ?

 

แต่ไต่คุนก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เพียงแค่ยกมือขึ้นตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆอีกครั้ง แต่ภายในใจนั้นกลับแอบคิดว่า เขาควรจะต้องหาทางจัดการให้ชายหนุ่มคนนี้ เข้าเป็นแพทย์ในระบบอย่างจริงๆจังๆ

 

แพทย์ทุกคนยกเว้นฉีเล่ย เมื่อกลับออกจากห้องผู้ป่วยไปแล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปที่ห้องทํางานของตนเอง และเวลานี้ทุกคนต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทํางาน พร้อมกับยกมือขวาขึ้นกุมเอวของตนเองไว้ในหัวสมองก็เฝ้าครุ่นคิดว่า มีสิ่งใดซ่อนอยู่ที่เอวข้างขวาของท่านหมอหลี่กันแน่?

 

แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นใด ก็ไม่มีใครคิดออกเลยแม้แต่คนเดียว!

 

ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรหลังจากที่ฉีเล่ยพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าท่าทางของหลี่ฮั่วเฉินจึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนั้น? มิหนําซ้ำยังเอ่ยชมฉีเล่ยต่อหน้าท่านผู้ว่าหลิวอีกด้วย!

 

ส่วนทางด้านจางฝูนั้น ไม่มีกระจิตกระใจจะมาคิดเรื่องอะไรเหล่านี้ นั่นเพราะเมื่อครู่ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นของคนไข้สําคัญ จ้าวโจวเฉินก็ได้ไล่เขาออกจากการเป็นหัวหน้าแผนกโรคทางเดินอาหารต่อหน้าทุกคน และสั่งให้เขาไปประจําอยู่ที่แผนกฉุกเฉินแทน

 

คําพูดของผู้อํานวยการโรงพยาบาล ย่อมไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ อย่างแน่นอน!

 

แพทย์ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สภาพภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนั้นเป็นเช่นใด? นอกจากจะต้องเจอเคสหนักตลอดทั้งปี แล้วยังต้องเจอแต่เคสเร่งด่วน หากไม่สามารถประเมิน หรือรักษาได้อย่างทันท่วงที ย่อมต้องเกิดปัญหากับคนไข้ได้อย่างง่ายดาย..

 

จางฝูต้องดิ้นรนอยู่นานหลายปี กว่าที่จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกเช่นนี้ แต่แล้ว วันนี้เขากลับต้องรู้สึกไม่ต่างจากการถูกถีบตกสวรรค์ ลงไปอยู่ในขุนนรกทันที!

 

เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานแล้ว จางฝูจึงได้ขึ้นไปหาเลยที่ห้องคนไข้พิเศษ และหลังจากพูดคุยสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางฝูก็ได้ร่ำลาชายหนุ่ม ก่อนจะขับรถกลับบ้านไป

 

เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางฝูก็ถึงกับกินอะไรไม่ลง แม้ว่าภรรยาของเขาจะทําอาหารเต็มโต๊ะ แต่นายแพทย์วัยกลางคนผู้นี้กลับไม่สามารถกลืนข้าวลงคอได้แม้แต่คําเดียว และเมื่อภรรยาเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จางฝูก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเดินกลับเข้าห้องนอนไป

 

จางฝูไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสามารถมานั่งอธิบาย และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟังได้!

 

เป็นเพราะกว่าจะข่มตาหลับได้เมื่อคืนนี้ ทําให้จางฝูตื่นสายกว่าเดิมเล็กน้อย และเกรงว่าจะไปทํางานสาย เขาจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนใจที่จะกินอาหารเช้า

 

แต่เมื่อขับรถผ่านประตูโรงพยาบาลไป หัวใจของจางฝูก็ถึงกับตกลงไปที่ตาตุ่ม เพราะเวลานี้ จ้าวโจวเฉินกําลังยืนอยู่หน้าอาคารผู้ป่วยนอก

 

“นี่ผู้อํานวยการมายืนรอจัดการกับฉันอยู่หรือเปล่า?”

 

หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว จางฝูก็รีบเดินเข้าไปทักทายจ้าวโจวเฉินทันที และได้แต่แอบคิดในใจว่า หากเขาถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาคงจะต้องโทรไปหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน ซึ่งเวลานี้เป็นรองผู้อํานวยการอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เพื่อขอให้เพื่อนหาตําแหน่งในโรงพยาบาลลงให้

 

“ผู้อํานวยการจ้าว วันนี้ผมตื่นสายไปหน่อยครับ!”

 

จางฝู นายแพทย์ในวัยสามสิบ แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าจ้าวโจวเฉิน กลับได้แต่ยืนกุมมือก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม ราวกับเด็กนักเรียนที่ยืนอยู่ต่อหน้าคุณครู

 

แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ไม่เพียงจ้าวโจวเฉินจะไม่โมโห เขายังหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

“คุณหมอจาง หลายวันนี้คุณก็เฝ้าดูแลอาการป่วยของคุณนายหลิวตลอดทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้พัก นอนตื่นสายบ้างจะเป็นอะไรไปล่ะ? ไว้รอให้คุณนายหลิวหายดีเมื่อไหร่ ผมจะให้คุณลาพักร้อน จะได้มีโอกาสพักผ่อนให้เต็มที่ ประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ก็จะได้ดีขึ้นด้วย”

 

จางฝูได้แต่งนงง และไม่สามารถทําความเข้าใจได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! ผู้อํานวยการจ้าวแอบถือมีดไว้ข้างหลังหรือเปล่า?

 

แต่ถึงอย่างนั้น จางฝูก็ได้ตอบไปว่า “วันหลังผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ และจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครับ?”

 

แต่จ้าวโจวเฉินกลับแย้งขึ้นว่า “ดูคุณสิคุณหมอจาง! กระทั่งเสือที่ล่าเหยื่อ มันยังต้องแอบงีบ นี่คุณเป็นคนนะ ยังไงก็ต้องการการพักผ่อน! ต่อไป ฉันคงต้องย้ำกับหมอคนอื่นๆ ให้ดูคุณเป็นตัวอย่างแล้วล่ะ!”

 

หลังจากพูดจบ จ้าวโจวเฉินก็ถือวิสาสะเข้าไปจับแขนจางฝูอย่างสนิทสนม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ! คุณตามผมเข้าไปดูอาการของคุณนายหลิวด้วยกันเลย!”

 

จางฝูได้แต่แอบยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาบนหน้าผาก ในขณะเดียวกันก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวังตัว

 

“อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอครับท่านผู้อํานวยการ?”

 

“มหัศจรรย์! มหัศจรรย์มากจริงๆ!”

 

จ้าวโจวเฉินร้องอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะพูดต่อในทันที “อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นจากเดิมกว่าครึ่ง ครั้งนี้คุณผลงานได้เยี่ยมมากจริงๆ วันหน้าวันหลัง คุณจะต้องหาหมอฝึกหัดๆเก่งๆ อย่างฉีเล่ยมาทํางานในองค์กรของเราให้มากๆ จากนี้ต่อไป ผมจะให้คุณขึ้นไปอยู่ในทีมบริหารของโรงพยาบาลด้วย!”

 

จ้าวโจวเฉินนั้นไม่รู้ที่มาที่ไปแท้จริงของฉีเล่ย เขาคิดว่าฉีเล่ยเป็นแพทย์ฝึกหัดที่จางฝูพาเข้ามา

 

ฉีเลยฟังคําพูดของจ้าวโจวเหวินแล้วถึงกับตกใจจนแทบหงายหลัง เพราะดูเหมือนนอกจากเขาจะไม่ถูกปลดจากตําแหน่งหัวหน้าแผนกแล้ว เขายังได้เข้าร่วมเป็นทีมบริหารของทางโรงพยาบาลอีกด้วย!

 

ตลอดเช้าที่ผ่านมา ทั้งหมอและพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าอาคารผู้ป่วยนอกนั้น ต่างก็เห็นจ้าวโจวเฉินออกมายืนชะเง้อมอง คล้ายกับว่ากําลังรอคอยแขกคนสําคัญอยู่ ทุกคนต่างก็คิดว่า น่าจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดคนหนึ่ง

 

แต่กลับกลายเป็นว่า เขามายืนรอหัวหน้าจาง!

 

“น่าแปลก! ไหนคนในโรงพยาบาลต่างก็ลือกันว่า เมื่อวานนี้ผู้อํานวยการโกรธหัวหน้าจางมาก ถึงกับปลดเขาออกจากตําแหน่งหัวหน้าแผนก และไล่ให้ไปประจําที่แผนกฉุกเฉิน”

 

“หรือว่า นี่จะเป็นข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงนะ?”

 

ตอนที่ 31 ข่าวลือไม่จริง

 

ทุกคนต่างก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ต่างคนต่างก็รู้สึกราวกับว่า หินก้อนใหญ่ที่แบกไว้ในอกกว่าครึ่งเดือนนั้น ได้ถูกยกออกไปแล้ว

 

มันได้ผล! วิธีการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนได้ผล!

 

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลิวเฟิงเจิ้นต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการเจ็บปวยครั้งนี้ เรียกได้ว่า ไม่เคยได้มีโอกาสนอนหลับสนิทเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

หลี่ฮั่วเฉินเดินเข้าไปใกล้เตียงของผู้ป่วยมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็เฝ้าสังเกตดูอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด ก่อนจะสรุปให้ทุกคนฟังว่า

 

“อาการของคนไข้ดูเหมือนจะดีขึ้นจริงๆ ไข้ที่สูงก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะค่อยๆลดลงแล้ว คงจะไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้วล่ะ ปล่อยให้คนไข้นอนพักผ่อนจะดีกว่า!”

 

จากนั้น ทุกคนที่อยู่ในห้องผู้ป่วย ต่างก็พากันเดินออกไปเพราะเกรงว่า เสียงพูดคุยของตนเอง จะไปรบกวนการนอนหลับอย่างมีความสุขของหลิวเฟิงเจิ้น

 

ฉีเล่ยเองก็กําลังจะก้าวเดินออกจากห้องผู้ป่วยด้วยเช่นกัน แต่หลี่ฮั่วเฉินกลับหันไปบอกกับเขาว่า

 

“ฉีเลย เธออยู่ดูแลคนไข้อยู่ในห้องเถอะนะ! หากมีอะไรเกิดขึ้น เธอจะได้สามารถแก้ไขได้ทันท่วงที!”

 

ไต่คุนที่นิ่งเงียบมาตลอดการรักษา เมื่อได้เห็นภรรยาสามารถนอนหลับได้อย่างสนิทเช่นนี้ เขาเองก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยเช่นกัน หลังจากที่หลี่ฮั่วเฉินพูดกับฉีเลยแล้ว เขาก็ยกมือขึ้นตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆเช่นกัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า

 

“คุณหมอฉีชื่อเต็มๆคือฉีเลยสินะ? ขอบคุณมากที่มาในวันนี้! ฉันขอฝากภรรยาด้วย!”

 

แพทย์คนอื่นๆ ที่ได้เห็นท่านผู้ว่าไต่คุนเอ่ยขอบคุณฉีเลยเช่นนั้น ก็ได้แต่พากันคิดในใจว่า หมอหนุ่มคนนี้ช่างโชคดีจริงๆ ที่สามารถทําให้ท่านผู้ว่าพออกพอใจได้ อนาคตในวงการแพทย์ของเขา คงต้องเฉิดฉายอย่างมากแน่!

 

คําพูดประโยคที่ว่า “ขอบคุณที่มาในวันนี้ ความจริงแล้วไต่คุนไม่จําเป็นต้องพูดออกมาก็ได้ แต่เขาก็จงใจประโยคนี้เพื่อสื่อสารให้ฉีเลยได้รู้ว่า เขารู้ว่าชายหนุ่มไม่ใช่แพทย์ฝึกหัดของโรงพยาบาลแห่งนี้ แต่เป็นหมอที่ต่งซีหยุนแนะนํามา

 

ส่วนเหตุผลที่ไต่คุนไม่เอ่ยเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าทุกคนนั้น ฉีเล่ยใคร่ครวญดูครู่หนึ่ง จึงพอเข้าใจได้ว่าเพราะอะไร? เขาจึงเพียงแค่ยิมให้ไต่คุนเล็กน้อย และตอบกลับไปว่า

 

“ท่านผู้ว่าอย่าได้กังวลใจไปเลยครับ ผมจะรอจนกว่าคุณนายหลิวจะหายดี แล้วค่อยกลับ!”

 

คิ้วทั้งสองข้างของไต่คุนเลิกขึ้นสูงทันที หลังจากได้ยินคําพูดประโยคนี้ของฉีเล่ย “รอให้หายดีแล้วค่อยกลับปั้นเหรอ?”

 

“กลับไปไหนกัน? นี่เขาไม่อยากทํางานที่โรงพยาบาลนี้หรอกเหรอ?”

 

เมื่อครั้งที่ต่งซีหยุนเล่าเรื่องของเล่ยให้เขาฟังนั้น ต่งซีหยุนได้บอกกับเขาเช่นกันว่า ฉีเลยไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ ในเมื่อมีโอกาสที่จะได้ทํางานในโรงพยาบาล เหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ต้องการ?

 

แต่ไต่คุนก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไป เพียงแค่ยกมือขึ้นตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆอีกครั้ง แต่ภายในใจนั้นกลับแอบคิดว่า เขาควรจะต้องหาทางจัดการให้ชายหนุ่มคนนี้ เข้าเป็นแพทย์ในระบบอย่างจริงๆจังๆ

 

แพทย์ทุกคนยกเว้นฉีเล่ย เมื่อกลับออกจากห้องผู้ป่วยไปแล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปที่ห้องทํางานของตนเอง และเวลานี้ทุกคนต่างก็นั่งอยู่ที่โต๊ะทํางาน พร้อมกับยกมือขวาขึ้นกุมเอวของตนเองไว้ในหัวสมองก็เฝ้าครุ่นคิดว่า มีสิ่งใดซ่อนอยู่ที่เอวข้างขวาของท่านหมอหลี่กันแน่?

 

แต่ไม่ว่าจะคิดเช่นใด ก็ไม่มีใครคิดออกเลยแม้แต่คนเดียว!

 

ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่า เพราะอะไรหลังจากที่ฉีเล่ยพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา สีหน้าท่าทางของหลี่ฮั่วเฉินจึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนั้น? มิหนําซ้ำยังเอ่ยชมฉีเล่ยต่อหน้าท่านผู้ว่าหลิวอีกด้วย!

 

ส่วนทางด้านจางฝูนั้น ไม่มีกระจิตกระใจจะมาคิดเรื่องอะไรเหล่านี้ นั่นเพราะเมื่อครู่ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นของคนไข้สําคัญ จ้าวโจวเฉินก็ได้ไล่เขาออกจากการเป็นหัวหน้าแผนกโรคทางเดินอาหารต่อหน้าทุกคน และสั่งให้เขาไปประจําอยู่ที่แผนกฉุกเฉินแทน

 

คําพูดของผู้อํานวยการโรงพยาบาล ย่อมไม่ใช่เรื่องพูดเล่นๆ อย่างแน่นอน!

 

แพทย์ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สภาพภายในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนั้นเป็นเช่นใด? นอกจากจะต้องเจอเคสหนักตลอดทั้งปี แล้วยังต้องเจอแต่เคสเร่งด่วน หากไม่สามารถประเมิน หรือรักษาได้อย่างทันท่วงที ย่อมต้องเกิดปัญหากับคนไข้ได้อย่างง่ายดาย..

 

จางฝูต้องดิ้นรนอยู่นานหลายปี กว่าที่จะได้ขึ้นเป็นหัวหน้าแผนกเช่นนี้ แต่แล้ว วันนี้เขากลับต้องรู้สึกไม่ต่างจากการถูกถีบตกสวรรค์ ลงไปอยู่ในขุนนรกทันที!

 

เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงานแล้ว จางฝูจึงได้ขึ้นไปหาเลยที่ห้องคนไข้พิเศษ และหลังจากพูดคุยสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจางฝูก็ได้ร่ำลาชายหนุ่ม ก่อนจะขับรถกลับบ้านไป

 

เมื่อกลับไปถึงบ้าน จางฝูก็ถึงกับกินอะไรไม่ลง แม้ว่าภรรยาของเขาจะทําอาหารเต็มโต๊ะ แต่นายแพทย์วัยกลางคนผู้นี้กลับไม่สามารถกลืนข้าวลงคอได้แม้แต่คําเดียว และเมื่อภรรยาเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จางฝูก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเดินกลับเข้าห้องนอนไป

 

จางฝูไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสามารถมานั่งอธิบาย และเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟังได้!

 

เป็นเพราะกว่าจะข่มตาหลับได้เมื่อคืนนี้ ทําให้จางฝูตื่นสายกว่าเดิมเล็กน้อย และเกรงว่าจะไปทํางานสาย เขาจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนใจที่จะกินอาหารเช้า

 

แต่เมื่อขับรถผ่านประตูโรงพยาบาลไป หัวใจของจางฝูก็ถึงกับตกลงไปที่ตาตุ่ม เพราะเวลานี้ จ้าวโจวเฉินกําลังยืนอยู่หน้าอาคารผู้ป่วยนอก

 

“นี่ผู้อํานวยการมายืนรอจัดการกับฉันอยู่หรือเปล่า?”

 

หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว จางฝูก็รีบเดินเข้าไปทักทายจ้าวโจวเฉินทันที และได้แต่แอบคิดในใจว่า หากเขาถูกไล่ออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาคงจะต้องโทรไปหาเพื่อนเก่าสมัยเรียน ซึ่งเวลานี้เป็นรองผู้อํานวยการอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง เพื่อขอให้เพื่อนหาตําแหน่งในโรงพยาบาลลงให้

 

“ผู้อํานวยการจ้าว วันนี้ผมตื่นสายไปหน่อยครับ!”

 

จางฝู นายแพทย์ในวัยสามสิบ แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าจ้าวโจวเฉิน กลับได้แต่ยืนกุมมือก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยม ราวกับเด็กนักเรียนที่ยืนอยู่ต่อหน้าคุณครู

 

แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ไม่เพียงจ้าวโจวเฉินจะไม่โมโห เขายังหัวเราะออกมาเสียงดัง พร้อมกับพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

“คุณหมอจาง หลายวันนี้คุณก็เฝ้าดูแลอาการป่วยของคุณนายหลิวตลอดทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้พัก นอนตื่นสายบ้างจะเป็นอะไรไปล่ะ? ไว้รอให้คุณนายหลิวหายดีเมื่อไหร่ ผมจะให้คุณลาพักร้อน จะได้มีโอกาสพักผ่อนให้เต็มที่ ประสิทธิภาพในการดูแลคนไข้ก็จะได้ดีขึ้นด้วย”

 

จางฝูได้แต่งนงง และไม่สามารถทําความเข้าใจได้ว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! ผู้อํานวยการจ้าวแอบถือมีดไว้ข้างหลังหรือเปล่า?

 

แต่ถึงอย่างนั้น จางฝูก็ได้ตอบไปว่า “วันหลังผมจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ และจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกครับ?”

 

แต่จ้าวโจวเฉินกลับแย้งขึ้นว่า “ดูคุณสิคุณหมอจาง! กระทั่งเสือที่ล่าเหยื่อ มันยังต้องแอบงีบ นี่คุณเป็นคนนะ ยังไงก็ต้องการการพักผ่อน! ต่อไป ฉันคงต้องย้ำกับหมอคนอื่นๆ ให้ดูคุณเป็นตัวอย่างแล้วล่ะ!”

 

หลังจากพูดจบ จ้าวโจวเฉินก็ถือวิสาสะเข้าไปจับแขนจางฝูอย่างสนิทสนม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ! คุณตามผมเข้าไปดูอาการของคุณนายหลิวด้วยกันเลย!”

 

จางฝูได้แต่แอบยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาบนหน้าผาก ในขณะเดียวกันก็ถามขึ้นอย่างระมัดระวังตัว

 

“อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอครับท่านผู้อํานวยการ?”

 

“มหัศจรรย์! มหัศจรรย์มากจริงๆ!”

 

จ้าวโจวเฉินร้องอุทานออกมาเสียงดัง ก่อนจะพูดต่อในทันที “อาการของคุณนายหลิวดีขึ้นจากเดิมกว่าครึ่ง ครั้งนี้คุณผลงานได้เยี่ยมมากจริงๆ วันหน้าวันหลัง คุณจะต้องหาหมอฝึกหัดๆเก่งๆ อย่างฉีเล่ยมาทํางานในองค์กรของเราให้มากๆ จากนี้ต่อไป ผมจะให้คุณขึ้นไปอยู่ในทีมบริหารของโรงพยาบาลด้วย!”

 

จ้าวโจวเฉินนั้นไม่รู้ที่มาที่ไปแท้จริงของฉีเล่ย เขาคิดว่าฉีเล่ยเป็นแพทย์ฝึกหัดที่จางฝูพาเข้ามา

 

ฉีเลยฟังคําพูดของจ้าวโจวเหวินแล้วถึงกับตกใจจนแทบหงายหลัง เพราะดูเหมือนนอกจากเขาจะไม่ถูกปลดจากตําแหน่งหัวหน้าแผนกแล้ว เขายังได้เข้าร่วมเป็นทีมบริหารของทางโรงพยาบาลอีกด้วย!

 

ตลอดเช้าที่ผ่านมา ทั้งหมอและพยาบาลที่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าอาคารผู้ป่วยนอกนั้น ต่างก็เห็นจ้าวโจวเฉินออกมายืนชะเง้อมอง คล้ายกับว่ากําลังรอคอยแขกคนสําคัญอยู่ ทุกคนต่างก็คิดว่า น่าจะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใดคนหนึ่ง

 

แต่กลับกลายเป็นว่า เขามายืนรอหัวหน้าจาง!

 

“น่าแปลก! ไหนคนในโรงพยาบาลต่างก็ลือกันว่า เมื่อวานนี้ผู้อํานวยการโกรธหัวหน้าจางมาก ถึงกับปลดเขาออกจากตําแหน่งหัวหน้าแผนก และไล่ให้ไปประจําที่แผนกฉุกเฉิน”

 

“หรือว่า นี่จะเป็นข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงนะ?”

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+