ยอดคุณหมอสกุลเฉินตอนที่250 พิษกำเริบ

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter ตอนที่250 พิษกำเริบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่250 พิษกำเริบ

หลังจากได้ยินคำพูดของหญิงชาวเหมี่ยวเข้า ฉีเล่ยก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง เขาจ้องมองสองสามีภรรยาคู่นั้นด้วยสีหน้าแววตาว่างเปล่าอยู่นาน ในที่สุดจึงได้เอ่ยถามออกไปอีกครั้งให้แน่ใจ

“เมื่อกี้พวกคุณพูดว่าอะไรนะ?”

“คงจะไม่เชื่อที่ฉันพูดสินะ?”

ซิ่วเอ๋อเอ่ยถามฉีเล่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี จากนั้นจึงปรายตามองไปที่ไหล่ข้างหนึ่งของฉีเล่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“งั้นก็ลองมองดูไหล่ของคุณสิ!”

ก่อนหน้าจนถึงตอนนี้ ฉีเล่ยไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของเขาผิดปกติเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่หญิงชาวเหมี่ยวคนนี้พูดจบเท่านั้น จู่ๆ ไหล่ข้างหนึ่งของเขาก็เริ่มคันขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“นี่คุณลืมเหตุการณ์ระหว่างที่อยู่ในซิงหัวพลาซ่าหมดแล้วเหรอ?”

หญิงนามซิ่วเอ๋อร้องบอกฉีเล่ยพร้อมกับฉีกยิ้มกว้าง

ฉีเล่ยเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนที่จะจากไปนั้น ผู้หญิงคนนี้จงใจตบไหล่ข้างหนึ่งของเขาเบาๆ เขาคิดว่าเธอเพียงแค่ต้องการทิ้งกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งไว้ที่ไหล่ของตนเองเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า นั่นจะเป็นการปล่อยให้อีกฝ่ายสามารถใช้วิชากู่เล่นงานตนเองได้

ฉีเล่ยสงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง และเวลานี้ เขาก็สัมผัสได้ว่า มีอะไรบางอย่างกำลังดิ้นไปมาอยู่บริเวณหัวไหล่ของเขา มันมีลักษณะคล้ายกับแมลงเล็กๆตัวหนึ่ง

เมื่อเอื้อมมือออกไปสัมผัสดู ฉีเล่ยก็พบว่าที่หัวไหล่ข้างขวาของเขานั้น มีลักษณะคล้ายตุ่มปูดโปนอยู่

“ฝีมือของคุณงั้นเหรอ?”

ฉีเล่ยร้องถามออกมาด้วยสีหน้าตกอกตกใจ เพราะนอกจากคนเผ่าเหมี่ยวจะมีความดุร้ายแล้ว วิชาหนอนกู่ของชนเผ่าเหมี่ยวก็ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นวิชาที่น่ากลัวมากวิชาหนึ่งด้วย

ก่อนหน้านี้ อาจารย์ของเขาก็เคยเตือนไว้ว่า ให้ระมัดระวังคนเผ่าเหมี่ยวให้มากๆ เพราะคนพวกนี้ช่ำชองการใช้หนอนกู่ และเพียงแค่จับมือทักทายธรรมดา พวกเขาก็สามารถใช้วิชากู่เล่นงานคนได้แล้ว

ในวันนี้ เขาเองก็ได้ลืมคำเตือนนั้นเสียสนิท จึงได้ขาดการระมัดระวังอย่างที่สุด และคิดไม่ถึงว่าตนเองจะต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้จริงๆ

“ประธานฉี ฉันเตือนคุณก่อนหน้านี้แล้วว่า ตราบใดที่คุณไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฉัน ฉันจะไม่ทำร้ายคุณ และความจริงแล้ว หนอนกู่ในร่างกายของคุณจะค่อยๆเลือนหายจากร่างไปเองภายในสามวัน แต่ในเมื่อคุณเลือกที่จะไม่ฟังคำเตือนของฉัน คุณก็สมควรที่จะได้รับบทเรียน!”

ซิ่วเอ๋อแสดงเจตจำนงค์อย่างชัดเจนแล้วว่า ไม่ต้องการที่จะทำร้ายฉีเล่ย แต่ในเมื่อฉีเล่ยกล้าที่จะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเธอ เธอจึงได้ถือว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ให้ความเคารพนับถือเธอเลยแม้แต่น้อย

ในระหว่างที่แอบฟังทั้งสองฝ่ายสนทนากันอยู่นั้น ฉีเล่ยพบว่า ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่น่าจะใช่คนดีทั้งคู่ ในด้านของชายชราที่ชื่อซือไถนั้น เขาเองก็ควรจะรู้ว่า เพราะซือไถเห็นว่าเขาเก่งกาจและมีความสามารถมากพอ จึงต้องการยืมมือเขาให้มาช่วยการกับปัญหาที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เท่านั้น

แต่ในระหว่างที่สองฝ่ายกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น ฝ่ายหนึ่งกลับพูดพาดพิง และดูถูกสภาแพทย์แผนจีนของเขาว่ากระจอกและไร้น้ำยา และนั่นทำให้เขารู้สึกโกรธและไม่พอใจขึ้นมาอย่างมาก จึงทำให้เขาขาดสติจนกระทั่งหุนหันพลันแล่นปรากฏตัวออกมาเช่นนี้

แต่เมื่อมาพบว่าตนเองต้องมาโดนหนอนกู่เข้าร่างแบบนี้แล้ว ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกเสียใจกับอารมณ์หุนหันพลันแล่นของตัวเองขึ้นมาทันที

“เฮ้อ.. ประธานฉี ความจริงพวกเราสองคนต่างก็มาพบกันโดยบังเอิญแท้ๆ มีโอกาสได้คุยกันก็เพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่า คุณจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาปัญหาใส่ตัวซะเอง ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็อย่าโทษว่าฉันใจคอเหี้ยมโหดก็แล้วกัน”

สองมือของซิ่วเอ๋อกําลังแสดงท่าทางบางอย่าง แม้ฉีเล่ยจะไม่เข้าใจความหมายนัก แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่า น่าจะเป็นการเรียกใช้หนอนกู่ในร่างให้เล่นงานตนเองอย่างแน่นอน และเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้ ฉีเล่ยจึงรีบร้องบอกไปว่า

“เดี๋ยวก่อน! หยุดก่อน! คุณทำแบบนี้ผมตกใจนะรู้ไหม..? เอาเป็นว่าผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบาดหมางของพวกคุณสองคนอีกก็แล้วกัน ผมจะรีบไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ตกลงไหม?”

“ประธานฉี อย่าเพิ่งไปสิ คุณต้องช่วยผมก่อน!”

เมื่อซือไถเห็นว่าคนที่เขาหวังจะฝากชีวิตไว้กำลังจะจากไปง่ายๆแบบนี้ เขาก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที พร้อมกับพูดอ้อนวอนขอร้อง

“ประธานฉี ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นเซียนแห่งวงการแพทย์แผนจีน เปรียบเสมือนหัตถ์เทพเจ้าของวงการนี้ มีผู้คนมากมายที่ให้ความเคารพนับถือคุณ คนพวกนี้โหดเหี้ยมยิ่งกว่าอะไรดี คุณจะทนเห็นผมถูกคนพวกนี้ฆ่าตายได้อย่างนั้นเหรอครับประธานฉี!”

สีหน้าท่าทางและการแสดงออกที่ดูน่าสงสารของซือไถนั้น ดูออกจะแปลกประหลาดมาก!

หากพูดกันตามหลักเหตุและผล ประธานบริษัทที่ค้าเครื่องมือแพทย์ใหญ่โตของเจียงหลิง ไม่ควรจะลดตัวลงมาทำอะไรแบบนี้เลย แต่สิ่งที่ซือไถทำอยู่ในตอนนี้…

หากฉีเล่ยไม่ได้รู้ประวัติของชายชรามาก่อน คงจะไม่เชื่อว่าเขาคือประธานใหญ่แห่งสกุลซือในเจียงหลิงอย่างแน่นอน

“เห็นคนกำลังจะตายต่อหน้าแต่กลับไม่ช่วย คุณยังจะมีหน้าเป็นหมออยู่งั้นเหรอ? ถ้าให้คนอื่นล่วงรู้เรื่องนี้เข้าจะเป็นยังไง?”

“นี่คุณกล้าข่มขู่ผมเชียวเหรอ?”

และทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของชายชรา ฉีเล่ยก็ถึงกับโกรธมาก และได้หันไปถามหญิงชาวเหมี่ยวว่า

“แต่ผมจะมั่นใจได้ยังไงว่า คุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำร้าย หรือทำอันตรายชาวเจียงหลิงที่ไม่เกี่ยวข้องด้วย?”

“มีประธานสภาแพทย์แผนจีนอยู่ที่นี่ทั้งคน ต่อให้พวกเราอยากจะทำแบบนั้น ก็คงไม่กล้าแน่!”

ซิ่วเอ๋อเอ่ยตอบกลับฉีเล่ยพร้อมกับยิ้มกว้าง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณก็ช่วยเอาหนอนกู่ออกจากร่างกายของผมก่อน แล้วผมจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวของพวกคุณอีก ถึงตอนนั้นพวกคุณจะสะสางกันยังไงก็เชิญ!”

น้ำเสียงของฉีเล่ยฟังดูเด็ดขาด และบ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจกับคำพูดของซือไถก่อนหน้านี้อย่างมาก

“ตกลง! ฉันรอฟังคำพูดประโยคนี้ของประธานฉีอยู่พอดี!”

ซิ่วเอ๋อหันไปมองอี้ชาพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย

อี้ชาเข้าใจความหมายในคำพูดนั้นดี เขาจึงได้เดินตรงเข้าไปยืนข้างกายฉีเล่ย พร้อมกับยื่นแขนออกไปจับที่ไหล่ข้างขวาของชายหนุ่ม

“เอาล่ะ ผมได้จัดการเอาหนอนกู่ออกจากร่างของประธานฉีแล้ว ตอนนี้ในร่างกายของคุณไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่แล้วล่ะ หวังว่าคุณจะรักษาคำพูดของตัวเองนะครับ?” อี้ชาเอ่ยบอกฉีเล่ยช้าๆ

ฉีเล่ยพยักหน้า และตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องห่วง ผมจะไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”

หลังจากได้สอบถามและได้รับการยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากปากของซิ่วเอ๋อว่า พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับชาวยเจียงหลิง และจุดประสงค์ของพวกเขาก็แค่ต้องการมาสะสางปัญหาส่วนตัวกับซือไถเท่านั้น ฉีเล่ยจึงได้เดินออกจากบ้านหลังนั้นไปทันที

แม้ฉีเล่ยจะรู้สึกว่า เรื่องนี้มันดูแปลกๆไม่ชอบมาพากลอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็คร้านที่จะเสียเวลาคิดใคร่ครวญ และตอนนี้เขากำลังนึกเป็นห่วงหลี่ถงซีอย่างมาก เขากลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้จะเป็นการลักพาตัวหลี่ถงซีไปหรือเปล่า เพราะจนกระทั่งตอนนี้ เขายังติดต่อเธอไม่ได้เลย

หลี่ถงซีกำลังคิดที่จะทำอะไรกันแน่?

ยิ่งคิดฉีเล่ยก็ยิ่งนึกเสียใจ เขาได้แต่คิดว่า หากเขาไม่มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องถ่ายโฆษณา เขาคงจะมีเวลาได้อยู่กับหลี่ถงซี และเธอก็อาจจะไม่ต้องมาเจียงหลิงก็เป็นได้

เมื่อออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว ฉีเล่ยก็ได้กลับไปที่โรงแรมทันที…

ความจริงแล้ว ฉีเล่ยวางแผนไว้ว่า หลังจากถ่ายทำรายการเสร็จแล้ว เขาก็จะกลับปักกิ่งทันที แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเสียก่อน

……

เมื่อเห็นฉีเล่ยกลับมา และเอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ถงเซียวเซียวจึงได้แต่เอ่ยถามออกไปว่า

“เป็นยังไงบ้าง? แล้วคุณตาที่ชื่อซือไถอะไรนั่นล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”

“หึ! ดูท่าตาแก่นี่จะวางแผนหลอกให้ผมมาที่เจียงหลิงน่ะสิ เรื่องราวต่างๆที่บังเอิญไปพบเจอน่าจะเป็นกับดัก เขาน่าจะวางแผนทั้งหมดเพื่อให้ผมออกหน้าสะสางปัญหาให้กับเขา อีกอย่าง สองผัวเมียเผ่าเหมี่ยวนั่นก็ไม่ธรรมดาเลย ใช่ว่าจะตอแยด้วยได้ง่ายๆ แม้แต่ผมเองยังไม่มั่นใจว่าจะรับมือพวกเขาได้”

ฉีเล่ยร้องบอกถงเซียวเซียวด้วยความโมโห

“ช่างเถอะๆ อย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้จะดีกว่า ตอนนี้ก็ยังไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นในเจียงหลิงสักหน่อย ฉันว่านะ เราสองคนมาช่วยกันตามหาหลี่ถงซีให้พบจะดีกว่า”

“นี่.. วันนี้ฉันได้รับข้อความแจ้งว่า มีคนเห็นรถที่รับหลี่ถงซีไปในคืนนั้นเข้าไปในบริษัทใกล้ๆนี้ด้วย”

“บริษัทอะไรงั้นเหรอ?” ฉีเล่ยร้องถามออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“ดูเหมือนจะเป็นบรษัทที่ทำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ด้านสมุนไพรอะไรสักอย่างนี่ล่ะ ฉันเองก็ไม่แน่ใจ ไว้พวกเราลองไปสืบดูกันดีกว่า?”

แต่ในระหว่างที่สองคนกำลังปรึกษาหารือ และวางแผนกันอยู่นั้น จู่ๆ ฉีเล่ยก็รู้สึกคล้ายมีบางอย่างผิดปกติ

“ถงซี คุณดูให้ผมหน่อย ร่างกายผมมีอะไรผิดปกติบ้างรึเปล่า?”

ฉีเล่ยไม่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตนเองได้ จึงรีบบอกถงเซียวเซียวให้ช่วยดู แต่เขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า จู่ๆบริเวณไหล่ข้างขวาของเขาก็ร้อนวูบวาบและมีน้ำหนัก คล้ายกับมีฝ่ามือที่มองไม่เห็นกำลังกดลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด