ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 157 เป็นศิษย์อาจารย์

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 157 เป็นศิษย์อาจารย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่157 เป็นศิษย์อาจารย์

หากสักวันหนึ่งเหล่าปรมาจารย์แพทย์แผนจีนไร้ซึ่งความหวงแหนวิชาความรู้และไม่ปิดกั้นตัวเองอีกต่อไป แต่เลือกที่จะเปิดใจเผยแพร่ความรู้ที่มีให้แก่ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า การแพทย์แผนจีนคงไม่ต้องกลายเป็นเพียงแค่วัฒนธรรมอีกต่อไป แต่คงจะกลายเป็นศาสตร์การแพทย์ระดับสากลเช่นเดียวกับการแพทย์ตะวันตก

ทุกคนเรียนแพทย์แผนจีน ทุกคนต่างใช้ยาจีนกัน ถ้าสามารถสร้างกลไกเฉกเช่นนี้ขึ้นมาได้ ในอนาคตการแพทย์แผนจีนจะต้องรุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นอน และมีโอกาสที่จะผงาดขึ้นมาแข่งขันกับการแพทย์ตะวันตกได้อย่างสูสี

ฉีเล่ยยังทราบถึงความสำคัญของวิชาห้าธาตุหยินหยางดีว่า มันเป็นวิชาสำหรับอะไรและเหมาะที่จะใช้รักษาคนไข้ประเภทไหน

ด่านประตูหยินหยางหรือด่านประตูแห่งชีวิต โดยทั่วไปแพทย์แผนจีนคนอื่นๆจะสามารถฝังเข็มได้เพียงสองจุดเท่านั้น

แต่วิชาห้าธาตุหยินหยางจะเสริมอีกสามจุดด่านประตูสำคัญ เพื่อปลดผนึกพลังชีวิตที่ถูกกักเก็บไว้ออกมาใช้ อาศัยเคล็ดวิชาสุดไร้เทียมทานนี้เองจึงทำให้ตระกูลเป่ยสามารถยืนหยัดบนจุดสูงสุดแห่งการแพทย์แผนจีนในเมืองหลวงได้นานเกือบร้อยปี

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป่ยฉวนเทียนบอกกับฉีเล่ยว่า วิชาห้าธาตุหยินหยางนั้น ในอดีตกาลเคยถูกเรียกว่าวิชาชุบชีวิต

แต่ถึงแม้วิชาห้าธาตุหยินหยางจะวิเศษมากแค่ไหน แต่มันก็ยังด้อยกว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์อยู่หนึ่งระดับ

แตกต่างจากวิชาห้าธาตุหยินหยานอยู่บางส่วน วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จะเน้นไปทางสกัดจุดด่านประตูเส้นลมปราณ ซึ่งเป็นอะไรที่จับต้องได้ยากกว่าด่านประตูชีวิต

หากเปรียบวิชาห้าธาตุหยินหยางเป็นการทวงคืนชีวิตจากเงื้อมมือของมัจจุราช วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ก็คงเปรียบได้กับการเดินทางไปยมโลก เพื่อยกกำปั้นขึ้นซัดหน้ามัจจุราชแรงๆสักทีนั่นเอง

แม้ว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จะล้ำเลิศสุดยอดมากเพียงใด แต่ฉีเล่ยกลับไม่สามารถใช้มันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะวิชานี้กลืนกินพลังสมาธิและพลังกายอย่างมากมายมหาศาลจนเกินไป

เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาอยู่หนานหยาง ในตอนที่เขาทำการรักษาให้กับกวนไห่ผิงด้วยการฝังเข็มนั้น เรียกได้ว่าเขาได้ย่างเท้าก้าวเข้าสู่ประตูยมโลกไปแล้วครึ่งตัว

นั่นเพราะมีหนึ่งปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับเขาเลยก็คือ โรคประหลาดที่เกิดจากเส้นลมปราณตะวันฟ้า ถึงแม้พ่อตาของเขาจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาโรคนี้ให้ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น

กล่าวได้ว่าฉีเล่ยไม่สามารถใช้วิชานี้ได้อย่างเต็มกำลังได้บ่อยๆ เพราะหากเกิดโชคไม่ดีขึ้นมา เขาฝืนเกินตัวจนเกินไป อาจทำให้โรคประหลาดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาเกิดกำเริบขึ้นอีกครั้งได้ และเขาเองก็อาจถึงตายได้เช่นกัน!

แต่ตอนนี้นับว่าหายห่วงแล้ว เพราะหลังจากที่ได้รับสืบทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางของเป่ยฉวนเทียนมาแล้ว เขาก็สามารถที่จะใช้วิชานี้เพื่อชดเชยข้อบกพร่องอันอ่อนแอภายในร่างกายนี้ได้

สำหรับฉีเล่ยแล้ว การที่ได้รับวิชาใหม่มาเพิ่มนั้นจึงเท่ากับเป็นการช่วยชีวิตเขาไปในตัวด้วย

และเหตุนี้เอง ฉีเล่ยจึงยืนกรานที่จะประกาศตนขอเป็นศิษย์เป่ยฉวนเทียนให้ได้

แต่ถึงอย่างนั้น เป่ยฉวนเทียนเองก็ไม่ยอมเช่นกัน

“ฉีเล่ย ฉันไม่เต็มใจรับเธอเป็นศิษย์จริงๆ เพราะความสามารถของนั้นด้อยกว่าเธอด้วยซ้ำไป นี่เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ถึงแพทย์แผนจีนจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับสถานะอาวุโส และถ้าเธอเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องนี้ ก็เอาแบบนี้แล้วกันนะ….เธอเรียกฉันว่าพี่แทนแล้วกัน”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“อาวุโสเป่ยพูดผิดแล้ว เพราะศาสตร์การแพทย์แผนจีนของเราเริ่มตกต่ำลง การจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้คนนอกนับเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่ในเมื่อผมได้รับสืบทอดมาแล้ว ก็ควรมีสถานะเป็นศิษย์ถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นในอนาคตต่อไป ผมจะกล้าใช้วิชาห้าธาตุหยินหยางรักษาคนไข้ได้ยังไงกัน? อย่าปฏิเสธผมเลยนะครับ”

เมื่อเห็นว่าเป่ยฉวนเทียนยังต้องการจะปฏิเสธอยู่อีก อาวุโสเหวินก็เริ่มทนไม่ไหว รีบพูดแทรกขึ้นทันที

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยขอถึงขนาดนี้แล้วนะ ถ้าแกยังกล้าปฏิเสธอีกก็นับว่าใจร้ายเกินไปแล้วนะ แต่ถ้าแกยังไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์อีก งั้นฉันรับเป็นอาจารย์ของเขาแทนให้ก็ได้ ฉันเต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับเขาเป็นศิษย์เลยล่ะ แล้วแกอย่าได้มาเสียใจทีหลังเชียว”

ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า

“เลิกเถียงกันได้แล้ว! ฉีเล่ย ฉันเองก็อยากรับเธอเป็นศิษย์นะ เดี๋ยวฉันจะถ่ายทอดวิชาครอบแก้วให้เธอเอง”

หลัวไป่ซิ่วผู้มีใบหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอด เวลานี้ถึงกับยิ้มกว้างและเอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าแกไม่ต้องการ ฉันจะรับไว้เอง”

แต่สิ่งที่หลัวไป่ซิ่วไม่รู้ก็คือ ภายในใจลึกๆแล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ต้องการรับฉีเล่ยเป็นศิษย์

สาเหตุที่เป่ยฉวนเทียนยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้กับเขา ก็เพราะอยากให้ฉีเล่ยก้าวขึ้นกลายมาเป็นปรมาจารย์เสาหลักแห่งศาสตร์แพทย์แผนจีนรุ่นต่อไปในวันข้างหน้านั่นเอง

แล้วก็ยังอยากให้ฉีเล่ยเล่าเรื่องราวของเขาเป่ยฉวนเทียนในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้แก่คนรุ่นหลังได้ฟังกันปากต่อปาก จนกระทั่งกลายมาเป็นตำนานแพทย์เป่ยผู้สืบทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางนั่นเอง

ในเมื่อมีเด็กหนุ่มอัจฉริยะยืนอยู่ตรงหน้าทั้งที มีหรือที่ชายชราคนนี้จะไม่ต้องการรับเขาเป็นศิษย์? แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นใด เขาซึ่งในตอนนี้เปรียบเสมือนหมาป่าหิวโหยที่เห็นเนื้ออยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่สามารถจับกินได้ มันช่างทรมานอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

สมแล้วที่เป็นหลานชาย เป่ยจ้าวหยวนสามารถอ่านความคิด และความรู้สึกของปู่ตัวเองได้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงจำใจต้องสวมบทบาทหลานชายจอมวายร้ายกล่าวขึ้นเสียเองว่า

“คุณปู่ รับฉีเล่ยเป็นศิษย์เถอะครับ ตราบใดที่ฉีเล่ยยอมคำนับคุณปู่เป็นอาจารย์ ผมก็จะกลายมาเป็นศิษย์พี่ของเขาไปโดยปริยาย เมื่อถึงเวลานั้น ปู่ก็สามารถขอให้เขาถ่ายทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้กับผมได้ยังไงล่ะครับ! อีกอย่างเวลาที่เขาโด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมาในอนาคต พวกเราก็พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย! ส่วนถ้าเขาไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้จริงๆ เดี๋ยวผมในฐานะศิษย์พี่จะจัดการกับเขาเอง ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาจะปฏิเสธได้ยังไง!”

เนื่องจากพ่อของเป่ยจ้าวหยวนไม่ได้รับช่วงต่อจากเป่ยฉวนเทียน จึงทำให้เป่ยจ้าวหยวนต้องมารับสืบทอดต่อเอง และดูเหมือนว่าเจ้าตัวเขาเองก็ค่อนช้างจะสนใจในศาสตร์นี้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเป่ยจ้าวหยวนจึงเป็นเด็กที่ค่อนข้างรักและเคารพนับถือปู่ของเขาอย่างมาก เวลานี้เมื่อได้เห็นปู่ไม่สบายใจมีหรือที่จะนิ่งดูดายได้?

แน่นอน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนร้องขอออกมาเช่นนี้ คนที่มีความสุขที่สุดย่อมเป็นเป่ยฉวนเทียน เขาพยายามเก็บอาการเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า

“พอแล้ว พอแล้ว แกนี่มันจริงๆเลยนะ คิดแต่เรื่องแบบนี้ กลับไปเดี๋ยวแกคงต้องเจอไม้เรียวสักรอบ!”

ฉีเล่ยเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพว่า

“อาวุโสเป่ยได้ชี้แนะอบรมสั่งสอนผมมากมาย ฉีเล่ยขอกราบอาวุโสเป็นศิษย์!”

ภายในใจของฉีเล่ย สำหรับเป่ยฉวนเทียนคนนี้ไม่เพียงแค่ทักษะทางการแพทย์ของเขาที่จัดได้ว่าเก่งกาจ แต่ในด้านคุณธรรมและจริยธรรมแล้ว ชายชราผู้นี้ควรค่าแก่การให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง

แผ่นดินกว้างใหญ่ แผ่นฟ้าไพศาล ไม่ว่าบรรพบุรุษตระกูลเฉินจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะกล่าวว่า เขาคือปรมาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า เพราะในความเป็นจริงนั้น กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ในโลกแห่งแพทย์แผนจีน ดอกไม้ร้อยดอกเมื่อถึงคราวเบ่งบานย่อมเบ่งบานพร้อมกัน ความรู้ในเส้นทางนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด หากต้องการขัดเกลาฝีมือให้เก่งขึ้นกว่านี้ ก็จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้แล้ว จิตใจที่กว้างขวางเป็นแม่น้ำของเป่ยฉวนเทียนนั้น ก็ควรค่าแก่การที่ฉีเล่ยจะยกย่องเป็นอาจารย์ยิ่งแล้ว

มิหนำซ้ำครั้งแรกที่รู้จักกัน อีกฝ่ายยังยอมยกป้ายประจำตระกูลเป่ยให้ด้วยความสมัครใจ

อาวุโสเป่ยเสียสละเพื่อเขามามากแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เขารู้สึกต้องการจะตอบแทนบุญคุณกลับบ้างจึงถือเป็นเรื่องธรรมดา

เป่ยจ้าวหยวนตบไหล่ฉีเล่ยเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า

“อะแฮ่ม จากนี้ไปฉันก็กลายเป็นศิษย์พี่ของนายแล้วสินะ ถ้าใครหน้าไหนมันกล้ามากวนใจสร้างปัญหาให้กับนาย นายก็บอกฉันมาได้เลย เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้เอง!”

เมื่อเห็นว่าหลานชายของเขาตรงเข้าไปคุยโม้กับฉีเล่ยเป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น เป่ยฉวนเทียนก็ถึงจ้องตาเขม็งใส่ทันที

“แกนี่นะ? ฉันว่ามีแต่แกมากกว่าที่จะไปสร้างปัญหาให้ฉีเล่ยเขา”

เป่ยจ้าวหยวนยกมือเกาหัวแกรกๆด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆโดยรอบต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อผมเป็นศิษย์ของอาวุโสเป่ยแล้ว นับจากนี้ไปก็คงต้องเรียกว่าคุณว่าพี่เป่ย ฝากตัวด้วยครับศิษย์พี่”

เมื่อเห็นทั้งสามตกลงเป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้ว อาวุโสเหวินก็เอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือกังวลเล็กน้อย

“ในเมื่อพวกเธอก็เป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำตาเฒ่าเป่ยเองก็ได้ถ่ายทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางให้ศิษย์ใหม่ไปแล้วด้วย… เอาล่ะ…นี่ก็คงถึงเวลาของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์แล้วใช่ไหม?”

เป่ยฉวนเทียนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปบอกกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย ตาเฒ่าพวกนี้เดินทางมาถึงที่นี่ก็เพื่ออยากจะได้เห็นวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของเธอ ถ้ายังไหวก็รบกวนหน่อยนะ อันที่จริงฉันเองก็อยากเห็นกับตาสักครั้งเหมือนกัน”

ฉีเล่ยที่เห็นดังนั้นจึงได้ตอบกลับไปว่า

“ตกลงครับ”

หลังจากเตรียมกล่องเข็มเงินและฆ่าเชื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ใช้สองนิ้วบีบตัวเข็มไว้ที่นิ้วมือ ฉีเล่ยก็เริ่มถ่ายเทพลังปราณลงไปในเข็มเล่มนั้นทันที

จนทำให้ปลายคมเข็มยาวนั้นถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อย

แม้ว่าแรงสั่นจะเบาบางเพียงใด แต่ก็สามารถมองเห็นจนเกิดเป็นภาพซ้อนได้ไม่ยาก

ในระหว่างที่ถือคมเข็มเล่มยาวอยู่ในมือทั้งแบบนั้น ฉีเล่ยก็ยังหันมายิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ใครจะเป็นหนูทดลองดีครับ?”

เป่ยจ้าวหยวนหันซ้ายแลขวาจับจ้องผู้คนในห้องเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าทุกคนต่างก็หันขวับจับจ้องมาทางตนเองเป็นตาเดียว ในเวลานี้เป่ยจ้าวหยวนถึงกับเผยสีหน้าเศร้าหมองราวกับอยากจะร้องไห้ออกมา เขาเพิ่งโดนใช้เป็นหนูทดลองวิชาห้าธาตุหยินหยางไปหมาดๆ ตอนนี้กลับต้องมาเป็นหนูทดลองให้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของฉีเล่ยอีกงั้นเหรอ?

“โอเคครับ โอเค ผมอาสาเป็นหนูทดลองให้เองก็ได้ เอาล่ะ…อย่าได้เกรงใจพี่ศิษย์น้อง แต่ถ้าเจ็บมีเคืองแน่ฉันบอกไว้ก่อน”

ฉีเล่ยยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มฝังเข็มเข้าทะลวงจุดด่านประตูเส้นลมปราณทั่วร่างกาย

เนื่องจากเส้นลมปราณในร่างกายของคนเราค่อนข้างอ่อนไหวและไวต่อสัมผัส หากไม่มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ก็ไม่ควรลองสุ่มสี่สุ่มห้า

“รู้สึกอะไรบ้างไหม?”

“ไม่เลย”

“แล้วแบบนี้ล่ะ?”

“โอ้? รู้สึกคล้ายมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวหนัง คล้ายๆกับว่ามีกระแสน้ำเย็นไหลผ่าน…รู้สึกคันนิดๆนะ แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกสบายมากเลย”

ฉีเล่ยอธิบายให้ทุกคนฟังทันที

“นี่เรียกว่า การเปิดด่านประตูลมปราณ”

หลังจากพูดจบเขาก็ดึงเข็มชุดหนึ่งออกมา หลังจากฆ่าเชื้อเข็มชุดใหม่ ฉีเล่ยก็เริ่มฝังเข็มเข้าสกัดจุดอีกครั้ง และคราวนี้เปลี่ยนเป็นไปด่านประตูเส้นลมปราณทีชื่อว่าจุดไป่หูแทน

ด่านประตูลมปราณไป่หูเป็นหนึ่งในสี่จุดด่านประตูลมปราณสำคัญ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการฝังเข็ม ณ จุดนี้ อาจทำให้คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเลยก็เป็นได้

ต่อให้ในห้องนี้จะเป็นระดับปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมด แต่ทุกคนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

หลังจากค่อยๆคลึงเข็มเงินในมือ ฉีเล่ยจึงเอ่ยถามอีกครั้งว่า

“รู้สึกอะไรไหม?”

“อืม”

“รู้สึกยังไงบ้าง?”

“ร้อนนิดหน่อย แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกดีมากเลย เหมือนกำลังอบซาวน่า อ่าาา…วิเศษไปเลย~ นี่มันคืออะไรงั้นเหรอ?”

“นี่เรียกว่า ปรับจันทร์สงบ”

เมื่อเห็นหลานชายของตนเองเอ่ยปากถามขึ้น เป่ยฉวนเทียนจึงอาสาตอบเองและยังกล่าวต่ออีกว่า

“ในเคล็ดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ มีทั้งหมดกี่กระบวนเข็มงั้นรึ?”

“มีทั้งหมดเก้ากระบวนเข็มครับ เข็มหยกปาฏิหาริย์สามกระบวน, เข็มเหนือฟ้าปาฏิหาริย์สามกระบวน และเข็มไพศาลปาฏิหาริย์อีกสามกระบวนครับ ซึ่งที่ผมกำลังใช้อยู่ตอนนี้ก็คือ เข็มหยกปาฏิหาริย์ – กระบวนที่หนึ่ง โดยทั่วไปแล้วทั้งสามวิชาย่อยนี้จะถูกเอ่ยขานนามแตกต่างกันไปได้แก่ เข็มคืนสภาพ เข็มซ่อมแซ่ม และเข็มศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความสามารถของผมตอนนี้ยังใช้ได้แค่ขั้นเข็มคืนสภาพเท่านั้นครับ”

ฉีเล่ยยังอธิบายต่ออีกว่า

“นอกจากนั้นแล้ว หากทั้งเก้ากระบวนเข็มถูกหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เห็นว่าจะก่อกำเนิดวิชาปาฏิหาริย์สุดท้ายที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้จำกัด แต่อย่างที่บอกไปนั่นล่ะครับ ผมยังใช้ได้แค่ขั้นพื้นฐาน หากจะให้พูดตามตรงก็คือ…ถ้าจะถามว่าสามารถใช้ได้ไหมมันก็ใช้ได้ แต่ว่า…มันมีความเสี่ยงถึงชีวิตผู้ใช้ครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 157 เป็นศิษย์อาจารย์

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 157 เป็นศิษย์อาจารย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่157 เป็นศิษย์อาจารย์

หากสักวันหนึ่งเหล่าปรมาจารย์แพทย์แผนจีนไร้ซึ่งความหวงแหนวิชาความรู้และไม่ปิดกั้นตัวเองอีกต่อไป แต่เลือกที่จะเปิดใจเผยแพร่ความรู้ที่มีให้แก่ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า การแพทย์แผนจีนคงไม่ต้องกลายเป็นเพียงแค่วัฒนธรรมอีกต่อไป แต่คงจะกลายเป็นศาสตร์การแพทย์ระดับสากลเช่นเดียวกับการแพทย์ตะวันตก

ทุกคนเรียนแพทย์แผนจีน ทุกคนต่างใช้ยาจีนกัน ถ้าสามารถสร้างกลไกเฉกเช่นนี้ขึ้นมาได้ ในอนาคตการแพทย์แผนจีนจะต้องรุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นอน และมีโอกาสที่จะผงาดขึ้นมาแข่งขันกับการแพทย์ตะวันตกได้อย่างสูสี

ฉีเล่ยยังทราบถึงความสำคัญของวิชาห้าธาตุหยินหยางดีว่า มันเป็นวิชาสำหรับอะไรและเหมาะที่จะใช้รักษาคนไข้ประเภทไหน

ด่านประตูหยินหยางหรือด่านประตูแห่งชีวิต โดยทั่วไปแพทย์แผนจีนคนอื่นๆจะสามารถฝังเข็มได้เพียงสองจุดเท่านั้น

แต่วิชาห้าธาตุหยินหยางจะเสริมอีกสามจุดด่านประตูสำคัญ เพื่อปลดผนึกพลังชีวิตที่ถูกกักเก็บไว้ออกมาใช้ อาศัยเคล็ดวิชาสุดไร้เทียมทานนี้เองจึงทำให้ตระกูลเป่ยสามารถยืนหยัดบนจุดสูงสุดแห่งการแพทย์แผนจีนในเมืองหลวงได้นานเกือบร้อยปี

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป่ยฉวนเทียนบอกกับฉีเล่ยว่า วิชาห้าธาตุหยินหยางนั้น ในอดีตกาลเคยถูกเรียกว่าวิชาชุบชีวิต

แต่ถึงแม้วิชาห้าธาตุหยินหยางจะวิเศษมากแค่ไหน แต่มันก็ยังด้อยกว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์อยู่หนึ่งระดับ

แตกต่างจากวิชาห้าธาตุหยินหยานอยู่บางส่วน วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จะเน้นไปทางสกัดจุดด่านประตูเส้นลมปราณ ซึ่งเป็นอะไรที่จับต้องได้ยากกว่าด่านประตูชีวิต

หากเปรียบวิชาห้าธาตุหยินหยางเป็นการทวงคืนชีวิตจากเงื้อมมือของมัจจุราช วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ก็คงเปรียบได้กับการเดินทางไปยมโลก เพื่อยกกำปั้นขึ้นซัดหน้ามัจจุราชแรงๆสักทีนั่นเอง

แม้ว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จะล้ำเลิศสุดยอดมากเพียงใด แต่ฉีเล่ยกลับไม่สามารถใช้มันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะวิชานี้กลืนกินพลังสมาธิและพลังกายอย่างมากมายมหาศาลจนเกินไป

เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาอยู่หนานหยาง ในตอนที่เขาทำการรักษาให้กับกวนไห่ผิงด้วยการฝังเข็มนั้น เรียกได้ว่าเขาได้ย่างเท้าก้าวเข้าสู่ประตูยมโลกไปแล้วครึ่งตัว

นั่นเพราะมีหนึ่งปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับเขาเลยก็คือ โรคประหลาดที่เกิดจากเส้นลมปราณตะวันฟ้า ถึงแม้พ่อตาของเขาจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาโรคนี้ให้ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น

กล่าวได้ว่าฉีเล่ยไม่สามารถใช้วิชานี้ได้อย่างเต็มกำลังได้บ่อยๆ เพราะหากเกิดโชคไม่ดีขึ้นมา เขาฝืนเกินตัวจนเกินไป อาจทำให้โรคประหลาดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาเกิดกำเริบขึ้นอีกครั้งได้ และเขาเองก็อาจถึงตายได้เช่นกัน!

แต่ตอนนี้นับว่าหายห่วงแล้ว เพราะหลังจากที่ได้รับสืบทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางของเป่ยฉวนเทียนมาแล้ว เขาก็สามารถที่จะใช้วิชานี้เพื่อชดเชยข้อบกพร่องอันอ่อนแอภายในร่างกายนี้ได้

สำหรับฉีเล่ยแล้ว การที่ได้รับวิชาใหม่มาเพิ่มนั้นจึงเท่ากับเป็นการช่วยชีวิตเขาไปในตัวด้วย

และเหตุนี้เอง ฉีเล่ยจึงยืนกรานที่จะประกาศตนขอเป็นศิษย์เป่ยฉวนเทียนให้ได้

แต่ถึงอย่างนั้น เป่ยฉวนเทียนเองก็ไม่ยอมเช่นกัน

“ฉีเล่ย ฉันไม่เต็มใจรับเธอเป็นศิษย์จริงๆ เพราะความสามารถของนั้นด้อยกว่าเธอด้วยซ้ำไป นี่เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ถึงแพทย์แผนจีนจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับสถานะอาวุโส และถ้าเธอเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องนี้ ก็เอาแบบนี้แล้วกันนะ….เธอเรียกฉันว่าพี่แทนแล้วกัน”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“อาวุโสเป่ยพูดผิดแล้ว เพราะศาสตร์การแพทย์แผนจีนของเราเริ่มตกต่ำลง การจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้คนนอกนับเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่ในเมื่อผมได้รับสืบทอดมาแล้ว ก็ควรมีสถานะเป็นศิษย์ถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นในอนาคตต่อไป ผมจะกล้าใช้วิชาห้าธาตุหยินหยางรักษาคนไข้ได้ยังไงกัน? อย่าปฏิเสธผมเลยนะครับ”

เมื่อเห็นว่าเป่ยฉวนเทียนยังต้องการจะปฏิเสธอยู่อีก อาวุโสเหวินก็เริ่มทนไม่ไหว รีบพูดแทรกขึ้นทันที

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยขอถึงขนาดนี้แล้วนะ ถ้าแกยังกล้าปฏิเสธอีกก็นับว่าใจร้ายเกินไปแล้วนะ แต่ถ้าแกยังไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์อีก งั้นฉันรับเป็นอาจารย์ของเขาแทนให้ก็ได้ ฉันเต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับเขาเป็นศิษย์เลยล่ะ แล้วแกอย่าได้มาเสียใจทีหลังเชียว”

ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า

“เลิกเถียงกันได้แล้ว! ฉีเล่ย ฉันเองก็อยากรับเธอเป็นศิษย์นะ เดี๋ยวฉันจะถ่ายทอดวิชาครอบแก้วให้เธอเอง”

หลัวไป่ซิ่วผู้มีใบหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอด เวลานี้ถึงกับยิ้มกว้างและเอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าแกไม่ต้องการ ฉันจะรับไว้เอง”

แต่สิ่งที่หลัวไป่ซิ่วไม่รู้ก็คือ ภายในใจลึกๆแล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ต้องการรับฉีเล่ยเป็นศิษย์

สาเหตุที่เป่ยฉวนเทียนยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้กับเขา ก็เพราะอยากให้ฉีเล่ยก้าวขึ้นกลายมาเป็นปรมาจารย์เสาหลักแห่งศาสตร์แพทย์แผนจีนรุ่นต่อไปในวันข้างหน้านั่นเอง

แล้วก็ยังอยากให้ฉีเล่ยเล่าเรื่องราวของเขาเป่ยฉวนเทียนในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้แก่คนรุ่นหลังได้ฟังกันปากต่อปาก จนกระทั่งกลายมาเป็นตำนานแพทย์เป่ยผู้สืบทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางนั่นเอง

ในเมื่อมีเด็กหนุ่มอัจฉริยะยืนอยู่ตรงหน้าทั้งที มีหรือที่ชายชราคนนี้จะไม่ต้องการรับเขาเป็นศิษย์? แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นใด เขาซึ่งในตอนนี้เปรียบเสมือนหมาป่าหิวโหยที่เห็นเนื้ออยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่สามารถจับกินได้ มันช่างทรมานอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

สมแล้วที่เป็นหลานชาย เป่ยจ้าวหยวนสามารถอ่านความคิด และความรู้สึกของปู่ตัวเองได้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงจำใจต้องสวมบทบาทหลานชายจอมวายร้ายกล่าวขึ้นเสียเองว่า

“คุณปู่ รับฉีเล่ยเป็นศิษย์เถอะครับ ตราบใดที่ฉีเล่ยยอมคำนับคุณปู่เป็นอาจารย์ ผมก็จะกลายมาเป็นศิษย์พี่ของเขาไปโดยปริยาย เมื่อถึงเวลานั้น ปู่ก็สามารถขอให้เขาถ่ายทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้กับผมได้ยังไงล่ะครับ! อีกอย่างเวลาที่เขาโด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมาในอนาคต พวกเราก็พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย! ส่วนถ้าเขาไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้จริงๆ เดี๋ยวผมในฐานะศิษย์พี่จะจัดการกับเขาเอง ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาจะปฏิเสธได้ยังไง!”

เนื่องจากพ่อของเป่ยจ้าวหยวนไม่ได้รับช่วงต่อจากเป่ยฉวนเทียน จึงทำให้เป่ยจ้าวหยวนต้องมารับสืบทอดต่อเอง และดูเหมือนว่าเจ้าตัวเขาเองก็ค่อนช้างจะสนใจในศาสตร์นี้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเป่ยจ้าวหยวนจึงเป็นเด็กที่ค่อนข้างรักและเคารพนับถือปู่ของเขาอย่างมาก เวลานี้เมื่อได้เห็นปู่ไม่สบายใจมีหรือที่จะนิ่งดูดายได้?

แน่นอน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนร้องขอออกมาเช่นนี้ คนที่มีความสุขที่สุดย่อมเป็นเป่ยฉวนเทียน เขาพยายามเก็บอาการเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า

“พอแล้ว พอแล้ว แกนี่มันจริงๆเลยนะ คิดแต่เรื่องแบบนี้ กลับไปเดี๋ยวแกคงต้องเจอไม้เรียวสักรอบ!”

ฉีเล่ยเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพว่า

“อาวุโสเป่ยได้ชี้แนะอบรมสั่งสอนผมมากมาย ฉีเล่ยขอกราบอาวุโสเป็นศิษย์!”

ภายในใจของฉีเล่ย สำหรับเป่ยฉวนเทียนคนนี้ไม่เพียงแค่ทักษะทางการแพทย์ของเขาที่จัดได้ว่าเก่งกาจ แต่ในด้านคุณธรรมและจริยธรรมแล้ว ชายชราผู้นี้ควรค่าแก่การให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง

แผ่นดินกว้างใหญ่ แผ่นฟ้าไพศาล ไม่ว่าบรรพบุรุษตระกูลเฉินจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะกล่าวว่า เขาคือปรมาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า เพราะในความเป็นจริงนั้น กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ในโลกแห่งแพทย์แผนจีน ดอกไม้ร้อยดอกเมื่อถึงคราวเบ่งบานย่อมเบ่งบานพร้อมกัน ความรู้ในเส้นทางนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด หากต้องการขัดเกลาฝีมือให้เก่งขึ้นกว่านี้ ก็จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้แล้ว จิตใจที่กว้างขวางเป็นแม่น้ำของเป่ยฉวนเทียนนั้น ก็ควรค่าแก่การที่ฉีเล่ยจะยกย่องเป็นอาจารย์ยิ่งแล้ว

มิหนำซ้ำครั้งแรกที่รู้จักกัน อีกฝ่ายยังยอมยกป้ายประจำตระกูลเป่ยให้ด้วยความสมัครใจ

อาวุโสเป่ยเสียสละเพื่อเขามามากแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เขารู้สึกต้องการจะตอบแทนบุญคุณกลับบ้างจึงถือเป็นเรื่องธรรมดา

เป่ยจ้าวหยวนตบไหล่ฉีเล่ยเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า

“อะแฮ่ม จากนี้ไปฉันก็กลายเป็นศิษย์พี่ของนายแล้วสินะ ถ้าใครหน้าไหนมันกล้ามากวนใจสร้างปัญหาให้กับนาย นายก็บอกฉันมาได้เลย เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้เอง!”

เมื่อเห็นว่าหลานชายของเขาตรงเข้าไปคุยโม้กับฉีเล่ยเป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น เป่ยฉวนเทียนก็ถึงจ้องตาเขม็งใส่ทันที

“แกนี่นะ? ฉันว่ามีแต่แกมากกว่าที่จะไปสร้างปัญหาให้ฉีเล่ยเขา”

เป่ยจ้าวหยวนยกมือเกาหัวแกรกๆด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆโดยรอบต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อผมเป็นศิษย์ของอาวุโสเป่ยแล้ว นับจากนี้ไปก็คงต้องเรียกว่าคุณว่าพี่เป่ย ฝากตัวด้วยครับศิษย์พี่”

เมื่อเห็นทั้งสามตกลงเป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้ว อาวุโสเหวินก็เอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือกังวลเล็กน้อย

“ในเมื่อพวกเธอก็เป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำตาเฒ่าเป่ยเองก็ได้ถ่ายทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางให้ศิษย์ใหม่ไปแล้วด้วย… เอาล่ะ…นี่ก็คงถึงเวลาของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์แล้วใช่ไหม?”

เป่ยฉวนเทียนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปบอกกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย ตาเฒ่าพวกนี้เดินทางมาถึงที่นี่ก็เพื่ออยากจะได้เห็นวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของเธอ ถ้ายังไหวก็รบกวนหน่อยนะ อันที่จริงฉันเองก็อยากเห็นกับตาสักครั้งเหมือนกัน”

ฉีเล่ยที่เห็นดังนั้นจึงได้ตอบกลับไปว่า

“ตกลงครับ”

หลังจากเตรียมกล่องเข็มเงินและฆ่าเชื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ใช้สองนิ้วบีบตัวเข็มไว้ที่นิ้วมือ ฉีเล่ยก็เริ่มถ่ายเทพลังปราณลงไปในเข็มเล่มนั้นทันที

จนทำให้ปลายคมเข็มยาวนั้นถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อย

แม้ว่าแรงสั่นจะเบาบางเพียงใด แต่ก็สามารถมองเห็นจนเกิดเป็นภาพซ้อนได้ไม่ยาก

ในระหว่างที่ถือคมเข็มเล่มยาวอยู่ในมือทั้งแบบนั้น ฉีเล่ยก็ยังหันมายิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ใครจะเป็นหนูทดลองดีครับ?”

เป่ยจ้าวหยวนหันซ้ายแลขวาจับจ้องผู้คนในห้องเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าทุกคนต่างก็หันขวับจับจ้องมาทางตนเองเป็นตาเดียว ในเวลานี้เป่ยจ้าวหยวนถึงกับเผยสีหน้าเศร้าหมองราวกับอยากจะร้องไห้ออกมา เขาเพิ่งโดนใช้เป็นหนูทดลองวิชาห้าธาตุหยินหยางไปหมาดๆ ตอนนี้กลับต้องมาเป็นหนูทดลองให้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของฉีเล่ยอีกงั้นเหรอ?

“โอเคครับ โอเค ผมอาสาเป็นหนูทดลองให้เองก็ได้ เอาล่ะ…อย่าได้เกรงใจพี่ศิษย์น้อง แต่ถ้าเจ็บมีเคืองแน่ฉันบอกไว้ก่อน”

ฉีเล่ยยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มฝังเข็มเข้าทะลวงจุดด่านประตูเส้นลมปราณทั่วร่างกาย

เนื่องจากเส้นลมปราณในร่างกายของคนเราค่อนข้างอ่อนไหวและไวต่อสัมผัส หากไม่มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ก็ไม่ควรลองสุ่มสี่สุ่มห้า

“รู้สึกอะไรบ้างไหม?”

“ไม่เลย”

“แล้วแบบนี้ล่ะ?”

“โอ้? รู้สึกคล้ายมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวหนัง คล้ายๆกับว่ามีกระแสน้ำเย็นไหลผ่าน…รู้สึกคันนิดๆนะ แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกสบายมากเลย”

ฉีเล่ยอธิบายให้ทุกคนฟังทันที

“นี่เรียกว่า การเปิดด่านประตูลมปราณ”

หลังจากพูดจบเขาก็ดึงเข็มชุดหนึ่งออกมา หลังจากฆ่าเชื้อเข็มชุดใหม่ ฉีเล่ยก็เริ่มฝังเข็มเข้าสกัดจุดอีกครั้ง และคราวนี้เปลี่ยนเป็นไปด่านประตูเส้นลมปราณทีชื่อว่าจุดไป่หูแทน

ด่านประตูลมปราณไป่หูเป็นหนึ่งในสี่จุดด่านประตูลมปราณสำคัญ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการฝังเข็ม ณ จุดนี้ อาจทำให้คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเลยก็เป็นได้

ต่อให้ในห้องนี้จะเป็นระดับปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมด แต่ทุกคนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

หลังจากค่อยๆคลึงเข็มเงินในมือ ฉีเล่ยจึงเอ่ยถามอีกครั้งว่า

“รู้สึกอะไรไหม?”

“อืม”

“รู้สึกยังไงบ้าง?”

“ร้อนนิดหน่อย แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกดีมากเลย เหมือนกำลังอบซาวน่า อ่าาา…วิเศษไปเลย~ นี่มันคืออะไรงั้นเหรอ?”

“นี่เรียกว่า ปรับจันทร์สงบ”

เมื่อเห็นหลานชายของตนเองเอ่ยปากถามขึ้น เป่ยฉวนเทียนจึงอาสาตอบเองและยังกล่าวต่ออีกว่า

“ในเคล็ดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ มีทั้งหมดกี่กระบวนเข็มงั้นรึ?”

“มีทั้งหมดเก้ากระบวนเข็มครับ เข็มหยกปาฏิหาริย์สามกระบวน, เข็มเหนือฟ้าปาฏิหาริย์สามกระบวน และเข็มไพศาลปาฏิหาริย์อีกสามกระบวนครับ ซึ่งที่ผมกำลังใช้อยู่ตอนนี้ก็คือ เข็มหยกปาฏิหาริย์ – กระบวนที่หนึ่ง โดยทั่วไปแล้วทั้งสามวิชาย่อยนี้จะถูกเอ่ยขานนามแตกต่างกันไปได้แก่ เข็มคืนสภาพ เข็มซ่อมแซ่ม และเข็มศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความสามารถของผมตอนนี้ยังใช้ได้แค่ขั้นเข็มคืนสภาพเท่านั้นครับ”

ฉีเล่ยยังอธิบายต่ออีกว่า

“นอกจากนั้นแล้ว หากทั้งเก้ากระบวนเข็มถูกหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เห็นว่าจะก่อกำเนิดวิชาปาฏิหาริย์สุดท้ายที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้จำกัด แต่อย่างที่บอกไปนั่นล่ะครับ ผมยังใช้ได้แค่ขั้นพื้นฐาน หากจะให้พูดตามตรงก็คือ…ถ้าจะถามว่าสามารถใช้ได้ไหมมันก็ใช้ได้ แต่ว่า…มันมีความเสี่ยงถึงชีวิตผู้ใช้ครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน 157 เป็นศิษย์อาจารย์

Now you are reading ยอดคุณหมอสกุลเฉิน Chapter 157 เป็นศิษย์อาจารย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่157 เป็นศิษย์อาจารย์

หากสักวันหนึ่งเหล่าปรมาจารย์แพทย์แผนจีนไร้ซึ่งความหวงแหนวิชาความรู้และไม่ปิดกั้นตัวเองอีกต่อไป แต่เลือกที่จะเปิดใจเผยแพร่ความรู้ที่มีให้แก่ทุกคนโดยไม่เลือกหน้า การแพทย์แผนจีนคงไม่ต้องกลายเป็นเพียงแค่วัฒนธรรมอีกต่อไป แต่คงจะกลายเป็นศาสตร์การแพทย์ระดับสากลเช่นเดียวกับการแพทย์ตะวันตก

ทุกคนเรียนแพทย์แผนจีน ทุกคนต่างใช้ยาจีนกัน ถ้าสามารถสร้างกลไกเฉกเช่นนี้ขึ้นมาได้ ในอนาคตการแพทย์แผนจีนจะต้องรุ่งเรืองขึ้นอย่างแน่นอน และมีโอกาสที่จะผงาดขึ้นมาแข่งขันกับการแพทย์ตะวันตกได้อย่างสูสี

ฉีเล่ยยังทราบถึงความสำคัญของวิชาห้าธาตุหยินหยางดีว่า มันเป็นวิชาสำหรับอะไรและเหมาะที่จะใช้รักษาคนไข้ประเภทไหน

ด่านประตูหยินหยางหรือด่านประตูแห่งชีวิต โดยทั่วไปแพทย์แผนจีนคนอื่นๆจะสามารถฝังเข็มได้เพียงสองจุดเท่านั้น

แต่วิชาห้าธาตุหยินหยางจะเสริมอีกสามจุดด่านประตูสำคัญ เพื่อปลดผนึกพลังชีวิตที่ถูกกักเก็บไว้ออกมาใช้ อาศัยเคล็ดวิชาสุดไร้เทียมทานนี้เองจึงทำให้ตระกูลเป่ยสามารถยืนหยัดบนจุดสูงสุดแห่งการแพทย์แผนจีนในเมืองหลวงได้นานเกือบร้อยปี

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เป่ยฉวนเทียนบอกกับฉีเล่ยว่า วิชาห้าธาตุหยินหยางนั้น ในอดีตกาลเคยถูกเรียกว่าวิชาชุบชีวิต

แต่ถึงแม้วิชาห้าธาตุหยินหยางจะวิเศษมากแค่ไหน แต่มันก็ยังด้อยกว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์อยู่หนึ่งระดับ

แตกต่างจากวิชาห้าธาตุหยินหยานอยู่บางส่วน วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จะเน้นไปทางสกัดจุดด่านประตูเส้นลมปราณ ซึ่งเป็นอะไรที่จับต้องได้ยากกว่าด่านประตูชีวิต

หากเปรียบวิชาห้าธาตุหยินหยางเป็นการทวงคืนชีวิตจากเงื้อมมือของมัจจุราช วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ก็คงเปรียบได้กับการเดินทางไปยมโลก เพื่อยกกำปั้นขึ้นซัดหน้ามัจจุราชแรงๆสักทีนั่นเอง

แม้ว่าวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์จะล้ำเลิศสุดยอดมากเพียงใด แต่ฉีเล่ยกลับไม่สามารถใช้มันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะวิชานี้กลืนกินพลังสมาธิและพลังกายอย่างมากมายมหาศาลจนเกินไป

เหมือนกับเมื่อครั้งที่เขาอยู่หนานหยาง ในตอนที่เขาทำการรักษาให้กับกวนไห่ผิงด้วยการฝังเข็มนั้น เรียกได้ว่าเขาได้ย่างเท้าก้าวเข้าสู่ประตูยมโลกไปแล้วครึ่งตัว

นั่นเพราะมีหนึ่งปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับเขาเลยก็คือ โรคประหลาดที่เกิดจากเส้นลมปราณตะวันฟ้า ถึงแม้พ่อตาของเขาจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อรักษาโรคนี้ให้ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่ระงับไว้ชั่วคราวเท่านั้น

กล่าวได้ว่าฉีเล่ยไม่สามารถใช้วิชานี้ได้อย่างเต็มกำลังได้บ่อยๆ เพราะหากเกิดโชคไม่ดีขึ้นมา เขาฝืนเกินตัวจนเกินไป อาจทำให้โรคประหลาดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาเกิดกำเริบขึ้นอีกครั้งได้ และเขาเองก็อาจถึงตายได้เช่นกัน!

แต่ตอนนี้นับว่าหายห่วงแล้ว เพราะหลังจากที่ได้รับสืบทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางของเป่ยฉวนเทียนมาแล้ว เขาก็สามารถที่จะใช้วิชานี้เพื่อชดเชยข้อบกพร่องอันอ่อนแอภายในร่างกายนี้ได้

สำหรับฉีเล่ยแล้ว การที่ได้รับวิชาใหม่มาเพิ่มนั้นจึงเท่ากับเป็นการช่วยชีวิตเขาไปในตัวด้วย

และเหตุนี้เอง ฉีเล่ยจึงยืนกรานที่จะประกาศตนขอเป็นศิษย์เป่ยฉวนเทียนให้ได้

แต่ถึงอย่างนั้น เป่ยฉวนเทียนเองก็ไม่ยอมเช่นกัน

“ฉีเล่ย ฉันไม่เต็มใจรับเธอเป็นศิษย์จริงๆ เพราะความสามารถของนั้นด้อยกว่าเธอด้วยซ้ำไป นี่เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ถึงแพทย์แผนจีนจะค่อนข้างให้ความสำคัญกับสถานะอาวุโส และถ้าเธอเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งครัดในเรื่องนี้ ก็เอาแบบนี้แล้วกันนะ….เธอเรียกฉันว่าพี่แทนแล้วกัน”

ฉีเล่ยยิ้มและกล่าวว่า

“อาวุโสเป่ยพูดผิดแล้ว เพราะศาสตร์การแพทย์แผนจีนของเราเริ่มตกต่ำลง การจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้คนนอกนับเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ แต่ในเมื่อผมได้รับสืบทอดมาแล้ว ก็ควรมีสถานะเป็นศิษย์ถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นในอนาคตต่อไป ผมจะกล้าใช้วิชาห้าธาตุหยินหยางรักษาคนไข้ได้ยังไงกัน? อย่าปฏิเสธผมเลยนะครับ”

เมื่อเห็นว่าเป่ยฉวนเทียนยังต้องการจะปฏิเสธอยู่อีก อาวุโสเหวินก็เริ่มทนไม่ไหว รีบพูดแทรกขึ้นทันที

“ตาเฒ่าเป่ย ฉีเล่ยขอถึงขนาดนี้แล้วนะ ถ้าแกยังกล้าปฏิเสธอีกก็นับว่าใจร้ายเกินไปแล้วนะ แต่ถ้าแกยังไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์อีก งั้นฉันรับเป็นอาจารย์ของเขาแทนให้ก็ได้ ฉันเต็มใจอย่างยิ่งที่จะรับเขาเป็นศิษย์เลยล่ะ แล้วแกอย่าได้มาเสียใจทีหลังเชียว”

ปิงโหย่วหลินยิ้มและกล่าวว่า

“เลิกเถียงกันได้แล้ว! ฉีเล่ย ฉันเองก็อยากรับเธอเป็นศิษย์นะ เดี๋ยวฉันจะถ่ายทอดวิชาครอบแก้วให้เธอเอง”

หลัวไป่ซิ่วผู้มีใบหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอด เวลานี้ถึงกับยิ้มกว้างและเอ่ยขึ้นว่า

“ถ้าแกไม่ต้องการ ฉันจะรับไว้เอง”

แต่สิ่งที่หลัวไป่ซิ่วไม่รู้ก็คือ ภายในใจลึกๆแล้ว เป่ยฉวนเทียนเองก็ต้องการรับฉีเล่ยเป็นศิษย์

สาเหตุที่เป่ยฉวนเทียนยอมถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้กับเขา ก็เพราะอยากให้ฉีเล่ยก้าวขึ้นกลายมาเป็นปรมาจารย์เสาหลักแห่งศาสตร์แพทย์แผนจีนรุ่นต่อไปในวันข้างหน้านั่นเอง

แล้วก็ยังอยากให้ฉีเล่ยเล่าเรื่องราวของเขาเป่ยฉวนเทียนในครั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้แก่คนรุ่นหลังได้ฟังกันปากต่อปาก จนกระทั่งกลายมาเป็นตำนานแพทย์เป่ยผู้สืบทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางนั่นเอง

ในเมื่อมีเด็กหนุ่มอัจฉริยะยืนอยู่ตรงหน้าทั้งที มีหรือที่ชายชราคนนี้จะไม่ต้องการรับเขาเป็นศิษย์? แต่ก็ไม่รู้จะทำเช่นใด เขาซึ่งในตอนนี้เปรียบเสมือนหมาป่าหิวโหยที่เห็นเนื้ออยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่สามารถจับกินได้ มันช่างทรมานอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

สมแล้วที่เป็นหลานชาย เป่ยจ้าวหยวนสามารถอ่านความคิด และความรู้สึกของปู่ตัวเองได้ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขาจึงจำใจต้องสวมบทบาทหลานชายจอมวายร้ายกล่าวขึ้นเสียเองว่า

“คุณปู่ รับฉีเล่ยเป็นศิษย์เถอะครับ ตราบใดที่ฉีเล่ยยอมคำนับคุณปู่เป็นอาจารย์ ผมก็จะกลายมาเป็นศิษย์พี่ของเขาไปโดยปริยาย เมื่อถึงเวลานั้น ปู่ก็สามารถขอให้เขาถ่ายทอดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ให้กับผมได้ยังไงล่ะครับ! อีกอย่างเวลาที่เขาโด่งดังมีชื่อเสียงขึ้นมาในอนาคต พวกเราก็พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย! ส่วนถ้าเขาไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้จริงๆ เดี๋ยวผมในฐานะศิษย์พี่จะจัดการกับเขาเอง ผมก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาจะปฏิเสธได้ยังไง!”

เนื่องจากพ่อของเป่ยจ้าวหยวนไม่ได้รับช่วงต่อจากเป่ยฉวนเทียน จึงทำให้เป่ยจ้าวหยวนต้องมารับสืบทอดต่อเอง และดูเหมือนว่าเจ้าตัวเขาเองก็ค่อนช้างจะสนใจในศาสตร์นี้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเป่ยจ้าวหยวนจึงเป็นเด็กที่ค่อนข้างรักและเคารพนับถือปู่ของเขาอย่างมาก เวลานี้เมื่อได้เห็นปู่ไม่สบายใจมีหรือที่จะนิ่งดูดายได้?

แน่นอน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนร้องขอออกมาเช่นนี้ คนที่มีความสุขที่สุดย่อมเป็นเป่ยฉวนเทียน เขาพยายามเก็บอาการเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า

“พอแล้ว พอแล้ว แกนี่มันจริงๆเลยนะ คิดแต่เรื่องแบบนี้ กลับไปเดี๋ยวแกคงต้องเจอไม้เรียวสักรอบ!”

ฉีเล่ยเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพว่า

“อาวุโสเป่ยได้ชี้แนะอบรมสั่งสอนผมมากมาย ฉีเล่ยขอกราบอาวุโสเป็นศิษย์!”

ภายในใจของฉีเล่ย สำหรับเป่ยฉวนเทียนคนนี้ไม่เพียงแค่ทักษะทางการแพทย์ของเขาที่จัดได้ว่าเก่งกาจ แต่ในด้านคุณธรรมและจริยธรรมแล้ว ชายชราผู้นี้ควรค่าแก่การให้ความเคารพนับถืออย่างยิ่ง

แผ่นดินกว้างใหญ่ แผ่นฟ้าไพศาล ไม่ว่าบรรพบุรุษตระกูลเฉินจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกันที่จะกล่าวว่า เขาคือปรมาจารย์เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า เพราะในความเป็นจริงนั้น กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ในโลกแห่งแพทย์แผนจีน ดอกไม้ร้อยดอกเมื่อถึงคราวเบ่งบานย่อมเบ่งบานพร้อมกัน ความรู้ในเส้นทางนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด หากต้องการขัดเกลาฝีมือให้เก่งขึ้นกว่านี้ ก็จำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา

นอกจากนี้แล้ว จิตใจที่กว้างขวางเป็นแม่น้ำของเป่ยฉวนเทียนนั้น ก็ควรค่าแก่การที่ฉีเล่ยจะยกย่องเป็นอาจารย์ยิ่งแล้ว

มิหนำซ้ำครั้งแรกที่รู้จักกัน อีกฝ่ายยังยอมยกป้ายประจำตระกูลเป่ยให้ด้วยความสมัครใจ

อาวุโสเป่ยเสียสละเพื่อเขามามากแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เขารู้สึกต้องการจะตอบแทนบุญคุณกลับบ้างจึงถือเป็นเรื่องธรรมดา

เป่ยจ้าวหยวนตบไหล่ฉีเล่ยเล็กน้อยและยิ้มกล่าวว่า

“อะแฮ่ม จากนี้ไปฉันก็กลายเป็นศิษย์พี่ของนายแล้วสินะ ถ้าใครหน้าไหนมันกล้ามากวนใจสร้างปัญหาให้กับนาย นายก็บอกฉันมาได้เลย เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้เอง!”

เมื่อเห็นว่าหลานชายของเขาตรงเข้าไปคุยโม้กับฉีเล่ยเป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนั้น เป่ยฉวนเทียนก็ถึงจ้องตาเขม็งใส่ทันที

“แกนี่นะ? ฉันว่ามีแต่แกมากกว่าที่จะไปสร้างปัญหาให้ฉีเล่ยเขา”

เป่ยจ้าวหยวนยกมือเกาหัวแกรกๆด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ส่วนคนอื่นๆโดยรอบต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน

ฉีเล่ยยิ้มและตอบกลับไปว่า

“ในเมื่อผมเป็นศิษย์ของอาวุโสเป่ยแล้ว นับจากนี้ไปก็คงต้องเรียกว่าคุณว่าพี่เป่ย ฝากตัวด้วยครับศิษย์พี่”

เมื่อเห็นทั้งสามตกลงเป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้ว อาวุโสเหวินก็เอ่ยกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือกังวลเล็กน้อย

“ในเมื่อพวกเธอก็เป็นศิษย์อาจารย์กันเรียบร้อยแล้ว มิหนำซ้ำตาเฒ่าเป่ยเองก็ได้ถ่ายทอดวิชาห้าธาตุหยินหยางให้ศิษย์ใหม่ไปแล้วด้วย… เอาล่ะ…นี่ก็คงถึงเวลาของวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์แล้วใช่ไหม?”

เป่ยฉวนเทียนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปบอกกับฉีเล่ยว่า

“ฉีเล่ย ตาเฒ่าพวกนี้เดินทางมาถึงที่นี่ก็เพื่ออยากจะได้เห็นวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของเธอ ถ้ายังไหวก็รบกวนหน่อยนะ อันที่จริงฉันเองก็อยากเห็นกับตาสักครั้งเหมือนกัน”

ฉีเล่ยที่เห็นดังนั้นจึงได้ตอบกลับไปว่า

“ตกลงครับ”

หลังจากเตรียมกล่องเข็มเงินและฆ่าเชื้อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ใช้สองนิ้วบีบตัวเข็มไว้ที่นิ้วมือ ฉีเล่ยก็เริ่มถ่ายเทพลังปราณลงไปในเข็มเล่มนั้นทันที

จนทำให้ปลายคมเข็มยาวนั้นถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อย

แม้ว่าแรงสั่นจะเบาบางเพียงใด แต่ก็สามารถมองเห็นจนเกิดเป็นภาพซ้อนได้ไม่ยาก

ในระหว่างที่ถือคมเข็มเล่มยาวอยู่ในมือทั้งแบบนั้น ฉีเล่ยก็ยังหันมายิ้มและเอ่ยถามขึ้นว่า

“ใครจะเป็นหนูทดลองดีครับ?”

เป่ยจ้าวหยวนหันซ้ายแลขวาจับจ้องผู้คนในห้องเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าทุกคนต่างก็หันขวับจับจ้องมาทางตนเองเป็นตาเดียว ในเวลานี้เป่ยจ้าวหยวนถึงกับเผยสีหน้าเศร้าหมองราวกับอยากจะร้องไห้ออกมา เขาเพิ่งโดนใช้เป็นหนูทดลองวิชาห้าธาตุหยินหยางไปหมาดๆ ตอนนี้กลับต้องมาเป็นหนูทดลองให้วิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ของฉีเล่ยอีกงั้นเหรอ?

“โอเคครับ โอเค ผมอาสาเป็นหนูทดลองให้เองก็ได้ เอาล่ะ…อย่าได้เกรงใจพี่ศิษย์น้อง แต่ถ้าเจ็บมีเคืองแน่ฉันบอกไว้ก่อน”

ฉีเล่ยยิ้มตอบเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มฝังเข็มเข้าทะลวงจุดด่านประตูเส้นลมปราณทั่วร่างกาย

เนื่องจากเส้นลมปราณในร่างกายของคนเราค่อนข้างอ่อนไหวและไวต่อสัมผัส หากไม่มีความเชี่ยวชาญอย่างแท้จริง ก็ไม่ควรลองสุ่มสี่สุ่มห้า

“รู้สึกอะไรบ้างไหม?”

“ไม่เลย”

“แล้วแบบนี้ล่ะ?”

“โอ้? รู้สึกคล้ายมีอะไรบางอย่างขยับอยู่ใต้ผิวหนัง คล้ายๆกับว่ามีกระแสน้ำเย็นไหลผ่าน…รู้สึกคันนิดๆนะ แต่หลังจากนั้นกลับรู้สึกสบายมากเลย”

ฉีเล่ยอธิบายให้ทุกคนฟังทันที

“นี่เรียกว่า การเปิดด่านประตูลมปราณ”

หลังจากพูดจบเขาก็ดึงเข็มชุดหนึ่งออกมา หลังจากฆ่าเชื้อเข็มชุดใหม่ ฉีเล่ยก็เริ่มฝังเข็มเข้าสกัดจุดอีกครั้ง และคราวนี้เปลี่ยนเป็นไปด่านประตูเส้นลมปราณทีชื่อว่าจุดไป่หูแทน

ด่านประตูลมปราณไป่หูเป็นหนึ่งในสี่จุดด่านประตูลมปราณสำคัญ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นระหว่างการฝังเข็ม ณ จุดนี้ อาจทำให้คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตเลยก็เป็นได้

ต่อให้ในห้องนี้จะเป็นระดับปรมาจารย์แพทย์แผนจีนทั้งหมด แต่ทุกคนก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้เช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

หลังจากค่อยๆคลึงเข็มเงินในมือ ฉีเล่ยจึงเอ่ยถามอีกครั้งว่า

“รู้สึกอะไรไหม?”

“อืม”

“รู้สึกยังไงบ้าง?”

“ร้อนนิดหน่อย แต่พอผ่านไปสักพักก็รู้สึกดีมากเลย เหมือนกำลังอบซาวน่า อ่าาา…วิเศษไปเลย~ นี่มันคืออะไรงั้นเหรอ?”

“นี่เรียกว่า ปรับจันทร์สงบ”

เมื่อเห็นหลานชายของตนเองเอ่ยปากถามขึ้น เป่ยฉวนเทียนจึงอาสาตอบเองและยังกล่าวต่ออีกว่า

“ในเคล็ดวิชาสามเข็มปาฏิหาริย์ มีทั้งหมดกี่กระบวนเข็มงั้นรึ?”

“มีทั้งหมดเก้ากระบวนเข็มครับ เข็มหยกปาฏิหาริย์สามกระบวน, เข็มเหนือฟ้าปาฏิหาริย์สามกระบวน และเข็มไพศาลปาฏิหาริย์อีกสามกระบวนครับ ซึ่งที่ผมกำลังใช้อยู่ตอนนี้ก็คือ เข็มหยกปาฏิหาริย์ – กระบวนที่หนึ่ง โดยทั่วไปแล้วทั้งสามวิชาย่อยนี้จะถูกเอ่ยขานนามแตกต่างกันไปได้แก่ เข็มคืนสภาพ เข็มซ่อมแซ่ม และเข็มศักดิ์สิทธิ์ ด้วยความสามารถของผมตอนนี้ยังใช้ได้แค่ขั้นเข็มคืนสภาพเท่านั้นครับ”

ฉีเล่ยยังอธิบายต่ออีกว่า

“นอกจากนั้นแล้ว หากทั้งเก้ากระบวนเข็มถูกหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง เห็นว่าจะก่อกำเนิดวิชาปาฏิหาริย์สุดท้ายที่จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้จำกัด แต่อย่างที่บอกไปนั่นล่ะครับ ผมยังใช้ได้แค่ขั้นพื้นฐาน หากจะให้พูดตามตรงก็คือ…ถ้าจะถามว่าสามารถใช้ได้ไหมมันก็ใช้ได้ แต่ว่า…มันมีความเสี่ยงถึงชีวิตผู้ใช้ครับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+