ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 16 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (1)

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 16 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่  1 6  ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์  (1)

หลังออกมาจากห้องควบคุมกล้องวงจรปิดแล้ว ฉีเล่ยและกวนไห่ผิงก็กลับมาที่รอที่บ้านก่อน ..

ในเมื่อโจรลักพาตัวประกาศว่า จะเป็นฝ่ายติดต่อกลับมาเองเช่นนี้ ฉีเล่ยจึงไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการรอคอย

เป็นธรรมดาที่โจรลักพาตัวไม่ต้องการจะคุยโทรศัพท์นาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบที่ซ่อน ฉะนั้น ฉีเล่ยจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า เขาจะต้องได้รับการติดต่อกลับมาเป็นครั้งที่สองในคืนนี้แน่ !

ฉีเล่ยลังเลอยู่นานว่า จะบอกเรื่องนี้กับตำรวจดีหรือไม่ ?  แต่หลังจากใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผลแล้ว ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง !

ก่อนอื่น คงต้องรอให้โจรลักพาตัวโทรกลับมาหาเขาอีกครั้ง เพื่อแจ้งจำนวนเงิน และถึงตอนนั้น ฉีเล่ยก็จะได้รู้สถานที่ที่พวกมันนัดเอาเงินไปให้ ด้วยข้อมูลเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่า จะสามารถสะสางเรื่องนี้ได้ด้วยตัวเอง ..

แต่หากเขาแจ้งตำรวจเรื่องนี้ หลิวไห่หยางก็จะกลายเป็นอาชญากร ที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไปทันที และเมื่อเรื่องนี้ตกไปอยู่ในกำมือของตำรวจ แน่นอนว่า เฉินอวี้หลัวก็จะตกอยู่ในอันตรายที่มากขึ้น

ในระหว่างที่นั่งรอโทรศัพท์นั้น กวนไห่ผิงก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านหมอ ไว้พวกมันโทรมาเมื่อไหร่ ผมจะไปกับท่านหมอเอง !  ถึงแม้ผมจะป่วย แต่ที่ผ่านมาก็ได้ฝึกวรยุทธประจำตระกูลมา นับว่าไม่เสียเปล่าจริงๆ ในที่สุดก็ได้ใช้งานเสียที !”

ฉีเล่ยเองก็ไม่รู้ว่า วรยุทธของกวนไห่ผิงนั้นลำเลิศเพียงใด ?

แต่ที่แน่ๆ เขาต้องมีทักษะการต่อสู้ที่เหนือกว่าคนทั่วไป แม้ว่าฉีเล่ยจะยังไม่เคยเห็นกวนไห่ผิงใช้วรยุทธที่ตนเองฝึกฝนมาก่อนก็ตาม แต่จากการที่เขาได้ทำการฝังเข็มให้กับชายวัยกลางคนผู้นี้ ก็พอจะทำให้ได้รู้พื้นฐานบางอย่างบ้าง

แม้กล้ามเนื้อตามร่างกายของกวนไห่ผิง จะไม่ใช่กล้ามเนื้อที่ใหญ่โตเหมือนเหล่านักเพาะกายก็ตาม และถึงแม้กล้ามเนื้อของเขาจะมีขนาดเล็ก แต่กลับแข็งแกร่งอย่างมาก

หากไม่ใช่เพราะเส้นลมปราณภายในร่างของกวนไห่ผิงเสียหาย จนทำให้ไม่สามารถเดินลมปราณไปทั่วร่างได้แล้วล่ะก็ ป่านนี้ เขาคงจะไม่ต่างจากเครื่องมือสังหารดีๆนี่เอง !

หากฉีเล่ยสามารถรักษาเส้นลมปราณ และสภาวะหยินหยางไม่สมดุลภายในร่างให้กับกวนไห่ผิงได้แล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้น แม้แต่ฉีเล่ยเองยังไม่มั่นใจว่า เขาจะสามารถเอาชนะชายวัยกลางคนผู้นี้ได้หรือไม่ ?

แม้ว่ามรดกความรู้ที่ฉีเล่ยได้รับจากบรรพชนสกุลเฉินนั้น จะมีเรื่องวิธีการบ่มเพาะกายาอยู่ด้วย รวมทั้งการรับรู้ทางจิตวิญญาณที่เหนือคนธรรมดาทั่วไป หลังจากที่ได้ดูดซับเอาแก่นวิญญาณเข้าไปนั้น ฉีเล่ยเองก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะกวนไห่ผิงได้ ..

เวลานี้ ฉีเล่ยเข้าใจแล้วว่า เพระเหตุใดบรรพชนสกุลกวน จึงได้เป็นถึงหน่วยคุ้มภัยระดับต้นๆในอดีตกาล ..

แต่ถึงอย่างนั้น ฉีเล่ยก็ยังคงลังเลใจอยู่ดี ..

นั่นเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่า โจรลักพาตัวภรรยาของเขานั้นมีจำนวนกี่คน และดุร้ายโหดเหี้ยมกันแค่ไหน ที่สำคัญ เขาไม่รู้ว่าพวกมันมีอาวุธร้ายแรงชนิดใดกันแน่ ?

และถ้าพวกมันมีปืน ต่อให้กวนไห่ผิงจะเก่งกาจ หรือแข็งแกร่งแค่ไหน ก็คงต้องตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี !

คลิ๊ก !

ในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้น ไม่นานนัก ซูชางฉินก็เดินเข้ามา และทันทีที่เห็นหน้าฉีเล่ย แม่ยายของเขาก็พุ่งเข้าไปจับมือของเขาไว้แน่น พร้อมกับร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ปากก็พร่ำรำพรรณว่า

“ฉีเล่ย อวี้หลัวถูกคนจับตัวไป ! รีบๆหาทางช่วยอวีหลัวเร็วเข้า !”

ฉีเล่ยหันไปมองแม่ยาย พร้อมกับถามขึ้นทันที “แม่รู้เรื่องที่อวี้หลัวถูกคนลักพาตัวไปได้ยังไง ?  พวกมันโทรหาแม่อย่างนั้นเหรอครับ ?”

ซูชางฉินรีบยกมือขึ้นปาดน้ำตา พร้อมตอบฉีเล่ยกลับว่า “ใช่แล้ว !  พวกมันโทรมาข่มขู่ว่า ห้ามไปแจ้งตำรวจ ถ้าไม่อย่างนั้น พวกมันจะฆ่าอวี้หลัว แล้วก็สับร่างเป็นชิ้นๆ !  ฮือๆๆ”

“ไอ้พวกเลว ! ”

ฉีเล่ยกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่พวกมันโทรหาเขาแล้ว แต่กลับเห็นว่าตนเองไม่มีท่าทีตระหนกตกใจ ก็เลยโทรไปข่มขู่แม่ยายของเขาแทน เพราะถึงอย่างไร ผู้หญิงก็ย่อมอ่อนแอกว่าผู้ชายอยู่ดี การโทรไปข่มขู่ซูชางฉินทำให้พวกมันมั่นใจว่า จะไม่มีการนำเรื่องนี้ไปบอกตำรวจอย่างแน่นอน !

ฉีเล่ยไม่มั่นใจว่า แม่ยายของเขาจะสามารถทนต่อเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ได้มากเพียงใด ? เขาจึงได้แต่เอื้อมมือไปตบไหล่ซูชางฉินเบาๆ พร้อมกับพูดปลอบประโลมให้เธอคลายความกังวล

“แม่ครับ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ผมจะไปช่วยอวี้หลัวเอง รับรองว่า เธอจะต้องกลับมาอย่างปลอดภัย !”

ซูชางฉินเอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนแทบขาดใจ และเวลานี้ เธอก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ด้วยใบหน้าที่มีแต่น้ำตาอาบแก้ม

ฉีเล่ยนั่งคอยโทรศัพท์จนกระทั่งพลบค่ำ แต่จนแล้วจนเล่า โจรเรียกค่าไถ่ก็ยังไม่โทรมาเสียที ทำให้ชายหนุ่มกระวนกระวาย และร้อนอกร้อนใจเป็นอย่างมาก ..

ในที่สุด เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรงพอดี !

และทันทีที่กดรับ เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นทันที “ขอโทษที่ให้คุณฉีต้องรอนาน เอาล่ะ ..  เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน !  ฉันต้องการเงินค่าไถ่จำนวนยี่สิบล้าน แกนำเงินไปให้ฉันที่ประตูด้านหลังของสวนสาธารณะบีโกเนีย เวลาเที่ยงคืนตรง ! ”

ฉีเล่ยมองเวลาในโทรศัพท์มือถือ แล้วจึงตอบกลับไปว่า “นี่ก็ทุ่มตรงพอดี แกนัดให้ฉันเอาเงินไปให้ตอนเที่ยงคืน เวลาเพียงแค่ห้าชั่วโมง ฉันจะไปหาจำนวนเงินยี่สิบล้านมาให้แกทันได้ยังไง ?”

“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของฉัน !  อ่อ ..  แกช่วยชีวิตพ่อของหวู่เฉินเทียนไม่ใช่เหรอ ?  แกก็ไปขอยืมเขาสิ เงินแค่ยี่สิบล้านสกุลหวู่ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอกน่า !”

“แต่ฉันขอเตือนไว้ก่อนว่า ถ้าภายในเที่ยงคืน แกยังไม่นำเงินยี่สิบล้านมาให้ฉันล่ะก็ ฉันจะค่อยๆตัดนิ้วของภรรยาแกทิ้งทีละนิ้ว ทุกๆสิบนาที นิ้วมือของเธอก็จะถูกตัดทิ้งไปหนึ่งนิ้ว ..”

ตู๊ดๆๆ

จากนั้น ผู้ที่โทรมาก็กดตัดสายทิ้งทันทีหลังจากพูดจบ ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความหนักอกหนักใจ ..

แต่ก็นับว่าโชคดี ที่อีกฝ่ายรีบร้อนที่จะคืนเฉินอวี้หลัวให้ในคืนนี้ ไม่อย่างนั้น ยิ่งหญิงสาวอยู่ในมือของพวกมันนานเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกาย และใจมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อครู่อีกฝ่ายหลุดปากเรื่องที่เขาช่วยชีวิตอาวุโสหวู่ขึ้นมา ทำให้ฉีเล่ยยิ่งมั่นใจว่า คนที่ลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไปก็คือหลิวไห่หยางอย่างแน่นอน นั่นเพราะคนที่รู้เรื่องนี้ มีแต่คนที่อยู่โรงพยาบาลในวันนั้น ..

ในระหว่างที่คุยโทรศัพท์อยู่นั้น มือของฉีเล่ยก็เผลอไปกดโดนปุ่มลำโพงเข้า ทำให้ซูชางฉินได้ยินทุกคำพูดของโจรลักพาตัว เธอจึงยิ่งร้องไห้หนักมากขึ้นกว่าเดิม และโผเข้าไปกอดแขนฉีเล่ยแน่น ปากก็ร้องไห้คร่ำครวญว่า

“ฉีเล่ย ! พวกเราจะทำยังไงดี ? เงินตั้งยี่สิบล้าน พวกเราจะไปหามาจากที่ไหน ?”

ฉีเล่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกชวนขนลุก “แม่ครับ ไม่ต้องห่วง ! ผมจะไม่ปล่อยให้อวี้หลัวเป็นอะไรไปแน่ !”

หลังจากปลอบประโลมซูชางฉิน และพาเธอเข้านอนแล้ว ฉีเล่ยก็ได้เตรียมพร้อม และออกจากบ้านในราวห้าทุ่มตรง

………..

เมื่อไปถึงบริเวณประตูด้านหลังของสวนสาธารณะบีโกเนียแล้ว เขาก็ได้เดินวนอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียว

นับว่าโจรลักพาตัวเลือกสถานที่ และเวลาได้อย่างชาญฉลาด นั่นเพราะสวนสาธารณะแห่งนี้ เป็นสวนดอกไม้ที่กำหนดเวลาเข้าชม และจะปิดให้บริการในเวลาสองทุ่มตรง

ฉะนั้นแล้ว หลังเวลาสองทุ่มเป็นต้นไป ที่นี่ก็จะไม่มีผู้คนมาเดินเพ่นพ่านให้เห็นอีกเลย บริเวณนี้จึงกลายเป็นสถานที่ทั้งมืด และเปลี่ยว

ยิ่งไปกว่านั้น ประตูด้านหลังของสวนสาธารณะบีโกเนีย ยังเป็นสถานที่รกร้างอีกด้วย จึงยิ่งไม่มีผู้คนสัญจรไปมา ..

แต่ฉีเล่ยกลับเห็นว่าดี เพราะโดยปกติโจรลักพาตัวมักจะต้องระมัดระวังตัวอย่างมาก หากนัดกันในสถานที่ที่ยังพอมีคนสัญจรไปมา พวกมันก็อาจหวาดระแวง จนกระทั่งเปลี่ยนใจไม่ปรากฏตัวก็ได้

จนกระทั่งเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาสี่สิบนาที ..

ฉีเล่ยก็เห็นแสงไฟปรากฏขึ้น และดูเหมือนแสงไฟนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้บริเวณที่เขาอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด เขาก็เห็นรถมินิแวนสีบลอนซ์คันหนึ่งแล่นเข้ามา และเป็นคันเดียวกันกับที่ลักพาตัวเฉินอวี้หลัวไปเมื่อเช้านี้

ทันทีที่รถมินิแวนจอด ก็มีชายฉกรรจ์สี่คนก้าวออกมาจากรถ รูปร่างของพวกมันที่สี่คนดูกำยำล่ำสันเป็นอย่างมาก และมีผ้าคลุมปกปิดอำพรางใบหน้าไว้

คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า หันมาร้องตะโกนถามฉีเล่ยว่า “เงินล่ะ ? แกเอามาด้วยมั๊ย ?”

“แน่นอน ! ”

ฉีเล่ยตอบกลับทันที พร้อมกับหยิบซองเงินในกระเป๋ากางเกงออกมาอวด แต่ชายคนนั้นกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก

“นี่แกคงคิดว่าฉันโง่มากสินะ ? ซองเล็กๆแบบนั้น จะใส่เงินสดยี่สิบล้านได้ยังไง ?”

ฉีเล่ยชูซองเงินขึ้น พร้อมตอบโต้กลับไปทันที “นี่ ..  ช่วยใช้สมองคิดหน่อยสิ !  เงินตั้งยี่สิบล้านนะ ฉันจะ มีปัญญาหอบเงินสดมาได้ยังไงกัน ?  นี่มันคือเช็คยี่สิบล้านหยวน .. ”

ชายคนนั้นดูเหมือนจะเห็นด้วยกับฉีเล่ย จึงรีบเดินตรงเข้าไปหา เพื่อที่จะหยิบซองในมืออของชายหนุ่มไป

“เดี๋ยวก่อน !”

ฉีเล่ยดึงมือกลับ พร้อมกับจ้องมองชายคนนั้น และพูดขึ้นว่า “ฉันนำเงินมาให้ตามสัญญาแล้ว แต่ตอนนี้คนอยู่ที่ไหน ?”

ชายคนนั้นโบ้ยปากไปทางรถมินิแวน พร้อมตอบกลับไปว่า “คนก็อยู่ในรถยังไงล่ะ ถ้าแกอยากจะเห็น ก็ตามฉันมา !”

ฉีเล่ยได้แต่ยิ้มหยันอยู่ในใจ นั่นเพราะเขาเห็นแล้วว่า เฉินอวี้หลัวไม่ได้อยู่ในรถคันนั้น คนพวกนี้กำลังหลอกเขา เขารู้ว่า ถ้าตนเองเดินเข้าไปใกล้รถคันนั้น เขาก็จะถูกพวกมันลากขึ้นรถ และพาตัวออกไปจากที่นี่

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร เพราะเขาเองก็กำลังรอให้พวกมันทำแบบนั้นอยู่แล้ว !

ฉีเล่ยกำซองจดหมายไว้ในมือแน่น และแกล้งทำเป็นมองไปทางรถมินิแวนอย่างระมัดระวัง ปากก็ร้องถามด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ

“ภรรยาของฉันอยู่ข้างในแน่นะ ? ฉันอุตส่าห์นำเช็คยี่สิบล้านมาแลกกับภรรยาแล้ว หวังว่าแกเองก็จะรักษาสัญญา ปล่อยภรรยาของฉันมา หลังจากได้เช็คนี้ไปแล้ว !”

ชายผู้นั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่พอใจ “พวกเราก็แค่อยากได้เงิน อีกอย่าง การฆ่าคนตายก็จะยิ่งสร้างปัญหาที่ไม่จำเป็นให้กับพวกเรา ! ”

ฉีเล่ยพยักหน้า และตอบกลับไปทันที “ตกลง ! ถ้าอย่างนั้นก็พาฉันไปดูที่รถ หลังจากฉันมั่นใจแล้วว่า ภรรยาของฉันอยู่ในสภาพปลอดภัยดี ฉันก็จะมอบเช็คนี่ให้ !”

หลังจากนั้น ฉีเล่ยก็ได้เดินไปที่รถมินิแวนพร้อมกับชายฉกรรจ์ทั้งสีคนทันที โดยสองคนเดินนำหน้าเขาไป ส่วนอีกสองคนเดินตามหลัง ภายใต้ผ้าคลุมปกปิดใบหน้า ทั้งสี่คนกำลังแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย

แต่ที่พวกมันทั้งสี่คนไม่รู้ก็คือ ภายใต้แสงไฟสลัวนั้น รอยยิ้มเยือกเย็นชวนขนหัวลุก ก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉีเล่ยเช่นกัน !

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด