ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 71 ตัวต่อตัว

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 71 ตัวต่อตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่71 ตัวต่อตัว

เหอจื่อส่ายหน้าตอบทันทีที่ได้ยินฉีเล่ยกล่าวรับประกันอย่างมั่นใจขนาดนั้น

“ยากที่จะพูดนะ ฉันไม่อยากคาดหวังเท่าไหร่”

เธอเหม่อมองเพดานด้วยแววตาเปี่ยมล้นความปรารถนาและกล่าวขึ้นว่า

“แต่ลึกๆแล้วฉันก็ยังหวังนะ หวังว่าสักวันจะมีอาจารย์ที่ทั้งมีความสามารถและรักลูกศิษย์ตัวเองจากใจจริง หล่อหน่อยก็ดี ฮ่าฮ่า…แต่ก็อย่างว่านะ ในยุคสมัยทุนนิยมแบบนี้คงหายากแล้วล่ะ”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มตอบไปว่า

“ฝันของคุณเป็นจริงแล้ว”

‘ป๊อป!’

เหอจื่อเป่าลูกโป่งแตกดังขึ้นอีกครา โน้มตัวไปทางฉีเล่ยพลางเอ่ยถามสวนตอบไปว่า

“นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นหมอดูที่ฉันเล่าให้ฟังอยู่รึไง? ฮ่าฮ่า…นายเองก็ตลกเหมือนกันหนิ”

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังจะปริปากตอบ ทันใดนั้นเสียงกริ่งเริ่มชั้นเรียนก็ดังขึ้น

“ผมจะทำให้ฝันของคุณเป็นจริงเอง”

ฉีเล่ยหันมายิ้มให้เหอจื่อ ท่ามกลางสายตาของบรรดานักศึกษาทั้งหมด เขาก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังโต๊ะหน้าห้องเรียนพร้อมกับหนังสือในมือ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับทุกคน ผมชื่อฉีเล่ย ที่แปลได้ว่าแข็งแกร่ง จริงใจและเที่ยงตรงดุจหินผา”

ขณะที่เขากล่าวขึ้น ก็หมุนไปทางกระดานดำหยิบชอล์กขึ้นมาเขียนชื่อตัวเอง คล้อยหันกลับมาและยิ้มให้กับทุกคน

“ผมคืออาจารย์คนใหม่ ที่จะมาสอนในสาขาวิชา‘เทคนิคการแพทย์จีนและการใช้ยา’ โดยในคาบเรียนวันนี้จะเป็นวิชาการวินิจฉัยนะครับ”

บรรยากาศทั่วทั้งชั้นเรียนกลายเป็นเงียบกริบราวกับป่าช้า นักศึกษาทุกคนนั่งเหม่อมองอย่างโง่งม

‘ฟู่วว…ป๊อป!’

เหอจื่อช็อกจนเป่าลูกโป่งหมากฝรั่งขนาดยักษ์ แถมยังแตกคาหน้าไปครึ่งหนึ่ง ทว่าตัวเธอกลับไม่ได้สนใจเลย ดวงตาดู่สวยดุจอัญมณีของเธอยังคงจับจ้องไปที่อาจารย์คนใหม่หน้าห้อง ในหัวของเธอขาวโพลนไปหมด ตกลงสู่สภาวะสติหลุดไปชั่วขณะ

………

ทันทีที่หลี่ถงซีเข้ามาในห้องพักอาจารย์ เธอรู้สึกได้ทันทีว่าทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ตนเองเป็นตาเดียว

บรรดาเพื่อนร่วมงานทั้งหลายต่างจับกลุ่มซุบซิบนินทา บางคนหัวเราะคิกคัก เย้าหยอกล้อเล่นกัน ใบหน้าของทุกคนราวกับเขียนคำว่า‘ฉันรู้ทุกอย่างหมดแล้ว’อยู่

ทันทีที่เห็นท่าทางการแสดงออกของทุกคนแบบนี้ หลี่ถงซีก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ได้ทันควันและลอบถอนหายใจอย่างลับๆ เป็นอย่างที่ฉีเล่ยพูดไว้ไม่มีผิด ซูเสี่ยวหยานคนนี้ไม่สมควรได้รับความเมตตาหรือเห็นใจใดๆ

หลี่ถงซีเดินเข้ามาเก็บกระเป๋าบนโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่ทันใดนั้นซูเสี่ยวหยานก็เดินเข้ามาพร้อมระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยปากกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยแววตาน่ารังเกียจราวกับกำลังเยาะเย้ยว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ต้องการพบน่ะ โดยด่วนเลยด้วยที่ห้องทำงาน”

พอเห็นหลี่ถงซีไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ซูเสี่ยวหยานก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนเธอไปว่า

“คราวนี้เรื่องถึงหูหัวหน้าคณะอาจารย์แล้ว หวังว่าจะโชคดีนะ”

แต่แค่นี้มันไม่สาแก่ใจพอ มันไม่สามารถชดเชยความแค้นภายในใจของเธอได้ด้วยซ้ำ ซูเสี่ยวหยานจะต้องใช้โอกาสที่มีในปัจจุบันขยับขยายเรื่องให้แดงออกไปมากที่สุด ทางที่ดีควรบอกให้หัวหน้าภาคสาขารู้ไปเลยยิ่งดี หรือไม่ก็ท่านคณบดีมหาวิทยาลัยไปเลย ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ถงซีกับท่านคณบดีจะแน่นแฟ้นขนาดไหน แต่สุดท้ายกต้องโดนไล่ออกอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี

หลี่ถงซีไม่สนใจสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาทางเธอสักนิด โยนกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะทำงาน สาวเท้าก้าวตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์ทันที โดยมีซูเสี่ยวหยานคอยเดินติดตามกล่าวเยาะเย้ยไม่ขาดสาย

ทันทีที่พวกเธอทั้งคู่จากไป ห้องพักครูก็ลุกเป็นไฟทันที

“ไม่อยากจะเชื่อเลย ผู้ได้รับสมญานาม‘อาจารย์ปิง’ของเรากำลังตบะแตกรึเปล่า? คิดยังไงถึงได้ไปหลอกลูกศิษย์ตัวเองมาควงแบบนี้?”

“นี่ไม่เคยได้ยินเหรอ? กินเด็กแล้วจะเป็นอมตะ! ถึงจะเย็นชาแค่ไหนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่นแหละนะ”

“แต่ฉันว่า นี่ไม่น่าจะใช่ความจริงนะ ก็รู้กันอยู่ว่าอาจารย์ซูเป็นคนปากจัด เวลาเล่าอะไรให้ฟังเชื่อได้ไม่ถึงครึ่งสักอย่าง สงสัยคงอยากหาเรื่องให้ชื่อเสียงของอาจารย์หลี่มัวหมองเฉยๆล่ะมั๊ง?”

“ก็มีความเป็นไปได้นะ อาจารย์หลี่แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลยแม้แต่อาจารย์ด้วยกันอย่างพวกเรา มีเหรอที่จู่ๆจะไปควงลูกศิษย์ตัวเอง? ฉันไม่เชื่อหรอก”

หัวหน้าคณะอาจารย์สาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เป็นคนแซ่กัว เขาจบจากสหรัฐอเมริกา เป็นคนมากพรสวรรค์ด้านการแพทย์ ประกอบกับทางบ้านทุกคนต่างจบด้านการแพทย์มากันหมด กล่าวได้ว่าเป็นคนอนาคตไกลมากคนหนึ่ง พอเข้าทำงานในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาก็มารับตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์โดยตรง

หัวหน้าคณะกัวเป็นชายกลางคนในวัย40ปี มีความทะเยอทะยานสูง หน้าตาดูเป็นมิตรอ้วนท้วน แต่ถ้าคนที่มีสายตาคมจริงๆจะรู้ได้ทันทีว่า ธาตุแท้ของชายคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นเพียงเปลือกนอก

ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าตู้ปลา กำลังป้อนอาหารให้ปลาทรายแดงลายมังกรที่ประมูลมาในราคาสูงลิบลิ่วอยู่ หัวหน้าคณะอาจารย์กัวเอ่ยปากกล่าวขึ้นโดยไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำว่า

“อาจารย์ซูก็เข้ามาด้วยเลย ได้ข่าวมาว่า เธอพบเห็นอาจารย์หลี่กับนักศึกษาหนุ่มนั่งรถมาด้วยกันตั้งแต่เช้า เรื่องแบบนี้ถ้าหลุดออกไปถึงข้างนอก เคยคิดไหมว่ามันจะทำให้มหาวิทยาลัยของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงขนาดไหน?”

ในเวลานี้เอง ซูเสี่ยวหยานกลับไร้ซึ่งความฉุนเฉียวอาฆาตราวกับนางมารร้ายอย่างตอนก่อนหน้า แทนที่มาด้วยความอ่อนโยนและทรงเสน่ห์ไร้ซึ่งพิษภัย เธอกล่าวเสียงหวานแสร้งทำเป็นร้อนใจขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะกัว ดิฉันไม่มีหลักฐานหรอกนะคะ แล้วจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาได้ยังไง? ฉันแค่บังเอิญไปเห็นเท่านั้น…แค่นี้คงใช้เป็นหลักฐานไม่ได้หรอกค่ะ อ่อ…แต่ดิฉันได้ถ่ายรูปเอาไว้ค่ะ”

หัวหน้าคณะกัววางอาหารปลาในมือลง หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดไม้เช็ดมือและเดินไปนั่งยังเก้าอี้ตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ในห้อง พลางกล่าวว่า

“ไหนล่ะรูป? เอาออกมาให้ฉันดูหน่อย”

ซูเสี่ยวหยานรอคอยประโยคนี้อยู่นานแล้ว เธอหยิบหยิบมือถือออกจากกระเป๋าทันทีและส่งให้อีกฝ่ายดู

“นี่ค่ะ”

ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนมาก หลี่ถงซียืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาของทางมหาวิทยาลัย ยิ่งไปกว่านั้นด้านหลังก็เป็นรถBMWของเธอที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“อืม…แค่รูปถ่ายนี้มันยังสรุปอะไรไม่ได้หรอกนะ…”

“แล้วถ้ารูปนี้ล่ะค่ะ?”

ทันใดนั้นเองซูเสี่ยวหยานก็ขอมือถือคืนและเปิดอีกรูปหนึ่งส่งให้หัวหน้าคณะอาจารย์กังทันที เขาที่เห็นรูปดังกล่าวถึงกับชะงักปั้นหน้าตกใจอย่างมาก

หลี่ถงซีที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นไปเหลือบมอง เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ซูเสี่ยวหยานที่ดูกระตือรือร้นตั้งใจทำการทำงานแบบนี้ แท้จริงแล้วจะแอบซ่อนความร้ายกาจเกินจินตนาการ!

ปรากฏว่ามันเป็นรูปถ่ายที่ซูเสี่ยวหยานแอบถ่ายตอนขับรถตามมาระหว่างทาง

เนื่องจากเมื่อคืนฉีเล่ยหลับไม่เต็มอิ่ม พอใกล้ถึงมหาวิทยาลัยเขาก็ผล็อยหลับไปและบังเอิญว่าศีรษะของเขาดันเอนไปหาไหล่ของหลี่ถงซีพอดี ซึ่งแม้แต่ตัวเธอเองที่ขับรถอยู่ก็ยังไม่ทันรู้ตัว หลังจากขับเข้าไปในตัวมหาวิทยาลัย หลี่ถงซีเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายหลับจึงปลุกให้ตื่น

ภาพฉากทุกอย่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจของทั้งสองฝ่าย ไม่แม้แต่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ

หัวหน้าคณะอาจารย์กัวยกมือถือขึ้นมาจับจ้องพลางสลับสายตาชำเลืองมองไปที่หลี่ถงซีเป็นครั้งคราว ก่อนจะส่งคืนให้ซูเสี่ยวหยานและกล่าวด้วยท่าทีไม่ค่อยแยแสว่า

“ก็แค่รูปถ่ายเท่านั้นล่ะ คงจะใช้ยืนยันอะไรไม่ได้”

“งั้นหัวหน้าคณะกัวค่ะ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่า อาจารย์หลี่ที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร อย่าว่าแต่ผู้ชายเลยค่ะ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังไม่แทบไม่สนใจ แต่เช้านี้เธอกลับขับรถมาพร้อมกับผู้ชาย ไม่คิดว่ามันแปลกเกินไปหน่อยเหรอค่ะ?”

ซูเสี่ยวหยานรีบโพล่งกล่าวขึ้นทันควันอย่างเร่งรีบ จนลืมนึกไปสนิทเลยว่า หัวหน้าคณะกัวคนนี้ก็ทราบดีว่าเบื้องหลังที่คอยหนุนหลี่ถงซีอยู่คือใคร

หัวหน้าคณะอาจารย์กัวถึงกับหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ

‘พล่ามมาถึงขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร? เหอะ มีเหรอที่คนอย่างอาจารย์หลี่จะทำเรื่องฉาวแบบนี้?’

ซูเสี่ยวหยานยังคงพยายามดิ้นรนหาเหตุผลต่างๆนานาไม่หยุดหย่อน

“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ตอนที่ดิฉันเดินเล่นในห้างกับหานหมิงต้า พวกเราทั้งคู่ไปเจอเธอเดินอยู่กับผู้ชายในภาพนี้เป๊ะเลย แถม…แถมพวกเขาทั้งกอดทั้งจับมือกันด้วยค่ะ!”

พอรู้ว่าตัวเองไม่มีหนทางเหลือแล้ว ซูเสี่ยวหยานจึงจงใจอ้างชื่อของหานหมิงต้าไป โดยบอกว่าเธอกับเขาล้วนเป็นพยานในเรื่องนี้ได้

เมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์กัวได้ยินแบบนั้นถึงกับปวดหัว เขาไม่จำเป็นต้องสนใจหรือไว้หน้าซูเสี่ยวหยานคนนี้อยู่แล้ว แต่สำหรับแฟนของเธออย่าง หานหมิงต้า เรื่องนี้หัวหน้าคณะอาจารย์กังไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้เลย

ภาคสาขาวิชาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โดยส่วนใหญ่จำต้องอิงกับการทดลองเป็นหลัก ซึ่งอุปกรณ์โดยส่วนใหญ่ในสาขาวิชาดังกล่าวค่อนข้างมีราคาที่สูงมาก โชคดีที่ในปีนี้หานหมิงต้าอาสาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ซื้อชุดอุปกรณ์การทดลองให้กับพวกเขายกแผนก เพราะเหตุนี้ หานหมิงต้าจึงถือเป็นผู้มีพระคุณต่อมหาวิทยาลัย ที่ใจกว้างออกเงินช่วยเหลือขนาดนี้ ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับซูเสี่ยวหยานด้วยเช่นกัน

หลังจากเรื่องในวันนี้จบลง ซูเสี่ยวหยานจะต้องนำไปพูดกับหานหมิงต้าแน่นอน นี่แหละคือจุดที่หัวหน้าคณะอาจารย์กัวกังวลที่สุด

“อาจารย์หลี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์กัวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเบนเป้าหันไปเอ่ยถามหลี่ถงซีที่นั่งปิดปากเงียบมาโดยตลอด

รับฟังคำถามขอหัวหน้าคณะอาจารย์กัว หลี่ถงซีกล่าวน้ำเสียงเย็นชาตอบเพียงประโยคเดียวว่า

“เขาเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน”

“เพื่อนร่วมงาน? เพื่อนร่วมงานแบบไหน?”

“จำเป็นต้องรายงานด้วยเหรอเวลามีเพื่อน?”

หลี่ถงซีสวนกลับทันทีด้วยความรำคาญ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 71 ตัวต่อตัว

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 71 ตัวต่อตัว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่71 ตัวต่อตัว

เหอจื่อส่ายหน้าตอบทันทีที่ได้ยินฉีเล่ยกล่าวรับประกันอย่างมั่นใจขนาดนั้น

“ยากที่จะพูดนะ ฉันไม่อยากคาดหวังเท่าไหร่”

เธอเหม่อมองเพดานด้วยแววตาเปี่ยมล้นความปรารถนาและกล่าวขึ้นว่า

“แต่ลึกๆแล้วฉันก็ยังหวังนะ หวังว่าสักวันจะมีอาจารย์ที่ทั้งมีความสามารถและรักลูกศิษย์ตัวเองจากใจจริง หล่อหน่อยก็ดี ฮ่าฮ่า…แต่ก็อย่างว่านะ ในยุคสมัยทุนนิยมแบบนี้คงหายากแล้วล่ะ”

ฉีเล่ยคลี่ยิ้มตอบไปว่า

“ฝันของคุณเป็นจริงแล้ว”

‘ป๊อป!’

เหอจื่อเป่าลูกโป่งแตกดังขึ้นอีกครา โน้มตัวไปทางฉีเล่ยพลางเอ่ยถามสวนตอบไปว่า

“นี่นายคิดว่าตัวเองเป็นหมอดูที่ฉันเล่าให้ฟังอยู่รึไง? ฮ่าฮ่า…นายเองก็ตลกเหมือนกันหนิ”

ขณะที่ฉีเล่ยกำลังจะปริปากตอบ ทันใดนั้นเสียงกริ่งเริ่มชั้นเรียนก็ดังขึ้น

“ผมจะทำให้ฝันของคุณเป็นจริงเอง”

ฉีเล่ยหันมายิ้มให้เหอจื่อ ท่ามกลางสายตาของบรรดานักศึกษาทั้งหมด เขาก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังโต๊ะหน้าห้องเรียนพร้อมกับหนังสือในมือ

“ยินดีที่ได้รู้จักครับทุกคน ผมชื่อฉีเล่ย ที่แปลได้ว่าแข็งแกร่ง จริงใจและเที่ยงตรงดุจหินผา”

ขณะที่เขากล่าวขึ้น ก็หมุนไปทางกระดานดำหยิบชอล์กขึ้นมาเขียนชื่อตัวเอง คล้อยหันกลับมาและยิ้มให้กับทุกคน

“ผมคืออาจารย์คนใหม่ ที่จะมาสอนในสาขาวิชา‘เทคนิคการแพทย์จีนและการใช้ยา’ โดยในคาบเรียนวันนี้จะเป็นวิชาการวินิจฉัยนะครับ”

บรรยากาศทั่วทั้งชั้นเรียนกลายเป็นเงียบกริบราวกับป่าช้า นักศึกษาทุกคนนั่งเหม่อมองอย่างโง่งม

‘ฟู่วว…ป๊อป!’

เหอจื่อช็อกจนเป่าลูกโป่งหมากฝรั่งขนาดยักษ์ แถมยังแตกคาหน้าไปครึ่งหนึ่ง ทว่าตัวเธอกลับไม่ได้สนใจเลย ดวงตาดู่สวยดุจอัญมณีของเธอยังคงจับจ้องไปที่อาจารย์คนใหม่หน้าห้อง ในหัวของเธอขาวโพลนไปหมด ตกลงสู่สภาวะสติหลุดไปชั่วขณะ

………

ทันทีที่หลี่ถงซีเข้ามาในห้องพักอาจารย์ เธอรู้สึกได้ทันทีว่าทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ตนเองเป็นตาเดียว

บรรดาเพื่อนร่วมงานทั้งหลายต่างจับกลุ่มซุบซิบนินทา บางคนหัวเราะคิกคัก เย้าหยอกล้อเล่นกัน ใบหน้าของทุกคนราวกับเขียนคำว่า‘ฉันรู้ทุกอย่างหมดแล้ว’อยู่

ทันทีที่เห็นท่าทางการแสดงออกของทุกคนแบบนี้ หลี่ถงซีก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ได้ทันควันและลอบถอนหายใจอย่างลับๆ เป็นอย่างที่ฉีเล่ยพูดไว้ไม่มีผิด ซูเสี่ยวหยานคนนี้ไม่สมควรได้รับความเมตตาหรือเห็นใจใดๆ

หลี่ถงซีเดินเข้ามาเก็บกระเป๋าบนโต๊ะทำงานของตัวเอง แต่ทันใดนั้นซูเสี่ยวหยานก็เดินเข้ามาพร้อมระเบิดหัวเราะลั่น เอ่ยปากกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยแววตาน่ารังเกียจราวกับกำลังเยาะเย้ยว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ต้องการพบน่ะ โดยด่วนเลยด้วยที่ห้องทำงาน”

พอเห็นหลี่ถงซีไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ ซูเสี่ยวหยานก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยเตือนเธอไปว่า

“คราวนี้เรื่องถึงหูหัวหน้าคณะอาจารย์แล้ว หวังว่าจะโชคดีนะ”

แต่แค่นี้มันไม่สาแก่ใจพอ มันไม่สามารถชดเชยความแค้นภายในใจของเธอได้ด้วยซ้ำ ซูเสี่ยวหยานจะต้องใช้โอกาสที่มีในปัจจุบันขยับขยายเรื่องให้แดงออกไปมากที่สุด ทางที่ดีควรบอกให้หัวหน้าภาคสาขารู้ไปเลยยิ่งดี หรือไม่ก็ท่านคณบดีมหาวิทยาลัยไปเลย ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ถงซีกับท่านคณบดีจะแน่นแฟ้นขนาดไหน แต่สุดท้ายกต้องโดนไล่ออกอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี

หลี่ถงซีไม่สนใจสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาทางเธอสักนิด โยนกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะทำงาน สาวเท้าก้าวตรงไปยังห้องทำงานของหัวหน้าคณะอาจารย์ทันที โดยมีซูเสี่ยวหยานคอยเดินติดตามกล่าวเยาะเย้ยไม่ขาดสาย

ทันทีที่พวกเธอทั้งคู่จากไป ห้องพักครูก็ลุกเป็นไฟทันที

“ไม่อยากจะเชื่อเลย ผู้ได้รับสมญานาม‘อาจารย์ปิง’ของเรากำลังตบะแตกรึเปล่า? คิดยังไงถึงได้ไปหลอกลูกศิษย์ตัวเองมาควงแบบนี้?”

“นี่ไม่เคยได้ยินเหรอ? กินเด็กแล้วจะเป็นอมตะ! ถึงจะเย็นชาแค่ไหนก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่นแหละนะ”

“แต่ฉันว่า นี่ไม่น่าจะใช่ความจริงนะ ก็รู้กันอยู่ว่าอาจารย์ซูเป็นคนปากจัด เวลาเล่าอะไรให้ฟังเชื่อได้ไม่ถึงครึ่งสักอย่าง สงสัยคงอยากหาเรื่องให้ชื่อเสียงของอาจารย์หลี่มัวหมองเฉยๆล่ะมั๊ง?”

“ก็มีความเป็นไปได้นะ อาจารย์หลี่แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลยแม้แต่อาจารย์ด้วยกันอย่างพวกเรา มีเหรอที่จู่ๆจะไปควงลูกศิษย์ตัวเอง? ฉันไม่เชื่อหรอก”

หัวหน้าคณะอาจารย์สาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันในมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง เป็นคนแซ่กัว เขาจบจากสหรัฐอเมริกา เป็นคนมากพรสวรรค์ด้านการแพทย์ ประกอบกับทางบ้านทุกคนต่างจบด้านการแพทย์มากันหมด กล่าวได้ว่าเป็นคนอนาคตไกลมากคนหนึ่ง พอเข้าทำงานในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาก็มารับตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์โดยตรง

หัวหน้าคณะกัวเป็นชายกลางคนในวัย40ปี มีความทะเยอทะยานสูง หน้าตาดูเป็นมิตรอ้วนท้วน แต่ถ้าคนที่มีสายตาคมจริงๆจะรู้ได้ทันทีว่า ธาตุแท้ของชายคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นเพียงเปลือกนอก

ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าตู้ปลา กำลังป้อนอาหารให้ปลาทรายแดงลายมังกรที่ประมูลมาในราคาสูงลิบลิ่วอยู่ หัวหน้าคณะอาจารย์กัวเอ่ยปากกล่าวขึ้นโดยไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำว่า

“อาจารย์ซูก็เข้ามาด้วยเลย ได้ข่าวมาว่า เธอพบเห็นอาจารย์หลี่กับนักศึกษาหนุ่มนั่งรถมาด้วยกันตั้งแต่เช้า เรื่องแบบนี้ถ้าหลุดออกไปถึงข้างนอก เคยคิดไหมว่ามันจะทำให้มหาวิทยาลัยของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงขนาดไหน?”

ในเวลานี้เอง ซูเสี่ยวหยานกลับไร้ซึ่งความฉุนเฉียวอาฆาตราวกับนางมารร้ายอย่างตอนก่อนหน้า แทนที่มาด้วยความอ่อนโยนและทรงเสน่ห์ไร้ซึ่งพิษภัย เธอกล่าวเสียงหวานแสร้งทำเป็นร้อนใจขึ้นว่า

“หัวหน้าคณะกัว ดิฉันไม่มีหลักฐานหรอกนะคะ แล้วจะกล้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาได้ยังไง? ฉันแค่บังเอิญไปเห็นเท่านั้น…แค่นี้คงใช้เป็นหลักฐานไม่ได้หรอกค่ะ อ่อ…แต่ดิฉันได้ถ่ายรูปเอาไว้ค่ะ”

หัวหน้าคณะกัววางอาหารปลาในมือลง หยิบผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดไม้เช็ดมือและเดินไปนั่งยังเก้าอี้ตำแหน่งหัวหน้าคณะอาจารย์ในห้อง พลางกล่าวว่า

“ไหนล่ะรูป? เอาออกมาให้ฉันดูหน่อย”

ซูเสี่ยวหยานรอคอยประโยคนี้อยู่นานแล้ว เธอหยิบหยิบมือถือออกจากกระเป๋าทันทีและส่งให้อีกฝ่ายดู

“นี่ค่ะ”

ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนมาก หลี่ถงซียืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มคนหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาของทางมหาวิทยาลัย ยิ่งไปกว่านั้นด้านหลังก็เป็นรถBMWของเธอที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี

“อืม…แค่รูปถ่ายนี้มันยังสรุปอะไรไม่ได้หรอกนะ…”

“แล้วถ้ารูปนี้ล่ะค่ะ?”

ทันใดนั้นเองซูเสี่ยวหยานก็ขอมือถือคืนและเปิดอีกรูปหนึ่งส่งให้หัวหน้าคณะอาจารย์กังทันที เขาที่เห็นรูปดังกล่าวถึงกับชะงักปั้นหน้าตกใจอย่างมาก

หลี่ถงซีที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ตรงข้ามพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นไปเหลือบมอง เธอไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ซูเสี่ยวหยานที่ดูกระตือรือร้นตั้งใจทำการทำงานแบบนี้ แท้จริงแล้วจะแอบซ่อนความร้ายกาจเกินจินตนาการ!

ปรากฏว่ามันเป็นรูปถ่ายที่ซูเสี่ยวหยานแอบถ่ายตอนขับรถตามมาระหว่างทาง

เนื่องจากเมื่อคืนฉีเล่ยหลับไม่เต็มอิ่ม พอใกล้ถึงมหาวิทยาลัยเขาก็ผล็อยหลับไปและบังเอิญว่าศีรษะของเขาดันเอนไปหาไหล่ของหลี่ถงซีพอดี ซึ่งแม้แต่ตัวเธอเองที่ขับรถอยู่ก็ยังไม่ทันรู้ตัว หลังจากขับเข้าไปในตัวมหาวิทยาลัย หลี่ถงซีเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายหลับจึงปลุกให้ตื่น

ภาพฉากทุกอย่างเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจของทั้งสองฝ่าย ไม่แม้แต่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ

หัวหน้าคณะอาจารย์กัวยกมือถือขึ้นมาจับจ้องพลางสลับสายตาชำเลืองมองไปที่หลี่ถงซีเป็นครั้งคราว ก่อนจะส่งคืนให้ซูเสี่ยวหยานและกล่าวด้วยท่าทีไม่ค่อยแยแสว่า

“ก็แค่รูปถ่ายเท่านั้นล่ะ คงจะใช้ยืนยันอะไรไม่ได้”

“งั้นหัวหน้าคณะกัวค่ะ ช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่า อาจารย์หลี่ที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร อย่าว่าแต่ผู้ชายเลยค่ะ แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันยังไม่แทบไม่สนใจ แต่เช้านี้เธอกลับขับรถมาพร้อมกับผู้ชาย ไม่คิดว่ามันแปลกเกินไปหน่อยเหรอค่ะ?”

ซูเสี่ยวหยานรีบโพล่งกล่าวขึ้นทันควันอย่างเร่งรีบ จนลืมนึกไปสนิทเลยว่า หัวหน้าคณะกัวคนนี้ก็ทราบดีว่าเบื้องหลังที่คอยหนุนหลี่ถงซีอยู่คือใคร

หัวหน้าคณะอาจารย์กัวถึงกับหัวเราะเยาะเย้ยอยู่ภายในใจ

‘พล่ามมาถึงขนาดนี้ ไม่รู้เลยว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร? เหอะ มีเหรอที่คนอย่างอาจารย์หลี่จะทำเรื่องฉาวแบบนี้?’

ซูเสี่ยวหยานยังคงพยายามดิ้นรนหาเหตุผลต่างๆนานาไม่หยุดหย่อน

“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ ตอนที่ดิฉันเดินเล่นในห้างกับหานหมิงต้า พวกเราทั้งคู่ไปเจอเธอเดินอยู่กับผู้ชายในภาพนี้เป๊ะเลย แถม…แถมพวกเขาทั้งกอดทั้งจับมือกันด้วยค่ะ!”

พอรู้ว่าตัวเองไม่มีหนทางเหลือแล้ว ซูเสี่ยวหยานจึงจงใจอ้างชื่อของหานหมิงต้าไป โดยบอกว่าเธอกับเขาล้วนเป็นพยานในเรื่องนี้ได้

เมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์กัวได้ยินแบบนั้นถึงกับปวดหัว เขาไม่จำเป็นต้องสนใจหรือไว้หน้าซูเสี่ยวหยานคนนี้อยู่แล้ว แต่สำหรับแฟนของเธออย่าง หานหมิงต้า เรื่องนี้หัวหน้าคณะอาจารย์กังไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้เลย

ภาคสาขาวิชาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โดยส่วนใหญ่จำต้องอิงกับการทดลองเป็นหลัก ซึ่งอุปกรณ์โดยส่วนใหญ่ในสาขาวิชาดังกล่าวค่อนข้างมีราคาที่สูงมาก โชคดีที่ในปีนี้หานหมิงต้าอาสาเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ซื้อชุดอุปกรณ์การทดลองให้กับพวกเขายกแผนก เพราะเหตุนี้ หานหมิงต้าจึงถือเป็นผู้มีพระคุณต่อมหาวิทยาลัย ที่ใจกว้างออกเงินช่วยเหลือขนาดนี้ ในทางตรงกันข้าม เรื่องนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับซูเสี่ยวหยานด้วยเช่นกัน

หลังจากเรื่องในวันนี้จบลง ซูเสี่ยวหยานจะต้องนำไปพูดกับหานหมิงต้าแน่นอน นี่แหละคือจุดที่หัวหน้าคณะอาจารย์กัวกังวลที่สุด

“อาจารย์หลี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หัวหน้าคณะอาจารย์กัวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนเบนเป้าหันไปเอ่ยถามหลี่ถงซีที่นั่งปิดปากเงียบมาโดยตลอด

รับฟังคำถามขอหัวหน้าคณะอาจารย์กัว หลี่ถงซีกล่าวน้ำเสียงเย็นชาตอบเพียงประโยคเดียวว่า

“เขาเป็นเพื่อนร่วมงานของฉัน”

“เพื่อนร่วมงาน? เพื่อนร่วมงานแบบไหน?”

“จำเป็นต้องรายงานด้วยเหรอเวลามีเพื่อน?”

หลี่ถงซีสวนกลับทันทีด้วยความรำคาญ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+