ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 186 ดื่มชายามเช้า

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 186 ดื่มชายามเช้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่186 ดื่มชายามเช้า

เป่ยฉวนเทียนกล่าวกับฉีเล่ยด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ตอนนี้เขากลายมาเป็นตาแก่ขี้เมาไปเรียบร้อยแล้ว

“ฉีเย่ยย…วันนี้เธอพูดได้ดีมาก วิเศษสุดๆไปเยย เธอพูดทุกอย่างที่ฉันเคยอยากจะพูดเมื่อสมัยยังหนุ่ม วันนี้เธอทำให้ฝันของฉันเป็นจริงแล้ว… ฉันมีความสุขมากที่ได้เป็นอาจารย์ของเธอ เมื่อก่อนฉันก็เคยมีลูกศิษย์เหมือนกัน แต่เวลาผ่านไปลูกศิษย์ของฉันกลับล้มหายตายจาก ไม่ก็ผันตัวไปเรียนแพทย์ตะวันตกต่อ ฉันรู้สึกกังวลใจมากจริงๆ กลัวว่าสักวันศาสตร์แพทย์แผนจีนจะสูญหายไป เธอคืออความหวังของวงการแพทย์แผนจีนอย่างแท้จริงฉีเล่ย”

ฉีเล่ยช่วยประคองร่างของเป่ยฉวนเทียนไว้ไม่ให้ล้ม พร้อมตอบกลับไปยิ้มๆ

“อาจารยเป่ย ตอนนี้เมามากแล้วนะครับ ควรกลับห้องไปพักผ่อนได้แล้วล่ะครับ”

เป่ยฉวนเทียนรีบยกมือปัดไปปัดมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ฉ๊าน~ไม่ด้ายมาวว! ตอนนี้ฉันยังมีสติครบถ้วนดี! จะให้ฝังเข็มตอนนี้ก็ยังหวายย~”

อาวุโสเหวินยกมือขึ้นมาตบไหล่ฉีเล่ยไปหนึ่งที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ฉีเล่ย การจะหาศิษย์เก่งๆสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ตาเฒ่าเป่ยคงจะดีใจมากนั่นล่ะ พวกเราเองก็พลอยมีความสุขไปด้วยเหมือนกัน ที่ได้เห็นหนุ่มสาวที่มีความสามารถอย่างเธอมารับช่วงต่อแบบนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเราเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายปี”

หลัวไป๋ซิ่วเองก็หันมาตบไหล่ฉีเล่ยอีกข้างด้วยความเมามายเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างโล่งใจว่า

“จากนี้ก็ตั้งใจให้ดีล่ะ”

หลัวไป๋ซิ่วเป็นปรมาจารย์แพทย์แผนจีนที่ได้รับฉายาว่าปรมาจารย์หน้าบึ้ง ดังนั้นถือเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะเข้าหาใครสักคนด้วยอากัปกิริยาที่เป็นกันเองด้วยการตบไหล่แบบนี้

ฉีเล่ยพยักหน้า และตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ”

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังประคองร่างของเป่ยฉวนเทียนที่อยู่ในสภาพเมามายออกมาจากห้องจัดเลี้ยงนั้น ก็บังเอิญชนเข้ากับคังฟานที่กำลังเดินตรงเข้ามาในห้องเพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับบรรดาปรมาจารย์แพทย์แผนจีน ฉีเล่ยเห็นทั้งสองคนเข้าก็ถึงกับร้องอ๋อทันที คนแรกคือคังฟานแฟนเก่าของหลี่ถงซี ส่วนอีกคนคือเพื่อนของอีกฝ่ายที่อยู่ด้วยกันในภัตตาคารคืนนั้น แต่ฉีเล่ยจำชื่อของเขาไม่ได้

เมื่อคังฟานได้พบกับฉีเล่ยในสถานที่เช่นนี้ เขาก็ถึงกับตกตะลึงเช่นกัน นี่มันงานประชุมสภาแพทย์แผนจีนระดับชาติไม่ใช่เหรอ? มิหนำซ้ำนี่ก็คือชั้น 7 ซึ่งเป็นแหล่งรวมของบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอีกด้วย นี่มันอะไรกันแน่?

คังฟานซึ่งในขณะนี้กำลังยืนสนทนากับอาวุโสคนอื่นๆอยู่ด้วยความกระตือรืนร้น และต้องการที่จะทำความรู้จักกับอาวุโสเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็คอยเหลือบมองฉีเล่ยเป็นระยะ

แม้ว่าทั่วทั้งใบหน้าของคังฟานจะประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน และมีสง่าราศีมากเพียงใด แต่เบื้องลึกภายในใจเขาก็ยังไม่เคลือบแคลงใจเรื่องของฉีเล่ยไม่หาย

ดูท่าฉันคงจะประเมินหมอนั่นต่ำเกินไป ถ้าไม่มีแผนรับมืออะไรกับหมอนี้ไว้เลย ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าอาจจะส่งผลเลวร้ายเกินคาดได้

คังฟานเพียงแค่หันไปพยักหน้าให้ฉีเล่ยเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจกับคู่สนทนาของตนเองต่อ

แม้ว่าฉีเล่ยเองจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างเช่นกัน แต่เขาก็ไม่สามารถเดินไปถามไถ่อะไรได้ในตอนนี้ จึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปเท่านั้น จากนั้นก็ประคองร่างของเป่ยฉวนเทียนกลับเข้าไปในห้องพัก

การเผชิญหน้าครั้งที่สองระหว่างทั้งชายหนุ่มทั้งสองคน จบลงโดยต่างฝ่ายต่างโค้งศีรษะให้กันและกัน แล้วเดินผ่านไปอย่างเงียบๆเท่านั้น

เนื่องจากเป่ยฉวนเทียนเมาหนักมาก ในฐานะที่ฉีเล่ยเป็นลูกศิษย์ เขาจำเป็นต้องอยู่เฝ้าดูแลผู้เป็นอาจารย์ จะให้ทิ้งปัญหาและหนีกลับบ้านไปนอนคงไม่ถูกต้องเช่นกัน ดังนั้นในคืนนี้เขาจึงจำเป็นต้องนอนค้างคืนในรีสอร์ทหยานหยวน

น่าจะเป็นเพราะความกังวลใจของหลี่ฮั่วเฉินหรืออย่างไรไม่ทราบ อีกฝ่ายจึงโทรมาหาฉีเล่ยกลางดึก

หลี่ฮั่วเฉินคิดว่า การที่คืนนี้ฉีเล่ยไม่กลับมานอนที่บ้านเป็นเพราะมีปัญหากับหลี่ถงซี ด้วยเหตุนี้ชายชราจึงรีบโทรมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ฉีเล่ยกลับไปนอนที่บ้าน เขาใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่ฉีเล่ยจะหาจังหวะเอ่ยปากเล่าข้อเท็จจริงให้อีกฝ่ายฟังได้

……..

เช้าตรู่ในวันถัดมา ฉีเล่ยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักดังขึ้นมา หลังจากยกหูโทรศัพท์ขึ้น ปลายสายปรากฏเป็นสุ้มเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยถามขึ้นด้วยถ้อยคำสุภาพว่า

“อรุณสวัสดิ์ครับ ปลายสายใช่คุณฉีเล่ยรึเปล่าครับ?”

“ใช่ครับ ผมเอง”

“ผมชื่อเฉินซ่งนะครับ เป็นเลขาของท่านรองรัฐมนตรีโจว เนื่องจากรองรัฐมนตรีโจวอยากจะขอเชิญคุณฉีไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกันน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณฉีพอจะมีเวลาว่างไหมครับ?”

“ว่างครับ เดี๋ยวผมจะลงไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

การที่ระดับรัฐมนตรีจะเชิญคุณไปทานอาหารเช้าร่วมกันเป็นการส่วนตัว โอกาสแบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ

เมื่อฉีเล่ยล้างหน้าแปรงฟันเติมความสดชื่นเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบตรงไปที่ภัตตาคารซึ่งอยู่ภายในโรงแรมทันที และเมื่อเดินเข้าไปถึงก็เห็นเฉินซ่งที่ยืนรออยู่หน้าทางเข้าภัตตาคารอยู่ก่อนแล้ว

ในฐานะเลขาประจำตัวของรองรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณะสุข กล่าวได้ว่าเฉินซ่งคนนี้เป็นนักการเมืองอีกคนที่มีอำนาจและชื่อเสียงมากมาย แม้แต่ตำแหน่งผู้ว่าการเขตก็เคยรับมาแล้ว ก่อนที่จะเข้าปักกิ่งมาเป็นเลขาให้โจวเซียวตงเป็นการส่วนตัว

แต่วันนี้เขาต้องมายืนรอชายหนุ่มที่หน้าทางเข้าภัตตาคารแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามแต่ ในเมื่อตอนนี้รองรัฐมนตรีโจวได้ออกคำสั่งมาแล้ว ภายในใจคิดเห็นอย่างไรจึงจำต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในใจ

นอกจากนี้เอง อีกฝ่ายที่เขากำลังรอต้อนรับก็เป็นถึงคนที่รองรัฐมนตรีโจวถูกใจอย่างมาก การสานสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายจึงไม่นับเป็นเรื่องเสียหายอะไรเลย

ฉีเล่ยที่เห็นเฉินซ่งยืนรออยู่หน้าภัตตาคารก็รู้อยู่แล้วว่าคงโดนสั่งมา แต่เขาก็แสร้งทำเป็นรีบวิ่งไปหาอีกฝ่าย พร้อมเอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่เกรงอกเกรงใจ

“เลขาเฉินครับ ทำไมถึงต้องออกมายืนรอผมด้วยตัวเองแบบนี้ล่ะครับ? ยังไงผมก็มาถูกอยู่แล้วล่ะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

เรื่องมารยาททางสังคมแบบนี้ฉีเล่ยเข้าใจกระจ่างชัดแจ้งดี และเขาเองก็ยังทราบถึงจุดยืนของตัวเองดีว่า ไม่ควรย่างก้าวเข้าไปรุกรานคนระดับเลขารัฐมนตรีเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้อาจจะก่อปัญหาที่คาดไม่ถึงให้ตัวเองได้ในอนาคต

เลขาเหล่านี้ล้วนเป็นนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงมาก่อนทั้งนั้น และเส้นสายในมือของพวกเขาเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉีเล่ยจะสามารถไปมีเรื่องด้วยได้เลย แค่คนพวกนี้ถูกสั่งให้มารอต้อนรับชายหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอยู่ที่หน้าภัตตาคารแบบนี้ตั้งแต่เช้า ก็คงจะทำให้เขารู้สึกขมขื่นใจแย่แล้ว หากฉีเล่ยยังขืนทำตัวหยิ่งยโสอวดดีใส่เขาอีก เหตุการณ์คงจะแย่ไปกันใหญ่

ฉีเล่ยไม่ลืมความต้องการหลักของตนเองที่หวังจะฟื้นฟูวงการแพทย์แผนจีน และการจะทำเช่นนั้นได้สำเร็จ จำเป็นที่จะต้องพึงพาเส้นสายจากคนทั่วทุกสาขาอาชีพ

เนื่องจากคำบรรยายของฉีเล่ยนเมื่อวานนี้ค่อนข้างรุนแรงเกินไป ทำให้เฉินซ่งแอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ยังค่อนข้างไร้เดียงสาและมีนิสัยหยิ่งจองหองอีกด้วย แต่เมื่อได้เห็นท่าทางการแสดงออกที่บ่งบอกถึงความเกรงอกเกรงใจของฉีเล่ยในตอนนี้ เฉินซ่งรู้ได้ทันทีว่าตัวเองคิดผิดไปมาก ปรากฏว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขานั้น กลับเป็นคนที่ค่อนข้างจะรู้ภาษา และมีสัมมาคาราวะมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก

เฉินซ่งเอื้อมมือออกไปตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“นี่พ่อหนุ่มอย่าทำตัวเป็นเด็กไปสิ เห็นฉันหน้าแก่แบบนี้แต่ฉันอายุมากกว่าเธอแค่สี่ถึงห้าปีเองนะ ฮ่าฮ่า…ต่อไปเรียกฉันว่าพี่เฉินก็ได้นะ เพราะคราวนี้ท่านรองรัฐมนตรีโจวสั่งการด้วยตัวเองเชียว ฉันก็เลยต้องออกมายืนต้อนรับเธอด้วยตัวเองอยู่นี่ยังไงล่ะ เอาล่ะๆ เลิกเกรงอกเกรงใจ แล้วรีบๆเข้าไปกันเถอะ ท่านคงจะรอนานแล้ว”

ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน จึงรีบเอ่ยถามออกไปว่า

“นี่ท่านรองรัฐมนตรีโจวมารอนานแล้วเหรอครับ?”

เฉินซ่งยิ้มตอบไปว่า

“ก็ใช่น่ะสิ รองรัฐมนตรีโจวมีนิสัยชอบตื่นนอนตั้งแต่รุ่งสาง ตอนนี้กำลังดื่มชาอยู่ข้างใน”

ฉีเล่ยส่งยิ้มให้อีกฝ่ายไป แต่ภายในใจพลางคิดไปว่า ตนเองประเมินรองโจวเซียวตงต่ำเกินไป ทีแรกก็คิดไปว่าคงจะเป็นแค่ชายชราคนหนึ่งที่ได้นั่งตำแหน่งนี้ แต่ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับตื่นมานั่งจิบชารออยู่นานแล้ว

โจวเซียวตงสวมชุดเสื้อคลุมจีนสีเทาแบบโบราณ และตอนนี้ก็กำลังนั่งจิบชาด้วยใบหน้าสงบนิ่งอยู่นอกระเบียงเปิดโล่ง

สายหมอกยามเช้ายังคงจับตัวเป็นชั้นหนา แสงอาทิตย์ยามเช้าแรกแย้มเริ่มเฉิดฉาย ไกลโพ้นสุดสายตาเป็นภาพทิวทัศน์ที่ประดับประดาด้วยเนินเขา และป่าไม้สลับทับซ้อนกันสุดลูกหูลูกตา

บริเวณใกล้เคียงไม่ไกลนักปรากกฎเป็นศาลาหินอ่อนสีขาว ควบคู่ไปกับสระหินน้ำใสบริสุทธิ์ การดื่มชายามเช้าพร้อมกับชื่นชมทัศนียภาพแวดล้อมที่งดงามขนาดนี้ไปด้วย จึงนับเป็นเรื่องที่น่าอภิรมย์ใจเกินบรรยาย

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยกำลังเดินตรงเข้ามา โจวเซียวตงก็วางหนังสือพิมพ์ในมือลง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“ฉันรู้นะว่า หนุ่มๆสาวๆอย่างเธอชอบนอนดึกกัน เรียกมาแต่เช้าตรู่แบบนี้ไม่หงุดหงดรำคาญกันใช่ไหม?”

ฉีเล่ยส่ายหน้าตอบกลับไปว่า

“ไม่เลยครับ ไม่เลย ทางผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องรอครับ”

โจวเซียวตงเอ่ยตอบไปว่า

“ขอโทษอะไรกัน ยิ่งแก่ก็ยิ่งตื่นเช้า มันเป็นเรื่องปกติ”

เฉินซ่งรีบวิ่งมาช่วยลากเก้าอี้ให้ฉีเล่ยนั่ง จากนั้นก็หันไปยกมือเรียกบริกรเพื่อเตรียมสั่งอาหารเช้ากัน ส่วนตัวเองก็ไปนั่งทานอาหารเช้าอยู่อีกโต๊ะตามลำพัง เพราะไม่ต้องการอยู่รบกวนการสนทนาของคนทั้งสอง

หลังจากที่ฉีเล่ยอาสารินชาให้โจวเซียวตงแล้ว อีกฝ่ายก็เอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“เมื่อคืนฉันอยากคุยกับเธอให้มากกว่านี้ แต่ต้องเดินไปทักทายคนอื่นด้วยเลยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ วันนี้ก็ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องรีบไปจัดการ ก็เลยรีบฉวยโอกาสตอนเช้านี้โทรชวนเธอมากินอาหารเช้าด้วยกัน”

“ท่านรองรัฐมนตรีโจวทำงานหนักมากครับ”

รองรัฐมนตรีโจวพูดขึ้นด้วยแววตาที่เป็นกังวล

“ไม่มีอะไรหนักหรอก ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อวาน อันที่จริงเราสามารถมให้แพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตกพัฒนาเคียงคู่กันไปได้นะ แต่ปัจจุบันกลับดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว ในสายตาของทุกคนตอนนี้ แพทย์แผนจีนก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เป็นเพียงแค่วัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถใช้รักษากันจริงจังได้ เรื่องความคิดของผู้คนนั้น ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าก็ไม่สามารถบังคับความคิดของใครได้ เฮ้ออ…”

“แต่ หลังจากได้ฟังคำพูดของเธอเมื่อวานนี้จนจบ จู่ๆฉันก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง วันนี้ก็เลยอยากคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องสภาแพทย์จีนแห่งประเทศจีนสักหน่อย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 186 ดื่มชายามเช้า

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 186 ดื่มชายามเช้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่186 ดื่มชายามเช้า

เป่ยฉวนเทียนกล่าวกับฉีเล่ยด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ตอนนี้เขากลายมาเป็นตาแก่ขี้เมาไปเรียบร้อยแล้ว

“ฉีเย่ยย…วันนี้เธอพูดได้ดีมาก วิเศษสุดๆไปเยย เธอพูดทุกอย่างที่ฉันเคยอยากจะพูดเมื่อสมัยยังหนุ่ม วันนี้เธอทำให้ฝันของฉันเป็นจริงแล้ว… ฉันมีความสุขมากที่ได้เป็นอาจารย์ของเธอ เมื่อก่อนฉันก็เคยมีลูกศิษย์เหมือนกัน แต่เวลาผ่านไปลูกศิษย์ของฉันกลับล้มหายตายจาก ไม่ก็ผันตัวไปเรียนแพทย์ตะวันตกต่อ ฉันรู้สึกกังวลใจมากจริงๆ กลัวว่าสักวันศาสตร์แพทย์แผนจีนจะสูญหายไป เธอคืออความหวังของวงการแพทย์แผนจีนอย่างแท้จริงฉีเล่ย”

ฉีเล่ยช่วยประคองร่างของเป่ยฉวนเทียนไว้ไม่ให้ล้ม พร้อมตอบกลับไปยิ้มๆ

“อาจารยเป่ย ตอนนี้เมามากแล้วนะครับ ควรกลับห้องไปพักผ่อนได้แล้วล่ะครับ”

เป่ยฉวนเทียนรีบยกมือปัดไปปัดมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ฉ๊าน~ไม่ด้ายมาวว! ตอนนี้ฉันยังมีสติครบถ้วนดี! จะให้ฝังเข็มตอนนี้ก็ยังหวายย~”

อาวุโสเหวินยกมือขึ้นมาตบไหล่ฉีเล่ยไปหนึ่งที พร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ฉีเล่ย การจะหาศิษย์เก่งๆสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ตาเฒ่าเป่ยคงจะดีใจมากนั่นล่ะ พวกเราเองก็พลอยมีความสุขไปด้วยเหมือนกัน ที่ได้เห็นหนุ่มสาวที่มีความสามารถอย่างเธอมารับช่วงต่อแบบนี้ เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเราเฝ้ารอคอยมาตลอดหลายปี”

หลัวไป๋ซิ่วเองก็หันมาตบไหล่ฉีเล่ยอีกข้างด้วยความเมามายเช่นกัน และพูดขึ้นอย่างโล่งใจว่า

“จากนี้ก็ตั้งใจให้ดีล่ะ”

หลัวไป๋ซิ่วเป็นปรมาจารย์แพทย์แผนจีนที่ได้รับฉายาว่าปรมาจารย์หน้าบึ้ง ดังนั้นถือเป็นเรื่องยากมากที่เขาจะเข้าหาใครสักคนด้วยอากัปกิริยาที่เป็นกันเองด้วยการตบไหล่แบบนี้

ฉีเล่ยพยักหน้า และตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง

“ผมจะพยายามให้ดีที่สุดครับ”

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังประคองร่างของเป่ยฉวนเทียนที่อยู่ในสภาพเมามายออกมาจากห้องจัดเลี้ยงนั้น ก็บังเอิญชนเข้ากับคังฟานที่กำลังเดินตรงเข้ามาในห้องเพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีกับบรรดาปรมาจารย์แพทย์แผนจีน ฉีเล่ยเห็นทั้งสองคนเข้าก็ถึงกับร้องอ๋อทันที คนแรกคือคังฟานแฟนเก่าของหลี่ถงซี ส่วนอีกคนคือเพื่อนของอีกฝ่ายที่อยู่ด้วยกันในภัตตาคารคืนนั้น แต่ฉีเล่ยจำชื่อของเขาไม่ได้

เมื่อคังฟานได้พบกับฉีเล่ยในสถานที่เช่นนี้ เขาก็ถึงกับตกตะลึงเช่นกัน นี่มันงานประชุมสภาแพทย์แผนจีนระดับชาติไม่ใช่เหรอ? มิหนำซ้ำนี่ก็คือชั้น 7 ซึ่งเป็นแหล่งรวมของบรรดาผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอีกด้วย นี่มันอะไรกันแน่?

คังฟานซึ่งในขณะนี้กำลังยืนสนทนากับอาวุโสคนอื่นๆอยู่ด้วยความกระตือรืนร้น และต้องการที่จะทำความรู้จักกับอาวุโสเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็คอยเหลือบมองฉีเล่ยเป็นระยะ

แม้ว่าทั่วทั้งใบหน้าของคังฟานจะประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน และมีสง่าราศีมากเพียงใด แต่เบื้องลึกภายในใจเขาก็ยังไม่เคลือบแคลงใจเรื่องของฉีเล่ยไม่หาย

ดูท่าฉันคงจะประเมินหมอนั่นต่ำเกินไป ถ้าไม่มีแผนรับมืออะไรกับหมอนี้ไว้เลย ไม่แน่ว่าวันข้างหน้าอาจจะส่งผลเลวร้ายเกินคาดได้

คังฟานเพียงแค่หันไปพยักหน้าให้ฉีเล่ยเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจกับคู่สนทนาของตนเองต่อ

แม้ว่าฉีเล่ยเองจะรู้สึกสงสัยอยู่บ้างเช่นกัน แต่เขาก็ไม่สามารถเดินไปถามไถ่อะไรได้ในตอนนี้ จึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าตอบอีกฝ่ายกลับไปเท่านั้น จากนั้นก็ประคองร่างของเป่ยฉวนเทียนกลับเข้าไปในห้องพัก

การเผชิญหน้าครั้งที่สองระหว่างทั้งชายหนุ่มทั้งสองคน จบลงโดยต่างฝ่ายต่างโค้งศีรษะให้กันและกัน แล้วเดินผ่านไปอย่างเงียบๆเท่านั้น

เนื่องจากเป่ยฉวนเทียนเมาหนักมาก ในฐานะที่ฉีเล่ยเป็นลูกศิษย์ เขาจำเป็นต้องอยู่เฝ้าดูแลผู้เป็นอาจารย์ จะให้ทิ้งปัญหาและหนีกลับบ้านไปนอนคงไม่ถูกต้องเช่นกัน ดังนั้นในคืนนี้เขาจึงจำเป็นต้องนอนค้างคืนในรีสอร์ทหยานหยวน

น่าจะเป็นเพราะความกังวลใจของหลี่ฮั่วเฉินหรืออย่างไรไม่ทราบ อีกฝ่ายจึงโทรมาหาฉีเล่ยกลางดึก

หลี่ฮั่วเฉินคิดว่า การที่คืนนี้ฉีเล่ยไม่กลับมานอนที่บ้านเป็นเพราะมีปัญหากับหลี่ถงซี ด้วยเหตุนี้ชายชราจึงรีบโทรมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ฉีเล่ยกลับไปนอนที่บ้าน เขาใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่ฉีเล่ยจะหาจังหวะเอ่ยปากเล่าข้อเท็จจริงให้อีกฝ่ายฟังได้

……..

เช้าตรู่ในวันถัดมา ฉีเล่ยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์ภายในห้องพักดังขึ้นมา หลังจากยกหูโทรศัพท์ขึ้น ปลายสายปรากฏเป็นสุ้มเสียงของชายหนุ่มที่เอ่ยถามขึ้นด้วยถ้อยคำสุภาพว่า

“อรุณสวัสดิ์ครับ ปลายสายใช่คุณฉีเล่ยรึเปล่าครับ?”

“ใช่ครับ ผมเอง”

“ผมชื่อเฉินซ่งนะครับ เป็นเลขาของท่านรองรัฐมนตรีโจว เนื่องจากรองรัฐมนตรีโจวอยากจะขอเชิญคุณฉีไปรับประทานอาหารเช้าด้วยกันน่ะครับ ไม่ทราบว่าคุณฉีพอจะมีเวลาว่างไหมครับ?”

“ว่างครับ เดี๋ยวผมจะลงไปเดี๋ยวนี้เลยครับ”

การที่ระดับรัฐมนตรีจะเชิญคุณไปทานอาหารเช้าร่วมกันเป็นการส่วนตัว โอกาสแบบนี้ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ

เมื่อฉีเล่ยล้างหน้าแปรงฟันเติมความสดชื่นเรียบร้อยแล้ว เขาก็รีบตรงไปที่ภัตตาคารซึ่งอยู่ภายในโรงแรมทันที และเมื่อเดินเข้าไปถึงก็เห็นเฉินซ่งที่ยืนรออยู่หน้าทางเข้าภัตตาคารอยู่ก่อนแล้ว

ในฐานะเลขาประจำตัวของรองรัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณะสุข กล่าวได้ว่าเฉินซ่งคนนี้เป็นนักการเมืองอีกคนที่มีอำนาจและชื่อเสียงมากมาย แม้แต่ตำแหน่งผู้ว่าการเขตก็เคยรับมาแล้ว ก่อนที่จะเข้าปักกิ่งมาเป็นเลขาให้โจวเซียวตงเป็นการส่วนตัว

แต่วันนี้เขาต้องมายืนรอชายหนุ่มที่หน้าทางเข้าภัตตาคารแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

อย่างไรก็ตามแต่ ในเมื่อตอนนี้รองรัฐมนตรีโจวได้ออกคำสั่งมาแล้ว ภายในใจคิดเห็นอย่างไรจึงจำต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในใจ

นอกจากนี้เอง อีกฝ่ายที่เขากำลังรอต้อนรับก็เป็นถึงคนที่รองรัฐมนตรีโจวถูกใจอย่างมาก การสานสัมพันธ์อันดีกับอีกฝ่ายจึงไม่นับเป็นเรื่องเสียหายอะไรเลย

ฉีเล่ยที่เห็นเฉินซ่งยืนรออยู่หน้าภัตตาคารก็รู้อยู่แล้วว่าคงโดนสั่งมา แต่เขาก็แสร้งทำเป็นรีบวิ่งไปหาอีกฝ่าย พร้อมเอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางที่เกรงอกเกรงใจ

“เลขาเฉินครับ ทำไมถึงต้องออกมายืนรอผมด้วยตัวเองแบบนี้ล่ะครับ? ยังไงผมก็มาถูกอยู่แล้วล่ะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”

เรื่องมารยาททางสังคมแบบนี้ฉีเล่ยเข้าใจกระจ่างชัดแจ้งดี และเขาเองก็ยังทราบถึงจุดยืนของตัวเองดีว่า ไม่ควรย่างก้าวเข้าไปรุกรานคนระดับเลขารัฐมนตรีเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้อาจจะก่อปัญหาที่คาดไม่ถึงให้ตัวเองได้ในอนาคต

เลขาเหล่านี้ล้วนเป็นนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงมาก่อนทั้งนั้น และเส้นสายในมือของพวกเขาเองก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉีเล่ยจะสามารถไปมีเรื่องด้วยได้เลย แค่คนพวกนี้ถูกสั่งให้มารอต้อนรับชายหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอยู่ที่หน้าภัตตาคารแบบนี้ตั้งแต่เช้า ก็คงจะทำให้เขารู้สึกขมขื่นใจแย่แล้ว หากฉีเล่ยยังขืนทำตัวหยิ่งยโสอวดดีใส่เขาอีก เหตุการณ์คงจะแย่ไปกันใหญ่

ฉีเล่ยไม่ลืมความต้องการหลักของตนเองที่หวังจะฟื้นฟูวงการแพทย์แผนจีน และการจะทำเช่นนั้นได้สำเร็จ จำเป็นที่จะต้องพึงพาเส้นสายจากคนทั่วทุกสาขาอาชีพ

เนื่องจากคำบรรยายของฉีเล่ยนเมื่อวานนี้ค่อนข้างรุนแรงเกินไป ทำให้เฉินซ่งแอบคิดกับตัวเองอยู่ในใจว่า ชายหนุ่มคนนี้ยังค่อนข้างไร้เดียงสาและมีนิสัยหยิ่งจองหองอีกด้วย แต่เมื่อได้เห็นท่าทางการแสดงออกที่บ่งบอกถึงความเกรงอกเกรงใจของฉีเล่ยในตอนนี้ เฉินซ่งรู้ได้ทันทีว่าตัวเองคิดผิดไปมาก ปรากฏว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเขานั้น กลับเป็นคนที่ค่อนข้างจะรู้ภาษา และมีสัมมาคาราวะมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก

เฉินซ่งเอื้อมมือออกไปตบไหล่ฉีเล่ยเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นยิ้มๆ

“นี่พ่อหนุ่มอย่าทำตัวเป็นเด็กไปสิ เห็นฉันหน้าแก่แบบนี้แต่ฉันอายุมากกว่าเธอแค่สี่ถึงห้าปีเองนะ ฮ่าฮ่า…ต่อไปเรียกฉันว่าพี่เฉินก็ได้นะ เพราะคราวนี้ท่านรองรัฐมนตรีโจวสั่งการด้วยตัวเองเชียว ฉันก็เลยต้องออกมายืนต้อนรับเธอด้วยตัวเองอยู่นี่ยังไงล่ะ เอาล่ะๆ เลิกเกรงอกเกรงใจ แล้วรีบๆเข้าไปกันเถอะ ท่านคงจะรอนานแล้ว”

ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยิน จึงรีบเอ่ยถามออกไปว่า

“นี่ท่านรองรัฐมนตรีโจวมารอนานแล้วเหรอครับ?”

เฉินซ่งยิ้มตอบไปว่า

“ก็ใช่น่ะสิ รองรัฐมนตรีโจวมีนิสัยชอบตื่นนอนตั้งแต่รุ่งสาง ตอนนี้กำลังดื่มชาอยู่ข้างใน”

ฉีเล่ยส่งยิ้มให้อีกฝ่ายไป แต่ภายในใจพลางคิดไปว่า ตนเองประเมินรองโจวเซียวตงต่ำเกินไป ทีแรกก็คิดไปว่าคงจะเป็นแค่ชายชราคนหนึ่งที่ได้นั่งตำแหน่งนี้ แต่ที่ไหนได้อีกฝ่ายกลับตื่นมานั่งจิบชารออยู่นานแล้ว

โจวเซียวตงสวมชุดเสื้อคลุมจีนสีเทาแบบโบราณ และตอนนี้ก็กำลังนั่งจิบชาด้วยใบหน้าสงบนิ่งอยู่นอกระเบียงเปิดโล่ง

สายหมอกยามเช้ายังคงจับตัวเป็นชั้นหนา แสงอาทิตย์ยามเช้าแรกแย้มเริ่มเฉิดฉาย ไกลโพ้นสุดสายตาเป็นภาพทิวทัศน์ที่ประดับประดาด้วยเนินเขา และป่าไม้สลับทับซ้อนกันสุดลูกหูลูกตา

บริเวณใกล้เคียงไม่ไกลนักปรากกฎเป็นศาลาหินอ่อนสีขาว ควบคู่ไปกับสระหินน้ำใสบริสุทธิ์ การดื่มชายามเช้าพร้อมกับชื่นชมทัศนียภาพแวดล้อมที่งดงามขนาดนี้ไปด้วย จึงนับเป็นเรื่องที่น่าอภิรมย์ใจเกินบรรยาย

เมื่อเห็นว่าฉีเล่ยกำลังเดินตรงเข้ามา โจวเซียวตงก็วางหนังสือพิมพ์ในมือลง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า

“ฉันรู้นะว่า หนุ่มๆสาวๆอย่างเธอชอบนอนดึกกัน เรียกมาแต่เช้าตรู่แบบนี้ไม่หงุดหงดรำคาญกันใช่ไหม?”

ฉีเล่ยส่ายหน้าตอบกลับไปว่า

“ไม่เลยครับ ไม่เลย ทางผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องรอครับ”

โจวเซียวตงเอ่ยตอบไปว่า

“ขอโทษอะไรกัน ยิ่งแก่ก็ยิ่งตื่นเช้า มันเป็นเรื่องปกติ”

เฉินซ่งรีบวิ่งมาช่วยลากเก้าอี้ให้ฉีเล่ยนั่ง จากนั้นก็หันไปยกมือเรียกบริกรเพื่อเตรียมสั่งอาหารเช้ากัน ส่วนตัวเองก็ไปนั่งทานอาหารเช้าอยู่อีกโต๊ะตามลำพัง เพราะไม่ต้องการอยู่รบกวนการสนทนาของคนทั้งสอง

หลังจากที่ฉีเล่ยอาสารินชาให้โจวเซียวตงแล้ว อีกฝ่ายก็เอ่ยกล่าวขึ้นว่า

“เมื่อคืนฉันอยากคุยกับเธอให้มากกว่านี้ แต่ต้องเดินไปทักทายคนอื่นด้วยเลยไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ วันนี้ก็ยังมีงานอีกมากมายที่ต้องรีบไปจัดการ ก็เลยรีบฉวยโอกาสตอนเช้านี้โทรชวนเธอมากินอาหารเช้าด้วยกัน”

“ท่านรองรัฐมนตรีโจวทำงานหนักมากครับ”

รองรัฐมนตรีโจวพูดขึ้นด้วยแววตาที่เป็นกังวล

“ไม่มีอะไรหนักหรอก ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งที่เธอพูดไปเมื่อวาน อันที่จริงเราสามารถมให้แพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตกพัฒนาเคียงคู่กันไปได้นะ แต่ปัจจุบันกลับดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว ในสายตาของทุกคนตอนนี้ แพทย์แผนจีนก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่เป็นเพียงแค่วัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถใช้รักษากันจริงจังได้ เรื่องความคิดของผู้คนนั้น ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าก็ไม่สามารถบังคับความคิดของใครได้ เฮ้ออ…”

“แต่ หลังจากได้ฟังคำพูดของเธอเมื่อวานนี้จนจบ จู่ๆฉันก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง วันนี้ก็เลยอยากคุยกับเธอเกี่ยวกับเรื่องสภาแพทย์จีนแห่งประเทศจีนสักหน่อย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+